วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 11 อาทิตย์ที่ 25:3:2012 (จบ)

ในรัชสมัยของโยสิยาห์ โยสิยาห์ได้ฟื้นฟูการนมัสการพระเจ้าอย่างเต็มรูปแบบ เขาทำลายการไหว้รูปเคารพทั้งในยูดาห์และเลยไปถึงที่อิสราเอลด้วย แล้วขณะที่กำลังปรับปรุงพระวิหาร ปุโรหิตก็ได้เจอหนังสือม้วนพระบัญญัติของโมเสส พอโยสิยาห์ได้ฟังเนื้อหาที่บันทึกไว้ก็ร้องไห้อย่างหนัก เพราะพระบัญญัติบันทึกคำแช่งสาปไว้ด้วย..ว่า..ถ้าอิสราเอลทิ้งพระเจ้าไปไหว้พระอื่น พระเจ้าจะให้ศัตรูมาทำลาย..อิสราเอลจะต้องตกไปเป็นเชลย ฟังแค่นั้น..โยสิยาห์ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง..สำนึกผิดและกลับใจใหม่ ร้องขอให้พระเจ้ายกโทษ ซึ่งพระคำภีร์บอกว่า..พระเจ้าทรงพอพระทัยแต่พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า “ความพิโรธของเราจะเทลงเหนือสถานที่นี้และจะดับไม่ได้” ดังนั้น พระองค์จึงส่งผู้เผยพระวจนะมาบอกโยสิยาห์ว่า..“เพราะจิตใจของเจ้าอ่อนโยน และเจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้าและร้องไห้ต่อหน้าเรา พระเจ้าจะให้ความร่มเย็นเกิดขึ้นตลอดชั่วอายุไขของโยสิยาห์ โยสิยาห์จะไม่เห็นบรรดาเหตุชั่วร้ายซึ่งพระเจ้าจะนำมาเหนืออาณาจักรยูดาห์” จากนั้น เราก็มาถึงวาระสุดท้ายของก.โยสิยาห์

มรณกรรมของโยสิยาห์

ดู 2พศด.35:20-21/22-23 เรื่องราวในข้อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังจะมีการเปลี่ยนมหาอำนาจของโลก อัสซีเรียเริ่มอ่อนกำลังและบาบิโลนกำลังจะขึ้นมาแทน สามปีก่อนหน้านั้นอัสซีเรียถูกบาบิโลนโจมตีและบาบิโลนก็ตั้งใจว่าจะกวาดล้างอัสซีเรียให้สิ้นซาก ส่วนอียิปต์ก็กำลังอยากจะขยายฐานอำนาจของตัวเองจึงกังวลว่าบาบิโลนจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทนอัสซีเรีย อียิปต์ก็เลยยกกองทัพไปช่วยอัสซีเรียรบที่คารเคมิช (คือคงตั้งใจไปสกัดดาวรุ่ง(บาบิโลน)ไม่ให้เกิดมากกว่า) ทีนี้ เส้นทางที่จะยกไปก็ต้องผ่านอาณาจักรยูดาห์ก่อน แต่ถ้าดูตามทางที่ก.เนโคยกไป จริงๆเขาก็ไม่ได้ไปเฉียดใกล้เยรูซาเล็มเท่าไหร่ แต่พอโยสิยาห์เห็นอียิปต์ยกทัพผ่านมา..กลับไม่ยอมให้เขาผ่านไป พอเห็นกองทัพอียิปต์..โยสิยาห์ก็ปร๊าด! เข้าไปเลย ข้อที่ 21 ก.เนโคบอกโยสิยาห์ว่า ”กษัตริย์แห่งยูดาห์เอ๋ย เรามีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน วันนี้เรามิได้มาต่อสู้ท่านแต่ต่อสู้กับวงศ์วานซึ่งเราทำสงครามด้วย..” ..เนโคพูดประมาณว่า โยสิยาห์อย่ามายุ่งดีกว่า ที่ยกมาวันนี้ไม่ได้จะมาตียูดาห์ แต่จะไปรบกับบาบิโลนโน่น เพราะฉะนั้น อย่ามาขวางรับรองจะไม่แตะต้องยูดาห์แน่นอน ข้อที่ 22 บอก “ถึงกระนั้นก็ดีโยสิยาห์มิได้หันพระพักตร์ไปจากพระองค์ แต่ทรงปลอมพระองค์ เพื่อจะสู้รบกับเนโค มิได้ฟังพระดำรัสของเนโคที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า แต่เข้ารบ ณ ที่หุบเขาเมกิดโด” ..คือ โยสิยาห์ไม่ฟังเลย ทั้งที่ข้อนี้บอกชัดเจนว่าสิ่งที่ก.เนโคพูดนั้นมาจากพระเจ้า (เพราะพระเจ้าตรัสผ่านใครก็ได้ ไม่เฉพาะแต่คนอิสราเอล คริสเตียน ผู้เผยพระวจนะ หรือนักเทศน์เท่านั้น) แต่โยสิยาห์ไม่ฟัง..จะรบท่าเดียว จัดแจงปลอมตัว..เสร็จเรียบร้อยก็ออกไปรบกับเขาที่เมกิดโด ปรากฎ..ถูกยิงตาย ทหารก็เอาใส่รถพากลับมาที่เยรูซาเล็ม”...ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะโยสิยาห์เป็นความหวังสุดท้ายของยูดาห์ เป็นเหมือนแสงสว่างดวงเดียวที่ยูดาห์เหลืออยู่ เพราะต่อจากโยสิยาห์.. ยูดาห์ก็ไม่มีกษัตรย์ที่ชอบธรรมอีกเลย กลับมาที่หนังสือพงศ์กษัตริย์..

2พกษ.23:25-26 บอกว่า “ก่อนพระองค์หามีกษัตริย์องค์ใดเหมือนพระองค์ไม่ ผู้ซึ่งหันหาพระเยโฮวาห์ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสุดพระกำลัง ตามพระราชบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หรือผู้ที่เกิดมาทีหลังพระองค์ ก็ไม่มีใครเหมือนโยสิยาห์ ถึงกระนั้นพระเจ้ามิได้ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าและยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระพิโรธของพระองค์ได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ ด้วยการกระทำทั้งสิ้นของมนัสเสห์ที่เป็นเหตุ” ..ข้อนี้บอกชัดเจนว่า “มนัสเสห์” คือ ตัวการที่ทำให้ยูดาห์ต้องถูกพิพากษา เฮเซคียาห์ คือ แบบอย่างของความเชื่อวางใจ ส่วนโยสิยาห์ คือ แบบอย่างของความเชื่อฟังและกระทำตามอย่างสุดกำลัง ส่วนเรา ต้องทำทั้งสองอย่าง คือ ไว้ใจพระเจ้า..เหมือนเฮเซคียาห์ และเชื่อฟัง..เหมือนโยสิยาห์

หลังจากที่โยสิยาห์ตายแล้ว เยโฮอาหาส..ลูกชายของโยสิยาห์ก็ขึ้นครองยูดาห์ แต่เยโฮอาหาสกระทำชั่วต่อพระเจ้า ดังนั้น การไหว้รูปเคารพอะไรต่างๆก็กลับมาแพร่หลายในยูดาห์อีกครั้ง ข้อที่ 31 บอกว่า เยโฮอาหาสครอบครองได้แค่สาม 3 เดือน เขาก็ถูกกษัตริย์เนโคแห่งอียิปต์ปลดและจับไปเป็นเชลย เสร็จแล้วเนโคก็ตั้ง”เยโฮยาคิม” น้องชายของเยโฮอาหาสขึ้นมาเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ แสดงว่า ตอนนั้นยูดาห์ตกเป็นเมืองขึ้นของอียิปต์ไปแล้ว เนโคถึงสามารถเข้ามาแทรกแซงบัลลังก์ของยูดาห์ได้ ส่วนเยโฮอาหาสก็ตายที่อียิปต์..ไม่มีโอกาสได้กลับมาที่ยูดาห์อีกเลย

ดู 2พกษ.24:1-2 ข้อที่แล้วเรารู้ว่าตอนนี้ยูดาห์เป็นเมืองขึ้นของอียิปต์ แต่มาข้อนี้ บอกว่าเยโฮยาคิมรับใช้”เนบูคัดเนสซาร์” ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ของบาบิโลน เรื่องของเรื่อง ก็คือ ช่วงก่อนสงครามที่คารเคมิช ยูดาห์เป็นเมืองขึ้นของอียิปต์ แต่จากนั้น ในปีที่ 4 ของรัชกาลเยโฮยาคิม อียิปต์ก็แพ้บาบิโลนในการรบที่คารเคมิช (เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในเยเรมีย์ 46:2) ดังนั้น ยูดาห์ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอียิปต์ ตอนนี้ก็เลยตกเป็นเมืองขึ้นของบาบิโลนไปโดยปริยาย อันนี้ก็คือ จุดเปลี่ยนของมหาอำนาจในขณะนั้น ข้อที่ 1 บอกว่า “เยโฮยาคิมเป็นคนใช้ของเนบูคัดเนสซาร์สามปี แล้วท่านก็กลับเปลี่ยนใจตั้งตัวเป็นกบฏต่อเนบูคัดเนสซาร์” ดังนั้น เนบูคัดเนสซาร์จึงยกมาโจมตีแล้วก็จับเยโฮยาคิมไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ซึ่งสิ่งนี้ เป็นมาจากพระเจ้า ข้อที่ 3 บอกชัดเจน “แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อจะให้เขาออกไปเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ (คือ พระเจ้าไม่อยากเห็นหน้าละ อะไรจะแย่กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว) เพราะบรรดาบาปของมนัสเสห์ ตามทุกอย่างซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ แต่! เรื่องของเรื่องคนยูดาห์ในสมัยนั้นก็ทำชั่วต่อพระเจ้าด้วย แล้วพระเจ้าก็เตือน..พระองค์เตือนคนยูดาห์ผ่านเยเรมีย์ไว้เยอะแยะมากมาย ให้เราเปิดไปดูตัวอย่างกันซักข้อ..

ดู เยเรมีย์ 7:1-4 นี่คือ คำเตือนที่ให้ข้อคิดที่ดีมาก “จงปรับปรุงพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าเสีย อย่าไว้วางใจในคำเท็จเหล่านี้ที่ว่า `นี่เป็นพระวิหารของพระเจ้า วิหารของพระเจ้า” ความหมายก็คือ คนยูดาห์ต้องเปลี่ยนแนวคิดและการกระทำ ไม่ใช่คิดว่า..แค่ชั้นอยู่ในวิหารของพระเจ้า..ชั้นก็ปลอดภัยแล้ว ชั้นไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรทั้งนั้น แค่อยู่ใกล้ๆวิหารพระเจ้าก็พอ เพราะไง..พระเจ้าต้องไม่ปล่อยให้วิหารของพระองค์ถูกทำลายแน่ แต่ ! จริงๆแล้ว ไม่ใช่เลย ข้อที่ 8 บอกว่า “ดูเถิด เจ้าวางใจในคำเท็จอย่างไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เจ้าจะลักทรัพย์ กระทำฆาตกรรม ล่วงประเวณี ปฏิญาณเท็จ เผาเครื่องบูชาถวายพระอื่น หรือทำอะไรตามใจชอบ เสร็จแล้วก็มายืนต่อหน้าเราในนิเวศนี้ แล้วบอกว่า `เราทั้งหลายได้รับการช่วยให้รอดพ้นแล้ว”..มันใช่มั๊ยเนี่ย พระเจ้าจะช่วยเรา..เพื่อให้เราทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ..อย่างงั้นหรือ ถ้างั้น..นิเวศนี้ซึ่งเรียกตามนามของเรา ในสายตาของเจ้าก็ได้กลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรไปแล้ว” อันนี้เป็นทั้งคำเตือนและคำกล่าวโทษที่พระเจ้าตรัสผ่านเยเรมีย์ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เราต้องไม่คิดว่า..แค่ชั้นมาโบสถ์พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซีเรียสอะไรนักหนา เคยทำชั่วอะไร..นิสัยแย่แค่ไหน หรือจะโกงใคร..ปากเสีย ก็ไม่เป็นไร..ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แค่มาโบสถ์ทุกอาทิตย์ก็พอ..อย่างงี้ได้มั๊ยคะเด็กๆ..ไม่ได้ เพราะถ้าเราคิดอย่างงี้ เราก็ไม่ต่างอะไรเลยกับคนยูดาห์ในสมัยนั้นที่ถูกพระเจ้ากล่าวโทษ ข้อที่ 14 พระเจ้าทรงตรัสว่า “เพราะเจ้าทั้งหลายได้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น และเมื่อเราพูดกับเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าทั้งหลายหาได้ฟังไม่ และเมื่อเราได้เรียกพวกเจ้า แต่เจ้ามิได้ตอบ..” ....และทั้งที่ให้เยเรมีย์มาเตือนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครฟังเลย..ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เป็นข้าราชการ เป็นประชาชนหรือแม้แต่ปุโรหิต ไม่มีใครกลับใจเลย..ยังดึงดันที่จะทำชั่วเหมือนเดิมแล้วก็บอกว่า..อยู่ได้ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงพระเจ้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เยรูซาเล็มถูกทำลายแน่นอน (เดี๋ยวก็รู้) และณ.จุดนั้น จึงเป็นวาระที่ยูดาห์ต้องถูกพิพากษา เพราะพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจผิดอีกต่อไป..

ดู 2พกษ.24:11-12 หลังจากที่เยโฮยาคิมตายแล้ว เยโฮยาคีน..ลูกชาย ก็ขึ้นครองยูดาห์ เยโฮยาคีนครองยูดาห์ได้แค่ 3 เดือน เนบูคัดเนสซาร์ก็ยกมาโจมตียูดาห์อีกครั้ง ข้อที่ 13 บอกว่า “คราวนี้ พวกบาบิโลนได้ขนเอาบรรดาทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้า และในสำนักพระราชวัง ซึ่งซาโลมอนสร้างไว้ไปจนเกลี้ยง ทองคำอะไรต่างๆ ถูกตัดเป็นชิ้นๆ แล้วส่งไปที่บาบิโลน นอกจากนี้ เนบูคัดเนสซาร์ก็ยังกวาดต้อนคนยูดาห์ไปเป็นเชลย “...ทั้งเจ้านายทั้งปวง และทแกล้วทหารทั้งหมด เป็นเชลยหนึ่งหมื่นคน มีช่างฝีมือและช่างเหล็กทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเหลือนอกจากประชาชนที่จนที่สุดแห่งแผ่นดิน” ...และนี่คือ คนยูดาห์รุ่นแรกที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ซึ่งมีแต่พวกหัวกะทิทั้งนั้นเพราะเขาคัดเอาแต่คนเก่งๆที่ทำงานในวังไปหมดเลย..ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นักบริหาร นักการปกครอง คนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงช่างฝีมือต่างๆของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กวาดไปเกลี้ยง อันนี้ เป็นนโยบายของเนบูคัดเนสซาร์ คือ ไปตีที่ไหน..เขาก็จะขนเอาปัญญาชน คนเก่งๆที่เป็นมันสมองของเมืองนั้น..มาทำงานให้ จากนั้น ข้อที่ 17 บอกว่า “เนบูคัดเนสซาร์ก็ได้ตั้ง”มัทธานิยาห์ หรืออีกชื่อคือ “เศเดคียาห์”..ซึ่งเป็นลุงของเยโฮยาคีนขึ้นมา..เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ เห็นมั๊ยคะ..ไม่ว่าจะถูกชาติเดียวกันกบฎหรือถูกต่างชาติยึดครอง กษัตริย์ยูดาห์ก็ยังเป็นราชวงศ์ของดาวิดอยู่วันยังค่ำ พระเจ้าไม่ได้ควบคุมแต่คนอิสราเอลหรือคนที่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น เท่านั้นแต่พระองค์ควบคุมทุกสรรพชีวิตและทุกสรรพสิ่งทั้งบนโลกและมหาจักรวาล และเศเดคียาห์ก็คือ กษัตริย์องค์สุดท้ายของยูดาห์

ดู 2 พกษ.24:20/25:1 แต่แล้ว เศเดคียาห์ก็กบฎต่อบาบิโลนอีก ข้อที่ 20 บอกว่า “เพราะว่าโดยพระพิโรธของพระเจ้านั้นเหตุการณ์มาถึงขีด ที่พระองค์ทรงเหวี่ยงเยรูซาเล็มและยูดาห์ไปให้พ้นพระพักตร์พระองค์ และเศเดคียาห์ได้กบฏต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน” หมายความว่า การที่เศเดคียาห์กบฎจนบาบิโลนต้องยกมาทำลายในครั้งนี้..เป็นมาจากพระเจ้า เพราะเศเดคียาห์ไม่กลับใจ..ไม่นำประชาชนให้กลับใจ ทั้งที่พระเจ้าก็ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ให้เวลานานหลายปี แต่..ยูดาห์ไม่เชื่อคนของพระเจ้าแต่กลับไปเชื่อคำเผยพระวจนะเทียมเท็จ ทำไม..เพราะเยเรมีย์เผยทีไร..บอกอยู่ไม่ได้แน่ถ้าไม่กลับใจ ส่วนพวกเทียมเท็จบอกไม่เป็นไร..อยู่ไปเหอะ..ตามสบาย ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ต้องกลัวด้วย..พระเจ้าไม่มีทางทำลายเยรูซาเล็มหรอก เพราะวิหารของพระองค์ตั้งอยู่ที่นี่..

แล้วทุกวันนี้ยังมีมั๊ย..คำเผยวจนะเทียมเท็จ..เยอะมาก..แล้วคนส่วนใหญ่ก็ชอบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักทำนายหรือหมอดู ด้วยความเคารพ..โดยส่วนใหญ่แล้ว คนพวกนี้จะใช้จิตวิทยาสุดๆ รู้ว่าคนส่วนใหญ่อยากให้พูดอะไร มีไม่กี่อย่างหรอกที่คนเราอยากจะฟัง "เมื่อไหร่จะรวย เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่..ส่วนใหญก็อยากรู้แค่นั้น" เพราะงั้น หลายคนชอบไปหาหมอดู ก็เพราะ..อยากไปฟังอะไรที่ชอบๆ..ที่ถูกใจ ถ้าไปแล้วเขาบอกว่าดวงดี เดี๋ยวปีนั้น..ปีนี้จะรวย จะถูกหวยหรือได้คู่ครอง..ก็ชอบ จะจริง..ไม่จริง ไม่รู้..แต่โอเคละ..สบายใจกลับไปนอนหลับฝันดี ดังนั้น พระคำภีร์จึงสอนให้เราแยกแยะให้ได้..ระหว่างผู้เผยพระวจนะแท้ กับ ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เราจะรู้ได้ไงว่าคนๆนั้นเป็นคนของพระเจ้า..มาจากพระเจ้า

(1.)สิ่งที่เขาพูดต้องเกิดขึ้นจริง ถ้าไม่จริง..ตัดทิ้งได้เลย แต่แค่นั้น ยังไม่พอ เพราะคำทำนายหรือคำสอนที่พวกเทียมเท็จพูด..บางอย่างก็อาจจะเกิดขึ้นจริงอย่างที่เขาบอก เพราะงั้นแค่นี้จึงยังตัดสินไม่ได้ สิ่งสำคัญอีกข้อก็คือ (2.) คำสอนของผู้เผยพระวจนะแท้..จะต้องโน้มนำให้คนดำเนินอยู่ในทางพระเจ้าด้วย ถ้าครบสองข้อนี้ ถึงจะตัดสินได้..ว่าคนๆนั้นมาจากพระเจ้าจริงๆ

ในที่สุด พระพิโรธของพระเจ้าก็มาถึงขีดสุด..ที่เยรูซาเล็มและยูดาห์จะต้องถูกทำลาย และครั้งนี้..จะไม่มีอะเหลือเลย แล้วพระองค์ก็ได้ตรัสบางอย่างไว้กับเยเรมีย์ก่อนที่พระองค์จะทำลายเยรูซาเล็ม..ซึ่งเป็นข้อคิดที่น่าสนใจมากสำหรับเรา เปิดไปดูเยเรมีย์..

ดู เยเรมีย์ 24:1/2-3 พระเจ้าทรงสำแดงนิมิตแก่ข้าพเจ้าว่า”ดูเถิด มีกระจาดสองลูกใส่มะเดื่อ วางไว้หน้าพระวิหารของพระเจ้า กระจาดลูกหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดีนัก เหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกลูกหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ถามเยเรมีย์ว่า "เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร" เยเรมีย์ตอบว่า"เห็นมะเดื่อที่ดี..ก็ดีมาก และที่เลวก็เลวมาก เลวจนรับประทานไม่ได้ “ ข้อที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “ก็เหมือนอย่างมะเดื่อที่ดีเหล่านี้แหละ เราจะถือว่าพวกเหล่านั้นที่ถูกกวาดไปจากยูดาห์”ยังดีอยู่” คือผู้ที่เราได้ส่งไปจากสถานที่นี้ไปสู่แผ่นดินของชาวเคลเดีย เราจะตั้งตาของเราดูเขาเพื่อจะกระทำความดี และจะพาเขาทั้งหลายกลับมายังแผ่นดินนี้อีก เราจะสร้างเขาทั้งหลายขึ้น และจะไม่รื้อลง เราจะปลูกฝังเขาและไม่ถอนเขาเสีย เราจะให้จิตใจแก่เขาที่จะรู้จักเราว่า เราคือพระเยโฮวาห์ และเขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา เพราะเขาทั้งหลายจะกลับมาหาเราด้วยความเต็มใจ" ข้อที่ 8 พระเจ้าตรัสต่อไปว่า"เหมือนอย่างมะเดื่อที่เลว ซึ่งเลวมากจนรับประทานไม่ได้นั้น เราจะกระทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทั้งเจ้านายของเขา และชาวเยรูซาเล็มที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งยังค้างอยู่ในแผ่นดินนี้ และผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ เราจะมอบเขาไว้ให้ย้ายไปอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นในโลกเพื่อให้เขาเจ็บปวด ให้เป็นที่ถูกตำหนิ เป็นคำภาษิต เป็นที่ถูกเยาะเย้ย และเป็นที่ถูกสาปแช่ง ในที่ทุกแห่งซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น และเราจะส่งดาบและการกันดารอาหาร และโรคระบาดมาท่ามกลางเขา จนเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขาและแก่บรรพบุรุษของเขา" คือ..

พระเจ้าทรงสำแดงแก่เยเรมีย์ว่า”พระองค์ทรงถือว่าคนยูดาห์ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น.. ”เป็นมะเดื่อที่ดี” ส่วนพวกที่ยังได้อยู่ในเยรูซาเล็มนั้นเป็น”มะเดื่อเลว” แล้วพระเจ้าก็ทรงต้องการที่จะทำลายมะเดื่อเลวทิ้งให้สิ้นซาก..โดยที่ไม่ไปกระทบกระเทือนมะเดื่อที่ดี พระองค์จึงทรงแยกคนสองพวกนี้ออกจากกัน โดยเอาพวกที่ดี..ไปเก็บไว้ที่อื่นก่อน พระเจ้าจะได้ทำลายไอพวกที่เลวได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ แต่คนยูดาห์เขาไม่ได้คิดอย่างงั้น เขาคิดว่าพวกที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนน่ะ..”ต้องเป็นมะเดื่อเลว” ส่วนที่ยังได้อยู่ในยูดาห์นั้นคงจะเป็น ”มะเดื่อดี” เพราะอย่าลืมว่าในสมัยนั้นคนอิสราเอลผูกพันแล้วก็ยึดติดกับดินแดนคานาอันมาก การที่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญาถือว่าเป็นพระพร..เป็นสิทธิพิเศษ เป็นที่โปรดปราน เพราะงั้น พวกที่ถูกกวาดต้อนไป..นั่นคือ สงสัยจะเป็นพวกคนบาป เป็นพวกที่ไม่สมควรจะได้อยู่ในดินแดนของพระเจ้า อะไรประมาณนั้น แต่!ความคิดนี้..มันคนละเรื่องกับทางของพระเจ้าเลย พระองค์จึงเผยพระวจนะผ่านเยเรมีย์ให้เราได้เข้าใจถึงข้อเท็จจริง..ว่าพระเจ้าคิดไม่เหมือนมนุษย์ และทางของพระองค์ก็สูงกว่าทางของเราเสมอ อันนี้เป็นบทเรียนสำหรับเรานะคะ..ว่าหลายครั้ง “สิ่งที่มนุษย์คิดว่าดี บางทีมันก็อาจจะไม่ได้ดีหรือไม่ได้เป็น..อย่างที่ตามองเห็น” ในทางตรงกันข้าม “สิ่งที่เรามองว่าไม่ดี บางครั้งอาจจะมีแผนการที่ดีของพระเจ้าซ่อนอยู่ เหมือนคนยูดาห์ที่ต้องตกไปเป็นเชลยในต่างแดน..ณ.เวลานั้น พวกเขาคงคิดไม่ออก..ว่ามันจะดีตรงไหน แต่สุดท้ายแล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงผ่านเยเรมีย์ว่า นั่นคือ แผนการที่พระองค์จะเอาพวกเขาไปเก็บไว้ในที่ๆปลอดภัย แล้วเมื่อพระเจ้าจัดการทำลายพวกมะเดื่อเลวให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินแล้ว พระองค์จะนำพวกเขา..ที่ซึ่งเป็นมะเดื่อดีของพระเจ้า..กลับบ้าน กลับมาสู่ดินแดนที่พระองค์ประทานให้ และสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำกับพวกมะเดื่อเลวที่หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินยูดาห์ก็คือ “พระเจ้าจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมาท่ามกลางคนยูดาห์ จนพวกเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดินซึ่งพระองค์ประทานให้ แล้วอาณาจักรยูดาห์กับคนที่เหลืออยู่ในเมืองก็พบจุดจบอย่างที่เยเรมีย์บอกจริงๆ ขณะที่น้าตุ๊กกำลังจะโพสต์งานลงบล็อก พระเจ้าทรงสำแดงแก่น้าตุ๊กว่า แท้จริงแล้วเรื่องนี้มีภาพฝ่ายวิญญาณที่ชัดเจนแฝงอยู่ คือในยุคสุดท้ายที่กำลังมาถึงนี้พระองค์ก็จะทรงกระทำอย่างงี้กับมนุษยชาติอีกครั้ง พระองค์จะทรงแยก”มะเดื่อดี”ออกจาก”มะเดื่อเลว” โดยประทับตราของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ในหัวใจลูกๆของพระองค์ จากนั้น เมื่อโลกนี้ถึงกาลที่จะถูกพิพากษาจิตวิญญาณของพวกมะเดื่อเลวก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน จากนั้นพระองค์จะนำจิตวิญญาณของเหล่าธรรมิกชนม์ของพระองค์..”กลับบ้าน..กลับไปสู่อาณาจักรสวรรค์..ดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะให้เราอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์” เรากลับมาที่..

ดู 2พกษ.25:2-3/4-5 หลังจากที่บาบิโลนล้อมเยรูซาเล็มอยู่ประมาณปีครึ่ง..ชาวยูดาห์ก็หมดแรงที่จะต้านทาน..เพราะ ไม่มีอาหาร..เสบียงหมด แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเยรูซาเล็มมีชัยภูมิที่เหมาะสม..บาบิโลนคงตีแตกไปนานแล้ว แต่เพราะที่ตั้งของเยรูซาเล็มตียากมากก็เลยลากยาวได้ถึงปีกว่า..แต่สุดท้ายก็ล่มสลายพ่ายแพ้ต่อบาบิโลน ก.เศเดคียาห์ก็หนีไปแต่ก็ถูกจับได้ที่เมืองเยรีโคก่อนจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน จากนั้น เขาก็เอาตัวเศเดคียาห์กลับมาให้เนบูคัดเนสซาร์พิพากษา แล้วพวกบาบิโลนก็จับตัวลูกชายเศเดคียาห์มาฆ่าต่อหน้าเขา..ตายหมดเลย เสร็จแล้วก็ทำให้เศเดคียาห์ตาบอดทั้งสองข้าง หมายความว่าภาพสุดท้ายในชีวิตของเศเดคียาห์..เป็นภาพที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานที่สุด เพราะมันคือภาพที่ลูกตัวเองถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา จากนั้น เขาก็จับเศเดคียาห์ตีตรวนล่ามโซ่เอากลับไปขังที่บาบิโลน แล้วเศเดคียาห์ก็ทนทุกข์ทรมานจนตาย ข้อที่ 8 บอกว่า “วันที่เจ็ดเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้มายังเยรูซาเล็ม แล้วก็เผาพระนิเวศของพระเจ้า..เผาพระราชวัง และเผาบ้านเรือนทั้งหมดทุกหลังในเยรูซาเล็ม จากนั้นก็ทลายกำแพงเมือง” ..ทำไมต้องทำขนาดนี้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ช่างก่อกบฎหลายครั้งมาก จนเนบูคัดเนสซาร์คิดว่า..ครั้งนี้พอกันที ส่งทหารมาแล้วสั่งให้เผา..รื้อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างทั้งพระนิเวศน์ พระราชวัง บ้านเรือนหลังใหญ่หลังเล็ก เผาทิ้งเกลี้ยงจนเยรูซาเล็มมีสภาพเหมือนกองขยะ..มีแต่สิ่งปรักหักพัง แล้วก็ยังกวาดต้อนคนไปเป็นเชลยอีกเป็นรุ่นที่ 3 จากนั้น เนบูคัดเนสซาร์ก็ได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์ขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง แต่ไม่นานก็ถูกอิชมาเอลกบฎแย่งชิงอำนาจไป แล้วก็นั่นคือ จุดที่อาณาจักรยูดาห์ล่มสลาย..ไปในปีก่อน คศ.586

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ก็จบอย่างสมบูรณ์แล้วนะคะ จนกว่าจะพบกันใหม่

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ