วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 2

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ (26-7-2009)

ดูยชว.3:1-4 การเข้ายึดครองคานาอันนั้น เป็นสงครามที่มีความหมายฝ่ายจิตวิญญาณ ดังนั้นหีบพันธสัญญา ต้องนำอยู่ข้างหน้าเสมอ ในข้อ4บอกว่า “ ให้ประชาชนทิ้งระยะห่างจากหีบประมาณ2000ศอก เพราะพวกเขาไม่รู้ทาง จึงต้องให้พระเจ้านำอยู่ข้างหน้า” เห็นมะ...อิสราเอลแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย พวกเราก็เหมือนกัน แค่เชื่อฟังแล้วก็ทำตามที่พระเจ้าบอก แค่นั้นจบ
ดูยชว.3:15-17 ในข้อนี้บรรยายถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำให้น้ำในน.จอร์แดนแห้งไปเพื่อให้คนอิสราเอลยอมรับโยชูวา เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเคยอยู่กับโมเสสฉันใดก็ทรงอยู่กับโยชูวาเช่นกัน
น.จอร์แดนเนี้ย กว้างมากว่า๑ไมล์ แล้วตอนที่อิสราเอลจะข้ามนั้นเป็นฤดูเกี่ยวข้าวหรือฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหิมะจะละลายทำให้น้ำเยอะจนท่วมฝั่ง แต่พระคำภีร์บอกว่าพอปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาก้าวลงในแม่น้ำปุ๊บ น้ำในน.จอร์แดนก็แห้งไป
คำอธิบายที่ใกล้เคียงกับปรากฎการณ์นี้ที่สุด ก็คืออาจจะเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองอาดัมซึ่งเป็นต้นน้ำ อยู่ห่างไปทางเหนือประมาณ24-25กม. ทำให้ตลิ่งยุบพังลงมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำที่ต้นทางไว้ น้ำตรงทางที่คนอิสราเอลจะข้ามก็เลยลดลงจนเป็นแห้ง ปุโรหิตก็หามหีบพันธสัญญายืนรออยู่กลางแม่น้ำ จนประชาชนทั้งหมดเดินข้ามไป
ที่น้าตุ๊กใช้คำว่า..คำอธิบายที่ใกล้เคียง..ก็เพราะ..ว่าไปตามหลักฐาน ในปี1972 ที่ได้เกิดแผ่นดินไหว ในบริเวณนี้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ดินชายฝั่งถล่มลงมากั้นเป็นเขื่อนภายใน21ช.ม.ในจุดเดียวกันนี้ เกิดเป็นภาพที่ทำให้เราเข้าใจปรากฎการณ์ในอดีต (เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอย) แต่ความจริงก็คือ เหตุผลคืออะไร..ก็ช่างมันเถอะ เราแค่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยที่มาจากพระเจ้า..ก็เพียงพอแล้ว
ดูยชว.4:1-3/6-7 พระเจ้าทรงบอกโยชูวาให้ส่งผู้แทนของทั้ง๑๒เผ่ากลับไปเอาหินจากก้นแม่น้ำ และตั้งเป็นอนุสรณ์ที่เมืองกิลกาล เพื่อระลึกถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำให้น.จอร์แดนแห้งไป
ดู ยชว.4:9-10 อันนี้สิ น่าสนใจ พระคำภีร์ระบุว่านอกจากอนุสรณ์ที่ตั้งไว้บนแผ่นดินที่เมืองกิลกาลแล้ว โยชูวายังตั้งศิลาเป็นอนุสรณ์ไว้ที่ก้นแม่น้ำจอร์แดนอีกด้วย
ดู ยชว.4:15-18 เมื่อปุโรหิตยกเท้าขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำในน.จอร์แดนก็ไหลเข้าท่วมฝั่งเหมือนเดิม ศิลาที่กองอยู่กลางน.จอร์แดนก็เป็นอันจมอยู่ใต้น้ำ แล้วทีนี้ จะมีใครมองเห็นศิลาที่โยชูวาวางไว้เป็นอนุสรณ์ที่ก้นแม่น้ำมั๊ย (แล้วเด็กๆสงสัยมั๊ยว่า แล้วจะสร้างไปทำไม)
แท้จริงแล้ว ศิลาที่วางอยู่ใต้น้ำนั้น มันเป็นตัวแทนของความเชื่อและไว้วางใจที่เรามีต่อพระเจ้า ถึงแม้ว่าใครๆจะมองไม่เห็น แต่เรารู้ว่า”การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำเพื่อเรานั้นมีอยู่จริง” ดังนั้น สิ่งนี้มันเป็นเหมือนอนุสรณ์ในใจระหว่างเรากับพระองค์ เป็นสายสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้า ที่เชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึกที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณไม่อาจจับต้องมองเห็นได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น มีแต่เรากับพระเจ้าที่รู้กัน เหมือนศิลาที่จมอยู่ใต้น.จอร์แดนที่ไม่มีใครได้เห็นมันอีก แต่อิสราเอลรู้ว่า “มันมีอยู่จริง”
ดู ยชว.5:1/ 2-5 เมื่อชาวคานาอันเห็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ ”ก็ขวัญหนีดีฝ่อ หมดกำลังใจไปตามๆกัน” เพราะฉะนั้น ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับโยชูวาที่จะเร่งนำกำลังกองทัพบุกประจัญไปข้างหน้า (จริงมะ) เพราะศัตรูกำลังเสียขวัญ แต่นั่นไม่ใช่แผนของพระเจ้า น่าปะหลาดใจมาก...เพราะพระองค์ทรงบัญชาให้ชายอิสราเอลทุกคนเข้าสุหนัต! .........เข้าสุนัตในช่วงที่กำลังทำศึกสงครามเนี่ยนะ...มันหมายถึงว่า ร่างกายของพวกเขาจะต้องอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงไปหลายวัน และศัตรูอาจฉวยโอกาสนี้โจมตีพวกเขาได้
เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้พระเจ้าทรงบอกอะไรเรา พระเจ้ากำลังบอกเรา “ พระองค์มีอิสระในการใช้เวลาเสมอ” ในเวลาที่มนุษย์ต้องรีบทำ เพื่อให้ได้บางอย่างมา แต่พระเจ้าได้มาอย่างง่ายๆไม่ต้องรีบร้อน แม้ว่าสิ่งที่พระองค์สั่งให้ทำมันจะดูขัดกับสถานการณ์ขนาดไหน ก็ขอให้เชื่อฟังและทำตามเสมอ เพราะใน อิสยาห์55:9 บอกไว้ว่า.....
“เพราะฟ้าสวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด พระปัญญาและวิถีของพระเจ้าก็สูงกว่าทางของมนุษย์ฉันนั้น” ดังนั้น มันสำคัญมากสำหรับอิสราเอล (แล้วก็พวกเราด้วย) ที่จะต้องมีความเชื่อวางใจให้ลึกลงไปในจิตวิญาณ จนสามารถมองข้ามสถานการณ์หรือเงื่อนไขทางฝ่ายโลกไปซะบ้าง เพื่อที่เราจะดำเนินกับพระเจ้าไปได้อย่างตลอดลอดฝั่ง
และในการเข้าสุนัตครั้งนี้ อิสราเอลก็ได้เรียนรู้อีกครั้งหนึ่งว่า ชัยชนะของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนกองทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ แต่มีเคล็ดลับง่ายๆ คือ เชื่อฟังพระเจ้าและเดินตามพระองค์
ดูยชว.5:10-12 หลังจากการเข้าสุหนัตแล้ว อิสราเอลก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่เมืองกิลกาล เมื่อร่างกายแข็งแรงเป็นปกติดีแล้ว ก็มีการฉลองปัสกากันในวันที่๑๔ และวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็กินขนมปังไร้เชื้อกับข้าวคั่ว ซึ่งหมายถึงผลแรกของแผ่นดินแห่งพันสัญญา ในเมื่อได้กินผลที่เกิดจากแผ่นดินแล้ว พระเจ้าจึงไม่ทรงประทานมานาจากฟ้าให้พวกเขาอีกต่อไป โอกาสนี้จึงถือเป็นจุดจบของการเดินทางจากอียิปต์
ยชว.5:13-15 ข้อนี้คือนิมิตรที่พระเจ้าประทานให้แก่โยชูวา โดยให้ทูตของพระองค์มาปรากฎ ลักษณะการปรากฎและคำพูดก็จะคล้ายๆกับที่เคยปรากฎกับคนอื่น เช่น ทูตของพระเจ้าที่เคยปรากฎแก่โมเสส (ในอพย.) แล้วก็ที่ปรากฎกับบาลาอัม (ในกดว.) หรือที่ปรากฎกับดาวิด (ใน๑พศด.) ก็จะเหมือนๆกัน แต่ที่ปรากฎแก่โยชูวานี้มีจุดประสงค์ที่ค่อนข้างชัดเจนกว่า เพราะเขาพูดตรงๆเลยว่า “....ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเจ้า” คือมาเพื่อเตือนให้โยชูวาสังวรณ์ไว้เสมอว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้นำทัพของอิสราเอล ให้โยชูวาเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของพระองค์ และในข้อที่๑๔ บอกไว้ว่า”.....ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการ” สิ่งนี้สำแดงถึงจิตใจที่ถ่อมลงของโยชูวา เป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาผู้นำหรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า เพราะอย่าลืมว่าในตอนนี้โยชูวาเป็นแม่ทัพที่น่าเกรงขามมาก แล้วมนุษย์เวลาที่ได้รับความสำเร็จ ก็มักจะเย่อหยิ่ง (เสมอ) แต่สำหรับโยชูวานั้นเมื่อทูตของพระเจ้าแสดงตัวปุ๊บ โยชูวาก็ก้มลงกราบนมัสการทันที แสดงให้เห็นว่า เขายอมจำนนต่อพระเจ้า....ส่วนที่๑ (การเคลื่อนพล) ก็จบที่ข้อนี้
ส่วนที่๒ การทำสงครามและชัยชนะของอิสราเอล
ดูยชว.6:1-5 กลยุทธ์การรบที่สำคัญของอิสราเอล คือ ยึดภาคกลางก่อน เพราะจะทำให้ทางเหนือกับทางใต้ไม่สามารถรวมกำลังกันได้ หลังจากที่ยึดภาคกลางได้แล้ว ก็ไปยึดภาคใต้ และสุดท้ายคือภาคเหนือ ......ในข้อนี้บอกว่า เยรีโคปิดเมืองห้ามไม่ให้ใครเข้าออก ฝ่ายอิสราเอลได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้เดินรอบเมืองเยรีโค ๖วันๆละ๑รอบ พอเดินเสร็จก็กลับไปนอนที่ค่ายเมืองกิลกาล แล้วในวันที่๗ นั้นให้อิสราเอลเดินรอบเยรีโค๗รอบ โดยให้ปุโรหิตเป่าเขาแกะไปด้วย และเมื่อได้รับสัญญาณก็ให้ทุกคนโห่ร้องพร้อมกัน
เด็กๆว่า วิธีที่พระเจ้าให้พวกเขาทำเนี่ย แปลกมั๊ย ถ้าในสายตามนุษย์แล้ว ต้องบอกว่าแปลกสุดๆ แทนที่จะให้จัดเตรียมอาวุธ เสื้อเกราะ หรือโล่ อะไรก็ว่าไป กลับบอก“ให้เดินวนๆ ทุกวัน เสร็จแล้วก็ให้โห่ร้องพร้อมกัน” แค่เนี้ย แล้วจะชนะ อะไรจะง่ายขนาดนั้น
แล้วไงต่อไปดูต่อ ยชว.6:20-21 ไม่มีอะไรยากสำหรับพระเจ้า เพราะ..ในวันที่๗นั้นเมื่อประชาชนโห่ร้องกำแพงเมืองเยรีโคก็พังราบลง แล้วอิสราเอลก็เข้ายึดครองเมืองเยรีโค และการขุดพบซากของเมืองเยรีโคพบว่า .กำแพงของเมืองนี้มีสองชั้น ชั้นนอกหนา 6ฟุต สูง20ฟุต
...................................ส่วนชั้นในหนา12ฟุต สูง30ฟุต และทั้งสองชั้นห่างกัน15ฟุต
ต้องเรียกว่าแน่นหนาเกินกว่าที่กำลังกองทัพจะทำลายได้ แล้วอิสราเอลก็ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยอะไร......เพราะฉะนั้น ต่อไปถ้าเด็กๆเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรในชีวิต ขอให้จำเรื่องที่คนอิสราเอลเดินวนๆรอบเมืองเยรีโคนี้ไว้ แล้วเอาอย่างเขา จำไว้ว่าพระเจ้าบอกให้ทำยังไงก็ก้มหน้าก้มตาทำไป ถึงมันจะดูไม่สมเหตุผล หรือไม่ค่อยจะเข้ากับสถานการณ์ของเราเท่าไหร่ ก็ทำไปเถอะ ถ้าพระเจ้าบอกให้ร้องเพลง.......ก็ร้องเพลง ถ้าพระเจ้าบอกให้ตบมือ....... ก็ตบมือ ง่ายๆแค่นั้น ไม่ต้องเรียกหารูปแบบที่โก้หรู หรือต้องดูฉลาด สมเหตุสมผลมากมายอะไร เพราะนั่นไม่จำเป็นสำหรับพระเจ้า และทุกอย่างง่ายเสมอสำหรับพระองค์ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าให้เราทำ จะยากหรือง่ายไม่ใช่ประเด็น เพราะแท้จริงแล้ว....สิ่งที่พระองค์ทรงอยากเห็นคือ “ความเชื่อฟังของเรา”
ส่วนกำแพงของเยรีโคที่พังราบลงนั้น มีนักวิชาการก็ได้ให้ความเห็นว่า ในขณะที่คนอิสราเอลโห่ร้องพร้อมกันนั้น ดูเหมือนจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับตอนที่พวกเขาจะข้ามน.จอร์แดน ..หลายๆครั้ง ที่น้าตุ๊กยกข้อมูลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังนั้น ก็แค่ประดับความรู้ให้พวกเรานะ ไม่ได้เอามาเป็นข้อยืนยันให้เด็กๆ "มีความเชื่อ เพราะหลักฐานหรือเพราะข้อมูลที่สมเหตุสมผล" เพราะความเชื่อของเราเป็นอัศจรรย์ ที่พระเจ้าประทานให้ เข้าใจมั๊ย "อัศจรรย์" แปลว่า น่าพิศวง หรือ น่างง, ประหลาดใจ , ไม่มีที่มาที่ไป เพราะฉะนั้น เหตุผลไม่ต้อง เพราะถ้ามีเหตุผลรัดกุม เขาไม่เรียก "อัศจรรย์" (จำไว้นะ ข้อมูลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็แค่เพื่อประดับความรู้)
ที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ ทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงตามเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้า เป๊ะ ซึ่งเป็นข้อยืนยันถึงชัยชนะที่มาจากพระองค์อย่างชัดเจน ส่วนปรากฎการณ์หรือภัยทางธรรมชาติก็เป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้าเท่านั้น
ดูยชว.6:24-25 เมื่ออิสราเอลกวาดล้างชาวเมืองเยรีโค รวมทั้งฝูงสัตว์ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็จุดไฟเผาเมือง เหลือไว้แต่เงินและทองกับของใช้ที่เป็นโลหะจะต้องถวายไว้ในนิเวศน์ของพระเจ้า ห้ามเก็บไว้เป็นของส่วนตัวเด็ดขาด ส่วนราหับและครอบครัว โยชูวาได้ไว้ชีวิตแล้วก็ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินร่วมกับคนอิสราเอลต่อไป
ยชว.6:26-27 พระเจ้าทรงสั่งห้าม ไม่ให้ใครก็ตามสร้างเมืองเยรีโคขึ้นใหม่ แล้วโยชูวาก็กล่าวคำแช่งสาปไว้ว่า “ถ้าใครวางรากก็ให้ผู้นั้นเสียบุตรหัวปี แล้วใครตั้งประตูเมืองขึ้นใหม่ก็ให้เสียบุตรคนสุดท้อง” .......เปิดไปดู 1 พกษ.16:33-34 และแล้วอีกประมาณ 400 ปีต่อมา สายเลือดของอิสราเอลก็ลืม(หรือไม่ก็แกล้งลืม) คำบัญชาของพระเจ้า เพราะในพระคำภีร์ข้อนี้บอกไว้ชัดเจนว่า ฮีเอล ชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโคขึ้นใหม่ใน รัชกาลของ ก.อาหับแห่งอิสราเอลฝ่ายเหนือ แล้วเขาก็ต้องเสียลูกคนโตกับคนสุดท้องเป็นเครื่องสังเวยตามคำสาปแช่งของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ทางโยชูวา นี่ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้านิรันดร์ เป็นพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นจนอวสาน ไม่ใช่ว่าพอเวลาผ่านไปอีกหลายร้อยปี คำแช่งสาปของพระองค์ก็คงจะเสื่อมแล้วล่ะ ถ้าทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่นะคะ “เพราะ คำว่าพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคป” ที่คริสเตียนเรียกจนติดปากนั้น หมายถึง ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือกาลเวลา ไม่มีการฮิตเป็นพักๆ เหมือนพระอื่น * แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าตลอดกาล สิ่งไหนที่พระองค์ตรัสไว้แล้วจะต้องเป็นไปตามนั้นเสมอ มนุษย์อาจลืมไปหมดแล้วแต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี หรือแม้แต่เป็นล้านปีก็ตาม
ดูยชว.7:1-3 / 4-5 พระเจ้าสั่งไว้แล้วว่าห้ามเอาของถวายไปเป็นของส่วนตัว เพราะของเหล่านี้เป็นของต้องห้ามหรือของที่ต้องทำลาย จะเก็บไว้ได้ในนิเวศน์ของพระเจ้าเท่านั้น (มาคิดดูดีๆ พวกเราก็เป็นคนบาปที่ต้องถูกพิพากษาหรือถูกทำลายเหมือนของพวกนี้นั่นแหละ จะถูกเซฟไว้หรือจะมีทางรอดก็ต้องมาลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า เหมือนของพวกนี้ที่ต้องเก็บไว้ในพระนิเวศน์เท่านั้น ถ้าไม่งั้นก็ต้องถูกเผาทำลายเหมือนคนอื่นๆ นึกออกมะ) ในข้อนี้บอกว่ามีคนชื่อ “อาคาน”แอบเก็บของถวายไว้เป็นของตัวเอง โยชูวาก็เตือนแล้วว่าถ้าใครทำอย่างงี้ จะทำให้คนทั้งชาติต้องพลอยรับโทษไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่ออิสราเอลยกไปตีเมือง“อัย” ครั้งแรก........ก็แพ้กลับมา เพราะอาคานเก็บเอาของที่ต้องทำลายไว้ท่ามกลางคนอิสราเอล เลยทำให้อิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องถูกทำลายไปด้วย
ดูต่อยชว.7:6-7 โยชูวาร้องทุกข์ ถามพระเจ้าว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วก็บอกว่า “พวกเขาน่าจะพอใจที่จะอยู่แค่ฝั่งตะวันออก” เพราะโยชูวากลัวว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของอิสราเอลจะทำให้ชาวคานาอันฮึกเหิม แล้วถ้าพวกเขารวมตัวกันได้อิสราเอลต้องแย่แน่ๆ แล้วพระเจ้าว่ายังไง ดูต่อ ยชว.7:10-12 พระเจ้าบอกว่า มีคนยักยอกของต้องถวายไปเป็นของส่วนตัว เจ้าต้องทำลายของเหล่านั้นซะก่อน ไม่งั้นพระองค์จะไม่สถิตอยู่ด้วยแล้ว
ยชว.7:16-18/ 7:25-26 วันต่อมาพระเจ้าทรงเปิดเผยตัวผู้กระทำผิดคือ อาคาน คนเผ่ายูดาห์ ซึ่งอาคานก็ยอมรับผิดทุกอย่างพร้อมทั้งบอกที่ซ่อนสิ่งของที่เขาแอบยักยอกไว้ คนอิสราเอลก็เอาหินขว้างอาคานและครอบครัวจนตาย แล้วก็เผาข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของพวกเขา หลังจากนั้น กองทัพของอิสราเอลจึงสามารถเดินหน้าต่อไป ยชว.8:1-2 / 8:28-29 พระเจ้าทรงรับรองว่า การเข้าตีเมืองอัย ครั้งนี้ อิสราเอลจะชนะแน่นอน แต่ถึงยังไงโยชูวาก็ยังวางกลยุทธ์ไว้อย่างรอบคอบ โดยมีการแบ่งกำลังทหารเป็นหลายชุด มีชุดหนึ่งเป็นฝ่ายล่อชาวเมืองอัยให้ออกจากเมือง เสร็จแล้วพวกที่เหลือก็เข้าโอบล้อมยึดเมืองอัยไว้ได้ทันที ในพระคำภีร์บอกว่า ไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน ส่วนข้าวของที่ยึดมาได้นั้น ครั้งนี้พระเจ้าอนุญาตให้คนอิสราเอลเก็บไว้ได้

สัปดาห์หน้า(อาทิตย์ที่2:8:2009) จะยังไม่ต่อหนังสือโยชูวานะคะ เพราะน้าตุ๊กงดสอน (แต่จะมีการอธิบายเพิ่มเติมจากข้อสงสัยของสมาชิก ในเวปไซต์นี้ เด็กๆเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ) ส่วนในชั้นเรียนยุวชน สัปดาห์นี้ ห้ามพลาด! เพราะครูหนุ่ย ได้กรุณามาสอนแทนและจะเป็นผู้ปรุงอาหารฝ่ายวิญญาณมาเสริฟร้อนๆให้เด็กๆรับประทาน สำหรับน้าตุ๊ก พบกันวันอาทิตย์ที่9:8:2009
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น