วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

จบหนังสือโยชูวาไปแล้วเด็กๆได้แง่คิดอะไรกันบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นถึงความเชื่ออันมั่นคงของโยชูวาและคาเลบที่วางใจในพระเจ้าและเดินตามพระองค์อย่างสุดใจ เพราะฉะนั้นอยากให้เด็กๆเรียนรู้ที่จะยึดความเชื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราบ้าง เพราะแท้จริงแล้วเราทุกคนที่อยู่ในยุคพระคุณนั้น มียุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เรามั่นคงอยู่บนทางของพระเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น วันนี้น้าตุ๊กก็เลยหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาสอนย้ำให้เด็กๆอย่าลืมว่า เรามีเกราะป้องกันและอาวุธที่พระเจ้าประทานให้ อยู่ติดตัวพวกเราทุกคนตลอดเวลา ทีนี้ มาดูกันว่ายุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า คืออะไร และมีไว้เพื่ออะไร

ดูเอเฟซัส 6:10-12 คือเกราะป้องกันและอาวุธที่คริสเตียนจำเป็นต้องมีและใช้ให้เป็นเพื่อที่เราจะได้รู้เท่าทันและสามารถป้องกันการคุกคามของมาร ทีนี้ เกราะหรือศาสตราอาวุธที่เราพูดถึงนั้นมันคืออะไร ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายแท้จริงแล้วการสวม“ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า” ก็คือ การสวมทับหรือการประดับจิตวิญญาณของเราด้วยชัยชนะหรือพระคุณของพระเยซูคริสต์

แล้วเราได้รับยุทธภัณฑ์ของพระเจ้านี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูกาลาเทีย 3:26-29

“เพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมในพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ คนที่บัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้วก็จะ สวมชีวิตพระคริสต์ บัพติศมาในพระคริสต์หมายถึง “คนที่รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ” ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เราเคยเรียนกันไปแล้วว่า ในยุคพระคุณของพระเยซูคริสต์นั้น ทุกคนที่รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทันที ทันทีเลย ไม่เกี่ยวกับการบัพติศมาด้วยน้ำ เพราะการบัพติศมาด้วยน้ำนั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงออกทางภายนอกถึงความเชื่อของเรา เหมือนเราสวมแหวนแต่งงานเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้ทุกคนเห็นว่า “เราแต่งงานแล้ว” แต่ถึงเราไม่สวมเราก็คือคนที่มีคู่แล้วอยู่ดี เพียงแต่คนอื่นอาจจะไม่รู้ ส่วนการได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นคือ การที่เราได้สวมชีวิตของพระคริสต์ไว้ในจิตวิญญาณของเรา ตั้งแต่วันแรกที่เราต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา หรือพูดง่ายๆว่า เมื่อเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจ พระองค์ก็ได้สถิตอยู่ในใจของเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนั้นเราก็ได้รับฤทธิ์อำนาจแห่งชัยชนะบนไม้กางเขนของพระองค์มาด้วย เราจึงมีอาวุธและเกราะป้องกันจิตวิญญาณให้ปลอดภัยจากการคุกคามของมาร

สรุปแล้วก็คือ เราได้รับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามาตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู แต่บางคนอาจจะไม่รู้ ก็เลยไม่เคยหยิบมาใช้............ส่วนคำว่า”พญามาร”ฟังดูแล้วอาจจะออกแนวแฟนตาซีไปหน่อย จริงๆแล้วมารคืออะไร

ดู 2โครินธ์ 10:3 ข้อนี้อ.เปาโลบอกว่า อาวุธของพระเจ้าก็เพื่อทำลายเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น สรุปแล้วมารคืออะไร มารก็คือ อะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามหรืออยู่คนละฝ่ายกับพระเจ้า มารจะเป็นตัวขัดขวางและพยายามทุกวิถีทางที่จะดึงเราให้หลุดไปจากทางของพระเจ้า ร้ายสุดคือตัวที่อยู่ในความคิดของเรา เพราะมารจะทำลายเราได้ก็ต่อเมื่อความเชื่อของเราสั่นคลอน มันเลยมักจะคอยหาช่องกัดกินความคิดของเรา คอยให้เหตุผลผิดๆ ใส่ความคิดผิดๆ เพื่อที่เราจะได้สงสัยหรือไม่แน่ใจในถ้อยคำของพระเจ้า เพราะนั่นคือวิธีที่จะทำให้จิตวิญญาณของคริสเตียนอ่อนแอลง และสุดท้ายก็อาจจะหลุดออกไปจากทางของพระเจ้า (แล้วมันก็...บิงโก)

อีกตัวที่ชั่วร้ายไม่แพ้กัน อยู่ในเนื้อหนังของเราเอง ก็คือ กิเลส ตัณหา ความเย่อหยิ่ง ความอิจฉาริษยา หรือความโลภในทุกๆทาง ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหลายทั้งปวง

.......ส่วนลำพังพวกภูติผี ปีศาจ ประเภทผีหลอกวิญญาณหลอน หรือบรรดาไสยศาสตร์พ่อมดหมอผี ถามว่าพวกนี้ใช่มารมั๊ย ใช่! แต่พวกนี้ไม่เท่าไหร่ เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ แค่มันรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า มันก็ไม่อยากยุ่งแล้ว (อันนี้ คือเรื่องจริง) เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่ามันไม่ค่อยมาสร้างปัญหาให้เราเท่าไหร่ (นอกจากเราจะไปอยากรู้อยากเห็นและเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเอง หรือกลัวมันไปเอง)

ดังนั้น การเรียนที่จะรู้จักใช้ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า ก็เลยเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคริสเตียนทุกคน เพราะว่าเรื่องของฝ่ายวิญญาณหรือสงครามฝ่ายวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า ถ้าไม่รู้จักแยกแยะหรือใช้ให้ถูกกาละเทศะ หลายคนก็มักจะยุ่งกับมันมากเกินไป จนทำให้ไปยึดติดกับเรื่องฤทธิ์เดชหรือปาฏิหารย์ และความเชื่ออาจจะผิดเพี้ยนได้ ซึ่งมันไม่ใช่เพราะโลกนี้ยังไม่ได้เป็นเวลาของเรื่องฝ่ายวิญญาณเพียงอย่างเดียว

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้ามีอะไรบ้าง ดูเอเฟซัส 6:14-17

สิ่งแรกพระคำภีร์บอกไว้ว่า “เอาความจริงคาดเอว” เพราะฉะนั้นยุทธภัณฑ์แรกของคริสเตียนคือ “เข็มขัด” นักรบสมัยโบราณคาดเข็มขัดเพื่อพกอาวุธให้ครบมือ ในข้อ๑๔บอกว่า”เอาความจริงคาดเอว” แล้วอะไรคือความจริง

เปิดไปดู ยอห์น 17:17 “ พระวจนะของพระเจ้า คือความจริง” เพราะฉะนั้นอาวุธแรกของเรานั้นอยู่ใน ถ้อยคำพระเจ้า และหลายๆครั้งความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า มักจะช่วยให้เราผ่อนคลายหายเหนื่อย ทั้งจากความบาป ความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลายทั้งปวงที่โลกหยิบยื่นให้เราไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรฐกิจเงินทอง โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ หรือภัยธรรมชาติ ที่เราได้รับรู้มามันก็คอยแต่จะบิ๊วท์ให้เราอยู่ไม่สุข แต่ขอบคุณพระเจ้าที่คริสเตียนมีถ้อยคำของพระเจ้าเป็นความจริง ที่จะทำให้เราไม่กลัวแล้วก็อยู่ได้อย่างมั่นคงและสงบเย็น เช่น เมื่อไหร่ที่เราตกงาน หรือถูกผลกระทบจากภาวะที่เศรฐกิจไม่ดีที่ กลัวว่าจะไม่มีกินเราก็เปิดไปดูพระคำสดุดี 23:1-2 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ” แปลว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยง และคำว่าพระองค์ทรงให้เรานอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด ก็หมายถึง พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราอย่างดีไม่ใช่เลี้ยงแบบขอไปที แต่แกะของพระองค์จะได้กินหญ้าที่เขียวสดอยู่เสมอและไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไปด้วย เพราะคำว่า “ริมน้ำแดนสงบนั้น” โดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กคิดว่ามันไม่ได้หมายถึงอาณาจักรสวรรค์เพียงอย่างเดียว เพราะคำนี้ยังทำให้น้าตุ๊กนึกถึงความมีสันติสุขในใจและได้กลิ่นของความสงบเย็นท่ามกลางความวุ่นวายและร้อนระอุของโลกใบนี้อีกด้วย

......หรือเมื่อไหร่ที่เราป่วยไข้ สมมติว่าเป็นหวัด2009 เอาล่ะสิ บางคนก็บอกเป็นแล้วไม่ตายแต่บางคนบอกไม่แน่! เราก็ท่องเลยพระคำอพยพ15:26 .....แล้วโรคต่างๆที่เราให้เกิดกับชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย....” ถึงเกิดก็หายได้ “...เพราะเรา คือแพทย์ของเจ้า” แล้วถึงจะไม่หาย เป็นแล้วบังเอิญเรา “ตาย” ต้องกลัวมั๊ย ไม่ต้องกลัว อาณาจักรสวรรค์รอเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เอาไงก็ได้ เราพร้อมทุกอย่าง

.......หรือ ทุกวันนี้มีเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติเยอะ เราดูข่าวแล้วรู้สึกหวาดๆ ก็ไม่เป็นไรเพราะเรามี สดุดี 91:7-11 แปลว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และไม่ว่าเราจะเป็นหรือตายเราก็จะปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเสมอ

สรุปแล้วอุบายแรกของมาร ก็คือ มันจะโจมตีถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเมื่อไหร่ที่เด็กๆสงสัยในพระวจนะของพระเจ้า รู้ตัวไว้เลย เรากำลังถูกมารปลดอาวุธ เพราะฉะนั้นให้เรายึดมั่นในถ้อยคำของพระเจ้า อย่าสงสัย ท่องจำให้ขึ้นใจอยู่เสมอ จะบทเดียวหรือหลายบทก็ขอให้ท่องไว้ (เลือกที่เราชอบก็ได้เพราะพระคำของพระเจ้าเป็นทั้งอาวุธและเกราะป้องกัน)

ยุทธภัณฑ์ที่สอง พระคำภีร์บอกว่า “ให้เอาทับทรวงเป็นเครื่องป้องกันอก” ทับทรวงรู้จักมั๊ย เครื่องประดับชิ้นโตๆที่แขวนอยู่กลางอก ทับทรวงของพระเจ้านั้นไม่ได้มีไว้เพื่อโชว์หรือแค่ให้ดูกล้ามใหญ่ใจโต เหมือนอะไรนะที่แขวนกันอันใหญ่ๆ สมัยนี้ (ฮิๆ ว่าจะไม่พาดพิงแล้วเชียว)

ทับทรวงของพระเจ้า คือ ความชอบธรรมในใจ มีไว้เพื่อป้องกันอาวุธของมารเพราะอุบายอย่างที่สองของมารคือ มันจะโจมตีเรื่อง”ความชอบธรรมของเรา” มันจะคอยกระซิบหรือทำให้เราสงสัยในความชอบธรรมของเรา เคยมะ อยู่ดีๆก็คิดว่า “เอ๊! ทำไมแค่เราเชื่อพระเยซูแล้วถึงกลายเป็นคนชอบธรรมได้นะ” เรายังไม่ได้ทำความดีอะไรเลยแล้วจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ไง เนี่ย อย่างเงี้ย ถูกมันโจมตีละ แล้วไม้เด็ดของมันคือ มันจะเอาความบกพร่องหรือความผิดพลาดในอดีตของเราเป็นเครื่องมือ (ที่หวังผลได้ซะด้วยสิ) เช่น เราอาจจะเคยเป็นคนขี้โมโห เราเคยเห็นแก่ตัว เราเคยขโมยของคนอื่น เคยขโมยเงินแม่ หรือแม้แต่เคยติดยา เคยติดคุก เคยสารพัดที่จะชั่วร้ายซะขนาดนี้ แค่เชื่อพระเยซู แล้วจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมได้ไง (ประมาณเนี้ย) คิดแล้วก็สะท้อนอยู่ในอก อยู่ในอกจริงๆ ไม่เชื่อเด็กๆลองนึกถึงสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำซักเรื่องสิ มันจะรู้สึกวาบอยู่ในอกจริงๆ

พระคำภีร์ถึงเปรียบความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ เป็นทับทรวงที่ใช้ป้องกันความรู้สึกผิดต่างๆ ไม่ให้มารเอากลับมาเล่นงานเราได้ เพื่อที่เราจะรู้สึกมั่นใจและเชื่อได้จริงๆว่าเรา คือผู้ชอบธรรม เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกกล่าวโทษตัวเอง ไม่ว่าในอดีตเราจะเลวร้ายขนาดไหนพระเยซูทรงชำระเราให้บริสุทธิได้มั๊ย สบายมาก ไม่มีบาปอันไหนใหญ่เกินกว่าที่พระองค์จะชำระได้ ขอให้เรามั่นใจแขวนความชอบธรรมของพระเจ้าป้องกันอกไว้ตลอดเวลา (แล้วแขวนยังไง ) ก็ให้เราขอบคุณพระเจ้า แล้วย้ำกับตัวเองเสมอๆว่า ความชอบธรรมของพระองค์ทรงเสถียร ไม่มีมากไม่มีน้อยไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าเชื่อพระเยซูคุณก็คือผู้ชอบธรรมเหมือนกัน และตราบใดที่เราเชื่อ พระองค์ไม่มีวันเอากลับคืน

ในหนังสือเอเฟซัส 6:15บอกต่อไปว่า “และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อม มาสวมเป็นรองเท้า”

ยุทธภัณฑ์ที่สาม คือ รองเท้า ข้อนี้บอกว่าข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข คือรองเท้า รองเท้ามีไว้เพื่อป้องกันการเสียดสีและลดความเจ็บปวดเวลาที่เราเดินไปเจอหินแหลมคมหรือเดินบนทางขรุขระ ก็คือ ช่วงเวลาที่เราต้องเจอปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต ซึ่งในช่วงเวลาอย่างงั้นมารก็มักหาทางให้เราลืมข่าวประเสริฐ เอาความคิดเลวๆมาใส่แทน เช่น เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมยังต้องเจอกับปัญหา ถ้าพระเจ้ารักเราจริงทำไมเรายังเจ็บป่วย

ถ้าในช่วงที่ชีวิตราบรื่นดีไม่มีปัญหา มันเป็นการง่ายที่เราจะท่องว่า “พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง ...” แล้วเราก็ได้เรียนรู้และเข้าใจดีว่าโลกนี้มันแค่ชั่วคราว ถ้าลำบากก็ทนเอาหน่อย มันไม่นานหรอก เพราะพระเจ้าเตรียมของจริงบนสวรรค์ไว้ให้เราแล้ว (เราจะคิดได้หมด ตราบใดที่เรายังอยู่ดีมีสุข) แต่ขณะที่เราอยู่ในปัญหา มารก็จะหลอกล่อ ให้เราคิดทุกอย่างในแง่ร้าย ถ้าความเชื่อของเราไม่แข็งแรง บางทีก็มีแว่บเชื่อมัน ลืมไปเลยว่าลำบากก็แป๊บเดียว ลืมโฟกัสที่ชีวิตนิรันดร์ หันมาจดจ่อกับความทุกข์ยาก (เนี่ย คือเราถูกมารเล่นงานแล้ว) และที่สำคัญ เราชอบลืมว่าเรามีเกราะป้องกันที่พระเจ้าประทานไว้ ให้หยิบมาใช้ในเวลาที่ทุกข์ยาก คือ รองเท้าของข่าวประเสริฐ

ให้เราบอกข่าวดีกับตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้ามีทางออกให้กับทุกปัญหา มีแน่นอน “ อธิฐานกับพระองค์ (ต้องมีทางออกแน่ๆ ) แล้วเราก็จะก้าวต่อไปได้อย่างมีสันติสุข

เอเฟซัส 6:16 “และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่” ดังนั้น ยุทธภัณฑ์ที่สี่ คือ โล่ หรือ ความเชื่อ ในข้อนี้บอกให้เราประดับให้ครบชุด ทั้งสามสิ่งที่พูดถึงไปแล้ว ก็มี “เข็มขัด ทับทรวง แล้วก็รองเท้า” รวมทั้งในข้อนี้ บอกให้มีความเชื่อเป็นโล่ป้องกันอาวุธของมารที่คอยยิงใส่เรา .......จริงๆแล้วโล่เนี่ยเป็นเกราะป้องกันชั้นแรกเลย ที่สามารถกันอาวุธไม่ให้เข้าถึงตัวเรา .........และในทางเดียวกันถ้าเรามีความเชื่อที่มั่นคง (เหมือนมีโล่ที่แข็งแรง) สิ่งต่างๆหรือสถานะการณ์ใดๆในโลกนี้ก็จะไม่สามารถทำให้เราไขว้เขว สงสัยหรือหลุดออกไปจากทางของพระเจ้าได้เลย แล้วถ้าเราถือโล่แห่งความเชื่ออยู่เสมอ บางที เข็มขัดหรือทับทรวง ก็แทบไม่ต้องใช้ (เพราะอะไร)

เพราะ ถ้าเรามีความเชื่อเราจะสงสัยในถ้อยคำพระเจ้ามั๊ย ไม่สงสัย ก็เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์

.....หรือถ้าเรามีความเชื่อ เราจะสงสัยในความชอบธรรมของตัวเองมั๊ย ไม่สงสัยหรอก เพราะเราจะเชื่ออย่างสนิทใจว่า พระเยซูทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น จงถือความเชื่อให้มั่น เพื่อที่อาวุธหรือการล่อลวงของมารจะได้เข้าไม่ถึงตัวหรือเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของเรา

ดูต่อไปข้อที่๑๗ บอกว่า “จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ...” เพราะความรอด คือ บทสรุปสุดท้ายหรือเป้าหมายสูงสุดของคริสเตียน และเป็นความหวังใจที่เราเฝ้ารอ และพระเจ้าทรงประทานให้เราแล้วตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์

ในข้อนี้ บอกว่า ความรอดเป็นหมวกเหล็ก ซึ่งเท่ากับมีไว้ป้องกันศีรษะ เพราะถ้าเรามีเข็มขัด มีทับทรวง มีรองเท้า แล้วก็ถือโล่ป้องกันครบชุด แต่เราเปิดกระหม่อมโชว์ไว้ไม่มีเกราะป้องกัน มารยิงหัวทีเดียว (ตายมะ) ไม่เหลือ

เปิดไปดู โรม10:9-10 (อ่าน) ในข้อนี้บอกเราว่า “ถ้าเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า เราก็ได้รับความรอดแล้ว” เพราะฉะนั้น เมื่อเราประดับเกราะป้องกันตัวครบถ้วนแล้ว อย่าลืมใส่หมวกเหล็ก โดยการบอกตัวเองอยู่เสมอว่า “เรารอดแล้ว” ไม่ต้องสงสัย..เพราะถ้าเราสงสัย เท่ากับเราถอดหมวกเหล็ก เปิดศีรษะให้เป็นเป้าซ้อมมือของมาร ทำไม ความสงสัยถึงทำให้เราถอดหมวก ประโยคนี้ทำให้น้าตุ๊กนึกถึงภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่เคยดูนานมาแล้ว ชื่อเรื่อง “saving private ryan” เป็นหนัง drama ที่มีฉากส่วนใหญ่อยู่ในสนามรบ ทหารทุกคนแต่งเครื่องแบบเต็มยศพร้อมทั้ง “สวมหมวกเหล็ก” เพื่อป้องกันศีรษะให้ปลอดภัยจากกระสุนของฝ่ายตรงข้าม หนังเรื่องนี้เปิดฉากขึ้นด้วยการยิงถล่มกันของทั้งสองฝ่าย มีทหารมากมายตายและบาดเจ็บ ส่วนฉากที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ในช่วงที่ทหารทั้งสองฝ่ายยิงใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ภาพก็จับไปที่ทหารคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ แต่เขาสวมหมวกเหล็กป้องกันอยู่เลยทำให้กระสุนแฉลบออกไป กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าไปในศีรษะของเขาได้ แต่ทหารคนนี้ก็คงรู้สึกว่าตัวเองถูกยิงที่ศีรษะและไม่แน่ใจว่า เข้าหรือไม่เข้า “ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดหมวกออก แล้วเอามือลูบไปทั่วศีรษะเพื่อสำรวจหารอยกระสุน (ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มี) ในขณะที่ หมวกถูกเปิดขึ้นด้วยความสงสัย ของเจ้าตัว ทันใดนั้น ก็มีกระสุนอีกนัดของฝ่ายตรงข้ามที่วิ่งเข้ามาเจาะทะลุศีรษะของเขา.....อีกทีและครั้งนี้.......ไม่พลาดและไม่มีหมวกเหล็ก.........ตายคาที่

ดูฉากนี้แล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า “เอ็งสงสัยทำไม (วะ) “ (ขอโทษที่ไม่สุภาพ) แต่ความไม่มั่นใจของทหารคนนี้มันขัดใจจริงๆ เพราะใส่หมวกไว้ก็ดีอยู่แล้วมัวแต่สงสัยเลยโดนเจาะกะโหลกเข้าให้จริงๆ

ภาพของหนังเรื่องนี้คงอธิบายได้ชัดเจนทีเดียว ว่าทำไมความสงสัยถึงอาจฆ่าเราได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ฉากของหนังเรื่องนี้ (ที่ดูมาเกือบสิบปีแล้ว) แจ่มชัดขึ้นมาในหัวของน้าตุ๊กทันทีที่เตรียมบทเรียนข้อนี้อยู่ เพราะบางเรื่องก็ยากที่จะสรรหาคำพูดมาอธิบายให้เห็นภาพได้

สุดท้าย ในข้อที่๑๗ บอกต่อไปว่า”..และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า” ยุทธภัณฑ์ห้าอย่างแรกที่เรียนไปมีไว้สำหรับป้องกัน แต่ชิ้นสุดท้ายคือพระแสงของพระวิญญาณ คือ “ดาบ” มีไว้ตอบโต้

ดูมัทธิว 4:5-7/8-11

แล้วมารจึงละพระองค์ไป...ในข้อนี้เป็นตัวอย่างที่พระเยซูใช้ถ้อยคำพระเจ้าเอาชนะการทดลองของพวกมาร เพราะฉะนั้น จำไว้ว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นอาวุธที่มารกลัวที่สุด เมื่อเราใช้พระคำต่อสู้กับมันเหมือนที่พระเยซูทรงทำ เราจะเป็นฝ่ายชนะ มารก็จะกลัวแล้วหนีไป .............เพียงแต่เราต้องระวังที่จะใช้ดาบนี้ให้ถูกที่ถูกทาง ก็คือใช้ตอบโต้เมื่อเวลาที่ถูกมารมันคุกคาม แต่...ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ยังไม่มีใครทำอะไรเราเลย ก็หยิบดาบมาเที่ยวไล่ฟาดฟันคนอื่นเขา อะไรไม่ได้อย่างใจก็สถาปนาในนามพระเยซู ไม่ชอบหน้าเพื่อนที่ทำงานหรือที่ร.รโดยไม่มีเหตุผล ก็หาถ้อยคำพระเจ้ามาไล่เขา สถาปนาให้เขาหายไปจากชีวิต อันนี้ก็ไม่ถูก ........จำไว้ว่า..ถ้อยคำพระเจ้าจะมีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาด ก็ต่อเมื่อเราใช้อย่างถูกต้องและชอบธรรม

คือ ๑. เราใช้เพราะเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ คือ เราเชื่อพระเยซู

และ๒. เราพึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า (โฟกัสที่พระเจ้า เหมือนคาเลบ) ไม่ใช่ความสามารถหรือเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง

ทั้งหมดนี้คือยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของคริสเตียนทุกคน ที่พระเจ้าประทานให้ตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู ขอให้เด็กๆอย่าลืมที่จะหยิบมาใช้ เพื่อที่จิตวิญญาณและความเชื่อของเราจะได้มั่นคงอยู่ในทางของพระเจ้าตลอดไป....สำหรับชั้นเรียนยุวชน สัปดาห์หน้าก็จะเป็นบททดสอบของหนังสือโยชูวา เตรียมตัวกันมาด้วยนะคะเด็กๆ...แล้วพบกัน

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น