วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม”นางรูธ” ครั้งที่2 อาทิตย์ที่27:12:2009(จบ)

ดูนรธ.2:1-3 ตอนที่รูธกลับมาที่ยูดาห์กับแม่สามีเป็นช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาเล่ย์ พอมาถึงรูธก็สำแดงให้เห็นเลยว่า เธอเนี่ย...ตั้งใจที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแม่สามีอย่างแท้จริง รูธทำอะไร รูธไม่งอมืองอเท้า....ออกปากขอนาโอมีออกไปเก็บรวงข้าวที่ตกในนา (จำได้มะ ที่เคยเรียนไปแล้วฉธบ. “ที่พระเจ้าทรงมีพระบัญญัติให้ทิ้งฟ่อนข้าวในนา เพื่อที่คนยากจนจะได้อาศัยเก็บกิน”) ข้อนี้..บอกให้เรารู้ว่า ถึงรูธจะเป็นต่างชาติแต่ก็รู้ธรรมบัญญัติของชาวยิว ซึ่งน่าชมเชยมาก เพราะยิวแท้ๆบางคนไม่รู้จะจำได้ป่าว เราก็เหมือนกัน..เป็นคริสเตียนน่ะ รู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากแค่ไหน (อันนี้ต้องคิดดูให้ดี) ในข้อที่๓.บอกว่า รูธก็เลยออกไปเดินตามหลังคนเกี่ยวข้าว คอยเก็บข้าวที่เขาทำตกในนาของโบอาส ทีนี้โบอาสเป็นใคร......... ถ้าจะพูดให้เรานึกออกหรือปะติดปะต่อได้จากที่เราเรียนมา ก็คือ โบอาส เป็นลูกของสัลโมน กับนางราหับ (ราหับ ชาวเมืองเยรีโค ที่ช่วยซ่อนคนสอดแนมของอิสราเอลไว้ในสมัยที่โยชูวาจะเข้าบุกยึดคานาอัน จำได้มะ ที่สัญญาว่าจะไว้ชีวิตกันแล้วก็ให้ราหับผูกด้ายแดงไว้ที่หน้าต่าง)
แล้วโบอาสก็เป็นคนเผ่ายูดาห์ เป็นญาติสนิทที่เกิดในตระกูลเดียวกับเอลีเมเลคสามีของนาโอมีน่ะแหละ ถึงได้มีสิทธิ์แต่งงานกับรูธตามกฎบัญญัติของพระเจ้า (ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวเราก็จะได้เรียนกัน)
ดูนรธ.2:8-10 ตอนที่โบอาสกลับมาแล้วเห็นรูธกำลังเก็บข้าวตกในนา ในข้อที่5บอกว่าเขามีการสอบถามหัวหน้าคนงานแล้วว่า...รูธเป็นใครมาจากไหน พอรู้ที่มาที่ไปแล้วในข้อนี้โบอาสก็เลยพูดกับรูธว่า ”ลูกเอ๋ยจงฟัง..เจ้าไม่ต้องไปไหนหรอกนะอยู่เก็บข้าวตกที่นี่แหละ เราสั่งคนงานให้คอยดูแลเจ้าแล้ว รับรองว่า..จะไม่มีหนุ่มๆมายุ่มย่ามกวนใจเจ้า แล้วถ้าหิวน้ำก็ดื่มได้ตามสบาย พอรูธได้ยินโบอาสพูดอย่างงั้น ก็ก้มกราบลงถึงดินแล้วก็พึมพำด้วยความสงสัยว่า “ทำไมท่านต้องดีกับชั้นขนาดนี้ด้วย ความจริงไม่ต้องดีขนาดนี้ก็ได้เพราะชั้นเป็นแค่คนต่างด้าว บางคนอ่านแล้วอาจจะคิดในใจว่า..สงสัยโบอาสจะมีจุดประสงค์อื่นหรือคิดไม่ดีอะไรทำนองนั้น แต่ไม่ใช่เลย...เพราะเมื่อเรียนต่อไปแล้วเราจะได้เห็นว่า..โบอาสเป็นสุภาพบุรุษทีเดียว และในข้อที่11 บอกว่าเหตุผลของโบอาสก็คือ เพราะเขารู้เรื่องของรูธหมดแล้ว ได้ยินถึงวีรกรรมความสัตย์ซื่อที่รูธได้ปฏิบัติต่อแม่สามี ถึงกับยอมจากบ้านเกิด เมืองนอนมาอยู่กับคนต่างถิ่น คนแปลกหน้าซึ่งมันไม่ใช่เรื่องสนุก โอเค..โบอาสก็คงจะสนใจรูธอยู่บ้าง แต่เขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามกฎบัญญัติพระเจ้า...ด้วยการแสดงน้ำใจต่อหญิงม่ายและคนต่างด้าว...ก็เท่านั้นเอง
ดูนรธ.2:15-17 ก็เป็นอันว่ารูธได้รับความกรุณามากมายจากโบอาส ทั้งการอนุเคราะห์ข้าวปลาอาหารให้อย่างเต็มที่ แล้วโบอาสก็ยังสั่งคนเกี่ยวข้าวให้ดึงรวงข้าวจากฟ่อนทิ้งให้รูธเก็บด้วย คือเจตนาที่จะทิ้งให้เก็บ รูธจะได้เก็บข้าวได้เยอะๆ แล้วก็เยอะจริงๆเพราะในข้อที่17บอกว่า “พอเก็บถึงเย็นรูธก็ได้ข้าวไปมากถึงหนี่งเอฟาห์ ก็คือ 22ลิตรหรือประมาณ10กิโลกรัม
ดูนรธ.2:19-20 พอนาโอมีเห็นรูธเก็บข้าวกลับมาเยอะแยะก็คงแปลกใจ เลยถามลูกสะใภ้ว่าไปเก็บข้าวที่ไหนมาเนี่ย ทำไมถึงได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ รูธก็เล่าให้ฟังตามจริงไม่ได้ปิดบังอะไร นาโอมีก็เลยบอกรูธว่าจริงๆแล้วโบอาสคือญาติสนิทของสามีรูธน่ะแหละ มาถึงตอนนี้นาโอมีคงจะคิดอะไรในใจบ้างแล้ว....ก็เลยเริ่มวางแผน...ในข้อที่20 นาโอมีพูดว่า “พระกรุณาของพระเจ้าไม่เคยขาดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว..” แปลว่าไร แปลว่า..ลึกๆ แล้วนาโอมีรู้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่รูธได้เข้าไปเก็บข้าวตกที่นาของโบอาส..ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการของพระเจ้า ต้องมาจากพระเจ้าแน่นอน (จริงมะ เพราะเดินประสาไรถึงไปอยู่ในนาของญาติสนิทได้ ทั้งที่รูธเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร)
ดูนรธ.3:1-5 ในที่สุดนาโอมีก็ตกลงใจที่จะให้รูธเป็นหลักเป็นฐานซะที แล้วเท่าที่เห็นก็มีโบอาสนี่แหละที่เข้าตาที่สุด ที่สำคัญโบอาสก็เป็นญาติที่นับว่าสนิทด้วย นาโอมีก็เลยเริ่มชี้ทางสอนให้รูธรู้จักวิถีปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนยิว ถ้าจะพูดหยาบๆก็คือเหมือนทอดสะพานนะ แต่มันไม่ได้น่าเกลียดเหมือนที่เราเข้าใจในแบบปัจจุบัน เพราะมันเป็นวิถีปฏิบัติที่สุภาพ ถูกต้องตามธรรมเนียม และเป็นที่รู้กันว่า...ถ้าทำอย่างงี้หมายความว่าอะไร แล้ววิธีที่นาโอมีสอนให้รูธทำก็คือ “นาโอมีบอกให้รูธอาบน้ำ แต่งตัว ทาน้ำมันให้เรียบร้อย...ก็ประมาณอาบน้ำ ทาแป้ง ประพรมน้ำหอมให้สะอาดสะอ้าน แล้วลงไปหาโบอาสที่ลานนวดข้าวในเวลากลางคืน แต่คือต้องแอบๆไปอย่าให้ประเจิดประเจ้อ แล้วหาดูว่าโบอาสนอนที่ไหน..ก็ให้เข้าไปหาแล้วก็เปิดผ้าคลุมเท้าของเขาขึ้น อันนี้ไม่ใช่การยั่วยวนนะ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สุภาพและเป็นที่เข้าใจกัน “ว่าญาติสนิทมีสิทธิ์ที่จะไถ่นาของหญิงม่าย” (แล้วอยู่ดีๆการไถ่นาขายนามันมาเกี่ยวอะไรด้วย) เกี่ยว..เพราะการไถ่นามันหมายรวมถึงว่าคนๆนั้นต้องเต็มใจที่จะรับหญิงม่ายนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ดูแลรับผิดชอบครอบครัวของเขาด้วย เพราะตามวัฒนธรรมของชาวยิวเนี่ย...มรดกตกทอดต้องเป็นของลูกชายหรือญาติสนิทที่เป็นผู้ชายเท่านั้น หญิงม่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทีนี้ทำไมต้องเปิดผ้าคลุมเท้า.....ก็เพื่อให้หนาวแล้วจะได้ตื่น อันนี้เป็นวิธีปลุกอย่างสุภาพ พอนาโอมีสอนรูธทุกขั้นทุกตอนแล้วในข้อที่๕.ก็บอกว่า “รูธรับปากแม่สามีว่าเธอจะทำตามทุกอย่าง” (ว่านอนสอนง่ายจริงๆ)
ดูนรธ.3:6-9 คืนวันหนึ่งรูธก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพก็ลงไปที่ลานนวดข้าว ทำตามที่แม่สามีบอกทุกอย่าง ประมาณเที่ยงคืนโบอาสก็ตื่นขึ้นด้วยความหนาว เพราะอะไร...ก็รูธไปเปิดผ้าคลุมเท้าของเขาออกตามที่นาโอมีสั่งไง พอตื่นขึ้นมาเห็นผู้หญิงมานอนอยู่ปลายเท้าก็ตกใจ ถามว่าเธอเป็นใครรูธตอบว่าไง”ชั้นคือรูธคนใช้ของท่าน ช่วยกางชายเสื้อของท่านห่มคนใช้ของท่านด้วย” เนี่ยเป็นสำนวนสุภาพในการที่จะขอให้โบอาสยอมรับเธอเป็นภรรยา เพื่ออะไร...เพื่อที่รูธจะได้มีคนดูแลและสามารถที่จะมีลูกสืบสกุลต่อไปได้ ซึ่งโบอาสก็เข้าใจความหมายดี ในข้อที่10 โบอาสบอกว่า”..ขอพระเจ้าอวยพรเจ้า เพราะสิ่งที่เธอทำครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อและมีน้ำใจต่อนาโอมีมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะรูธไม่เคยคิดจะไปหาสามีหนุ่มๆไม่ว่ารวยหรือจน แต่กลับเชื่อฟังนาโอมีทุกอย่าง ซึ่งถ้ารูธเป็นผู้หญิงมักง่ายไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติของยิวหรือรังเกียจคนที่แก่กว่ามาก....รูธก็คงไม่เชื่อฟังนาโอมีในเรื่องนี้ เพราะจริงๆโบอาสนี่ก็อายุมากแล้ว...น่าจะรุ่นๆเดียวกับเอลีเมเลค (คือพ่อของสามี) ถึงตอนนี้โบอาสก็เลยรู้สึกนับถือน้ำใจของรูธมากจริงๆแล้วก็เต็มใจที่จะดูแลรูธ ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่มันยังติดอยู่เรื่องหนึ่ง...คืออะไร
ดูนรธ.3:12-13 ปัญหาเรื่องเดียวก็คือโบอาสเป็นญาติสนิทก็จริงแต่ยังมีอีกคนที่สนิทกว่า ก็หมายความว่า...มีสิทธิ์ในตัวรูธมากกว่าโบอาส โบอาสก็เลยตกลงกับรูธว่า”พรุ่งนี้เขาจะไปคุยกับญาติคนนี้เอง ว่าเขาเต็มใจที่จะดูแลรูธมั๊ย ถ้าเขาโอเค...รูธก็แต่งงานกับเขาไปเถอะ แต่ถ้าเขาปฏิเสธโบอาสก็เต็มใจที่จะรับรูธเป็นภรรยา พอคุยกันเสร็จคืนนั้นโบอาสก็บอกให้รูธนอนที่นั่น แล้วค่อยกลับไปตอนก่อนฟ้าสาง (แต่คืนนั้นโบอาสไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับรูธนะ...อย่าเข้าใจผิด) แล้วพอตอนเช้าโบอาสก็ยังตวงข้าวบาเล่ย์หกทะนานให้รูธเอากลับบ้านด้วย
ดูนรธ.4:3-4 ในข้อนี้บอกว่า”โบอาสได้ไปพบญาติคนนี้ที่ประตูเมือง (ประตูเมืองเป็นที่ชุมนุมของคนในสมัยนั้น เวลาที่มีเรื่องสำคัญหรือจะกระทำการใดๆตามกฎหมาย) แล้วโบอาสก็พูดเรื่องที่ดินที่นาโอมีอยากจะขาย...ว่าเขาสนใจที่จะซื้อมั๊ยเพราะเขาเป็นญาติที่สนิทที่สุดจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกก่อน โดยโบอาสได้มีการเชิญพวกผู้ใหญ่ให้มาเป็นพยานในการเจรจาครั้งนี้ด้วย (รอบคอบนะ) ทีแรกญาติสนิทคนนั้นตอบทันทีเลยว่า”เขาจะซื้อ”
ดูนรธ.4:5-6 พอโบอาสบอกว่า”ในวันที่เขาซื้อที่ดิน เขาจะได้รูธหญิงม่ายไปเป็นภรรยาด้วย แล้วถ้ามีลูกด้วยกัน ที่ดินนั้นก็จะตกเป็นของลูกซึ่งถือว่าเป็นเชื้อสายของผู้ตายคือมาห์โลน” แค่นั้นแหละ..ญาติสนิทคนนี้ก็เปลี่ยนใจทันที บอกกับโบอาสว่าเขาไม่ไถ่แล้ว ให้โบอาสเอาสิทธิ์นั้นไปจัดการเอง เพราะเห็นภาระและความยุ่งยาก คงต้องบอกว่าญาติสนิทคนนี้เลือกทางที่ง่ายมากกว่าทางที่ถูก (จริงมะ) .....ในชีวิตพวกเราเหมือนกัน ลองถามตัวเองดูดีๆว่าส่วนใหญ่เราเลือกที่จะทำอะไร เราตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวในแต่ละวัน เพราะพระเจ้าจะส่งสถานะการณ์มาให้เราต้องเลือกเสมอตั้งแต่เรื่องเล็กถึงเรื่องใหญ่ อาจจะเริ่มจาก... เวลาขับรถถ้าเจอไฟเหลืองแล้วเราทำไง(เตรียมเบรคหรือเหยียบสุดชีวิต) แล้วการทดลองมันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หลากหลายเรื่องราวขึ้นด้วย...อย่างเช่น ถ้าเราเจอเงินหรือไปเบิกเงินที่ธนาคารแล้วเขาจ่ายเกินให้เรามาหนึ่งร้อย...เราจะเอาไปคืนเขามั๊ย แล้วถ้าหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสนหรือหนึ่งล้านล่ะ แน่ใจมั๊ยว่าเราจะคืน (คือน้าตุ๊กยกตัวอย่างอันนี้เพราะมันล่อแหลม เนื่องด้วยมีบางคนคิดว่าอันนี้ถ้าไม่คืนก็ไม่ผิด เพราะชั้นไม่ได้ขโมย แต่ความจริงผิดเห็นๆ) เพราะฉะนั้น เด็กๆเลือกให้ดีในทุกๆเรื่องเพราะในแต่ละวันของเรา มันจะมีรายละเอียดที่เราต้องเลือกเยอะแยะมากมาย แล้วหลายๆครั้งบางคนก็เลือกทางที่ง่ายเพราะคิดว่าเลือกแล้วมันสบาย ตัดปัญหาไปเหมือนอย่างญาติสนิทของนาโอมีคนนี้
ดูนรธ.4:7-8 เมื่อญาติคนที่สนิทกว่าโบอาสยอมสละสิทธิ์ เขาก็ได้แสดงธรรมเนียมการมอบสิทธิ์นี้ให้โบอาสโดย”การถอดรองเท้ามอบไว้ให้เป็นหลักฐาน” อันนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อิสราเอลสมัยนั้นเขาทำกันเพื่อยืนยันข้อตกลงตามกฎหมายโดยมีผู้ใหญ่เป็นพยาน ก็เป็นอันว่าโบอาสก็เลยได้รับสิทธิ์ญาติสนิทของมาห์โลนมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในการนี้มันทำให้เกิดผลสามอย่างคือ
๑.เขาจะสืบเชื้อสายในนามของเอลีเมเลคและมาห์โลน
๒.ก็คือ เขาจะเป็นผู้ไถ่ที่ดินของนาโอมี
และ๓.เขาจะได้แต่งงานกับรูธอย่างถูกต้อง
ดูนรธ.4:11-12ทั้งประชาชนและผู้นำที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บอกว่าจะเป็นพยานให้แก่รูธและโบอาส พร้อมทั้งทูลต่อพระเจ้าให้ทรงอวยพรพงพันศ์ของทั้งคู่ ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างบรรพบุรุษ
ดูนรธ.4:13-15 ในที่สุดเมื่อโบอาสกับรูธได้แต่งงานกันเขาก็มีลูกชายคนหนึ่ง ชาวบ้านก็ร่วมกันอวยชัยให้พรขอให้ลูกคนนี้ของรูธมีชื่อเสียงเลื่องลือในวงศ์วานอิสราเอล แล้วก็ขอให้เด็กคนนี้เลี้ยงดูนาโอมียามแก่เฒ่าเพราะ....เขาเกิดจากลูกสะใภ้ที่รักและดีกับนาโอมีมากยิ่งกว่าลูกชายเจ็ดคน
นรธ.4:16-17 บุตรของโบอาสคนนี้ชื่อว่า”โอเบส”ซึ่งเป็นบิดาของเจสซี พ่อของก.ดาวิด เพราะฉะนั้นรูธก็เท่ากับเป็นย่าทวดของก.ดาวิด และก็เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์โดยตรงตามเชื้อสายด้วย
ทั้งหมดนี้คือผลของความรัก ความสัตย์ซื่อและเสียสละ เด็กๆจะเห็นว่าทั้งสามคนในเรื่องนี้ คือนาโอมี รูธ แล้วก็โบอาส ทั้งสามคนยอมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี นาโอมีก็เป็นแม่สามีที่ไม่เห็นแก่ตัว รูธก็ทั้งรักและสัตย์ซื่อกับแม่สามีสุดชีวิต ส่วนโบอาสก็ยอมทำหน้าที่ญาติสนิทด้วยความชื่นชมยินดี ยอมไถ่ที่ให้นาโอมีแล้วก็รับรูธซึ่งเป็นหญิงม่ายมาเป็นภรรยา ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องอย่างงี้ อาจผู้ชายหลายคนทำใจรับไม่ได้นะ แต่โบอาสยอมทำอย่างเต็มใจเหมือนที่พระคริสต์เต็มใจไถ่บาปให้เรา ซึ่งถ้ามองฝ่ายวิญญาณแล้ว..สภาพเราก็ยับเยินไม่ได้ต่างจากรูธหรือนาโอมีหรอก แต่พระเยซูไม่เคยรังเกียจเราเลย....พระองค์ไถ่เราด้วยความรัก ไม่เคยบ่นว่าในความบกพร่องของเรา แล้วก็ไม่เคยเอือมระอากับความผิดซ้ำซากที่เราทำ.....ตราบใดที่เราสำนึกผิดแล้วก็กราบลงขอโทษ เราจะได้กลับสู่อ้อมกอดของพระองค์เสมอ
พระธรรม”นางรูธ”ก็จบลงแค่นี้นะคะ เพราะเป็นข้อพระคำภีร์ตอนสั้นๆมีแค่๔บท สัปดาห์หน้าเราจะมาขึ้น หนังสือซามูเอล ฉบับที่๑ แล้วพบกันนะคะ..พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม “นางรูธ” ครั้งที่ 1 อาทิตย์ที่ 13:12:2009

“นางรูธ” เป็นใคร นางรูธเป็นสตรีหนึ่งในสี่คนที่เกี่ยวข้องและถูกกล่าวถึงไว้ในพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ อีกสามคนก็คือ ทามาร์ ราหับ และนางมารีย์
น้าตุ๊กขอพูดถึงคนคุ้นเคยที่พระคำภีร์กล่าวถึงบ่อยๆก็แล้วกัน ก็จะเริ่มจาก...
อับราฮัม > อิสอัค > (ยาโคบ+นางเลอาห์) > (ยูดาห์+นางทามาร์)>(สัลโมน+ราหับชาวเยรีโค)
>(โบอาส+นางรูธชาวโมอับ)>โอเบส>เจสซี>ก.ดาวิด จากก.ดาวิดมาทางเชื้อสายของซาโลมอน และต่อมาอีกหลายชั่วคน จนมาถึงโยเซฟ สามีของนางมารีย์ที่ตั้งครรภ์พระเยซูคริสต์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
เรื่องราวของนางรูธ เป็นเรื่องที่ยังอยู่ในสมัยผู้วินิจฉัย (ยุคแห่งการกบฎ ที่อิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ แล้วต่างคนก็ต่างทำตามที่ตัวเองเห็นชอบ) แต่”นางรูธ”เป็นหนังสือที่ได้แสดงให้เห็นว่า “ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ” พอให้รู้สึกว่า อิสราเอลสมัยนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว
พระธรรมเล่มนี้เป็นตอนสั้นๆมีแค่สี่บทแต่ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญนะ พระคำภีร์ทุกบททุกตอนจะสั้นจะยาวสำคัญหมด เพราะถือเป็นถ้อยคำของพระเจ้าแล้วก็มีน้ำพระทัยของพระองค์ที่ประสงค์จะสำแดงแก่เราอยู่ในทุกตัวอักษร เด็กๆเข้าใจดีใช่มั๊ยว่าถ้อยคำพระเจ้าสำคัญยังไง เอาง่ายๆเลย..ถ้าปราศจากถ้อยคำของพระเจ้า เราจะไม่มีชีวิต ไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ จริงมะ..เพราะอย่าลืมว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกที่สามารถลอยหน้าอยู่ได้เนี่ย ก็เกิดขึ้นเพราะพระวจนะของพระเจ้า..ที่ตรัสสั่งให้มันเกิดขึ้นทีละอย่างๆ ถ้าไม่งั้นโลกนี้ก็ว่างเปล่า
จุดประสงค์ของพระธรรม”นางรูธ” ก็คือ เพื่อสำแดงให้เห็นแบบอย่างของความรัก ความเสียสละ ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าของอิสราเอล รวมถึงการยึดมั่นในวิถีปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ทั้งๆที่เขาเป็น”คนต่างชาติ” (นี่สิน่าคิด) ......เด็กๆเปิดไปดูบทที่๑ เรื่องมีอยู่ว่า...ในสมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอลอยู่เนี่ย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดการกันดารอาหารขึ้นในอิสราเอล ชายคนหนึ่งชื่อเอลีเมเลคเป็นชาวเมืองเบธเลเฮม คือเป็นคนเผ่ายูดาห์ ก็ได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่แผ่นดินโมอับ(ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน) ตรงจุดนี้ก็เลยมีบางคนให้ความเห็นว่าเอลีเมเลคเนี่ย น่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่(ความเชื่อเป็นไง) คงจะไม่ค่อยวางใจในพระเจ้าซักเท่าไหร่ (เพราะไร) พอวาระแห่งความทุกข์ยากมาถึงก็หอบหิ้วครอบครัวพาออกจากดินแดนที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ แล้วเรายังจะได้เห็นต่อไปอีกว่า.เขาอนุญาตให้ลูกๆแต่งงานกับหญิงต่างชาติด้วย อันนี้เราพูดกันตามเนื้อผ้านะ ส่วนเรื่องที่ทุกอย่างก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เรารู้อยู่แล้ว...แต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้น เราพูดถึงการดำเนินชีวิตของเขาที่ดูจะไม่เคร่งครัดในกฎบัญญัติของพระเจ้าเท่าไหร่ แล้วสมาชิกครอบครัวของเอลีเมเลคที่พากันไปอยู่ดินแดนโมอับมีใครบ้าง...ก็มีภรรยาที่ชื่อนาโอมีกับลูกชายสองคน ชื่อมาห์โลนและคิลิโอน
แต่ในขณะที่อยู่ในดินแดนโมอับ เอลีเมเลคก็เสียชีวิต ในข้อที่๔.บอกว่าลูกชายทั้งสองก็ได้ภรรยาเป็นหญิงต่างชาติ คือ เป็นชาวโมอับทั้งคู่ สะใภ้ใหญ่ชื่อ โอปราห์ แล้วสะใภ็เล็กนี่เองคือ “นางรูธ” พระคำภีร์บอกว่าเมื่อเอลีเมเลคหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไปแล้ว นาโอมีกับลูกชายแล้วก็ลูกสะใภ้ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโมอับต่อไปอีกสิบปี หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น....
ดูนรธ.1:5-7 ทีแรกก็ดูเหมือนจะอยู่กันดีตามอัตภาพ แต่ไม่นานลูกชายทั้งสอลคนของนาโอมี คือ มาห์โลนกับคิลิโอนก็เสียชีวิตด้วย ทิ้งแม่ให้อยู่ตามลำพังลองคิดดูว่านาโอมีจะระทมทุกข์ขนาดไหน แต่ยังดีที่มีสะใภ้ให้อยู่เป็นเพื่อนก็อยู่กันไปตามประสาแม่หม้าย ในข้อที่๖.บอกว่า นาโอมีได้ข่าวว่า “พระเจ้าทรงเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ในอิสราเอล ประทานอาหารให้แก่พวกเขาแผ่นดินก็เกิดผลอันอุดมมากมาย นาโอมีก็เลยเป็นไง.....อยากจะกลับไปอยู่ที่ยูดาห์บ้านเก่าของเธอกับสามี
ดูนรธ.1:8-9 พอจะกลับไปอยู่ที่อิสราเอลนาโอมีก็อนุญาตให้สะใภ้ทั้งคู่กลับบ้าน เพื่อจะได้ไปมีครอบครัวใหม่ ในข้อที่๘.นาโอมีได้พูดว่า “...ขอพระเจ้าทรงเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่” ประโยคนี้บอกอะไรเรา ก็บอกให้เรารู้ว่าสะใภ้ต่างชาติของนาโอมีทั้งสองคนนี้น่าจะเป็นภรรยาที่ดีพอสมควร แล้วก็คงจะทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีและแม่ของสามีด้วย...ได้อย่างสมบูรณ์ นาโอมีถึงเอ่ยปากชมและขอพระเจ้าอำนวยพรให้แก่ลูกสะใภ้ทั้งคู่ แต่พอนาโอมีจูบลาสะใภ้ ทั้งสองคนก็ร้องไห้กันใหญ่
ดูนรธ.1:10-11 สะใภ้ทั้งสองคนของนาโอมีบอกว่าจะขอกลับไปอยู่ที่อิสราเอลด้วย แต่นาโอมีบอกว่า อย่าเลย..กลับบ้านตัวเองไปเถอะ เพราะถึงยังไงนางก็ไม่มีลูกชายเหลือให้สืบสกุลอีกแล้ว กลับบ้านไปยังจะมีโอกาสได้แต่งงานใหม่แล้วก็มีลูก สิ่งที่นาโอมีทำเนี้ย มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า...นาโอมีเห็นแก่ตัวมะ ไม่เลยเพราะนาโอมีสนับสนุนให้ลูกสะใภ้ไปมีครอบครัวใหม่ ไม่ได้หวงสะใภ้ไว้เพื่อให้อยู่ดูแลตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วถ้านาโอมีคิดจะทำอย่างงั้น ทำได้มะ..ได้แน่นอน (ถึงสมัยนี้ก็เหอะ ถ้าใครบังเอิญได้แต่งเข้าไปเป็นลูกสะใภ้คนจีนก็จะรู้ซึ้งเลยล่ะ..ว่าส่วนใหญ่แม่สามีก็ซูสีไทเฮาดีๆนี่เอง) ว่าแล้วทั้งสามคนก็ร้องไห้กันอีกรอบ แล้วโอรปาห์ก็จูบลาแม่สามีแล้วก็ยอมกลับบ้านไป นาโอมีก็เลยบอกให้รูธกลับไปมั่ง แล้วรูธว่าไง
ดูต่อนรธ.1:16-17เป็นไง..เกิดมาเคยเห็นมะ แม่ผัวลูกสะใภ้รักกันมากขนาดนี้..น้าตุ๊กไม่เคย นางรูธบอกว่า แม่ไปไหน..ไปด้วย ตายไหน..ตายกัน ญาติแม่..ก็เหมือนญาติชั้น พระเจ้าของแม่..จะเป็นพระเจ้าของชั้นด้วย นี่คือตัวอย่างของสตรีที่มีความสัตย์ซื่อต่อสามีและวงศ์ตระกูลของสามี สืบเนื่องจนเป็นสายใยให้รูธจงรักภักดีต่อพระเจ้า ผลก็คือรูธได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ เพราะเธอได้เป็นพงศ์พันธ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิด สมชื่อ”รูธ”จริงๆเพราะรูธแปลว่า”คู่ชีวิต”แล้วหญิงที่ควรค่าจะเป็นคู่ชีวิตของใครซักคนก็ควรที่จะมีคุณสมบัติเหมือนนางรูธ เอาคล้ายๆก็ได้หรือแค่ใกล้เคียงก็พอ (จะมีมั๊ยเนี่ย)
แล้วข้อพระคำภีร์ตอนนี้ก็บอกย้ำเราอีกที ว่ายิวไม่ใช่ชนชาติเดียวที่พระเจ้าจะทรงรักและเลือกเข้ามารับความรอด แต่พระเจ้ากำหนดความรอดไว้เพื่อ...คนทุกชาติ ทุกภาษา
แล้วสุดท้าย นาโอมีก็ใจอ่อนยอมพารูธกลับมาที่ยูดาห์ด้วย ตอนไปไปกันสี่คน กลับมายังดีมีลูกสะใภ้ไม่งั้นต้องเหลือตัวคนเดียว แต่จะเหลือกี่คนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือยังไงก็ต้องกลับมาที่เบธเลเฮม..แล้วรูธก็ต้องกลับมาด้วย เพราะนี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้แล้วว่าก.ดาวิดและพระเยซูคริสต์ต้องทรงบังเกิดที่ไหน..ที่เบธเลเฮม เพราะฉะนั้น ไม่ว่านาโอมีจะต้องมาในสภาพไหนหรือเธอเองจะรู้สึกยังไง จริงๆแล้ว..ก็ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องกลับมาเพื่อให้ทุกอย่างได้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า
ดูนรธ.1:19-21 พอนาโอมีกับรูธกลับมาถึงเบธเลเฮม ชาวบ้านก็แตกตื่นพูดกันประมาณว่า “นี่นาโอมีจริงๆหรือ” ทำไมชาวบ้านถึงแปลกใจ เชื่อว่าตอนอยู่ที่ยูดาห์เอลีเมเลคกับนาโอมีคงมีฐานะค่อนข้างดีเพราะในข้อที่๒๑.นาโอมีบอกว่าเธอมีพร้อมทุกอย่างตอนที่จากไป แต่กลับมาในสภาพที่ยากไร้แถมเหลือตัวคนเดียว เด็กๆนึกออกมะคนเราเวลาที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้วก็มีความทุกข์ที่ต้องสูญเสียทั้งสามีและลูก มันก็คงจะดูโทรมๆหน่อยจนคนจำแทบไม่ได้ ตามวิสัยชาวบ้านก็เลยพูดกันไปประมาณว่า “เนี่ยเหรอ นาโอมีจำแทบไม่ได้เลย..อะไรประมาณนั้น” ส่วนนาโอมีก็พูดกับชาวบ้านว่าอย่าเรียกชั้นว่านาโอมีเลย เพราะ นาโอมีมันแปลว่า “สุขสบาย” แต่ตอนนี้ชั้นไม่ได้สบายเหมือนชื่อ เพราะฉะนั้นเรียกชั้นว่า”มารา”น่าจะเหมาะกว่าเพราะมาราแปลว่า”ขม”(ขมขื่น) คำเดียวกับที่อิสราเอลเจอน้ำขมที่มาราห์ ในอพย.15
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะเวลาหมดแล้ว สัปดาห์หน้าไม่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพราะเราจะฉลองคริสมาสตร์ด้วยกันที่โบสถ์ แล้วอาทิตย์ที่27:12:2009 เราจะมาต่อเรื่องของนางรูธกัน
เมอร์รี คริสมาสตร์ค่ะ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทความพิเศษวันพ่อ "รักวิเศษขององค์พระผู้เป็นเจ้า" อาทิตย์ที่6:12:2009

สวัสดีค่ะเด็กๆและสุขสันต์วันพ่อสำหรับคุณพ่อทุกคน สัปดาห์นี้เป็นการทดสอบพระธรรมผู้วินิจฉัยก็เลยไม่มีเนื้อหาในชั้นเรียน แต่น้าตุ๊กมีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในแง่มุมที่หลากหลายมาฝาก "วันพ่อ" สำหรับคนส่วนใหญ่ฟังดูแล้ว..คงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก มีกลิ่นอายของความเป็นครอบครัว แต่สำหรับบางคนแล้ว..อาจไม่ใช่ มากไปกว่านั้นทุกครั้งที่ถึงวันพ่อ ก็จะรู้สึกร้าวรานใจอยู่ลึกๆ มากน้อยก็ต่างกันไปตามประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับ
สำหรับครอบครัวที่อบอุ่นมีคุณพ่อที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างยอดเยี่ยม...เสียสละ...เป็นแฟมิลี่แมน "วันพ่อ"คงเป็นวาระที่ครอบครัวจะได้แสดงความรักและเห็นคุณค่าต่อกันอย่างเต็มหัวใจ แต่กับอีกหลายๆคนที่บังเอิญโชคไม่ค่อยดีอาจมีคุณพ่อที่ค่อนข้างร้ายกาจ ซึ่งความร้ายกาจของพ่อก็จะมีมากน้อยต่างกันไป อาจจะมีตั้งแต่งี่เง่าเล็กน้อย เอาแต่ใจตัวเองจนถึงเอาแต่ได้ ยอมหักไม่ยอมงอ เจ้ายศเจ้าอย่าง ยึดมั่นถือมั่น เอาตัวเองเป็นใหญ่ไร้เหตุผล ยิ่งแก่ยิ่งเลอะ ไปจนถึงมักสร้างความเดือดร้อนให้ลูกหลาน หนักหน่อยก็ถึงขนาดข่มเหงรังแกทำร้ายลูกตัวเองก็มี ทั้งหมดนี้ก็คือ"พ่อ"เช่นกัน
ในวันที่ความรักของพ่ออบอวลไปทั่วประเทศในจิตใจของบางคนก็อาจรู้สึกชอกช้ำโดยไม่ตั้งใจ บางคนก็ทะเลาะกับพ่ออยู่ บางคนไม่พูดกับพ่อมาเป็นปี พ่อบางคนโกรธลูกถึงกับไม่ให้มาเผาผี ลูกบางคนถูกพ่อขายไปก็มี สารพัดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพ่อในโลกนี้...มีอยู่จริง แล้วถ้าเราคือหนึ่งในกลุ่มที่พูดถึงนี้ล่ะ...เราควรจะทำอย่างไร
ในทางของพระเจ้า พระองค์สอนไว้อย่างชัดเจน...ว่าทุกคนต้องให้เกียรติบิดา มารดา (เอเฟซัส6:2) เพราะฉะนั้นลูกทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง คือให้ความรัก เอาใจใส่ และเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา อันนี้ถือเป็นมาตรฐานที่ทุกคนควรทำส่วนรายละเอียดที่มากไปกว่านี้ เช่น พ่อแม่บางคนที่ไม่ได้พอใจแค่นี้..ก็มี พ่อแม่ที่บ้าอำนาจก็มี พ่อแม่ที่อิจฉาลูกหลานก็มี พ่อแม่ที่เรียกร้องความสนใจมากเกินไปก็มี พ่อแม่ที่ต้องการทรัพย์สินเกินกำลังลูกก็มี พ่อแม่แบบแปลกๆก็สารพัดที่จะมี เกินกว่าจะบรรยายได้หมด แต่ก็ไม่เป็นไร น้าตุ๊กขอหนุนใจลูกๆที่มีพ่อแม่แบบนี้ว่า "ทำให้ดีที่สุด เท่าที่เรามีกำลัง" เพราะพระคำภีร์ก็บอกไว้เช่นกันว่า (เอเฟซัส6:4) "ฝ่ายท่านที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ.." หมายความว่าถึงคุณจะเป็นพ่อเป็นแม่..ก็ใช่ว่าจะงี่เง่าได้อย่างไร้ขีดจำกัด ถือว่าเป็นพ่อแม่แล้วจะไร้เหตุผลยังไงก็ได้..ไม่ใช่ พระคำภีร์ตอนนี้ระบุไว้เพื่อให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุด ส่วนในมุมมองของน้าตุ๊กแล้วอยากสอนเด็กๆว่า "พ่อแม่ ก็คือ พ่อแม่..จะถูกผิดยังไงเขาก็คือคนที่พระเจ้าเลือกให้เป็นพ่อแม่ของเรา มียีนส์เด่น ยีนส์ด้อยหรือดีเอ็นเอที่พระเจ้าทรงเห็นชอบให้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้น..มันต้องดีต่อแผนการของพระเจ้า และเราก็มีหน้าที่ต้องสำแดงความรักของพระเจ้าต่อพ่อแม่(ที่แม้จะรังแกเราตลอดเวลา) พยายามมองผ่านความผิดพลาดของท่านด้วยความเข้าใจและด้วยความรักของพระเจ้า อย่ามัวน้อยใจว่าทำไมพ่อเราไม่เหมือนพ่อของคนอื่น ทำไมถึงขยันทำร้ายจิตใจของลูก หรือทำไมไม่เคยพอใจในสิ่งที่ลูกทำให้เลย น้าตุ๊กขอหนุนใจทุกคนที่มี"คุณพ่อ"ที่ค่อนข้างจะไม่น่ารักให้อดทน อย่าลืมว่า"พ่อ"ก็คือมนุษย์มีเนื้อหนังและสามารถทำผิดพลาดได้ จริงอยู่ที่มีคำกล่าวว่า"ความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่" แต่สำหรับคริสเตียนเรามี"ความรักของพระเจ้า"ที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะ"พระองค์รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งความรักแบบนี้หาไม่ได้ในตัวมนุษย์ เพราะฉะนั้น อย่าท้อใจถ้าคุณพ่อของเราจะไม่น่าชื่นใจซักเท่าไหร่ เพราะเรามี"พระเจ้า"เป็นพ่อที่แสนวิเศษฐ์ มีความรักที่วิเศษฐ์สุดซึ่งมนุษย์ไม่มี นับว่าโชคดีกว่ามีพ่อดีๆซะอีก แล้วถ้าเราฝึกฝนที่จะรักผู้อื่นในแบบ"รักของพระเจ้า" เราก็จะติดสนิทแนบแน่นกับพระองค์และสัมผัสได้ถึงอิสระภาพที่เกิดขึ้นในใจ เราจะหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง แล้วจะไม่มีใครทำให้เรารู้สึกเศร้าใจหรือเจ็บปวดมากมายได้อีก เพราะความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของพระเจ้าจะเติมหัวใจของเราให้เต็มล้น..จนไม่มีที่ว่างไว้ให้เราต้องการจากใครอีก ถึงตอนนี้ต้องขอปรบมือให้ผู้แต่งเพลงรักวิเศษ ที่สามารถถ่ายทอดบทเพลงเรื่องราวความรักของพระเจ้าออกมาได้อย่างชัดเจน และซาบซึ้งตรึงใจ
"....เพราะรักวิเศษเช่นนี้ ไม่มีในผู้อื่น มีเพียงในรักขององค์พระเจ้าเท่านั้น
ขอทรงโปรดสอนหัวใจ...ว่ารักที่แท้เป็นเช่นใด รักเหมือนดัง..พระองค์
เพื่อข้าจะรักพระองค์มากกว่า มากกว่าสิ่งใดในชีวิตข้า ทุกสิ่งที่ข้ามีเป็นเพียงของที่ชั่วคราว
แต่ความรักของพระเจ้า...นั้นมั่นคงยืนนาน
(ให้โลกนี้ได้รู้จักกับความรักที่คงมั่น..รักแท้ในพระองค์)
คำที่ว่า"ขอทรงโปรดสอนหัวใจ ว่ารักที่แท้เป็นเช่นใด.."น่าจะถูกใส่ไว้ให้เป็นคำอธิฐานของพวกเราด้วย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่พระเจ้าทรงนำให้เรารู้จักกับความรักแบบพระองค์แล้ว ความสุขและอิสระภาพที่เกินคำบรรยายจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะ..เราจะรักแบบพระเจ้า คือ เลิกแสวงหาความสมบูรณ์พร้อมในตัวมนุษย์...(เพราะมันหาไม่ได้) เลิกหวังสิ่งตอบแทน..(เพราะมันไม่จำเป็นแล้วสำหรับเรา) เลิกคาดหวังในตัวผู้อื่น และเราก็จะผิดหวังน้อยลง เจ็บปวดน้อยลง โกรธน้อยลง แต่เราจะมีความสุขมากขึ้น ใจกว้างขึ้น มีมุมมองที่ฉลาดขึ้น มีอิสระมากขึ้นเพราะเราจะไม่ติดยึดกับอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่กฏเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น สุดท้ายจะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถเหนี่ยวรั้งเราไว้ได้ จะไม่มีอะไรในโลกที่เราจะเสียดาย..จนไม่อยากจากไป
ขอพระคุณความรักและฤทธิ์อำนาจอันบริบูรณ์ของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือคุณพ่อและลูกๆทุกคน
สุขสันต์วันพ่อค่ะ