วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 3

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ (9-8-2009)

ยชว.9:3-6/9:12-15 ในข้อนี้คืออุบายของชาวเมืองกิเบโอนที่ปลอมตัวเป็นคนต่างชาติ มีการจัดฉากโดยเอาข้าวขึ้นรากับถุงเหล้าองุ่นขาดๆ มาตบตาคนอิสราเอล ทำทีว่าเดินทางมาจากแดนไกล คนอิสราเอลก็หลงกลยอมทำสัมพันธไมตรีด้วย พอมาจับได้ทีหลังว่าพวกนี้คือชาวคานาอัน ก็โกรธแต่ทำสัญญาไปแล้วก็เลยฆ่าพวกเขาไม่ได้ ทำได้แค่ยึดเมืองแล้วก็เกณฑ์คนให้เป็นกรรมกรรับใช้อิสราเอล ( แล้วทำไมถึงโดนหลอก ) ในข้อที่๑๔บอกว่าแต่พวกเขาหาได้ทูลขอการแนะนำจากพระเจ้าไม่ แปลว่าไม่ปรึกษาพระเจ้านั่นเอง ถึงได้โดนหลอก

ยชว.10:3-5 เมื่ออาโดนีเซเดกเจ้าเมืองเยรูซาเล็ม รู้ข่าวว่าอิสราเอลยึดเยรีโคและเมืองอัยได้แล้ว ก็ตกใจกลัวเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะถึงคิวของเยรูซาเล็มมั่งล่ะ และยิ่งได้ยินว่ากิเบโอนขอทำสัญญาไมตรีกับอิสราเอลแล้วก็ยิ่งตกใจ เพราะกิเบโอนเป็นเมืองใหญ่ๆกว่าเมืองอัย แถมชายฉกรรจ์เมืองนั้นก็ดูจะล่ำสันแข็งแรง แต่ก็ยังยอมสิโรราบต่ออิสราเอล แล้วเยรูซาเล็มจะเหลือมั๊ยเนี่ยเพราะเยรูซาเล็มอยู่ติดกับเมืองกิเบโอน.......คิดได้อย่างงั้นแล้ว อาโดนีเซเดกก็เลยไปหาพันธมิตรอีก๔เมือง รวมตัวกันจะยกไปตีกิเบโอน

ยชว.10:6-7 ฝ่ายเมืองกิเบโอนพอเห็นเจ้าเมืองทั้ง๕ตั้งค่ายจะมาตีเมืองของตน ก็วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากโยชูวา โยชูวาก็ยกกำลังทหารขึ้นไปช่วยกิเบโอนในฐานะที่เป็นพันธมิตร

ยชว.10:10-11 การศึกครั้งนี้พระเจ้าทรงกระทำให้ศัตรูของอิสราเอลแตกกระจายพ่ายแพ้ ทั้งด้วยคมหอก คมดาบและลูกเห็บไฟที่ตกจากฟ้า แต่ในข้อที่๑๑บอกว่าคนที่ตายด้วยลูกเห็บไฟที่ตกจากฟ้ามีมากกว่าคนที่ตายด้วยดาบ เด็กๆคิดว่าพระเจ้าจะทรงบันดาลให้ศัตรูของอิสราเอลมีอันเป็นไปหรือพ่ายแพ้โดยที่อิสราเอลไม่ต้องออกแรงสู้รบเลยได้มั๊ย ได้แน่นอน พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง หลายคนสงสัยเสมอว่าในเมื่อพระเจ้าใหญ่ที่สุดและควบคุมทุกอย่าง แล้วทำไมบางครั้งคนของพระองค์ยังต้องเผชิญกับปัญหาหรือความทุกข์ยาก

คำตอบที่ตอบมาหลายครั้งแล้วก็คือ เพื่อที่จิตวิญญาณของพวกเราจะได้เติบโตและแข็งแรง ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพราะพระองค์ทรงเตรียมเราให้เหมาะสมกับพระสิริของพระเยซูคริสต์ เตรียมเราให้บริสุทธิ์คู่ควรกับแผ่นดินสวรรค์ จริงอยู่ที่ความบกพร่องของเราทั้งหลายจะถูกรวบยอดไปในวันที่วิญญาณเราออกจากร่างหรือไม่ก็วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา (แล้วแต่ว่าวันไหนจะมาถึงก่อน) แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องจำไว้ก็คือ พระเจ้าจะทรงเว้นช่องว่างหรือขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไว้ให้เราทำเองเสมอ เพื่อพิสูจน์หัวใจของเรา แล้วถ้าเราเป็นของพระองค์จริงๆ เราจะยอมเผชิญทุกอย่างด้วยความรักที่มีต่อพระองค์อย่างท่วมท้นโดยไม่มีวันที่จะหลงหายหรือหันหลังให้กับพระองค์ แม้เวลาที่เราทุกข์ยากแสนสาหัสโดยที่เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เราก็จะบอกพระเจ้าว่า”พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเมตตา หรือแม้ลูกจะต้องล้มลงลูกก็คงไปไหนไม่รอด จะขอตายอยู่แทบพระบาทของพระองค์นี่แหละ” (เคยมั๊ย) ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่เพราะรักพระเจ้าจนหมดใจ ไม่เห็นว่าใครจะแทนพระองค์ได้

ยชว.10:12-14 ในข้อนี้บอกว่า โยชูวาทูลขอให้พระเจ้าหยุดดวงอาทิตย์ไว้ไม่ให้ตก และดวงจันทร์ไม่ให้ขึ้นมา คือให้หยุดช่วงกลางวันไว้เพื่อให้มีแสงสว่างจนกว่าอิสราเอลจะรบชนะศัตรู ในพระคำภีร์บันทึกไว้ว่า วันนั้นพระเจ้าทรงสดับฟังคำร้องทูลของเขา เป็นพิเศษจริงๆเพราะนับจากนั้นมาก็ไม่มีปรากฎการณ์แบบวันนั้นเกิดขึ้นอีกเลย

ชัยชนะในครั้งนั้นกับเหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์หยุดไปชั่วขณะนั้น สร้างความมั่นใจให้โยชูวามาก ทำให้อิสราเอลรบชนะเมืองแถบเนินเขารวมทั้งที่ราบตามฝั่งทะเลไปจนถึงคาร์เดชบาราเนียและเมืองกาซา เป็นอันว่าภาคใต้ของคานาอันก็ตกป็นของอิสราเอล

ยชว.11:1-5 เมื่อ“ยาบิน” เจ้าเมืองฮาโซร์ได้ยินถึงชัยชนะของอิสราเอล ที่สามารถยึดครองทั้งภาคกลางและภาคใต้ได้หมดแล้ว ก็กลัวมากรีบไปชวนเมืองต่างๆทางภาคเหนือให้มารวมกำลังกัน ปรากฎว่าคราวนี้มีทั้งกำลังคน ม้าศึก และรถรบจำนวนมากมายมหาศาล เรียกว่าอาวุธครบมือ ในพระคำภีร์บอกว่า ”มากเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล” เด็กๆลองนึกภาพดู ว่ากองทัพทางภาคเหนือนี้จะใหญ่โตขนาดไหน

ยชว.11:6-8 ถึงแม้กองทัพที่อิสราเอลต้องเผชิญจะใหญ่โตหรือน่ากลัวขนาดไหน พระเจ้าทรงตรัสเสริมกำลังโยชูวาว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ พระองค์จะทรงกระทำให้พวกเขาพ่ายแพ้แก่อิสราเอล” ฟังเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลัง แล้วเวลาที่เด็กๆต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย แล้วพระเจ้าทรงบอกว่า “อย่ากลัว” เรากลัวมั๊ย แล้วปัญหาที่เราคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้วสำหรับเรา มันมีอะไรมั่ง (สอบเข้าเรียนต่อไม่ได้ เอ็นทรานซ์ไม่ติด สัมภาษณ์งานแล้วเขาไม่รับ ขอวีซ่าแล้วไม่ผ่าน ขอเงินแล้วแม่ไม่ให้ อะไรอีก เดือนนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือแม้แต่ ไม่มีเงินจะผ่อนรถ ) แค่เนี้ย! เราก็คิดว่าฉันแย่แน่แล้ว แต่ไม่เคยแน่ซักที ทุกครั้งก็ผ่านได้ตลอด และถ้ามาเทียบกับกองทัพที่อิสราเอลต้องเผชิญ หรือการทดลองที่หลายๆบุคคลในพระคำภีร์ต้องพบเจอแล้ว เรื่องของเรามันไร้สาระไปเลย เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับปัญหาเล็กน้อย พอให้รำคาญใจ หรือปัญหาใหญ่ขนาดไหน ก็จงวางใจในพระเจ้า พระองค์บอกว่า “อย่ากลัว” ก็ไม่ต้องกลัว หรือถ้ายังกลัวอยู่นิดหน่อยก็ไม่เป็นไรแต่อย่าถึงกับสติแตกหรือเข้าขั้นวิตกจริตก็แล้วกัน เพราะนั่นก็เป็นบาป เพราะถ้าเรากลัว แปลว่า เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าจัดการได้ ไม่เชื่อว่าพระองค์เอาอยู่ ก็หมายถึงไม่เชื่อว่าพระเจ้าใหญ่ที่สุด (จริงมั๊ย)

ยชว.11:9 ในข้อนี้บอกว่าโยชูวา ได้กระทำตามพระบัญชาของพระเจ้า คือ ตัดเอ็นน่องม้าและเผารถรบทิ้งไป เพื่ออะไร ก็เพื่อที่อิสราเอลจะได้ไม่ไปยึดติดหรือคิดพึ่งพาในสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะพึ่งในพระคุณพระเจ้า เพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดมนุษย์ก็มักจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นตัววัดความเป็นมหาอำนาจทางการรบ คือถ้าใครมีม้าศึกหรือรถรบเยอะๆเนี่ยก็ดูจะเป็นต่อนะ เพราะส่วนใหญ่พวกที่มีแต่ตัวกับหัวใจก็มักจะสู้ไม่ได้ เรียกว่าถ้าเดินดินมากับมือเปล่าส่วนใหญ่ก็จะแพ้พวกที่มีม้าศึกกับรถรบ แต่ชัยชนะของอิสราเอลในครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “ถ้าเรามีพระเจ้า สิ่งอื่นใดบนโลกนี้หรือโลกไหนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”

ยชว.11:18-20 หลังจากที่อิสราเอลยึดดินแดนทางเหนือไว้ได้แล้ว ในพระคำภีร์ก็มีการบันทึกเขตแดนต่างๆที่อิสราเอลยึดได้ทั้งในสมัยโยชูวาและโมเสส พร้อมทั้งมีการยืนยันว่านอกจากชาวเมืองกิเบโอนแล้ว ไม่มีเมืองไหนที่ได้ทำสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลเลย ทุกเมืองแข็งข้อขึ้นต่อสู้กับอิสราเอล เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้พวกเขามีจิตใจแข็งกระด้าง เพื่ออะไร เพื่อที่เมืองเหล่านี้จะได้ถูกทำลายจนสิ้นซาก ตามพระวจนะของพระองค์ที่ตรัสไว้กับโมเสส

ยชว.11:22-23 ในข้อนี้ระบุว่า ยังมีคนคานาอันหลงเหลืออยู่กระจัดกระจายไปทั่ว ตามที่ราบเพราะพวกเขามีรถรบที่อิสราเอลทำลายได้ไม่หมด ซึ่งจริงๆแล้วเป็นหน้าที่ของแต่ละเผ่าที่ต้องกำจัดชาวคานาอันเหล่านี้ให้หมดไป แต่อิสราเอลดูเหมือนจะเบื่อหน่ายการทำสงคราม ก็เลยเหยียดยาวปล่อยปละละเลย ไม่ยอมกำจัดชาวคานาอันที่เหลืออยู่นี้ให้หมดไป จนพวกเขาแว้งกลับมาสร้างความเดือดร้อนให้อิสราเอลในเวลาต่อมา แล้วเราจะได้เรียนกันต่อไปในหนังสือผู้วินิจฉัย

ในบทที่๑๒จะเป็นการบันทึกรายชื่อกษัตริย์หรือเจ้าเมืองที่พ่ายแพ้แก่โมเสส และ โยชูวา ซึ่งรวมทั้งสิ้นคือ๓๑คน ทีนี้ เราจะข้ามไปดู

ตอนที่ ๓ ของหนังสือโยชูวา การจัดสรรแผ่นดิน

ยชว.14:1-3ในข้อนี้บอกว่า คนอิสราเอลใช้วิธีจับฉลากในการแบ่งที่ดินสำหรับคนอีกเก้าเผ่าครึ่ง เพราะอีกสองเผ่าครึ่งเลือกจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกไปแล้ว (ถูกมะ) การจับฉลากนี้ก็เพื่อให้รู้ว่าใครจะได้อยู่ตรงไหน ส่วนเนื้อที่จะได้มากหรือน้อยต้องคำนวณจากจำนวนของคนในเผ่า ว่ากันไปตามสัดส่วน แล้วในตอนท้ายพระคำภีร์ก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า คนเลวีนั้นไม่มีส่วนแบ่งในมรดกเหล่านี้ แต่พวกเขาจะอยู่กระจายกันไปตามหัวเมืองต่างๆของคนอิสราเอล เพื่อจะดูแลทั้งการดำเนินชีวิตและจิตวิญญาณของคนอิสราเอลได้อย่างทั่วถึง (คลาดสายตาไม่ได้ เหมือนพวกเราเลยเนอะ)

ยชว.14:4-5 ถึงเผ่าเลวีจะไม่มีส่วนแบ่งแต่อิสราเอลก็ยังมี๑๒เผ่าอยู่ดี เพราะพงศ์พันธ์โยเซฟ ได้รับสิทธิบุตรหัวปีแทนรูเบน ก็เลยได้รับมรดกสองเท่าของพี่น้อง คือนับเป็นสองเผ่า ตามจำนวนบุตรของโยเซฟ คือ เอฟราอิมกับมนัสเสห์

ยชว.14:12-14 คาเลบ คนเผ่ายูดาห์ได้มาหาโยชูวา ขอให้ยกแดนเทือกเขาที่มีคนอานาคอาศัยอยู่ให้เขา เพราะคาเลบมั่นใจว่าเขาจะสามารถกำจัดพวกยักษ์อานาคได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ในข้อที่ ๑๑ เขาบอกว่า”ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เหมือนตอนหนุ่มๆที่โมเสสใช้ให้ไปรบเมือ๔๕ปีก่อน” ต้องเรียกว่ามีความเชื่ออย่างเสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว เพราะตอนนี้คาเลบก็อายุปาเข้าไป๘๕ปีละ ยังอาสาจะกำจัดพวกยักษ์อานาค

ยชว.15:13-14 แล้วก็กำจัดได้จริงๆซะด้วย การกระทำของคาเลบในครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “เขามีความเชื่อในพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้เชื่อแค่คำพูด ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปหรือสังขารจะร่วงโรยขนาดไหน มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเชื่อของเขาเลย” เพราะอะไร น้าตุ๊กคิดว่าเพราะคาเลบต้องคิดได้จริงๆ (ไม่ได้พูดแต่ปาก) ว่าชัยชนะหรือความสำเร็จทุกอย่างนั้น “มันมาจากพระเจ้า” เพราะถ้าคิดว่ามาจากเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง มันคงจบไปแล้วล่ะ จบไปพร้อมกับอายุ๘๕แล้ว จะไม่จบได้ไงเพราะถ้าคาเลบคิดว่า “ฉันเก่ง” ตอนนี้ถ้าก้มลงมองตัวเองก็คงเห็นแต่กล้ามเหี่ยวๆ หรือหลังงอๆ ของตัวเอง แต่นี่คาเลบ forever young เพราะเขาเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง คาเลบจึงมองข้ามอุปสรรคหรือข้อจำกัดของมนุษย์ไปอย่างสนิทใจ

เพราะฉะนั้น ตรงจุดเนี้ยเด็กๆต้องเอาอย่างคาเลบ บอกตัวเองอยู่เสมอว่าชัยชนะและความสำเร็จทุกอย่างนั้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น และถ้าเราคิดได้อย่างงี้แล้ว มีอะไรที่เราทำไม่ได้มั๊ย (หมายถึงเรื่องดีๆนะ) ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ นอกจากพระเจ้าไม่อนุญาต แล้วถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตก็ขอบคุณพระองค์ เพราะมันต้องไม่เป็นผลดีกับชีวิตของเราแน่นอน เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เวลาที่มีปัญหาหรือความทุกข์ยากขอให้เด็กๆเปลี่ยนท่าทีในการเผชิญกับปัญหาซะใหม่! หลายครั้งที่เรายังรู้สึกล้มเหลวกับการเดินผ่านอุปสรรคต่างๆในชีวิตก็เพราะ “เราแค่อ้างว่า ฉันเชื่อพระเยซูแต่เราเผลอเข้าฟาดฟันกับปัญหาด้วยแรงกำลังของตัวเอง” มองปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วประเมินผลลัพธ์ด้วยปัจจัยทางโลกหรือทางเนื้อหนังที่ตัวเองมี เช่น ฉันไม่เก่ง ฉันแก่แล้ว ฉันจน ฉันไม่มีเส้น ไม่รู้จักคนใหญ่คนโต แต่น้าตุ๊กก็ไม่ได้หมายถึงการประเมินในจุดด้อยของตัวเองอย่างเดียวแต่หมายรวมถึงอย่าเย่อหยิ่งในจุดเด่นของตัวเองด้วย พูดง่ายๆว่าไม่รับผิดแต่ก็ไม่รับชอบด้วย เหมือนที่อ.เปาโลสอนไว้ในหนังสือ 2โครินธ์10:17 “ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ...” เพราะในเวลาที่เรามืดแปดด้านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และยอมจำนนต่อพระเจ้า พระองค์ก็ประทานความรอดให้เรา ต่อเมื่อเราได้รับความสำเร็จในสิ่งต่างๆแล้ว เรากลับอวดหรือแม้แต่แอบคิดว่าสมควรแล้วที่ฉันได้รับ เพราะฉันเป็นคนดี เพราะฉันสอบผ่าน เพราะฉันทำได้ เพราะฉันเป็นคนพิเศษ หรือเพราะฉันดีกว่าคนอื่น อย่างงี้ก็คงจะเรียกได้ว่าไม่รับผิดแต่จะรับชอบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยในความเป็นจริง เพราะถ้าคุณจะรับความชอบคุณก็ต้องรับผิดด้วย

สรุปแล้ว น้าตุ๊กอยากจะสอนเด็กๆว่าเวลาที่เราเข้าต่อสู้ในสงครามทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ ขอให้เด็กๆโฟกัสที่พระเจ้า เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยฤทธิ์อำนาจและชัยชนะของพระเยซูคริสต์ ภาวนาใคร่ครวญพระวจนะที่พระองค์ทรงบอกไว้ในพระคำภีร์ ท่องไว้เสมอว่า “ลูกอ่อนแรงแต่พระองค์ทรงฤทธิ์” I can’t , but you can. อย่าเพียงแต่พูดว่า ฉันเชื่อพระเยซูแต่ไม่ได้มอบทุกพื้นที่ชีวิตของเราให้กับพระองค์

หรือมีบางกรณีที่เลือกจะขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า “แค่บางเรื่อง” เพราะอะไร เพราะเราถูกสอนให้อธิฐานว่า “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” แล้วบางครั้งน้ำพระทัยของพระเจ้าก็ไม่โดนใจเรา เราก็เลยไม่ชอบทำเฉไฉหลีกเลี่ยงการอธิฐานบางเรื่องกับพระองค์เพราะ กลัวผลลัพธ์ที่ออกมา เลยหลอกตัวเองว่าไม่อยากรบกวนพระเจ้าแล้วไปหาทางแก้ปัญหาแบบวัดดวงเอาเอง (อย่าแปลกใจว่าทำไมน้าตุ๊กถึงคิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น คิดเอาเองหรือเปล่า) เปล่าเลย ที่ยกตัวอย่างมานี้ไม่ได้ว่าใคร น้าตุ๊กว่าตัวเอง ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆเคยเป็นอย่างงี้จริงๆ (นี่เอาตัวเองมาขายเลยนะเนี่ย) ซึ่งมันผิด เพราะพระเจ้าทรงเหมือนพ่อ แม่ อยากให้เราบอกเล่าเรื่องราวในทุกวัยวันของชีวิตแด่พระองค์ พ่อแม่อยากรู้ทุกความเคลื่อนไหวของลูกและพร้อมจะช่วยแก้ปัญหาให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ แต่ลูกเองที่บางทีไม่อยากเชื่อฟัง เหมือนที่บางครั้งเราไม่อธิฐานฝากปัญหาไว้กับพระเจ้า เพราะกลัวคำตอบจะไม่โดนใจ ซึ่งในจุดนี้เราต้องคิดเสียใหม่และวางใจให้ได้ในทุกเรื่อง..... น้าตุ๊กเองก็เติบโตช้ามาก (แต่ไม่เป็นไรขอให้โตก็แล้วกัน) จนทุกวันนี้ยิ่งเข้าใกล้พระเจ้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเรายังรู้น้อยจัง เพราะไม่ว่าจะดำเนินกับพระเจ้ามานานแค่ไหน พระเจ้ายังคงเมตตาสำแดงพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้เห็นอย่างไม่หยุดยั้ง พระคุณความงดงามของพระองค์สดใหม่ทุกวัน กี่เดือนกี่ปีพระเจ้าก็ทรงมีเซอร์ไพร้สตลอด ยังไม่เคยซักทีที่จะมั่นใจว่าฉันอ่านขาดหรือฉันรู้แล้ว แต่ไม่มีปัญหาในความไม่มั่นใจของตัวเองเพราะน้าตุ๊กมั่นใจในพระเจ้า ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จไม่ว่าจะต้องถูลู่ถูกังเราขนาดไหนก็ตาม และขอฤทธานุภาพแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราอวยพรสติปัญญาและเสริมเรี่ยวแรงกำลัง ให้เด็กๆทุกคนเต็มล้นด้วยความรู้และความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์
แล้วพบกันสัปดาห์หน้าค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น