วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 12

เรามาถึงบทที่ 16 แต่เด็กๆดู ท้ายบทที่ 15 สักนิดนึง ข้อที่ 32-39 เป็นอีกครั้งที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคน 4 พันคน ด้วยขนมปัง 7 ก้อน กับปลาเล็กๆอีก 2-3 ตัว  ที่น้าตุ๊กต้องเกริ่นไว้  เพราะบทต่อไปเราจะได้เห็นภาพนะคะ 
ดู มัทธิว 16:1-4  ณ.เวลานั้น พวกฟาริสีคงมีหน้าที่มาจับผิดพระเยซู  วันๆไม่ทำอะไร..คอยแต่จะมาลองภูมิพระเยซูตลอด  ข้อนี้ก็มาอีกละ..มาขอหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์   เลยโดนพระเยซูตอกกลับไป..”คนชาติชั่ว..คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น" 
.ถ้าไม่อยากถูกกล่าวโทษเหมือนพวกฟาริสี  เด็กๆต้องแสวงหาพระเจ้า..แสวงหาน้พระทัยของพระองค์นะคะ ไม่ใช่แสวงหาแต่หมายสำคัญหรืออัศจรรย์เหมือนพวกฟาริสี    ส่วนหมายสำคัญของโยนาห์ที่พระเยซูพูดถึง หมายถึง พระองค์เอง..ที่จะต้องสิ้นพระชนม์ไป 3 วัน แล้วจะกลับฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาใหม่  เหมือนที่โยนาห์ต้องไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน  และสิ่งนี้คือ หมายสำคัญที่สำคัญที่สุดอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา   เราไม่จำเป็นต้องเรียกหาอัศจรรย์อย่างอื่น  ถ้าจำเป็น..พระเจ้าจะประทานให้เราเอง..อย่าไปโฟกัสกับมัน   แต่คนส่วนใหญ่ชอบ..ชอบการอัศจรรย์  ชอบปาฏิหารย์อะไรก็ตาม..ที่มันจับต้องมองเห็น   เพราะมันตอบสนองเนื้อหนังได้ดี   แต่สิ่งเหล่านี้..ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์   และหมายสำคัญบนไม้กางเขนที่พระองค์จะประทานให้..ต้องใช้ ”ความเชื่อ” เท่านั้น    ความเชื่อ คือ อะไร  ในหนังสือฮีบรูบอก “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” ..เพราะ  ถ้าเห็นกันใสๆ คงไม่ต้องใช้ความเชื่อ  (ถูกมั๊ยคะ)    แต่ น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่าเราจะขอหมายสำคัญจากพระเจ้าไม่ได้เลย..ไม่ใช่  แต่เด็กๆต้องจำไว้ว่า ”อัศจรรย์ที่สำคัญที่สุด คือ ความรอด พระเจ้าได้ประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว”  ส่วนอย่างอื่นที่พระองค์ประทานให้ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้เป็นแค่ของแถมเล็กๆน้อยๆ   จะได้หรือไม่ได้..อย่าไปรู้สึกเยอะแยะหรือโฟกัสกับมันให้มากนัก
ดู มัทธิว 16:5-8   หลังจากที่พระเยซูจัดการพวกฟาริสีเสร็จ  พระองค์ก็ลงเรือข้ามฟากไปกับเหล่าสาวก  แล้วพระองค์ก็ออกปากเตือนเหล่าสาวกว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี"  พอได้ยินคำว่า”เชื้อ”  พวกสาวกก็ไปนึกถึงขนมปัง..คิดว่าพระเยซูพูดถึงขนมปังที่พวกเขาลืมเอาติดตัวมา   ข้อที่ พระองค์ตรัสว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่ได้เอาขนมปังมา  จำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านได้กินอิ่มกันทุกคน..แล้วยังเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง..12 กระบุง   กับขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น  ก็เก็บที่เหลือได้อีก 7 กระบุง”...แล้วจะกลัวอะไร..กับแค่ไม่มีเสบียง
เด็กๆ เห็นมั๊ยคะ..ว่าการอัศจรรย์ที่ทำให้เห็นจะๆอย่างงี้..ใช่ว่าได้แล้วมนุษย์จะอิ่ม..จะพอ  หรือจะหายกลัว  ไม่หายเลย..ทำให้เห็นกี่ครั้งๆก็ยังไม่เคยจะไว้ใจพระเจ้า   พอเจอปัญหาใหม่เข้าหน่อยก็ตกใจตาหูเหลือกเหมือนเดิม  ทั้งที่พระองค์ก็พาเราผ่านมาแล้วทุกครั้งพระองค์ก็ดูแลเราอย่างดี  อย่างพวกเราทุกวันนี้ก็เหมือนกัน  ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องไร  “เรื่องเงิน..ใช่มั๊ย”  แต่ถ้าคิดดูให้ดี เราจะเห็นว่าพระเจ้าก็เลี้ยงดูเราอย่างดี  กินอิ่ม นอนหลับทุกวัน  แล้วก็ยังมีเหลืออีกหลายกระบุงเหมือนคนอิสราเอลในสมัยนั้น  ต่างกันแค่ที่เหลือหลายกระบุงของเรามันกลายเป็น..เสื้อผ้าสวยๆ..กระเป๋า..รองเท้า..อาหารญี่ปุ่น..มือถือ..ไอแพด..ไอโฟน ไออะไรก็ตาม..มันก็คือของที่เหลือเกินจากความอิ่มบริบูรณ์ของเราทั้งนั้น  แต่พอเจอความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆเราก็ยัง ”กลัว”   ข้อที่ 12 บอกว่า “แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระเยซูไม่ได้พูดถึงขนมปัง แต่ให้ระวังจะติดเชื้อ      ”เชื้อ” ที่หมายถึงความบาปในคำสอนผิดเพี้ยนของพวกฟาริสีกับพวกสะดูสี”..
ดู มัทธิว 16:13-15 / 16-17  เมื่อพระเยซูเสด็จไปที่เมืองซีซารียา  พระองค์ก็ถามเหล่าสาวกว่า “คนที่นี่ เขาคิดว่าพระองค์เป็นใคร”  สาวกก็บอกว่า “บางคนคิดว่าพระองค์เป็นยอห์น  บางคนคิดว่าเป็นเอลียาห์  แล้วบางคนก็คิดว่าเป็นเยเรมีย์หรือไม่ก็เป็นผู้เผยพระวจนะคนนึงของพระเจ้า   พระเยซูฟังแล้วก็ถามเหล่าสาวกกลับไปว่า  “แล้วพวกท่าน คิดว่าเราเป็นใคร”...เปโตรตอบทันทีเลยว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”   พระเยซูฟังแล้วก็บอกเปโตรว่า  “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน  แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” คือ ที่เปโตรเชื่อว่าพระองค์เป็นพระตริสต์..เพราะพระเจ้าใส่ความเชื่อให้เขา   และนี่คือ รากฐานที่แท้จริงของความเชื่อ   คือ ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า   หลายครั้ง เรามีหน้าที่ประกาศก็จริง  แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับ “พระเจ้า”  แล้วการดำเนินในทางพระเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้เสมอ  เหมือนที่น้าตุ๊กได้ยกตัวอย่าง เปรียบเที่ยบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นไมโครชิพหรือรหัสลับระหว่างเรากับพระเจ้า   และถ้าเรามีสิ่งนี้แล้ว..ไม่ว่าพระเจ้าบอกอะไร..บอกยังไง..เราก็จะเชื่อและเข้าใจทั้งหมด  ในขณะที่คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่า..ทำไมคริสเตียนถึงมีความเชื่อได้ขนาดนั้น  ก็มันพิสูจน์ไม่ได้  เพราะตาก็ไม่เห็น..หูก็ไม่ได้ยิน   แต่เราเชื่อเพราะพระเจ้าเป็นผู้ใส่ความเชื่ออย่างมั่นใจให้กับเรา  เหมือนที่พระเยซูบอกเปโตร..ว่าผู้ที่ทำให้เปโตรเชื่อแน่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือ พระเจ้าพระบิดา..ไม่ใช่มนุษย์
ดู มัทธิว 16:21-22  ในข้อนี้ พระเยซูทรงเริ่มพูดถึงวาระที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์เปิดเผยแก่เหล่าสาวกว่า “พระองค์ จำเป็นต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม..”..เพื่ออะไร  เพื่อไปรับทุกข์ทรมานหลายประการ.. จนต้องถูกประหารชีวิต..”  เพราะงั้น...พวกสาวกถึงไม่เข้าใจ..ว่าถ้าไปแล้วต้องเจออย่างนี้..อย่างนี้ ไม่มีอะไรดีเลย  แล้วพระองค์จะไปทำไม !  และถ้าเป็นเรา..เราจะไปมั๊ย  ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องเจออะไรบ้าง..??? (พระองค์เจ้าข้า ถ้าจอกนี้เลื่อนได้หรือถึงเลื่อนไม่ได้  ก็ขอทรงเลื่อนไปจากข้าพระองค์เถิด..ใช่มั๊ย 555 แต่ ! พระเยซูไม่ใช่อย่างนั้น พอเปโตร  ท้วงพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เกิดเรื่องอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" ..พระเยซูมองหน้าเปโตรแล้วสวนกลับทันทีว่า “อ้ายซาตาน ! จงไปให้พ้น  เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา  เพราะเจ้าคิดอย่างคน  ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”..คิดอย่างคน ก็คือ  เท่าที่พระเยซูบอกมา..มันไม่เห็นมีอะไรดีเลย   จะดีได้ไง..ถ้าต้องไปเยรูซาเล็มแล้วต้องถูกเขากลั่นแกล้งทรมาน..จนตาย”  เออ ถ้าบอกว่าไปแล้ว เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างดี  ปรนนิบัติพัดวี..เตรียมสำรับสุดพิเศษเพื่อพระองค์..หรือเชิญให้นั่งบนบัลลังก์..อะไรต่างๆ ก็ค่อยฟังดูเข้าท่าหน่อย..ในสายตาของเปโตร   “...แต่พระเยซูบอกว่า..ถ้าคิดแบบนี้ มันคือ คิดแบบมนุษย์ เพราะตัดสินทุกอย่างด้วยสิ่งที่ตามองเห็น  ซึ่งมันเป็นทางที่ตรงข้ามกับทางของพระเจ้า   
ดู มัทธิว 16:24-25  ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา”..เอาชนะตนเอง  หมายถึง  “ปฏิเสธตัวเอง”..ทิ้งตัวตน..ทิ้งความคิดสติปัญญา..ความปรารถนา  และรวมถึงอีโก้ทั้งหมดทั้งมวลของตัวเอง   “และรับกางเขนของตนแบกตามเรามา..” มอบถวายให้พระคริสต์เข้าครอบครองทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ  (ทำยาก..แต่ทำได้นะคะ)    
ข้อที่ 25 บอก..”เพราะผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต..”  เนื่องจาก คริสเตียนหรือผู้ที่เชื่อพระเยซูในสมัยนั้นจะถูกข่มเหงอย่างหนัก..คริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย  หลายคนเลยยอมที่จะปฏิเสธพระเยซูเพื่อรักษาชีวิตไว้  นี่คือ ความหมายที่พระเยซูพูดถึงในข้อนี้  “..ใครก็ตามยอมปฏิเสธพระองค์เพื่อเอาชีวิตรอด  คนนั้นจะต้องเสียชีวิตหรือตายฝ่ายวิญญาณ  “..แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด” ..ถึงต้องถูกฆ่าตาย  แต่วิญญาณเขาจะรอด..ได้รับชีวิตนิรันดร์  (ตัวตายจริงแต่วิญญาณไม่ตาย) 
ดู มัทธิว 16:26-28  “..เพราะถ้าเราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน มันจะมีประโยชน์อะไร..เราจะเอาอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของเรากลับคืนมา  (เอาบ้านไปแลก..แลกได้มั๊ย  เอาเงินไปซื้อ..พระเจ้าขายรึเปล่า  พระเจ้าไม่ขายหรอก)    ข้อที่ 27 บอกว่า “เหตุว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์.. เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการกระทำของตน”....ความรอด ขึ้นอยู่กับพระบุตร คือ ”พระเยซูคริสต์”ท่านั้น  แล้วเราจะได้รู้กันในวันที่พระองค์เสด็จมาพิพากษา..ว่าใครจะ          ”รอด”..หรือ ”ไม่รอด” และได้บำเน็จกันมากน้อยแค่ไหน พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ประทานให้..ตามการกระทำของเรา    ข้อที่ 28 บอกว่า “...เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของท่าน”  ...พวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ คำว่า”ที่นี่” น้าตุ๊กว่า..พระเยซูหมายถึง”แผ่นดินโลก” ทั้งหมด   ดังนั้น ความหมายในข้อนี้ ก็คือ หลายคนที่ไม่เชื่อพระเยซู..เขาอาจจะคิดว่ามนุษย์มีแค่เพียงการ ตายฝ่ายร่างกาย..ไม่มีใครไม่ตาย  ตายแล้วก็จบ..หรืออะไรต่างๆ  แต่ พระเยซูยืนยันว่า นั่นไม่ใช่..ถ้าตายแต่ตัว..แค่นั้น ยังไม่เรียกว่า”รู้รสของความตาย”..นั่นมันยังเรื่องเล็กมาก  เพราะการตายฝ่ายร่างกายมันเป็นแค่”จุดเริ่มต้น” ของนิรันดร์กาล  และในวันที่พระองค์เสด็จมา..คนเหล่านั้นจะได้รู้ซึ้งว่า..ที่ต้องตายจริงๆ คือ “ตายฝ่ายวิญญาณ” นั้น..รสชาดมันเป็นยังไง..มันน่ากลัวขนาดไหน
บทที่ 17  ....ข้อที่ 14 บอกว่า.. มีชายคนนึงมาหาพระเยซู  เพราะลูกของเขาเป็นโรคลมบ้าหมู  ต้องอยู่อย่างทุกข์ยากลำบากเพราะจะเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันบ่อยๆ   ผู้ชายคนนี้บอกพระเยซูว่า”เขาเคยพาลูกมาหาพวกสาวกของพระองค์แล้ว  แต่ ! สาวกของพระองค์รักษา..ไม่หาย   เรามาดูว่าพระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ตอบว่าไง
ดู มัทธิว 17:17-18  “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว..”..ความจริง คือ เราทุกคนอยู่ในยุคที่ขาดความเชื่อ..ยุคที่มนุษย์ยังเชื่อฟังพระเจ้า คือ ยุคก่อนที่อาดามกับเอวาจะทำความบาป  หลังจากนั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..ก็เป็นยุคที่มนุษย์ขาดความเชื่อในพระเจ้าและหันไปเชื่อ”ตัวเอง” หรือ ไม่ก็เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง  ทั้ง..เชื่อความคิดตัวเอง  เชื่อการตัดสินใจ..ในวิจารณญาณหรือแม้แต่ความสามารถของตัวเอง  ซึ่ง..จุดนี้แหละ ที่ทำให้มนุษย์มักล้มเหลวในกิจการทุกอย่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ล้มเหลวในความเชื่อวางใจที่ควรมีต่อพระเจ้าอย่างเต็มร้อย”  หลายครั้ง ก็เลยทำการอัศจรรย์..ไม่ได้  ไล่ผี..ผีก็ไม่ไป  รักษาคนเจ็บก็ไม่หาย  อธิฐานอะไร..ก็ไม่เกิดผล  ทั้งที่ พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจให้กับเราแล้วในพระนามพระเยซู   แต่ ! ข้อนี้ บอกว่า สาวกของพระองค์ก็ล้มเหลวในการรักษาคนป่วย  และหลายครั้ง เราเองก็ล้มเหลวในการธิฐานเหมือนกัน..ใช่หรือไม่   แล้วมันเพราะอะไร..???   
ดู มัทธิว 17:19-20  ข้อที่ 20 พระเยซูตรัสว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ  ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า `จงเลื่อนจากที่นี่ไป' มันก็จะเลื่อน”...แล้วเราคิดว่าเรามีมั๊ย..ความเชื่อแค่เมล็ดพันธ์ผักกาด  หรือเมล็ดมัสตาร์ด  ถ้านึกไม่ออก.. เม็ดแมงลักก็ได้   ถ้าเรายืนยันว่าเรามีความเชื่อไม่น้อยกว่าเมล็ดพันธ์นั้น   พระเยซูบอก แค่นั้นก็พอแล้ว..ที่จะสามารถทำการใหญ่ได้..จะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเราเลย   เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่อธิฐานแล้วพระเจ้าไม่ตอบ  ไล่ผี..มันก็ไม่ไป  ขออะไร..ก็ไม่เคยได้  ทั้งที่เราแน่ใจว่าเรามีความเชื่อ..(ไม่น้อยกว่าเมล็ดผักกาด)  แสดงว่า..ต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับ”ท่าทีในใจของเรา”  มันมีกฎเหล็ก 2 ข้อที่เราต้องจำไว้  ในการอธิฐานทูลขอสิ่งใดกับพระเจ้าหรือเมื่อเราจะใช้ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด  คือ...
1.เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเยซู  (แบบสนิทสนม หรือที่เราเรียกว่า คิดสนิทกับพระองค์)   ไม่ใช่ว่า  ส่วนใหญ่วันทั้งวันและทุกๆวัน.. เราไม่เคยอธิฐานเลย  วันๆมีแต่เรื่องอื่นอยู่ในหัว  วันอาทิตย์แม่บังคับให้มาโบสถ์..ก็มาไปงั้นๆแหละ ไม่ได้เคยอยากจะเรียนรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น  แต่เมื่อวันนึง เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เช่น จะถูกไล่ออกจากงาน  ไม่รู้จะทำไง..จำได้ว่าเขาบอกให้อธิฐาน..ก็เอาเลย  พระเจ้าช่วยลูกด้วย  อย่าให้เขาไล่ออกเลย  หรือไม่ก็ของานใหม่ที่ดีกว่า  เอาให้ได้เงินมากกว่าเดิมเยอะๆ เสร็จแล้วก็..”ในนามพระเยซู”อาเมน..แบบนี้ คิดว่าจะได้มั๊ย..พระเจ้าจะตอบมั๊ย  ตอบค่ะ..ตอบว่า  “ลองตกงาน..อดข้าวไปซักพักก่อน..ดีมั๊ยลูก เผื่อจะได้คิดถึงพ่อให้มากขึ้น..อยากใกล้ชิดพระเจ้าให้มากกว่านี้  หรือ..
อีกกรณีที่หนักกว่า..ในการที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเยซู คือ ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว แต่! ไม่รับพระเยซู..ปฏิเสธพระองค์  แต่พอเจอสถานการณ์คับขันแล้วไม่มีใครช่วย  พระที่ตัวเองนับถือ..ก็เรียกหาจนหมดแล้ว..แต่ ! ไม่มีใครช่วยได้   นึกได้ว่ายังมีพระเยซู..เห็นเขาเคยบอกว่าช่วยได้ทุกอย่าง  ตอนนั้น..ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ ลองดูหน่อยก็ได้  ลองเรียกให้ช่วยซิ..เผื่อจะช่วยได้  คิดว่าพระเยซูจะช่วยมั๊ย..คนแบบนี้  พระองค์จะบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย”  เพราะในเวลาที่สบายดี..คุณไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์กับพระเยซู   คุณเล่นเอาพระองค์เก็บไว้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน  (Emergency only) แต่ บังเอิญพระองค์ไม่ได้อยู่แผนกนั้น ..”และ”..ไม่รับเคสฉุกเฉิน !!!  รับแต่สมาชิกถาวรนิรันดร์..ก็เลยไม่ช่วย หรือ ไม่ตอบคำอธิฐานของคนแบบนั้น
กฎเหล็ก ข้อที่ 2 ในการอธิฐานคือ “เราทูลขอด้วยหัวใจที่พึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า”..ไม่ใช่ เครดิตร์ของตัวเอง..อย่าหลงประเด็นเด็ดขาด อย่างเช่น  ในการอธิฐานให้คนป่วย..เราก็ต้องทูลขอด้วยความเชื่อ..”พระเจ้ารักษาได้แน่นอน” ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะให้คนๆนั้นหาย..เขาจะหายได้แน่..ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรงแค่ไหน..พระเจ้ารักษาได้  แต่! ถ้าไม่หาย..นั่นก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า..ไม่เกี่ยวกับเรา  แต่ปัญหาก็คือ หลายครั้งเวลาอธิฐาน  บางคนชอบคิดว่า..”ถ้าเรามาอธิฐานให้..แล้วเขาไม่หาย  นี่ เราคงเสียเครดิตร์แย่เลย” น้าตุ๊กถามว่า ถ้าคิดแบบนี้..ตกลงเราคิดว่าใครเป็นคนรักษา..”ตัวเราเอง”..ใช่มั๊ย  เพราะท่าทีของเรา คือ ..ถ้าเขาหาย..เราก็ได้หน้า  ถ้าเขาไม่หาย..เราก็เสียหน้า  แบบนี้เราโฟกัสที่ตัวเอง..เราไม่โฟกัสที่พระเจ้าจริงๆ  เพราะงั้น พระเจ้าไม่ช่วยหรอกค่ะ เพราะเรามีท่าทีในใจที่ไม่ถูกต้อง

ข้อที่ 18 บอกว่า “พระเยซูจึงตรัสสำทับผีนั้น มันก็ออกจากเขา เด็กก็หายเป็นปกติ” ...พระเยซูพูดคำเดียว  ผีก็หนีไปทันที..เด็กคนนั้นก็หายทันที  เด็กๆต้องเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์และสิทธิอำนาจของพระเยซูให้ชัดเจนก่อน  พระคำภีร์ไม่เคยบอกว่าพระเยซูต้องทำพิธีกรรมหรือออกแรงอะไรมากมาย..ในเวลาที่พระองค์จะทำการอัศจรรย์   แต่ทุกครั้งพระองค์แค่ “ตรัส” หรือไม่ก็อธิฐาน..ทุกอย่างก็เกิดขึ้น..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น  พระเยซูแค่”พูด” คำเดียว..ตามภาษาของพระองค์   และเราก็เช่นกัน..ที่ต้องทำเหมือนพระเยซู..ในเวลาอธิฐาน  เราก็พูดภาษาของเรา ถ้าเราเป็นคนไทย..ก็พูดภาษาไทย คนจีน..ก็อธิฐานภาษาจีน พระเจ้าเข้าใจมั๊ย..เข้าใจแน่นอนค่ะ พระองค์ยิ่งใหญ่พอ..ที่จะเข้าใจในทุกภาษา เพราะแท้จริง สิ่งที่หลั่งไหล"จากหัวใจ"ของมนุษย์ต่างหาก..ที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะฟัง เราเกิดมาพูดภาษาอะไร..ก็คุยกับพระเจ้าตามภาษาของเรา..ที่เรารู้เรื่อง..ที่เราเข้าใจ ไม่ต้อง..ไปพยายามสรรหาท่องสวดหรืออธิฐานในภาษาที่เราเอง..ก็ฟังไม่รู้เรื่อง  เช่น ถ้าเรารู้แค่ภาษาไทย..ก็ไม่ต้องไปพยายามอธิฐานเป็นภาษาบาลีหรือภาษาอังกฤษ  เพราะส่วนตัวน้าตุ๊กเชื่อว่า..ถ้อยคำที่เราเองยังไม่เข้าใจ..จะออกมาจากใจด้วยความเต็มล้น..มันเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้น ภาษาแปลกๆเท่านั้น  เพราะภาษแปลกๆเป็นสิ่งที่ไหลออกจาก"วิญญาณ"   เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานไว้คู่กับคริสเตียน และภาษาแปลกๆก็ช่วยรักษา เยียวยา ได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ)  อันนี้ ต่อไปถ้าเด็กติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น  เราก็จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น
     พยกันสัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 11

      พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารประชาชน 5000 คน
ดู มัทธิว 14:15-16   ข้อที่ 14 บอกว่า “เมื่อพระเยซูเห็นประชาชนที่ศรัทธาในพระองค์ติดตามพระองค์มา  พระองค์ก็ทรงสงสารคนเหล่านั้น ..จึงได้รักษาคนป่วยให้หาย”  ความหมายฝ่ายวิญญาณของข้อนี้ ก็คือ มนุษย์ทุกคนป่วยฝ่ายวิญญาณเพราะติดเชื้อบาป   และพระเยซูก็ทรงสงสารพวกเราทุกคน..พระองค์มองเห็นจิตวิญญาณที่ไม่หลุดพ้นจากความบาปและความตายของมนุษย์    พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์..มาตายแทน..เพื่อที่เราทุกคนจะได้รับความรอด    ข้อที่ 15  บอกว่า “ครั้นเวลาเย็นสาวกของพระองค์มาทูลว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้ก็เย็นมากแล้ว ขอพระองค์ให้ประชาชนต่างคนต่างไปซื้ออาหารกินกันเองตามหมู่บ้าน”    แต่ พระเยซูบอกว่า..”ไม่ต้อง   พวกท่านจงเลี้ยงคนเหล่านั้น”  สาวกฟังแล้วก็งง..เพราะพวกเขามีแค่ขนมปัง 5 ก้อน  กับปลา 2 ตัว   แล้วจะไปเลี้ยงคนมากมายขนาดนั้นได้ยังไง  กินเองก็ยังไม่รู้จะพอรึเปล่าเลย    เมื่อสาวกพูดอย่างนั้น  พระเยซูตอบว่า...
ดู มัทธิว 14:18-20   “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด  แล้วพระองค์ก็สั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลง  เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว..ก็ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ โมทนาพระคุณ และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง” ...ปรากฎว่าทั้งกว่า 5000 คนนั้นได้กินอิ่มกันทั่วหน้า   แถมยังมีเหลือเก็บไว้ได้อีก 12 กระบุงเต็มๆ    มันเป็นไปได้ยังไง..แต่มันก็เป็นไปแล้ว  และยังคงเป็นอยู่จนทุกวันนี้     
ลองพิจารณาดูดีๆว่า พระคำข้อนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเรา   ข้อนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันกับเราว่า  “การดำเนินชีวิตของคริสเตียน   ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตามองเห็น”  เพราะถ้าเราเชื่อตามสิ่งที่ตามองเห็น   ปลา 2 ตัว กับ ขนมปัง 5 ก้อน..มันจะสามารถเลี้ยงคนหลายพันให้อิ่มกันอย่างทั่วหน้าได้มั๊ย..ไม่มีทาง   และถึงแม้ ทุกวันนี้ผ่านมาแล้ว 2 พันกว่าปี  พระเยซูก็ยังเลี้ยงดูผู้คนของพระองค์แบบนี้อยู่   การอัศจรรย์ในลักษณะเดียวกันนี้ยังคงเกิดขึ้นกับคริสเตียน  ต่างกันที่รูปแบบ..ที่เปลี่ยนไปตามเวลา   ถึงพระเยซูจะไม่ได้อยู่เสกอาหารให้เราเห็นจะๆแบบหน้าต่อหน้า   แต่พระองค์ก็มีวิธีที่จะส่งความช่วยเหลือให้เราในแบบคาดไม่ถึง..เสมอ  เช่น  บางคนอาจจะตกงาน..ในกระเป๋าแทบไม่มีเงินเลย   จิตใจก็อ่อนระอาหมดเรี่ยวหมดแรง   แต่อยู่ดีๆก็มีคนมาเลี้ยงข้าว  หรือเอาเงินมาให้  หรือไม่ก็จะต้องมีผู้ให้การช่วยเหลือ..แบบไม่คาดฝัน..อะไรต่างๆประมาณนี้   มันเป็นไปได้ทั้งหมด   แต่ ! สิ่งนึงที่เราต้องจำไว้ ก็คือ เราต้องไม่ไปจำกัดวิธีการของพระเจ้าด้วยสติปัญญาของเรา   เพราะพระองค์มีวิธีการมากมายเกินกว่าที่สติปัญญาของเราจะคาดคิด   และทุกอย่างเป็นไปได้เสมอสำหรับพระองค์  เอเมนมั๊ย
ดู มัทธิว 14:26-29  พระเยซูทรงเดินอยู่บนทะเล  แต่ เมื่อเหล่าสาวกเห็นก็ตกใจกลัว..นึกว่าผี ! เพราะตอนนั้น ดึกมากแล้ว ประมาณตี 3 ตี 4 พระเยซูก็บอกว่า..”ไม่ต้องตกใจ  เป็นพระองค์เอง”   เปโตรเลยบอกว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” ....ฟังดูตอนนี้ เหมือนจะมีความเชื่อมากนะ..เปโตร  เพราะคำขอของเขา  มันสำแดงว่า..เขาเชื่อว่า พระเยซูทำได้ทุกอย่าง   ข้อที่ 29  พระเยซูตอบเปโตรว่า “มาเถิด”   ..มาเลย  ประมาณนั้น   เปโตรก็เอาเลย..จัดแจงลงจากเรือแล้วเดินบนน้ำไปหาพระเยซู..แล้วก็เดินได้จริงๆ   ข้อที่ 30 บอกว่า “แต่เมื่อเปโตรเห็นลมพัดแรงก็  ”กลัว”.. เด็กๆจำไว้เลยนะคะ  เมื่อไรที่มีคำว่า     ”กลัว” แปลว่าเราไม่เชื่อใจพระเจ้า   ถ้าเรามีความเชื่อ..เราต้อง“ไม่กลัว” เพราะเราจะแน่ใจว่าพระองค์เอาอยู่..   เพราะงั้น ถ้า”กลัว” มันจะแปลได้อีกอย่างว่าเรา..”ไม่ไว้ใจ..ไม่เชื่อว่าพระเจ้าควบคุมแล้วก็จัดการได้ทุกอย่าง”   ตอนแรกเปโตรเดินบนน้ำได้เพราะเขามีความเชื่อ..ว่าพระเยซูทำได้ทุกอย่าง  แต่พอเจอลมพัดแรงเข้าหน่อย  เขาก็กลัว..แล้วก็จมลง   เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากจมเหมือนเปโตร..ก็จงเชื่อให้ตลอดลอดฝั่ง  จะเจอปัญหาหรือความทุกข์ยาก..ก็ต้องหนักแน่นไว้ในความเชื่อ..ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่  พระองค์ดูแลเราได้แน่นอน   อย่าเป็นคนประเภทที่ฝนตก  ฟ้าร้อง  น้ำท่วมนิดหน่อยก็ตกใจกลัวหรือเอาแต่บ่น..อารมณ์เสียใส่คนรอบข้าง..ไม่เอานะคะ  เพราะถ้าเป็นยังงั้นแปลว่าเราไม่มีความเชื่อ   
ดู มัทธิว 14:30-32    และขณะที่เปโตรกำลังจะจมก็ร้องว่า "พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย"  ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสกับเขาว่า "โอ คนมีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม”...สงสัยทำไม   (หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจชัดเจน..ว่าทำไม ความสงสัยมันสร้างปัญหาให้เราได้ขนาดไหน )   
..หลายปีก่อนตอนที่สอนเรื่อง”ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด” พระคำภีร์บอกว่าให้เราสวมความรอดเป็นหมวกเหล็กโดยไม่ต้องสงสัย   น้าตุ๊ก ก็ยกตัวอย่างหนังเรื่องนึง..ที่ทำให้เด็กๆเห็นภาพความเสียหายที่เกิดจากความสงสัย..ได้อย่างชัดเจน  ” Saving Private Ryan “ ฉากส่วนใหญ่ของเรื่องนี้จะอยู่ในสนามรบ ทหารทุกคนจะแต่งเครื่องแบบเต็มยศพร้อมทั้ง “สวมหมวกเหล็ก” เพื่อป้องกันศีรษะให้ปลอดภัยจากกระสุนของฝ่ายตรงข้าม หนังเรื่องนี้เปิดฉากขึ้นด้วยการยิงถล่มกันของทั้งสองฝ่าย มีทหารมากมายตายและบาดเจ็บ ส่วนฉากที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ในช่วงที่ทหารทั้งสองฝ่ายยิงใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ภาพก็จับไปที่ทหารคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ แต่เพราะเขาสวมหมวกเหล็กป้องกันอยู่..เลยทำให้กระสุนแฉลบออกไป กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าไปในศีรษะของเขาได้  แต่ทหารคนนี้คงรู้สึกว่าตัวเองถูกยิงที่ศีรษะและไม่แน่ใจว่า เข้าหรือไม่เข้า ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดหมวกออก” แล้วเอามือลูบไปทั่วศีรษะเพื่อสำรวจหารอยกระสุน (ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มี) ในขณะที่ หมวกถูกเปิดขึ้นด้วยความสงสัย ของเจ้าตัว ทันใดนั้น ก็มีกระสุนอีกนัดของฝ่ายตรงข้ามที่วิ่งเข้ามาเจาะทะลุศีรษะของเขา.....อีกที และครั้งนี้...ไม่พลาดและไม่มีหมวกเหล็ก..ตายคาที่   ดูฉากนี้แล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ..เอ็งจะ สงสัยทำไม”  ใส่หมวกไว้ก็ดีอยู่แล้ว 
...เหมือนเปโตร  เดินบนน้ำด้วยความเชื่อมันก็ดีอยู่แล้ว..จะสงสัยทำไม   ถึงพายุจะพัดแรงแค่ไหน  ถ้าพระเยซูอยู่ด้วย..จะกลัวอะไร    ข้อที่ 31 บอกว่า “พอเปโตรกำลังจะจม  เขาก็ร้องเรียกพระเยซูให้ช่วย  พระองค์ก็ดึงเขาขึ้นมาบนเรือ..ลมก็สงบลง  
ดู มัทธิว 15:10-12   ในบริบทก่อนหน้านี้  พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีได้มากล่าวโทษพระเยซู..หาว่าพวกสาวกไม่ยอมล้างมือก่อนกินข้าว ..คือ มาหาเรื่องจับผิดเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์เหมือนเดิม   พระเยซูก็ตอบกลับไป..ในการที่พวกเขาชอบบิดเบือนพระบัญญัติข้อสำคัญๆ    แล้วก็เอาแต่เคร่งครัดในข้อเล็กๆน้อยๆที่เป็นแต่เรื่องเปลือกนอก  หรือไม่ก็เป็นประเพณีที่ตั้งกันขึ้นมาเอง     จากนั้น ในข้อนี้ พระองค์ก็สอนประชาชนว่า  “..มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”  ...สิ่งที่เข้าไปในปาก  คือ อะไรคะ..ก็อาหารทุกอย่างที่เรากินเข้าไป  พระเยซูบอกว่า..ไม่มีอะไรเลยที่กินแล้วจะสามารถทำให้เราเป็นมลทินได้    แต่การที่คนเราจะเป็นมลทินนั้น...มันเป็นเรื่องของจิตใจ การกินการอยู่ที่เป็นรูปแบบภายนอก..มันเป็นเรื่องที่รองลงมา  แต่ฟังอย่างนี้แล้วไม่ได้หมายความว่า ..โอโห ! ต่อไปนี้ ฉันจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า..ไม่ได้นะคะ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าก็ล้อมเราไว้..จะกินอะไรก็ต้องนึกถึงสุขภาพด้วยเป็นสำคัญ    เพราะร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า..และเรามีหน้าที่ต้องดูแลวิหารนี้ให้ดี  และอย่าเลือกเอาถ้อยคำมาใช้หรือมาอ้างเพื่อทำตามใจตัวเองนะคะ
ดูต่อ มัทธิว  15:15-18  “..สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป”...มันมาทำให้ใครเดือดร้อนได้มั๊ย..ไม่ได้  อย่างมากมันก็แค่ทำให้คนๆนั้น ”เสียสุขภาพ”   แต่สิ่งที่เรากินมันไปทำร้ายคนอื่น..ไม่ได้   ข้อที่ 18  พระเยซูตรัสต่อไปว่า “..แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ  สิ่งนั้นแหละที่สามารถทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”  ..สิ่งที่ออกจากปากเราก็คือ “คำพูด” และ พระเยซูยืนยันว่าคำพูดของคนเราจะออกมาจากใจ    เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบพูดเรื่อยเปื่อย  พูดส่อเสียด กระแนะกระแหนคนอื่นจนเป็นนิสัย   แล้วก็อ้างว่า..พูดเล่นๆ..ไม่ได้คิดอะไร”  ต่อไปนี้ก็ขอให้รู้ไว้ว่า  นั่นเป็นการสำแดงธาตุแท้ที่อยู่ในหัวใจ  เพราะคำพูดแบบนั้นจริงๆแล้ว..มันต่อตรงมาจากใจ  โดยไม่ได้ถูกกลั่นกรองด้วยสมอง  จริงอย่างที่เขาอ้างว่า.."ไม่ได้คิดอะไร!!!" ดังนั้น น้าตุ๊กแนะนำว่า คิดก่อนเถอะค่ะ คิดให้เยอะๆ  ก่อนที่จะให้อะไรๆ..มันหลุดออกมาจากปากเรา   เพราะพระเจ้าบอกว่า “คำพูดซึ่งไม่เป็นสาระทุกคำเราต้องรับผิดชอบ”  และทุกคำพูดที่ไม่ดีหรือไม่สร้างารรค์..มันจะฟ้องความเป็นมลทินและหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ของเรา     ข้อที่ 19  บอกว่า “..ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท  นั้น..ล้วนเป็นสิ่งที่ที่ออกมาจากใจมนุษย์ทั้งสิ้น”   

ดู มัทธิว 15:22-24 / 25-28  หญิงชาวคานาอันคนนึง  มาขอให้พระเยซูช่วย..เพราะลูกสาวถูกผีสิง  แสดงว่า พระกิตติคุณของพระเยซูในขณะนั้น..เริ่มแผ่ขยายออกไป    ข้อที่ 22 บอก..หญิงคนนี้เป็นชาวคานาอัน  หมายความว่า เป็นต่างชาติ..ไม่ใช่อิสราเอล   และทีแรก พระเยซูก็เหมือนจะไม่สนใจผู้หญิงคนนี้นะ    พระองค์ตรัสว่า  “เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล    ข้อที่ 26  พระเยซูยังพูดอีกว่า “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร" ..เราคงจำได้ว่าพระเยซูเคยสอนคำอุปมาข้อนึงที่บอกว่า  “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร”    สุนัข หรือ สุกร ที่พระเยซูพูดถึง คือ คนที่ไม่เห็นค่าของข่าวประเสริฐ      คำพูดนี้ของพระเยซู อาจเป็นการลองใจ..ทดสอบดูว่าเธอมีความเชื่อจริงๆมั๊ย   และ ก็ เป็นที่น่าชื่นใจ  เพราะข้อที่ 27 เธอทูลตอบพระเยซูว่า “จริงพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน”  ผู้หญิงคนนี้..ยอม...ยอมรับว่าตัวเองเป็นสุนัข..เป็นคนไม่สำคัญ..เป็นสิ่งไม่มีค่า..และอาจอยู่นอกสายตาของพระเจ้า  แต่ ! ยังไง เธอก็ยังยืนยันจะเฝ้ารอขอเศษเสี้ยวในพระกรุณาของพระเจ้า ..สุดยอดมั๊ย    พระเยซูได้ยินอย่างงั้น..พระองค์ประทับใจมาก “โอ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด"  ลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติทันที 
  พบกันหม่สัปดาห์หน้านะคะ  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 10

ดู มัทธิว 13:1-6   พระเยซูทรงเปรียบการตอบสนองต่อข่าวประเสริฐของมนุษย์ไว้เป็นเสมือนดิน  4 ประเภท..เป็นคำอุปมา   ข้อที่ 3 บอกว่า  “ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช..”  ผู้หว่าน ก็คือ พระเยซูคริสต์และรวมถึงผู้ที่ออกไปประกาศเรื่องราวข่าวประเสริฐ     เมล็ดพืช คือ  ข่าวประเสริฐหรือเรื่องราวของอาณาจักรสวรรค์  ส่วนดิน คือ “ใจมนุษย์”  ซึ่งมีหลายแบบ  และแต่ละแบบก็จะตอบสนองต่างกันเมื่อได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐ   ข้อที่ 4 บอกว่า “.. เมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย”   ดินประเภทแรกที่พระเยซูพูดถึงในข้อนี้  คือ ดินตามทาง  หมายถึง คนที่มีใจ”แข็งกระด้าง” เมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว..ไม่เข้าใจอะไรเลย  ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน  เพราะอะไร  พระเยซูบอกชัดเจน..ว่ามารมาขโมยไป   เกี่ยวกับมาร..ตอนนี้ เด็กๆจำไว้แค่ว่า..ความจริง” มาร “ เป็นแค่เครื่องมือของพระเจ้า  และมันวนเวียนอยู่รอบตัวเรา  แต่ เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมารมากนัก..ตราบใดที่เราติดสนิทกับพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์   แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีใจออกห่างพระเจ้า  มารจะสามารถทำให้เราล้มลงได้อย่างง่ายดาย  (จำไว้แค่นี้ก่อน..)   
ข้อที่ 6 บอกว่า  “บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก..”  ดินชนิดที่สอง  หมายถึง “ใจที่ตื้น”  เหมือนดินที่ปกคลุมอยู่บนพื้นหิน   คนประเภทนี้เมื่อได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้ว  จะรับไว้ทันทีด้วยความตื่นเต้น  แต่ ! จะเชื่ออยู่แค่ชั่วคราว  เพราะ “พื้นหิน” มีเนื้อดินน้อย   และเมื่อดินไม่ลึก  รากก็ไม่มี   พอโดนแดดเผา  คือ เมื่อถูกข่มเหงหรือต้องเผชิญกับปัญหา  ไม่ว่าจะตกงาน  ไม่สมหวังกับความรัก  หรือแม้แต่สะดุดคริสเตียนด้วยกัน  เขาก็จะเลิกเชื่อหรือหลงหายไปอย่างง่ายดาย   เพราะความเชื่อไม่แข็งแรง
ดู มัทธิว 13:7-9  บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย”  ดินชนิดที่ 3 คือ     “ใจที่ถูกเหนี่ยวรั้งหรือถูกยับยั้ง”   จากอะไร..จากหนาม   “หนาม” คือ ความกังวลฝ่ายโลก  การยึดติดกับทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่..ยึดติดกับมนุษย์ด้วยกันเอง  ลักษณะของดินในข้อนี้ หมายถึง ผู้ที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้ว ก็อาจจะเข้าใจนะ..ว่าทางของพระเจ้านั้นดี  แต่คนกลุ่มนี้จะเป็นประเภทที่ยังกังวลฝ่ายโลกอยู่มาก   ทำให้พระวจนะของพระเจ้าไม่เกิดผลในคนประเภทนี้   พระเยซูเปรียบคนประเภทนี้ว่าเป็นดินที่อยู่ในดงหนาม   ซึ่งลักษณะของวัชพืช..มันจะไม่ยับยั้งใครในทันที  หรือยับยั้งในวันเดียว  แต่มันจะค่อยๆแทรกแซง..แย่งอาหาร  และค่อยๆยับยั้งการเติบโตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนอย่างช้าๆ   ค่อยเป็นค่อยไป..แบบให้เราไม่รู้ตัว   ดังนั้น แนวคิดของคนประเภทนี้ ก็จะประมาณว่า “ ตอนนี้ต้องรีบทำ..รีบสะสมไว้ก่อน  เดี๋ยวรวยแล้วหรือแก่แล้ว..ค่อยคิดถึงเรื่องจิตวิญญาณ”...อย่างนี้เป็นต้น
ข้อที่ 8 บอกว่า “..บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”  ดินชนิดสุดท้าย คือ “ใจที่เปิดรับ”  หมายถึง ผู้ที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้วมีความเข้าใจและเพราะเป็นดินที่ดีจึงเกิดผล  แต่ เกิดผลไม่เท่ากัน  ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดผล 100 เท่า  พระเยซูบอก..บางคนก็เกิดผล 30 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง  และบางคนเท่านั้นที่จะเกิดผล 100 เท่า  แต่จะเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร  ที่สำคัญขอให้เกิดผลนะคะ
ดู มัทธิว 13:10-13  ทำไมพระเยซูมักจะพูดเป็นคำอุปมา   ข้อที่ 11 พระองค์ตอบว่า “..เพราะข้อความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้  แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้”  พระเยซูใช้คำอุปมาในการเทศนาเพื่อ “คัดกรองคน”   ถ้าจะพูดให้เด็กๆเข้าใจง่าย  คำอุปมาก็เปรียบเหมือน ”รหัสลับ” ของพระเจ้า  ต้องคนที่พระองค์เลือกหรือ..น้าตุ๊กขอเทียบว่า คนที่มีไมโครชิพของพระองค์เท่านั้น..ที่จะฟังแล้วเก็ท   ข้อที่ 12 บอกว่า “..ผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา”    ใครที่พระเจ้าเปิด....”ตาใจฝ่ายวิญญาณ”ของเขาจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ  พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้เขาเห็นชัดเจนมากขึ้นทุกวันๆ   ส่วนใครที่พระเจ้าปิด...แม้จะมีบางครั้งที่เหมือนจะคิดออก  พระเจ้าก็จะเอาคืนไป..หรือเบี่ยงเบนความสนใจของเขาให้หลุดไปจากทางของพระองค์
เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ”  และน้ำพระทัยพระเจ้าในเรื่องนี้ยังคงเป็นจริงจนทุกวันนี้   แล้วอะไร คือ “ไมโครชิพ” ของพระเจ้าในยุคพระคุณนี้  ???  คำตอบคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”ของพระเยซูคริสต์   ใครก็ตามที่อยากเข้าใจความลับของอาณาจักรสวรรค์  หรือใครก็ตามที่อยากมีไมโครชิพไว้รับสัญญาณจากพระเจ้า  ทางเดียวก็คือ เขาต้องรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่า”พระเยซู คริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระเขาให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย”..และเมื่อนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ (หรือไมโครชิพ) ของพระเจ้าก็จะฝังอยู่ในวิญญาณจิตของเขาทันที  จากนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะส่งสัญญาณมาในรูปแบบไหน คนที่มีพระวิญญาณก็จะสามารถเข้าใจในสัญญาณและความลับทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสำแดง  (เอเมนมั๊ย)
ข้อที่ 17 พระเยซูบอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้..” ... แม้แต่ศาสดาหรือผู้ที่มุ่งแสวงหาสัจจะธรรมในทุกรูปแบบ..จะมุ่งมั่นทุ่มเทขนาดไหน   พวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดง..ได้เหมือนเรา  (และเราทุ่มเทรึยัง  บางคนบอก..ยังเลย ).. แต่เราก็ยังสามารถเห็นในสิ่งที่ศาสดาทั้งหลายมองไม่เห็น  เราเข้าใจในสิ่งที่พวกเขา..ไม่เข้าใจ  
         คำอุปมาเรื่อง”ข้าวสาลีและข้าวละมาน” 
ดู มัทธิว 13:24-26  ข้อนี้ พระเยซูบอกว่า  "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลี
 ..”ผู้หว่าน” คือ พระคริสต์  “นา” คือ โลก  “เมล็ดพืชดี” หรือ “ข้าวสาลี” คือ คนของพระเจ้า  “ศัตรูของผู้หว่าน” ก็คือ มาร   และ “ข้าวละมาน” ก็คือ คนของมาร  ซึ่งข้าวละมานเป็นหญ้าชนิดนึงที่ไม่มีประโยชน์..กินไม่ได้    แต่มันมีลักษณะคล้ายกับข้าวสาลี..คล้ายมากจนบางครั้งแยกกันไม่ออก  และเมื่อถูกหว่านไว้ในนาเดียวกัน  ข้าวทั้งสองชนิดจึงจำเริญขึ้นเหมือนกัน
ข้อที่ 26 บอกว่า “ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย”    ในขณะที่ข้าวดีจำเริญขึ้น   ขณะเดียวกันข้าวละมานที่มารหรือศัตรูแอบมาหว่านไว้.. มันก็จำเริญขึ้นในโลกด้วย   น้าตุ๊กไม่รู้ว่าเด็กๆเคยคิดมั๊ย  แต่ตอนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ น้าตุ๊กเคยแอบคิด..ว่าทำไม  เรายังเห็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า..เขายังมีชีวิตที่ดี   บางทีก็ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไม่ต่างจากเราหรือมากกว่าเราด้วยซ้ำ    ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้คนเหล่านั้นยังอยู่ดี..มีสุข  ทำไมพระเจ้าไม่จัดการหรือแยกคนพวกนั้นให้กินผลอย่างชัดเจน..ตั้งแต่ตอนนี้   น้าตุ๊กคยแอบคิดอย่างนี้นะ..ยอมรับเลย   แต่ ! พระองค์มีคำตอบที่ชัดเจนและลึกล้ำ ก็คือ คำอุปมาของพระเยซู..
ดู มัทธิว 13:28-30  เมื่อเห็นข้าวละมานเติบโตขึ้นพร้อมกับข้าวสาลี  ผู้รับใช้ก็ถามนายของตนว่า “จะให้พวกเขาไปถอนข้าวละมานทิ้ง..เสียตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือไม่”    แต่นายตอบว่า `อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย”   เพราะทั้งสองอย่างมันอยู่ปะปนรวมกัน  ทั้งผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  และคนของมาร..ก็ถูกหว่านให้อยู่รวมกันจนแยกไม่ออก  และ ถ้าจะถอนข้าวละมานตอนนี้    ดีไม่ดี..ก็จะพลอยกระทบกระเทือนคนของพระเจ้า คือ ทำให้ข้าวสาลีถูกถอนไปด้วย   เพราะฉะนั้น..ยังก่อน    ข้อที่ 30 พระเจ้าบอกว่า “ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว”...ให้ถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา  แล้วเวลานั้นพระองค์จะจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย..”..เมื่อวันพิพากษามาถึง  ข้าวละมานหรือบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ..ก็จะถูกแยกออกและทิ้งลงบึงไฟนรก ..ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน“  .. แต่ข้าวสาลีนั้นจะถูกเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา” ..ส่วนจิตวิญญาณของธรรมิกชนหรือผู้ที่เชื่อในพระเยซู..ก็จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถาน 
ดู มัทธิว 13:31-32  ข้อนี้ พระเยซูเปรียบเรื่องราวแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือน”เมล็ดพืช”  บางฉบับระบุว่าเป็น”เมล็ดผักกาด”  และในต้นฉบับแปลตรงตัวว่าเป็น”เมล็ดมัสตาร์ด” แต่ทั้งมัสตาร์ดและเมล็ดผักกาด  ต่างก็มีคุณลักษณะที่เหมือนกัน คือ เป็นเมล็ดพืชที่เล็กมากหรือน่าจะเล็กที่สุด ข้อที่ 32 บอกว่า “..เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่ที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย”  หมายความว่า  ความเชื่อในพระพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพันธ์พืชเล็กๆ ที่หว่านลงในจิตวิญญาณของผู้เชื่อ   ที่ถึงแม้เมล็ดจะเล็กมากหรือเล็กที่สุด  แต่ผู้ที่มีเมล็ดพันธ์ของความเชื่อนี้..จะกลับมีจิตวิญญาณที่เติบโตกว่าคนทั้งปวง    “..จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”..คือ สามารถเป็นที่พึ่งหรือเป็นแสงสว่างแก่คนอื่นได้ 
ข้อที่ 33  บอกว่า “พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”   คำว่า  “เชื้อ”ในข้อนี้ คือ ยีสต์ที่ทำให้แป้งขึ้นฟู    เพราะฉะนั้น  คำอุปมาทั้ง 2 ข้อนี้   สำแดงให้เราเห็นว่า .. เรื่องราวของแผ่นดินสวรรค์หรือความเชื่อที่พระเจ้าใส่ลงในจิตใจเรานั้น   แรกเลย พระเจ้าทรงใส่ความเชื่อให้แค่จุดเล็กๆ   แต่แค่จุดเล็กๆที่ใส่ลงในจิตใจของผู้ชอบธรรม  จะสามารถทำให้คนๆนั้นมีความเชื่อที่เติบใหญ่และแข็งแรงได้เสมอ   ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์หรือเชื้อขนมทั้งสองอย่างเล็งถึงการเริ่มต้นที่เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่  หรือจากน้อยไปหามาก  นี่คือ ความถูกต้องที่พระเจ้าสำแดงแก่เรา ..ว่าทางของพระองค์หรือแนวทางตามธรรมชาติแล้ว..มันต้องเป็นแบบนี้  สิ่งดีๆจะต้องเริ่มต้นมาจากจุดเล็กๆแล้วค่อยๆเติบโตขึ้น  อะไรก็ตามที่โตเร็วเกินไป..รวบรัด หรือข้ามขั้น  แบบนั้น..มักไม่ใช่ของจริงหรือไม่ใช่ทางของพระเจ้านะคะ 
ดู มัทธิว 13:44-46  ทั้งสองเรื่องนี้มีความหมายเหมือนกัน  จะต่างกันตรงรายละเอียดนิดหน่อย   เรื่องแรก พระเยซูอุปมาว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา  เมื่อมีผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก   และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ แล้วไปซื้อทุ่งนานั้น”  เด็กๆลองนึกภาพดู..ว่าถ้าอยู่ดีๆ  เราไปเจอหรือไปรู้ว่ามีขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลซ่อนอยู่ในที่แห่งนึง..เราจะทำแบบชายคนนี้มั๊ย  แน่นอน เราคงทำแบบเดียวกันกับเขา  คือ ยอมที่จะขายหรือละทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อเอาไปแลกกับที่ดินผืนนั้น  เพราะเรารู้ว่า..ยังไง ก็คุ้ม  เนื่องจากที่แปลงนั้นมันมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่
เรื่องที่ 2 บอกว่า “..แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น”  เพราะพ่อค้าย่อมรู้ดี..เขาย่อมดูออกว่าสิ่งไหน ที่มีค่าจริงๆ 
อุปมาทั้ง 2 เรื่อง เป็นความจริงที่พระเยซูสำแดงแก่เราเกี่ยวกับ”การตอบสนอง”ของคน.. ในเวลาที่ได้ยินข่าวประเสริฐ   ทั้งสองคนนี้ตอบสนองเหมือนกัน คือ มีความมุ่งมั่นในการที่จะได้ของมีค่านั้นมาครอบครอง  ต่างกันแค่..คนที่พบขุมทรัพย์ในนา  เขาเหมือนจะพบ”โดยบังเอิญ”  อันนี้ ก็หมายถึง คนที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจจะแสวงหาพระเจ้าหรือความรอด  แต่อยู่ดีๆ วันนึง พระวจนะของพระเจ้าก็มาเข้าหู..แตะต้องหัวใจเขา   ประมาณว่า “อยู่ดีๆพระเยซูก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า”  (หมายถึง ในหัวใจนะ ไม่ใด้แปลว่า เขาเห็นพระเยซูด้วยตา)     แล้วเขาก็รู้ทันทีว่า “นี่คือ ความจริง  นี่คือ สิ่งมีค่าที่สุด..ที่มนุษย์ทุกคนต้องการ” 
ส่วนพ่อค้า ที่ได้พบไข่มุกเม็ดงาม  อันนี้ หมายถึง มนุษย์ประเภทที่แสวงหาเรื่องฝ่ายวิญญาณ  แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา..ก็ยังไม่เคยเจอของจริง หรือสะเปะสะปะหลงไปผิดทาง  แล้วในที่สุด วันนึงก็ได้มาเจอไข่มุกเม็ดงาม คือ เรื่องราวข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์   และก็ไม่แปลก  ถ้าเขาจะยอมไปขายทุกอย่างมาเพื่อแลกกับไข่มุกเม็ดนี้  เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้า..ก็หมายถึง เป็นบุคคลผู้แสวงหามาสัจจะธรรมมาทั้งชีวิต   ดังนั้น เขาต้องรู้ดีว่า..ไข่มุกนั้นมีค่า..หรือไม่มี  เป็นของจริงหรือของปลอม
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้เจอขุมทรัพย์หรือไข่มุกแล้วยังเดินหนีไป  ไม่ตอบสนองต่อขุมทรัพย์หรือข่าวดีแบบ 2 คนนี้   ในความจริงก็ต้องบอกว่า”โง่น่าดู”  แต่ถามว่าทุกวันนี้..มีมั๊ยคะ  มีเยอะ..อีกหลายล้านคนยังเดินหนีขุมทรัพย์ล้ำค่า  แล้วก็ยอมจมอยู่กับความจน..ฝ่ายวิญญาณต่อไป
   บทที่ 14 มรณะกรรมของยอห์น เดอะ แบบทิสต์
ดู มัทธิว 14:1-3 ข้อนี้ บอกว่า “..เฮโรดได้จับยอห์นล่ามโซ่แล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน”....ฟังดูแค่นี้ เราก็พอเดาได้แล้ว..ว่ามันต้องมีเรื่องการล่วงประเวณีเข้ามาเกี่ยวข้อง   ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่า “เฮโรด คนนี้ คือ เฮโรด อันทิพาส”  เป็น ลูกชายของ เฮโรด มหาราชที่ตามฆ่าพระกุมารเยซู    ส่วนนาง”เฮโรเดียส” จริงๆ เป็นภรรยาของ”ฟิลิป”น้องชายคนละแม่ของเฮโรด   แต่ตอนที่เฮโรด  เดินทางไปกรุงโรม  แล้วแวะเยี่ยมน้องชายคนนี้  เขาก็ได้เจอนางเฮโรเดียส..แล้วก็ชอบ  เลยชวนให้นางคนนี้ทิ้งสามีมาอยู่กับตัว  ปรากฎ นางเฮโรเดียส..ก็เอาด้วย !!!    ข้อที่ 3 บอกว่า “..เฮโรดได้จับยอห์นมาขังไว้  เพราะะยอห์นเคยกล่าวโทษท่านว่า "ท่านไม่มีสิทธิ์รับนาง (เฮโรเดียส) นั้นมาเป็นภรรยา"...มันผิดพระบัญญัติของพระเจ้า   ในความเป็นจริงเฮโรด อยากฆ่ายอห์น ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว  แต่ ! ไม่กล้า  เพราะประชาชนจำนวนมากนับถือยอห์น  แต่นางเฮโรเดียส  ยังไม่ละความพยายามที่จะฆ่ายอห์น  ก็เลยวางแผนที่จะกำจัดยอห์นให้ได้

ดู มัทธิว 14:6-8  แผนการของนางเฮโรเดียส  ก็คือ ใช้ให้ลูกสาวตัวเอง..ซึ่งพระคำภีร์ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร  แต่ตามประวัติศาสตร์บันทึกว่าเธอชื่อ “ซาโลเม”  เฮโรเดียสใช้ลูกสาวให้เต้นรำในงานวันเกิดของเฮโรด  เพื่อให้เฮโรดประทับใจ..จะได้ตบรางวัล  แล้วรางวัลที่อยากได้ก็คิดไว้แล้ว..ว่าจะขอ“หัวของยอห์น”  เรียกว่า เฮโรเดียส ลงทุนมาก  แล้วก็คงมั่นใจในลีลาและความงามของลูกตัวเองมากอยู่   เพราะ มันไม่เป็นการสมควร..ที่จะเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อ   ที่สำคัญ ผู้หญิงรับจ้างเต้นรำสมัยนั้น..ก็มีเยอะ  แต่เฮโรเดียสลงทุนใช้ลูกตัวเอง ก็แสดงว่า อยากฆ่ายอห์นมากจริงๆ  แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน  ในงานวันเกิดของเฮโรดลูกสาวของเฮโรเดียสก็ทำให้เฮโรดประทับใจมากแล้วก็สัญญาว่าถ้าขออะไร..จะให้ทุกอย่าง  เข้าทางพอดี..ลูกสาวของเฮโรเดียสเลยบอกขอหัวของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา..ตามที่เตี๊ยมกันไว้กับแม่  สุดท้าย ยอห์นเลยถูกตัดหัว  ถึงเฮโรดจะกล้าๆกลัวๆในการที่จะสั่งตัดหัวยอห์น   แต่ก็ต้องทำ ..เพราะสัญญาไว้แล้ว..ว่าจะให้ทุกอย่าง  ข้อที่ 12 บอกว่า “ฝ่ายศิษย์ของยอห์นก็มารับเอาศพไปฝังไว้ แล้วก็มาทูลพระเยซูให้ทรงทราบ” 
     หมดเวลาแล้วค่ะ  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ