วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนังสืออพยพ ครั้งที่ 2


เราจบลงตรงช่วงชีวิตที่พลิกผันที่สุดของโมเสส  เมื่อเขาฆ่าคนอียิป์ตาย  ชีวิตก็พลิกผันไปในชั่วข้ามคืนจากเจ้าชายอียิปต์..กลายเป็นคนเร่ร่อนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง  แต่เราจะเห็นบทสรุปของพระเจ้าว่า.. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโมเสสครั้งนี้ ดียอดเยี่ยมจริงๆ”  เพราะจุดพลิกผันนี้มันเต็มไปด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า     ...ต้องหนีใช่มั้ย..โมเสสเลยได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร..เพราะพระเจ้าเลือกแล้ว..ว่าจะใช้โมเสสให้เป็นคนปลดปล่อยและก็นำยิวหรืออิสราเอลกลับบ้าน..ไปอยู่แผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าเตรียมไว้    แม้ว่าตอนนั้นโมเสสจะไม่รู้ว่าเรื่องแย่ๆเหล่านี้ทำไมต้องเกิดขึ้น..เหมือนพวกเราที่ไม่เข้าใจ..ว่า  หลายครั้งทำไมเรื่องแย่ๆ มันต้องเกิดขึ้นกับเรา  แต่..อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้าไม่รัก..ทุกอย่างจะต้องแย่อยู่อย่างนั้น..ตามสิ่งที่ตามองเห็น..ไม่จริง พระเจ้ามีแผนที่จะใช้ทุกสถานการณ์ที่แย่ๆของเรา..เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เกิดผลดีกับชีวิตเรา.แน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย.2:16-18 /19-21  มาถึงเรื่องราวในแผ่นดินมีเดียน  “มีเดียน” เป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างถิ่นทุรกันดารซีนายกับทะเลทรายอาระเบีย..ฟังดูก็รู้ว่าต้องเป็นดินแดนที่แห้งแล้งมาก  ข้อนี้บอกว่า ปุโรหิตคนมีเดียนมีลูกสาว 7 คน  ปุโรหิตคนนี้คือ เรอูเอลหรือ มีอีกชื่อก็คือ เยโธร”   ในขณะที่โมเสสนั่งอยู่ริมบ่อน้ำ..ลูกๆของเรอูเอลก็มาตักน้ำที่บ่อเพื่อไปเลี้ยงแกะ..และถูกคนเลี้ยงแกะเจ้าอื่น..รังแก  คือ บ่อน้ำตามถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้นจะเป็นของมีค่ามากที่ทุกคนแย่งชิงกัน   เพราะถ้าไม่มีน้ำจะทำอะไรไม่ได้เลยปลูกพืชก็ไม่ได้..เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ รวมถึงมนุษย์จะมีชีวิตอิยู่ก็ไม่ได้ด้วย..ถ้าขาดน้ำ    แล้วทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..บางประเทศแถบตะวันออกกลางและอาฟริกาที่พื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งหรือเป็นทะเลทรายก็ยังคงขาดแคลนน้ำอยู่..ยังใช้การไปตักน้ำจากบ่อเหมือนในพระคำภีร์อยู่   เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ถ้าตื่นขึ้น..เปิดก๊อกปุ๊บ ! น้ำไหลปั๊บ ก็จงก้มศีรษะลงน้อมรำลึกโมทนาพระคุณพระเจ้าบ้างที่ประทานความสุขสบายให้เรานะคะ  แค่นี้มันก็อัศจรรย์มากแล้ว..มันไม่ใช่เรื่องชิลด์ ๆ   ลองดูถ้าวันไหน น้ำไม่ไหล..เดือดร้อนมั้ยคะ..เดือดร้อนมาก ยิ่งกว่าไม่มีไฟอีก   แล้วอย่าคิดว่า..มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มีน้ำ..ไม่มีไฟใช้..มันเป็นไปได้แน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือยุคสุดท้ายที่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้   แต่น้าตุ๊กไม่ได้จะพูดให้เรากลัว   แต่พูดเพื่อให้เด็กๆเอาใจติดยึดกับพระเจ้าให้มากขึ้นกว่าเดิม เอเมนมั้ย       เรามาดูพระคำหนุนใจสำหรับเรื่องนี้กันนืดนึง  เปิดไป..
ดู สดุดี 91:1-4 / 5-8  “พระเจ้าจะทรงช่วยท่านให้พ้นจากกับของพรานนกและจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น..”   เราจะเห็นว่าทุกวันนี้มันมีการล่อลวงมากมาย..ในการที่จะทำให้คนของพระเจ้าทำบาปหรือหลงไปจากทางของพระองค์  แต่พระองค์บอกว่า..พระองค์จะทรงปกเราไว้ด้วยปีกของพระองค์   เราจะวางใจอยู่ใต้ปีกของพระองค์   และ..เราจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไปจากทางของพระเจ้า...(ถ้า เราติดสนิทและยึดพระองค์ไว้ตลอดเวลา..ย้ำ ตลอดเวลา)    ข้อที่ 5 บอกว่า “ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน”  .....สมัยนี้อาจจะไม่มีแล้วลูกธนู  มีแต่ เอ็ม 79  หรือ อาร์ พี จี..ใช่มะ..ที่วันดี คืนดี เราก็จะได้ยินข่าวของการยิงถล่มกันเป็นว่าเล่น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธร้ายแรง..ภัยพิบัติแผ่นดินไหวอะไรต่างๆ  เราก็ไม่ต้องกลัวเพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้าก็เป็นผู้ควบคุมอยู่   ข้อที่ 6 บอกว่า  “หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือความพินาศที่เกิดความหายนะในเที่ยงวัน พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น ...”  ...ไม่ว่าจะเป็นภัยร้ายในรูปแบบไหน  ก็แตะต้องจิตวิญญาณของเราไม่ได้  คำว่า “พันคนจะล้มอยู่ข้างเรา หมื่นคนที่มือขวาของเรา  แต่เราจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..ยังมีความหมายอีกด้วยว่า  ไม่ว่าข่าวสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ดูแล้วน่าตกใจขนาดไหน..เรามองแล้วก็จะเฉยๆ  คือ มองแค่ตา..มันแตะต้องใจเรา..ไม่ได้ ภัยเหล่านั้นจะทำให้เรากลัวไม่ได้เลย   เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมและพระองค์สัญญาว่าเราจะปลอดภัย  ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิต..จิตวิญญาณของเราปลอดภัยแน่นอน    เอเมน)
กลับมาที่ หนังสืออพยพ ข้อที่ 17 บอกว่า โมเสสได้ช่วยลูกๆของเยโธรไม่ให้ถูกรังแก คงจะมีการต่อสู้กัน..ซึ่งคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆคงไม่มีทางสู้โมเสสได้  เพราะอย่าลืมว่าโมเสสโตขึ้นมาในวัง  และได้รับการฝึกฝนเรียนรู้..ศิลปะการต่อสู้มาเป็นอย่างดี  ดังนั้น ก็คงจะเอาชนะคนเลี้ยงแกะหลายคนได้อย่างสบายๆ  (เหมือนพระเอกในหนังเลยเนอะ)   เพราะงั้น เมื่อชนะก็ได้ครอบครองบ่อน้ำซึ่งถือว่ามีค่ามาก..บ่อน้ำคือชีวิต  ดังนั้น ข้อต่อไปเราจะเห็นว่าสุดท้ายเยโธรก็ยกลูกสาวให้แต่งงานกับโมเสสคนนึง คือ นางศิโปราห์”  แล้วทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกัน  ชีวิตในถิ่นทุรกันดารของโมเสสก็เริ่มต้นขึ้นในจุดนั้น 
ดู อพย.2:23-25  เสียงร้องคร่ำครวญถึงความทุกข์ยากของคนยิวดังฟ้องขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงดับฟังเสียงคร่ำครวญของเขา และทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ  หมายความว่า พระเจ้าทรงตรัสถึงการนำชนชาติอิสราเอลกลับมาที่แผ่นดินคานาอันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  เปิดไป..
ดู ปฐก.15:13-16  จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินที่ไม่ใช่ของพวกเขาและจะรับใช้พวกนั้น พวกนั้นจะกดขี่ข่มเหงพวกเขาสี่ร้อยปี..(ก็คือ ในประเทศอียิปต์) ...เราจะพิพากษาประเทศนั้นและต่อมาพวกเขาจะออกมาพร้อมกับทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก... ในชั่วอายุที่สี่พวกเขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”....ข้อนี้ พระเจ้ากำลังตรัสกับอับราฮัมเมื่อครั้งที่เขาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินคานาอัน  น้าตุ๊ก คาดว่าราว 800 กว่าปีก่อนหน้าสมัยโมเสสนี้  หมายความว่า แม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อย..กี่พันปี  พระเจ้าไม่เคยลืมพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ไม่เคยพลาด..ไม่เคยลืมว่าพระองค์พูดอะไรไว้มั่ง  และทุกสิ่งที่พระเจ้าพูดไว้ในพระคัมภีร์มันต้องเกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน   ดังนั้น ที่พระองค์ยืนยันว่าเราจะได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระองค์นิรันดรกาลมันก็ต้องเป็นจริงด้วย เอเมน  และอีกแง่นึง พระสัญญาข้อนี้ที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัม..นานแค่ไหน  กว่าจะเป็นจริง..เกือบพันปี  ดังนั้น จงตระหนักไว้ว่า”การช่วยกู้ของพระเจ้า  อาจจะไม่ได้มาในเวลาที่ทันใจเราเสมอไป  แต่พระองค์ไม่เคยสาย..โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา..ไม่ต้องรอเป็นพันปีหรอก  เรื่องเล็กๆอย่างงี้รอแปบนึง พระเจ้ามาทันเวลาแน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย. 3:1-4   “ฝ่ายโมเสสที่กำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะ..ได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ (ซึ่งมีอีกชื่อ ว่า ภ.ซีนาย)   จากเจ้าชายอียิปต์..มากลายเป็นคนเลี้ยงแกะ  เรื่องอย่างงี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ น้าตุ๊กว่า คิดภาพไม่ออกหรอก..ว่ามันจะรู้สึกรันทดขนาดไหน  แต่ในความรันทดที่พระเจ้าหยิบยื่นให้..สิ่งนึงที่จะเกิดขึ้น คือ  “ความถ่อมใจ”  จุดนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้พร้อมกับงานรับใช้  เพราะความทุกข์ยากและปัญหาเป็นเครื่องมือเดียวที่จะสามารถขัดเกลาให้เราเข้มแข็งได้  ความสุขสบายมีแต่จะทำให้คนเสียนิสัย ขี้เกียจ เหยียดยาว เคยชินกับอะไรๆที่มันได้ดั่งใจตลอดเวลา  จริงมะ ดังนั้น เด็กๆจำไว้ว่าภาวะที่เป็นอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ..ไม่ใช่เวลาที่เรามีความทุกข์หรือปัญหา  แต่เป็นเวลาที่ทุกอย่างมันได้ดั่งใจไปหมด..ต่างหาก..ที่เราต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ      และ ตอนนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้กล้าหาญและเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฟาโรห์..และพร้อมจะเป็นผู้นำคนจำนวนมากในการใช้ชีวิตผ่านถิ่นทุรกันดาร..แต่ตอนนั้นโมเสสยังไม่รู้..   ข้อที่ 2 บอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระเจ้าปรากฎแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่กลางพุ่มไม้  โมเสสเลยแวะเข้าไปดูเพราะคิดว่า..ทำไมต้นไม้ที่มีไฟลุกขนาดนี้มันถึงไม่ไหม้  และเมื่อเดินเข้าไปพระเจ้าก็ตรัสเรียกเขาว่า “โมเสส โมเสส  แล้วโมเสสก็ตอบว่า ข้าพระองค์อยู่นี่” 
ดู อพย. 3:5-6  เมื่อโมเสสขานตอบพระเจ้าแล้ว “พระองค์ทรงบัญชาให้โมเสส”ถอดรองเท้าออก” ..ที่ตรงนั้นเป็นที่บริสุทธิ์..ทำไมถึงบริสุทธิ์เพราะขณะนั้นพระเจ้าทรงสถิตอยู่   ดังนั้น ที่ๆพระเจ้าทรงสถิตอยู่เราต้องให้ความเคารพยำเกรง    ทุกวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน  อยู่ในใจเรา  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสถิตอยู่ในขณะที่เรานมัสการพระองค์ด้วย  แล้วส่วนใหญ่เรานมัสการพระเจ้าที่ไหน..ที่โบสถ์   เพราะฉะนั้น คิดเอาเองละกัน..ว่าขณะที่เรามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าเนี่ย..เรามาด้วยท่าทีแบบไหน..แล้วก็แต่งตัวยังไง   คิดว่ามาหาเพื่อนหรือมาหาพระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  มาแบบชิลด์ๆหลับๆตื่นๆ นุ่งขาสั้น..รองเท้าแตะ  นั่งนมัสการก็ไขว่ห้าง  ล้วงกระเป๋า  หรือเราก้มศรีษะลงด้วยใจถ่อม  อะไรต่างๆเหล่านี้มันจะสำแดงให้เห็นถึงท่าทีในใจ..ว่าเราโฟกัสที่พระเจ้าแค่ไหน  (พวกเราโตแล้ว พูดหลายครั้งแล้ว  ถ้าโตไปกว่านี้ก็จะไม่มีใครเตือนแล้ว  แล้วท่าทีที่ไม่น่าดูต่างๆเหล่านี้ มันก็จะติดตัวเรากลายเป็นหนังสืออะไรไม่รู้..ซึ่งไม่ใช่หนังสือของพระคริสต์)  
ข้อที่ 6 บอกว่า  ”....เมื่อพระเจ้าเรียก..โมเสสขานรับทันที   และพระองค์ก็บอกโมเสสว่า  “ เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” ...ที่พระเจ้าแนะนำพระองค์เองอย่างนั้น  หมายความว่าโมเสสต้องรู้จักพระองค์  โมเสสต้องรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษตัวเอง   น้าตุ๊กเชื่อว่า นางโยเคเบด (แม่แท้ๆของโมเสส)..ต้องสอนโมเสสตั้งแต่เล็กให้รู้จักพระเจ้า  เพราะงั้น นี่คือ บทเรียนสำหรับเรา  ต่อไปเด็กๆมีครอบครัวสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสอนให้ลูกหลานของเรารู้จักพระเจ้า..สอนให้พวกเขาติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เมื่อโตขึ้น..เขาจะไวต่อเสียงเรียก..เสียงเตือนของพระองค์  ไม่ใช่พระเจ้าเตือนแล้ว..เตือนอีก ก็ยังไม่ได้ยิน แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือน้ำพระทัย..อันไหนไม่ใช่ อันนี้ ก็ฝากไว้ด้วย  เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวจนเกินไป  
ดู อพย.3:9-11 บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว  เพราะฉะนั้น จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์   เพื่อนำชนชาติอิสราเอล ออกจากอียิปต์" พอพระเจ้าตรัสอย่างนั้น..โมเสสว่าไง  “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า ซึ่งข้าพระองค์จะไปเฝ้าฟาโรห์และจะสามารถพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ได้”...น้าตุ๊กว่า โมเสสต้องตกใจอย่างแรง  ปฏิเสธพระเจ้าแทบไม่ทัน   
แล้ว..ถ้าพระเจ้าพูดกะเราอย่างนี้  เราจะตอบว่าไร..เลยพระองค์เจ้าข้าเชิญใช้มาเลย  ลูกจะทำตาม..รึเปล่า   ไม่หรอกน้าตุ๊กว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนโมเสสนี่แหละ   ข้อที่ 12 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และนี่จะเป็นหมายสำคัญ คือ ให้เจ้ารู้ว่า เจ้าทั้งหลายจะมาปรนนิบัติพระเจ้าบนภูเขานี้" ....พระเจ้าอุตส่าห์ยืนยันว่าพระองค์จะอยู่ด้วยตลอดเวลา  เพราะงั้น โมเสสไม่ต้องกลัว  แล้วพระองค์ก็ยืนยันล่วงหน้าด้วย..เชื่อเถอะ..ว่าเจ้ากับคนอิสราเอลทั้งหมดจะได้มานมัสการพระองค์ที่ภูเขานี้ คือ ซีนายหรือโฮเรบที่โมเสสกำลังคุยกับพระองค์อยู่ตอนนี้   คือ พูดง่ายๆว่าพระเจ้าบอกผลลัพธ์ล่วงหน้าเลย..ว่าโมเสสจะทำได้สำเร็จ  เพราะพระองค์จะอยู่ด้วย  แต่ถึงอย่างงั้น โมเสสก็ไม่ฟัง ..ยังมีข้ออ้าง
ดู อพย. 3:13-14  เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า `พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน และเขาจะพูดกับข้าพเจ้าว่า `พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร ข้าพระองค์จะกล่าวแก่เขาอย่างไร" ขนาดพระเจ้ายืนยันว่าโมเสสจะชนะเพราะพระองค์ทรงอยู่ด้วย..โมเสสก็ยังมีข้ออ้าง   เพราะคนอิยิปต์จะมีพระมากมาย  แล้วมนุษย์ก็ตั้งชื่อกันไปตามใจชอบ   เพราะงั้น ถ้าคนอิสราเอลถามว่าพระเจ้าที่ใช้โมเสสมามีชื่อว่าอะไร..โมเสสจะตอบพวกเขายัง     ข้อที่ 14  “พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" .....ความหมาย คือ เราก็เป็นเรานี่แหละ..ไม่ต้องมาตั้งชื่อให้  และคำว่า “ยาเวห์” ในภาษาฮีบรู ก็แปลว่า “เราเป็น”  เพราะงั้น รู้ไว้แค่นี้..พระเจ้า คือ พระเจ้า พระองค์ใหญ่จริงและไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือโปรโมทอะไรมากมาย  แต่มนุษย์ชอบมากที่จะใส่คาแร็คเตอร์ให้พระต่างๆตามจินตนาการและความพอใจของตัวเอง เช่น อยากได้ลูก..อยากอายุยืน..อยากรวย..อยากนู้น..อยากนี้ ก็ไปแต่งตั้งพระต่างๆขึ้นมา..เสร็จก็เรียกชื่อใส่คุณสมบัติตามที่ตัวเองต้องการ..แล้วก็เอามากราบไหว้บูชา   ดังนั้น พระเหล่านั้น..ล้วนแล้วแต่เป็นพระที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่พระเจ้า..ไม่ใช่  พระองค์คือผู้สร้าง..ไม่ใช่พระที่มนุษย์จะมาอุปโลกหรือกำหนดให้เป็นอะไร..ไปตามใจชอบ  พระองค์คือผู้ควบคุม..ไม่ใช่มนุษย์ พอเห็นภาพมั้ยคะ 
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ อพยพ ครั้งที่ 1

 ดู อพยพ 1:1-5  เด็กๆควรจะจำได้ว่าเรื่องนี้มันต่อจากหนังสือ”ปฐมกาล”  เรื่องราวของโยเซฟที่ถูกพี่ๆขายไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์  แต่สุดท้ายโยเซฟก็กลับได้ดีเป็นถึงอุปราช    เรื่องของโยเซฟก็เป็นความอัศจรรย์มาก  ถึงจะถูกขายไปเป็นทาส ถูกกลั่นแกล้งสารพัด แต่ อยู่ไปอยู่มาโยเซฟก็ได้เป็นใหญ่  จนในที่สุดเขาก็เอาพี่น้องเขาไปอยู่ด้วย..อย่างสุขสบายในประเทศอียิปต์  ตามที่หนังสืออพยพบันทึกไว้ในข้อนี้    คือ  รูเบน สิเมโอน เลวี และ ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน และ เบนยามิน ดาน และนัฟทาลี กาดและอาเชอร์  รวมโยเซฟด้วย ก็คือ 12 เผ่าของอิสราเอลที่เป็นลูกของ “ยาโคป”  หรือ อิสราเอล นั่นเอง   ข้อที่ 5 บอก “คนทั้งปวงที่เป็นเชื้อสายของยาโคบ..หมายถึงที่อพยพไปอยู่กับโยเซฟในประเทศอียิปต์ขณะนั้น..รวมทั้งสิ้นมีเจ็ดสิบคน” ....แต่เดี๋ยวเราจะเห็นว่า ตอนที่โมเสสพาคนอิสราเอลอพยพออกมา   พวกเขาน่าจะมีมากกว่าล้านคน 
ดู อพยพ 1:7-11  ข้อที่ 7 บอกว่า “ฝ่ายเชื้อสายของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น”...บางฉบับใช้คำว่า “ทวีเป็นประเทศ”  ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ายิวหรือคนอิสราเอล..มันเพิ่มจำนวนขึ้นเร็วและจริง ตรงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ปฐมกาล( 17:2 ) ว่า “...เราจะทวีพงศ์พันธ์ของเจ้าให้มากขึ้นอย่างยิ่ง”  และถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นจริงอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพราะไม่ว่าจะถูกพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์หลายต่อหลายครั้ง..ยิวสูญพันธ์ไปจากโลกมั้ย  ไม่เลย..ทุกวันนี้ยังลอยหน้าอยู่เต็มไปหมด..และก็อยู่ทั่วทุกมุมโลกด้วย   ดังนั้น ตลอดระยะเวลาประมาณ 400 ปี..นับจากที่โยเซฟพาพี่น้องของตัวเข้าไปอยู่ในอียิปต์จนถึงสมัยอพยพ   ยิวที่อยู่ในอียิปต์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลอย่างรวดเร็ว..จนแทบจะเป็นคนส่วนใหญ่ของอียิปต์แล้วก็ว่าได้..ในเวลานั้น   ข้อที่ 8 บอกว่า  “บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ ซึ่งมิได้รู้จักกับโยเซฟ”...เพราะมันคนละสมัยแล้ว  เขาจึงๆไม่รู้สึกปลื้มกับพวกยิวที่เป็นวงศ์วานของโยเซฟแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ..กษัตริย์องค์นี้รู้สึกระแวงด้วย  เพราะคนยิวหรือฮีบรูมันเพิ่มมากขึ้นเยอะเหลือเกิน..จนเต็มแคว้นโกเชนไปหมด  แล้วแคว้นโกเชนนี้ก็ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไนล์ขึ้นไปทางตอนเหนือ..นั่นหมายความว่ามันอยู่ติดกับชายแดนทางเหนือที่ห่างหูห่างตา..ความระแวงก็เลยเกิดขึ้น..  กษัตริย์ก็กังวลว่าถ้าศัตรูบุกมาทางชายแดนแถบนั้นเกิด ยิวไปร่วมมือกับศัตรู  พูดง่ายๆคิดกบฏต่ออียิปต์.. ฟาโรห์ก็อาจจะแพ้และต้องถูกชิงบัลลังก์ไป    เพราะฉะนั้น ตัดปัญหาซะ  ด้วยการกดขี่ยิวหรือฮีบรูไว้..ไม่ให้มีเวลาลืมตาอ้าปาก  ด้วยการให้ไปเป็นทาส  ข้อที่ 11 บอกว่า “เหตุฉะนั้น เขาจึงตั้งนายงานให้เบียดเบียนคนอิสราเอลด้วยงานตรากตรำ  ให้ไปสร้างเมืองเก็บสมบัติของฟาโรห์ คือเมืองปิธม และเมืองราอัมเสส”   
ดู อพยพ 1:12-16   แต่ยิ่งเบียดเบียนคนอิสราเอล  ก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ทุกข์ใจเนื่องด้วยชนชาติอิสราเอล”  ...คนอียิปต์กลุ้มใจกันมากเลย คนยิว มันจัครองประเทศแล้ว  ...เหมือนคริสเตียน  ยิ่งถูกข่มเหง..ถูกล้างผลาญ ก็ยิ่ง “มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน”  (แต่เราเป็นคริสเตียน..อย่าไปทำให้ใครเขากลุ้มใจนะคะ) จากสาวก 12 คน ผ่านไป 2 พันปี  เดี๋ยวนี้มีคนเชื่อพระเยซูมากกว่า 2 พันล้าน   นั่นหมายความว่า “ความทุกข์ยากลำบากและการถูกเบียดเบียน” มันฆ่าเราได้มั้ย..ไม่ได้  มันคือ เครื่องมืออันนึงที่จะฝึกฝนขัดเกลาให้เราเข้มแข็งและอยู่รอดมากขึ้นกว่าเดิม   เหมือนภาษิตอันหนึ่งที่กล่าวไว้ ว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าฉัน  จะทำให้ฉันเข้มแข็งกว่าเดิม”..อันนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง   ดังนั้น น้าตุ๊กเสียใจจริงๆที่ต้องบอกว่า”ความทุกข์ยากและปัญหามันจำเป็นมาก..สำหรับมนุษย์”  เพราะนั่น คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเติบโต..ฉลาด  และเข้มแข็ง  ข้อที่ 13 บอกว่า “..ชาวอียิปต์จึงบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา  เรียกว่างานหนักทุกชนิด..คนอียิปต์เหมาให้คนอิสราเอลทำหมดเลย   แค่นั้นยังไม่พอ  ฟาโรห์ยังสั่งให้หมอตำแย..ฆ่าเด็กชายชาวฮีบรูทุกคน  คือ พอคลอดออกมาถ้าเป็นผู้หญิงก็ปล่อยไป  แต่ถ้าเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้งเลย  เพราะสมัยก่อนเขาไม่นับผู้หญิง..เหมือนผู้หญิงมีค่าเท่ากับศูนย์  (เรื่องราวจะคล้ายๆที่เฮโรดสั่งฆ่าเด็กผู้ชาย ทุกคน  สมัยที่พระเยซูคริสต์เกิด เรื่องราวมันจะเป็นเหมือนภาพซ้อนๆกัน)   ข้อที่ 17 บอกว่า “แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามที่กษัตริย์อียิปต์สั่ง แต่ปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต” ...เห็นมั้ยคะ เหมือนไม่มีทางรอด..แต่ก็รอด  ถ้าเราเป็นของพระเจ้าไม่มีใครแตะต้องเราได้   และพระคำข้อนี้ สอนเราจริงๆ หมอทำคลอดสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งและยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เขาถึง “กล้า”..ที่จะขัดคำสั่งฟาโรห์    ข้อที่ 18  บอกว่า “..เมื่อกษัตริย์ถามนางผดุงครรภ์ว่า เหตุไฉนเจ้าจึงปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต”...นางผดุงครรภ์ตอบว่าไง  “เขามาไม่ทันเพราะหญิงฮีบรูคลอดง่าย..ไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว   คลอดก่อนเขาจะมาถึงทุกที”..เออ เอาสิ แบบนี้ฟาโรห์ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน    แค่ด้วยความต้องการที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือคุมกำเนิดพวกยิวให้ได้..สุดท้าย ฟาโรห์เลยสั่งให้เอาเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนไปทิ้งที่แม่น้ำ    
ดู อพยพ 2:1-5  “มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง  ซึ่งจริงๆคือ “โยเคเบด” กับ “อัมราม” พ่อแม่ของโมเสสนั่นเอง  เป็นชาวเลวี..ก็หมายถึงเป็นชาวยิวหรือฮีบรู  เพราะเลวี คือ ลูกคนหนึ่งของยาโคป..เป็นเผ่าหนึ่งของอิสราเอล  ข้อนี้ บอกว่า “ฝ่ายภรรยาได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเมื่อนางเห็นว่าทารกเป็นเด็กที่มีรูปงาม นางจึงซ่อนทารกไว้ถึงสามเดือน”....จริงๆก็ลูกอ่ะนะ  จะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็ฆ่าไม่ลง   หลังจากซ่อนลูกชายไว้นานถึงสามเดือน..ก็คิดว่าซ่อนต่อไปอีกไม่ได้   ก็เลยสานตะกร้ายาด้วยชันกับยางมะตอยอย่างดี..อันนี้ ต้องเรียกว่า ทำเรือลำเล็กๆดีกว่า  เพราะเรือที่แล่นตาม น.ไนล์ ในอียิปต์สมัยนั้นก็ทำด้วยวัสดุเดียวกันนี้..ไม่รั่ว ไม่ซึม น้ำเข้าไม่ได้  เสร็จก็เอาไปวางที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์   ที่ไปวางตรงกอปรือก็เพราะกอปรือมันจะสูงได้ถึง 16 ฟุต และสามารที่จะพรางตาและปกป้องตะกร้าไม่ให้ลอยไปตามน้ำเวลาที่มีเรือแล่นมา   ข้อที่ 4 บอกว่า “ส่วนพี่สาว ..ซึ่งก็คือ “มีเรียม” นั่นเอง  ก็คอยแอบมองอยู่ไกลๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง  
ดู อยพ. 2:5-8  ข้อที่ 5 บอกว่า “เมื่อธิดาฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ  ก็มองเห็นตะกร้าที่ต้องบอกว่า ”นางโยเคเบดเอาไปเสียบไว้ตรงกอปรือ”..ธิดาฟาโรห์ จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบมา”...น้าตุ๊กว่า อันนี้ไม่บังเอิญ  แม่ของโมเสสคงต้องรู้ว่า ธิดาฟาโรห์จะลงมาอาบน้ำที่ตรงนั่นเป็นประจำ และ เวลาประมาณนั้นด้วย  ถึงได้เอาลูกไปวางไว้ น่าจะตั้งใจให้เขาเห็นนะ   แล้วก็ได้ผลจริง เพราะเมื่อเปิดตะกร้าเจอเด็กน้อยน่ารัก  ลองคิดดู..ถ้าเป็นเราล่ะ  จะเอาไปเลี้ยงมั้ย..ในขณะที่ถ้าเรามีกำลังทุกอย่างพร้อมเหมือนเจ้าหญิงองค์นี้..เราก็คงจะทำอย่างเดียวกัน   
แต่ความจริง ก็คือ การที่จะให้หรือช่วยเหลือใครสักคน   เราไม่ควรรีรอหรืออยู่บนข้อจำกัดว่า “เดี๋ยวรอให้รวยกว่านี้ ..มีเวลามากกว่านี้  หรือพร้อมกว่านี้  เพราะมันอาจจะไม่มีวันนั้นนะคะ  และความจริงคือเราสามารถให้ได้ตลอดเวลา..ในสิ่งที่เรามี  อย่างน้อยให้ความรัก..ความเข้าใจ..รับฟัง..หนุนใจ..ให้กำลังใจ  ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วยเงินทองเสมอไป   ข้อที่ 6 บอกว่า “และเมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางจึงทรงกรุณาทารกนั้น..(กรุณา หมายถึงว่าเห็นแล้วก็รักเลย) และตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู” (เพราะหน้าตามันคงฟ้อง อ่ะนะ)        ...พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม”...พอเห็นสีหน้าสงสารของธิดาฟาโรห์   มีเรียมก็เสียบเข้ามาทันทีแล้วก็ถามแบบชี้ช่องให้ธิดาฟาโรห์หาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็ก   ซึ่งก็ได้ผล..ธิดาฟาโรห์บอกโอเค ! ไปหามาแล้วเดี๋ยวจะให้ค่าจ้าง..ปรากฎมีเรียมก็ไปเรียกแม่มาเลี้ยง (ลูกตัวเอง)..แถม ได้ค่าจ้าง  ถ้าเก็บไว้เลี้ยงเอง..ได้ตังส์มั้ย  มีแต่เสียตังส์  อันนี้ แฮปปี้ดีพร้อมเลย  แล้วเด็กๆจำไว้นะคะ พระเจ้ายังทรงทำการแบบนี้อยู่เสมอ..ในเวลาที่มืดมน  ขอแค่เราจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและกล้าที่จะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัย   เราจะรู้ได้ไงว่าอะไร คือ น้ำพระทัยพระเจ้า..เราก็ต้องอ่านพระคำภีร์..มาเรียนพระคัมภีร์  ฟังเทศน์  อธิฐาน  อยู่ติดกับพระองค์ให้มากที่สุด เอเมนมั้ย    อย่างแม่ของโมเสส  ก็รู้ว่าการฆ่าลูกของตัวเองเป็นสิ่งที่ผิด แต่ถ้าไม่ทำก็อาจต้องโดนฟาโรห์ฆ่า  และความโหดร้ายของฟาโรห์ก็ขึ้นชื่อมาก  แต่เพราะมีความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ทุกอย่าง  เขาถึงทำเรื่องนี้ด้วยความกล้าหาญ  และสุดท้าย พระเจ้าก็เปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี..ไม่ใช่แค่ดีเฉยๆ แต่ ดีซ้ำดีซ้อนแบบที่คาดไม่ถึงด้วย    เพราะไร.. 1 ลูกได้รอดชีวิต   2 เลี้ยงลูกตัวเองแบบได้ตังส์เพราะมีคนจ้าง   3 ความกล้าหาญของโยเคเบดทำให้ได้มีโมเสส “ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งต่อไปจะได้นำชนชาติของพระเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส  ซึ่งอันนี้ ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ที่สุด
ข้อที่ 10 บอกว่า “เมื่อเลี้ยงจนโต..พอรู้เรื่องแล้ว  นางเยโคเบด..ก็ถวายโมเสสคืนให้กับธิดาฟาโรห์  เจ้าหญิงก็ตั้งชื่อให้ว่า “โมเสส”..ซึ่งแปลว่าฉุดขึ้นมาจากน้ำ   เพราะเธอได้ช่วยโมเสสให้รอดตาย..ขึ้นจากแม่น้ำไนล์ 

อพย.2:11-14  วันนึงเมื่อโมเสสโตขึ้น  คำว่าโตขึ้นคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..น่าจะอายุประมาณ 40 ปี  และโมเสสก็รู้ดีว่า..จริงๆแล้วตัวเองไม่ได้เป็นคนอียิปต์..แต่เป็นคนฮีบรู   วันหนึ่งขณะที่เขาออกไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮีบรูพี่น้องชาติเดียวกัน..เขาก็ไปเจอคนอียิปต์กำลังทุบตีคนฮีบรู..ซึ่งคงจะเป็นการลงโทษตามปกติในการควบคุมชาวฮีบรูทำงานให้ได้ตามเป้า  แต่วันนั้น โมเสสทนดูไม่ได้เพราะในใจมันฟ้องอยู่ตลอดว่าคนฮีบรู คือ พี่น้องชาติเดียวกันกับเขา   ข้อที่ 12 บอกว่า พอเห็นชาวฮีบรูถูกทำร้ายโมเสสก็มองซ้ายมองขวา  พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นโมเสสเลยฆ่าคนอียิปต์ตาย”  แล้วก็ซ่อนศพเอาไว้ในทราย   พอวันรุ่งขึ้นโมเสสก็ออกไปอีก ทีนี้เจอคนฮีบรูทะเลาะกันเอง..ด้วยความหวังดีไม่อยากให้พี่น้องตีกันเอง  โมเสสเลยออกปากห้ามคนฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่  โมเสสบอกว่า ท่านทุบตีพี่น้องของตัวเองทำไม”..ตีกันเองทำไม  พี่น้องชาติเดียวกันมันควรจะรักกันสิ   พอได้ยินอย่างงั้นชาวฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่ก็ตอกกลับโมเสสว่า ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้านายมาตัดสินพวกเขา  ประมาณว่า..มายุ่งอะไรด้วย  ท่านอยากจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์ใช่มั้ย  แค่นั้นแหละ..โมเสสตกใจ..  สองคนนี้รู้เรื่องที่เขาฆ่าคนอียิปต์ได้ยังไง..แสดงว่า ป่านนี้คงรู้กันทั่วแล้วมั้งว่าเขาฆ่าคนอียิปต์ตาย  สุดท้าย โมเสสเลยหนี..อยู่ไม่ได้แล้วอียิปต์    และ จากนั้นเป็นต้นมาโมเสสจึงได้ไปอยู่ที่มีเดียน
  พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ