วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2 ซามูเอล ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ 26:9:2010

บทที่1 จบลงที่ดาวิดก็ได้ไว้อาลัยให้กับซาอูลและโยนาธาน ด้วยคำนิยมที่ไพเราะ สวยงามไม่มีที่ติเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้น ดาวิดก็หันมาจัดการพิพากษาคนอามาเลขที่ฆ่าซาอูล..ด้วยข้อหาบังอาจฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม..
ดู2ซมอ.2:1-2 พอเคลียร์เรื่องยุ่งๆเสร็จแล้ว ดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าว่า..เขาควรจะเอายังไงต่อไป...เด็กๆจำไว้..ว่าทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิต..เราเองก็ควรจะถามพระเจ้าทุกครั้งเหมือนกัน เช่น..พระเจ้าลูกควรทำไงดี..พระองค์คิดว่าลูกควรจะเรียนสายวิทย์มั๊ย หรือมีงานพิเศษอันนี้..จะทำดีหรือ ไม่ดี หรือแม้แต่ คนนี้เค้ามาจีบนานแล้ว..ลูกจะคบดีรึเปล่า..พระองค์เจ้าข้า ขอทรงเมตตาสำแดงแก่ลูก..ว่าพระองค์ทรงเห็นว่าไง (ลูกก็จะกระทำตามอย่างที่พระองค์ทรงเห็นชอบ) เหมือนในข้อนี้..ที่พอพระเจ้าบอกให้ดาวิดไปอยู่ที่เมืองเฮโบรน ในเขตของเผ่ายูดาห์ ดาวิดก็เชื่อฟังพระเจ้า จัดแจงย้ายพรรคพวกกับครอบครัวไปอยู่เฮโบรนตามที่พระเจ้าบอกทันที ข้อที่ 4 บอกว่า..ชาวยูดาห์ก็ยกดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา..ตามที่พระเจ้าเจิมไว้ (ยูดาห์เท่านั้น..ไม่ใช่อิสราเอลทั้งประเทศ)
ดู2ซมอ.2:5-6 จำได้มั๊ย..หลังจากที่ซาอูลตาย พวกฟิลิสเตียก็ตัดหัวเขากับโยนาธานแล้วเอาศพไปเหน็บประจานไว้ที่กำแพงเมือง ตอนนั้นเองที่ชาวยาเบชกิเลอาดได้สำแดงความกล้าหาญ ด้วยการบุกไปเอาศพคืน..กลับมาฝังที่อิสราเอล ข้อที่ 5 บอกว่า..พอมีคนมาบอกเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดรีบส่งผู้สื่อสารไปกล่าวชมเชย ยกย่องแล้วก็อวยพรชาวเมืองกิเลอาดเป็นการใหญ่ อารมณ์ประมาณว่า..ขอบคุณนะ..ที่ช่วยดูแลครอบครัวของเขา เพราะดาวิดเห็นซาอูลกับโยนาธานเป็นคนครอบครัวเดียวกับเขาเสมอ แล้วเขาก็ไม่เคยคิดเป็นอื่นกับซาอูลเลย..รักแล้วก็เคารพซาอูลเหมือนพ่อ แล้วโยนาธานก็เหมือนพี่ชายแท้ๆ
ดู2ซมอ.2:8-11 ชาวยูดาห์ได้สถาปนาดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว เพราะอิสราเอลทุกคนรู้ดีว่า..พระเจ้าทรงเจิมตั้งดาวิดไว้ นั่นก็หมายถึง พระเจ้าเลือกแล้ว..ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล แต่อับเนอร์..ไม่ อับเนอร์กลับทำบางอย่างที่ขัดกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นการกระทำที่ส่งผลร้ายแรง แล้วก็ลากยาวกว่าที่ใครๆจะคาดคิด ข้อที่ 9บอกว่า ”อับเนอร์ได้สถาปนา..อิชโบเชท โอรสของซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” เด็กๆเริ่มเห็นเค้าโครงของการแบ่งแยกรึยัง ฟังแล้วคิดดีๆ ข้อที่ 4 บอกว่า..”ชาวยูดาห์สถาปนา”ดาวิด”ขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์” พอมาข้อนี้พระคำภีร์บอกว่า..”อับเนอร์ก็เอามั่ง..สถาปนา อิชโบเชท ขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล” โดยส่วนตัวแล้วน้าตุ๊กคิดว่า..จุดเริ่มต้นของรอยร้าวระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์..น่าจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้แหละ (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร) อับเนอร์คิดว่าตัวเองเป็นใคร..ถึงได้มีสิทธิ์เที่ยวยกแผ่นดินอิสราเอลให้ใครต่อใครได้ตามใจชอบ ต้องคิดให้ดีๆนะ..จริงๆแล้วอาณาจักรอิสราเอลไม่ได้เป็นของอับเนอร์..เขาไม่มีสิทธิ์ยกให้ใครทั้งนั้น พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ แล้วไม่ใช่เขาไม่รู้..ว่าพระเจ้าเลือกดาวิด อับเนอร์รู้..แต่ยังจะทำสิ่งที่ขัดกับน้ำพระทัย..ยกอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์
ดู2ซมอ.2:12-14 ข้อนี้บอกว่า..อับเนอร์กับทหารของอิชโบเชทไปที่เมืองกิเบโอน ส่วนโยอาบกับทหารฝ่ายดาวิดก็ออกไปที่เดียวกัน ซึ่งจริงๆ ก็คงจะนัดกันนั่นแหละ ข้อที่13 บอกว่า..พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้..อีกพวกหนึ่งอยู่ข้างโน้น” พูดง่ายๆก็เหมือนแก๊งสองแก๊งกำลังนัดจะยกพวกตีกัน พอมาถึงจุดนัดหมายทั้งสองฝ่ายก็นั่งประจัญหน้า แล้วก็เริ่มประกาศศักดาท้าทายกัน โดยอับเนอร์เป็นคนเริ่มก่อน ข้อที่ 14 อับเนอร์พูดกับโยอาบว่า..”ให้คนหนุ่มลุกขึ้นรบเล่นกันให้เราดู” นี่คือสิ่งที่หัวหน้าแก๊งชอบทำ คือเบ่งกล้ามกัน แล้วก็ส่งลูกน้องออกไปตายก่อน อับเนอร์เป็นคนท้า แต่ โยอาบก็ไม่ยอมอยู่แล้ว..เดี๋ยวเสียเหลี่ยม เลยตอบกลับไปประมาณว่า..เอาไงเอากัน
ดู2ซมอ.2:15-17 ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันว่า..ให้แต่ละฝ่ายเลือกตัวแทนฝ่ายละ12คน พอการประลองเริ่มขึ้น..พระคำภีร์บอกว่า..ทุกคนก็ดึงผมของฝ่ายตรงข้ามไว้ แล้วต่างคนต่างก็แทงคู่ต่อสู้ของตัวเอง สรุปแล้วทั้ง24คน..ตายเกลี้ยง (ได้อะไรเนี่ย..) ข้อที่17 บอกว่า..การสู้กันในวันนั้นบ้าบิ่นสุดๆ แล้วฝ่ายของอับเนอร์..คือ ฝ่ายอิสราเอลส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะสู้ฝ่ายยูดาห์ที่นำโดยโยอาบ..ไม่ได้
ถ้าคิดให้ดีจะเห็นว่า..การประลองกำลังครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ที่เคยแตกแยกกันก็ถูกบั่นให้ลึกลงไปอีก เพราะการท้าประลองกันอย่างงี้..พูดตรงๆเหมือนจิ๊กโก๋ยกพวกตีกัน ดวลกันเสร็จ..ฝ่ายที่แพ้จะยอมเลิกมั๊ย..ส่วนใหญ่ไม่เลิกหรอก มีแต่แพ้ชวนตี คือ แพ้แล้วไม่รู้จักแพ้ จะเอาคืนกันไม่มีวันเลิกลา
ดูต่อไป2ซมอ.2:18-21 พอตกเป็นลอง..อับเนอร์กับพวกดูเหมือนจะต้องหนีก่อน..อย่างน้อยก็ชั่วคราว ข้อนี้บอกว่า..สามพี่น้อง คือ โยอาบ อาบีชัย (ที่ย่องไปเอาเหยือกน้ำกับดาวิด แล้วขอดาวิดฆ่าซาอูลอ่ะ..จำได้มะ) แล้วอีกคนคืออาสาเฮล ก็อยู่ในการประลองครั้งนั้นด้วยอย่างพร้อมหน้า แต่..อาสาเฮลน้องสุดท้องเป็นคนไล่ตามอับเนอร์ไป ข้อที่18 บอกว่า..ฝ่ายอาสาเฮลนั้นฝีเท้าเร็วอย่างละมั่ง ก็เลยตามอับเนอร์ไปอย่างกระชั้นชิด..หวังจะเอาชนะอับเนอร์ให้ได้ คือ เขาทำให้เรานึกถึงเด็กหนุ่มไฟแรงที่มีอารมณ์อยากพิสูจน์ตัวเองอ่ะ..เด็กๆนึกออกมะ อาสาเฮลคงเป็นเด็กที่มีความกล้า แล้วอาจจะเห็นว่า..นี่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ฝีมือหรือความเป็นผู้ใหญ่ของเขา..รึเปล่า ถึงได้ตามอับเนอร์ไปอย่างไม่คิดชีวิต ข้อที่19 บอกว่า ขณะที่ตามอับเนอร์ไป อาสาเฮลไม่เลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้ายเลย หมายความว่า..จดจ่อ แล้วก็มุ่งมั่นมากที่จะฆ่าอับเนอร์ให้ได้ ข้อที่21 อับเนอร์เลยพูดกับอาสาเฮลว่า..จงเลี้ยวไปทางขวาหรือซ้ายก็ได้แล้วเลือกจับเอาคนหนุ่มซักคน..แล้วริบของเขาซะ หมายความว่าไง..อับเนอร์พยายามที่จะบอกอาสาเฮลว่า..กลับไปเหอะ หรือไม่ก็ไปสู้กับคนอื่นแทน เลือกเอาทหารหนุ่มๆซักคนก็ได้แต่อย่ามายุ่งกับเขาเลย แต่อาสาเฮลไม่ฟัง..ยังตามไม่เลิก
ดูต่อ 2ซมอ.2:22-23 พอเห็นอาสาเฮลตามไม่ยอมเลิก อับเนอร์เลยออกปากเตือนอีกครั้งหนึ่งว่าเลิกตามเขาเหอะ..เขาไม่ฆ่าเด็กหนุ่มอย่างอาสาเฮล เพราะเดี๋ยวจะมองหน้าโยอาบไม่ได้ แต่..อาสาเฮลก็ไม่สนใจ..ยังตามอับเนอร์ไปจนถึงตัว
เห็นได้ชัดว่าอับเนอร์ก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเด็ก แต่คงหมดความอดทน ข้อที่23 บอกว่า อับเนอร์เลยใช้ ”โคนหอก” แทงจนทะลุไปข้างหลัง อาสาเฮลเลยนอนตายอยู่ตรงนั้น เด็กๆสังเกตดู..พระคำภีร์บอกว่าอับเนอร์ใช้”โคนหอก” ไม่ใช่ปลายแหลมนะ..ที่ใช้แทงอาสาเฮล หมายความว่า..เขาต้องแข็งแรงอย่างมาก เพราะการใช้ของทื่อๆแทงคนอื่นจนทะลุข้างหลัง..ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้กำลังมหาศาล เพราะฉะนั้น การใช้โคนหอก..อาจจะมีนัยน์ที่ทำให้อับเนอร์ดูมีศักดิ์ศรีขึ้นมา..นิดนึง (รึเปล่า..ไม่รู้ อันนี้เป็นข้อสันนิฐาน)
ดู2ซมอ.2:24-26 แน่นอน..โยอาบกับอาบีชัย ไม่มีทางยอมให้น้องตายฟรีอยู่แล้ว ข้อนี้บอกว่า..พวกเขาไล่ตามอับเนอร์ไปจนถึงทางที่จะไปเมืองกิเบโอน ส่วนพวกของอับเนอร์ก็ตั้งท่าอยู่ที่ยอดเขา แล้วอับเนอร์ก็พูดกับโยอาบว่า..”จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ ท่านไม่ทราบหรือว่าตอนปลายมือก็ขม..” ความหมายก็คือ อับเนอร์ชวนให้พักรบก่อน เขาพูดประมาณว่า..จะให้พี่น้องฆ่ากันเองไปอีกนานแค่ไหน ไม่รู้หรอว่า..สุดท้ายก็มีแต่จะเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ส่วนโยอาบก็เห็นว่ามืดแล้ว..เลยยอมตกลงให้พักการรบไว้ก่อน เพราะฝืนตามไปก็คงลำบากเหมือนกัน ข้อที่30บอกว่า พอกลับมานับจำนวนพลกันแล้วปรากฎว่า..ฝ่ายทหารของดาวิดคือยูดาห์..ที่นำโดยโยอาบ เสียทหารไป 19 คนถ้ารวมอาสาเฮลด้วยก็เป็น 20คนเท่านั้น แต่ฝ่ายของอับเนอร์ ทหารเก่าของซาอูล..เสียกำลังพลไป 360 คน..คือ ตอนนี้อับเนอร์สู้ไม่ได้เห็นๆ เพราะเสียทหารไปมากกว่าฝ่ายของดาวิดหลายเท่า
ดู2ซมอ.3:1 ข้อนี้บอกว่า..มีการทำสงครามระหว่างพงพันธ์ของซาอูล..ที่นำโดย”อับเนอร์” กับ พงศ์พันธ์ของดาวิด อยู่อีกนาน..เราลองคิดให้ดี..ว่าชนวนของความแตกแยกอันนี้มันเริ่มจากตรงไหน มันเริ่มจากอับเนอร์ใช่มั๊ย..ที่ดึงดันตั้งอิชโบเชทขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ทั้งที่รู้อยู่ว่าพระเจ้าทรงเลือกดาวิด แล้วอับเนอร์ก็ไม่ได้ทำเพราะจงรักภักดีกับซาอูลนะ แต่ทำด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเอง เพราะเดี๋ยวเราจะได้เห็นกันว่า..จริงๆแล้วอิชโบเชทเป็นแค่หุ่นเชิดของอับเนอร์เท่านั้น ขณะเดียวกัน”โยอาบ”ที่เป็นเหมือนขุนพลของอีกฝ่าย (คือ ดาวิด) ก็แรงพอกัน..ปล่อยให้เรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาครอบงำ แล้วนับวันก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องของชาติบ้านเมือง(คุ้นๆมะ) แล้วถ้าสังเกตให้ดี่ช่วงนี้พระคำภีร์ไม่ค่อยกล่าวถึงดาวิด เหมือนเขาหายไปชั่วขณะหนึ่ง เลยไม่แน่ใจว่า..การท้าดวลกันครั้งนี้ดาวิดรู้เห็นด้วยหรือไม่..แต่เหมือนจะ..ไม่ พอสิ้นสุดการประลองที่ริมสระน้ำ..ฝ่ายที่แพ้ก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ ที่ชนะก็ไม่ยอมจบ..เพราะอะไร ก็อาสาเฮลน้องเขาถูกอับเนอร์ฆ่าตาย..จะจบง่ายๆได้ไง เขาต้องแก้แค้นอับเนอร์ก่อน..ถึงจะสบายใจ ทำไปทำมามันเกี่ยวกับประเทศชาติตรงไหน นี่มันเรื่องส่วนตัวชัดๆ เพราะตามหลักเกณฑ์แล้วกรณีนี้..อับเนอร์ไม่ผิด เพราะ..
1.อับเนอร์ไม่ได้อยากฆ่าอาสาเฮล พระคำภีร์บอกไว้ อับเนอร์พยายามไล่เขากลับไปถึงสองครั้ง แต่อาสาเฮลไม่ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าอับเนอร์ไม่ฆ่าเขา เขาก็ต้องฆ่าอับเนอร์ ที่ไม่อยากรังแกเด็กก็จริงอยู่ แต่จะยืนเฉยๆให้เด็กฆ่าตายก็ใช่ที่
และ2.กรณีที่อับเนอร์ฆ่าอาสาเฮลนี้..ไม่ถือว่าเป็นการฆาตกรรม เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามรบระหว่างสงคราม ทุกคนมีสิทธิ์ป้องกันตัวเต็มที่ แต่โยอาบไม่ยอม..เขาจะเอาคืนให้ได้ แล้วสุดท้ายเราจะได้เห็นว่า..โยอาบก็ฆาตกรรมอับเนอร์จนได้
ดู2ซมอ.3:2-5 ข้อนี้เป็นการบันทึกถึงเชื้อสายของดาวิด เราก็อ่านพอให้รู้ว่า..มีใครบ้าง จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีคนนึงที่อยากให้จำไว้ให้ดี เพราะต่อไปจะมีบทบาทที่เข้มข้นมาก ก็คือ “อับซาโลม” ลูกชายของดาวิดที่เกิดจากนาง มาอาคาห์
ดู2ซมอ.3:6-7 คำว่า”อับเนอร์ได้กระทำตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในพงพันศ์ของซาอูล” ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ..อับเนอร์เริ่มกล้าเกินเหตุ..บังอาจไปเอาภรรยาคนนึงของซาอูลมาเป็นภรรยาของตัวเอง การทำอย่างนี้ถือเป็นการประกาศกลายๆว่าเขาจะมาแทนที่ซาอูล..อับเนอร์เริ่มออกลายในที่สุด ข้อที่7 อิชโบเชทถามอับเนอร์ว่า..”เหตุใดท่านถึงเข้าหาสนมของเสด็จพ่อเรา..” อิชโบเชทคงไม่พอใจ จึงรวบรวมความกล้าแล้วถามอับเนอร์ตรงๆ แล้วอับเนอร์ว่าไง..ดูต่อไป
2ซมอ.3:8 อิชโบเชทถามคำเดียว..อับเนอร์สวนกลับมาเป็นชุด “ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ..” คำนี้น้าตุ๊กถือว่า กล่าวโทษทีเดียวโดนมากกว่าหนึ่ง เพราะตอนนี้อับเนอร์กำลังต่อว่าอิชโบเชท แต่คำว่า”หัวสุนัข” เนี่ย..เค้าแขวะคนยูดาห์ที่อยู่ฝ่ายดาวิด (แต่โดยส่วนตัวแล้ว น้าตุ๊กคิดว่า..เค้าอาจจะเจาะจงไปที่”โยอาบ”) เป็นหัวหมา..คือ เป็นหัวหอกรับใช้ราชวงศ์ที่ไม่มีศักดิ์ศรี (ไม่มีศักดิ์ศรี ในความคิดของอับเนอร์เท่านั้น) เพราะถ้าให้เกียรติก็น่าจะเทียบกับนกอิทรีย์ เสือ สิงห์ หรือมังกรก็ได้..แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่ต้องไม่ใช่สุนัข..
ข้อนี้..อับเนอร์กำลังจะบอกอิชโบเชทว่า “เค้าจงรักภักดีกับราชวงศ์ซาอูล..พ่อของคุณมาตลอด ถึงทุกวันนี้ที่คุณได้เป็นกษัตริย์เนี่ย..เพราะใคร แล้วใครที่คอยปกป้องคุณรวมทั้งพ่อของคุณด้วย..ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของดาวิด (อันนี้ อับเนอร์ก็คิดไปเองอีก..เพราะจริงๆดาวิดไม่เคยคิดทำร้ายซาอูล แต่ถึงตอนที่มีคนจะทำร้ายซาอูลจริงๆ อับเนอร์ก็ไม่ใช่จะคุ้มครองได้ ดู1ซมอ.26:5-10) สรุปก็คืออับเนอร์เริ่มเผยตัวตนให้อิชโบเชทสำนึกว่า..เค้าต่างหากที่กุมบังเหียรทุกอย่างของอิสราเอลไว้ แล้วอิชโบเชทกล้าดียังไงถึงจะมาไตร่สวนเค้าเรื่องนางสนม
ดูต่อ2ซมอ.3:9-11 อาการเนี้ย..ที่เค้าเรียกว่า แพ้ชวนตี หลังจากที่ทั้งขู่..ทั้งว่าอิชโบเชทแล้ว อับเนอร์ก็ถือโอกาสแปรพักตร์ซะเลย เพราะจริงๆสถานการณ์ของตัวเองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โยอาบกับอาบีชัยก็จ้องจะเอาคืนเพราะไปฆ่าน้องเค้าตาย อับเนอร์เลยหัวใสเริ่มหาที่คุ้มภัย เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องหันหน้าไปพึ่งพาดาวิด ก็เลยใช้โอกาสนี้ บอกอิชโบเชทตรงๆเลย..ว่าเค้าจะไปเข้าข้างดาวิดแล้วนะ(ซะงั้น) เพราะข้อที่9 อับเนอร์พูดว่า..”ถ้าเขาไม่สนับสนุนให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ตามที่พระเจ้าเจิมไว้นะ ขอให้พระเจ้าลงโทษ”(หน้าตาเฉยเลย.. ) แล้วอับเนอร์ยังพูดต่อไปอีกว่า..คอยดูนะ เค้าจะย้ายอาณาจักรจากพงพันศ์ซาอูล พูดง่ายๆจะปลดราชวงศ์ของซาอูล แล้วไปสถาปนาราชวงศ์ดาวิดแทน มีสิทธิ์อะไรเนี่ย..ทำยังกะตัวเองยิ่งใหญ่ซะเต็มประดา..จะตั้งใครก็ตั้ง จะปลดใครก็ปลดได้..ตามอำเภอใจ อับเนอร์คิดว่าตัวเองเป็นใคร..ไม่เข้าใจจริงๆ แล้วอิชโบเชทว่าไง..ข้อที่11 บอกว่า..อิชโบเชทเงียบกริบ..เถียงไม่ออกซักคำ เพราะเค้าก็กลัวอับเนอร์จริงอย่างว่า..
ดู2ซมอ.3:12-13 ไม่ใช่แค่ขู่..อับเนอร์ทำอย่างที่พูดไว้ทันที ข้อนี้บอกว่า..เขาส่งผู้สื่อสารไปหาดาวิด..ขอทำพันธสัญญาโดยยื่นข้อเสนอว่าจะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ข้อที่12 อับเนอร์บอกว่า..”มือของข้าพระบาทจะอยู่ฝ่ายพระองค์ แล้วจะนำอิสราเอลทั้งสิ้นมามอบให้” หมายความว่า ถ้าแค่ดาวิดยอมทำสัญญากับเขา เขาจะจัดการที่เหลือให้..ที่เหลือคืออะไร คำว่าที่เหลือของอับเนอร์..ก็ต้องหมายถึงอิชโบเชทด้วย เพราะตอนนี้อิชโบเชทยังค้างอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ถ้าจะให้คนใหม่ขึ้น..ก็ต้องเอาคนเก่าลงซะก่อน เราไม่รู้หรอกว่าอับเนอร์จะทำยังไงกับอิชโบเชท แล้วจะไม่มีโอกาสได้รู้ด้วย..เพราะเดี๋ยวเค้าจะตายก่อนที่จะได้ทำอะไรๆตามที่พูดๆไว้
ข้อที่13 บอกว่า..ดาวิดตอบตกลงทันที โดยมีเงื่อนไขข้อเดียวคือ..ต้องส่งตัว”มีคาล”ภรรยาเก่าของเขาคืนมาก่อน..ไม่งั้น ไม่ตกลง (มีคาล คือ ลูกสาวที่ซาอูลยกให้ดาวิด แล้วพอดาวิดต้องหนี ซาอูลก็ยกมีคาลให้คนอื่น) ทำไมดาวิดยังอยากได้ภรรยาเก่าคืน..เพราะดาวิดเชื่อในความมั่นคงของการแต่งงาน เพราะถึงยังไงมีคาลก็คือภรรยาของเขา เหตุผลอีกข้อนึงก็น่าจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นกษัตริย์ เพราะตอนนี้ดาวิดก็เป็นกษัตริย์แล้ว ถ้าจะปล่อยให้เมียตัวเองไปเป็นเมียของคนอื่น..มันก็คงจะดูไม่ค่อยสมาร์ทเท่าไหร่ สุดท้ายดาวิดก็เลยได้มีคาลคืนมา
ดู2ซมอ.3:17-18 ข้อนี้บอกว่า..อับเนอร์ได้เอาเรื่องที่ตัวเองตัดสินใจจะทำสัญญากับดาวิดไปปรึกษาพวกผู้ใหญ่ก็คือ บรรดาผู้นำของอิสราเอล ซึ่งแน่นอน ทุกคนต้องเห็นด้วย แต่จากข้อนี้ทำให้เรารู้อีกเรื่องนึง ก็คือ การแต่งตั้งอิชโบเชทเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล..น่าจะเป็นการตัดสินใจหรือเป็นความเห็นชอบของอับเนอร์คนเดียว เพราะข้อที่17 อับเนอร์พูดว่า..”เมื่อก่อนนี้ท่านทั้งหลายใคร่ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือท่าน..” แปลว่า ผู้นำคนอื่นๆเค้าอยากให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ตั้งนานแล้ว พวกเขารู้กันทุกคนว่าพระเจ้าเลือกดาวิดแล้วก็อยากที่จะให้เป็นไปตามนั้น แต่คงจะขัดอับเนอร์ไม่ได้..เลยต้องยอมให้อิชโบเชทเป็นกษัตริย์ (ไปก่อนชั่วคราว) มาถึงตอนนี้อับเนอร์ก็คงแค่รายงานให้ฟังเป็นพิธี..ประมาณว่า เอาล่ะ..พวกท่านจะได้สมใจละเพราะตอนนี้เค้าตกลงจะยอมให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลแล้ว
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะ..น้าตุ๊กขอหนุนใจเด็กๆทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่กำลังสอบหรือเหน็ดเหนื่อยกับการทำวิทยานิพนธ์ต่างๆ หรือที่กำลังฝึกงาน ขอให้เพียรอธิฐานนะคะ อย่าหยุดแสวงหาพระเจ้า..อย่าให้เวลาอย่างอื่นที่เป็นฝ่ายโลกเข้ามาเบียดเวลาที่เราจะเฝ้าสนิทกับพระเจ้า พระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้เราในวันนี้..สำเร็จรูปแบบสุดๆแล้วค่ะ เพราะถึงบางอาทิตย์เราจะไม่ได้มาโบสถ์ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในใจเรา ไม่มีสิ่งใดมากั้นขวางได้ แค่ก้มศีรษะลงและอธิฐานเราก็ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าทันที
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่ 1อาทิตย์ที่ 17:9:2010

เด็กๆคงจำได้ว่า..หนังสือ1ซมอ.จบลงอย่างไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ เพราะพระคำภีร์เป็นเรื่องราวแห่งความจริง แล้วก็เป็นหนังสือ(เล่มเดียว)ที่มีชีวิต หมายความว่า ทุกเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในพระคำภีร์ดูเหมือน..จะยังเคลื่อนไหวอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกยุคทุกสมัย..คำว่าไม่มีอะไรใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่หนังสือปัญญาจารย์บันทึกไว้ นัยน์หนึ่ง ก็คือ ทุกสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน และรวมถึงที่จะเกิดในอนาคต..ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้น
แล้วเพราะพระคำภีร์เป็นเรื่องจริง..ไม่ใช่นิยาย เรื่องราวบางตอนก็เลยน่าสลดหดหู่..ไม่ประทับใจอย่างที่เราอยากให้เป็น เด็กๆจะอ่านตอนจบก่อนก็ได้ แต่ก็คงไม่ใช่วิธีที่จะทำให้เนื้อหนังรู้สึกรื่นรมณ์ขึ้น เพราะพระเจ้าไม่เคยเอารางวัลฝ่ายโลกมาผูกโบว์วางไว้ เพื่อล่อใจห็เราอยากเดินตาม แต่ถ้อยคำพระเจ้าที่สำแดงแก่เราในพระคำภีร์เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ดังนั้น รางวัลหรือพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงบอกไว้จึงเป็นวิถีของจิตวิญญาณและชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องของวัตถุหรือชีวิตชั่วคราวบนโลกใบนี้
แล้วขึ้นชื่อว่า”มนุษย์”ก็มีเนื้อหนังความบาปด้วยกันทั้งนั้น สุดท้ายในหนังสือ 1ซมอ.อิสราเอลก็ต้องพินาศไปพร้อมกับ”ซาอูล”กษัตริย์ที่พวกเขาร้องขอ และนี่ก็คือ ตัวอย่างหนึ่งของความกบฎและไม่เชื่อฟัง แล้วก็ยังมีอีกหลายตัวอย่างที่เราจะได้เรียนรู้..ไม่ใช่เพื่อประนามคนที่ผิดพลาด แต่เรียนรู้เพื่อที่เราเองจะไม่หลงผิดในแบบเดียวกับเขา เรื่องราวใน2ซมอ.จะต่อเนื่องกับ1ซมอ. เพราะจริงๆในต้นฉบับภาษาฮีบรูซามูเอลเป็นหนังสือเล่มเดียว แต่คงจะยาว..ผู้แปลฉบับเซปทัวจินท์ก็เลยแบ่งเป็นสองเล่ม
1ซมอ.จบลงที่การตายของกษัตริย์ซาอูล แต่กว่าจะตายได้..ก็ยากเย็นแสนเข็ญเพราะถูกฟิลิสเตียยิงด้วยธนูหลายแห่ง แต่..ไม่ตาย (ฟังดูคล้ายๆตัวร้ายในละคร..) แม้จะพยายามล้มทับหอกตัวเองก็ไม่ตาย สุดท้ายต้องขอให้คนอามาเลขช่วยสงเคราะห์ให้ เพราะทรมานเหลือเกินแล้วแต่..ไม่ยอมตายซักที หลังจากนั้นพระคำภีร์ก็บันทึกว่า คนอิสราเอลส่วนหนึ่งที่บ้านแตกสาแหรกขาดก็หนีกระจัดกระจาย ทำให้พวกฟิลิสเตียเข้ามายึดพื้นที่บางส่วนของอิสราเอลไว้
ดู2ซมอ.1:1-3/4-5 หลังจากที่ซาอูลสิ้นชีวิต พระคำภีร์ก็ตัดไปพูดถึงดาวิด..ที่เพิ่งกลับจากการตามล่าพวกอามาเลข ยังพักได้ไม่ทันไร..ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหาดาวิด ท่าทางเหนื่อยอ่อนเหมือนจะวิ่งมาไกล แล้วสภาพภายนอกก็ดูไม่ได้เลย เพราะข้อที่2 บอกว่า”เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น แถมมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ” เห็นแค่นี้..ดาวิดคงใจไม่ดีแล้วล่ะ เพราะลักษณะอย่างงี้มันสำแดงถึงการไว้ทุกข์ พระคำภีร์บอกว่า พอชายคนนี้เจอดาวิด..เขาก็ซบหน้าลงถึงดิน (คือ ทำเหมือนกำลังเข้าเฝ้ากษัตริย์) ดาวิดก็คง..งงๆ..ว่าทำงี้หมายความว่าไง ก็เลยถามออกไปว่า..”เจ้ามาจากไหน” ชายคนนั้นก็บอกว่า..เขาหนี”รอด”ออกมาจากค่ายของคนอิสราเอล พูดแค่นี้ก็เป็นลางไม่ดีแล้ว..เพราะไร..เขาบอกว่าเขารอด แสดงว่าก็ต้องมีที่”ไม่รอด”ด้วยใช่มั๊ย ดาวิดก็เลยร้อนใจถามต่อไปว่า”เกิดอะไรขึ้น” คนอามาเลขก็บอกว่า..อิสราเอลแพ้แล้ว ประชาชนหนีกันกระจาย ผู้คนล้มตายมากมายทั้งทหาร..ประชาชน และในจำนวนคนที่ตายนี้..ชายอามาเลขบอกว่ามีซาอูลกับโยนาธานรวมอยู่ด้วย พอดาวิดได้ยินก็ตกใจไม่อยากเชื่อ เลยย้อนถามคนอามาเลขว่า..เจ้ารู้ได้ยังไง..ว่าซาอูลกับโยนาธานตายแล้ว ไปฟังใครมาหรือมีหลักฐานอะไร ไหนว่ามาซิ..
ดู2ซมอ.1:6-7/8-10 ชายอามาเลขตอบดาวิดว่า “เขาเผอิญผ่านมาที่ภูเขากิลโบอา ก็เลยเห็นซาอูล..ยืนพิงหอกของตัวเองอยู่ สภาพพรุนไปทั้งตัวเพราะถูกยิงหลายแผล แล้วยังจะรอยดาบของตัวเองอีก..แต่ตอนนั้นซาอูลยังไม่ตาย และเมื่อเห็นเขาเดินมา ซาอูลก็เรียกแล้วถามว่าเขาเป็นใคร..เขาก็ตอบว่า “ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข” พอได้ยินว่าเป็นคนอามาเลข ซาอูลก็บอกว่า..ให้ช่วยฆ่าเขาที.. เด็กๆจำได้มั๊ยว่าก่อนหน้านี้ซาอูลได้ขอร้องให้ทหารคนสนิทช่วยฆ่าเขาทีนึงแล้ว แต่ทหารคนนั้นไม่ยอมทำ ( 1ซมอ.31:4 )เพราะอะไร..เขาเป็นคนอิสราเอล..แล้วอิสราเอลทุกคนไม่กล้าแตะต้องซาอูลไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะซาอูลคือ”คนที่พระเจ้าทรงเจิม” และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่พระเจ้าเจิมเนี่ย..ก็ห้ามมนุษย์หน้าไหนแตะต้องเขาเด็ดขาด ไม่ว่าคนที่ถูกเจิมไว้นั้นจะทำผิดบาป..นิสัยแย่แค่ไหน หรือจะอยู่ในสภาพยังไง ก็ต้องปล่อยให้พระเจ้าจัดการเขาเอง ดังนั้น พอได้ยินว่าเป็นคนอามาเลขปุ๊บ ซาอูลก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป เพราะถึงคนอิสราเอลจะไม่กล้าทำ แต่คนต่างชาติน่าจะช่วยได้ ซาอูลเลยรีบบอกให้ชายอามาเลขช่วยฆ่าเขาให้ตายที..
ข้อที่9 ซาอูลพูดว่า..”เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่” พูดง่ายๆก็คือ หมดอาลัยตายอยากแล้ว เพราะมันเจ็บแทบตาย แต่ยังไม่ตายซักที (ในชีวิตจริง บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมพระเจ้าเอาคนนั้น คนนี้ไปเร็วจัง แต่จริงๆแล้ว..ที่อยากตายแล้วไม่ให้ตายก็มี..แล้วเยอะด้วยไม่ใช่น้อย)
ข้อที่10 คนอามาเลขบอกว่า..เขาเลยช่วยสนองความต้องการให้..ด้วยการฆ่าซาอูลซะ..แถมถอดมงกุฎกับกำไรไว้เป็นหลักฐาน..แล้วก็วิ่งรี่เอามาให้ดาวิด
เรื่องราวโดยสรุปก็คือ ชายอามาเลขคนนี้ บังเอิญไปเจอซาอูลนอนรอความตายอยู่ ซาอูลเลยก็เลยขอให้ช่วยฆ่าเขาที ชายคนนี้คงบวกลบคูณหารแล้ว..ก็คิดว่า ถ้าเขาจะฆ่าซาอูลก็คงไม่เสียหายอะไร เพราะตอนนี้ซาอูลก็ใกล้ตายเต็มที แต่สิ่งที่ชายอามาเลขคนนี้คิดไม่ถึงก็คือ การพรากชีวิตของคนอื่น..ไม่ว่าจะแค่วินาทีเดียว มันก็ถือเป็นการฆาตกรรมเหมือนกัน ไม่แค่นั้น..พอฆ่าซาอูลแล้ว ก็ยังคิดว่าดาวิดต้องพอใจในสิ่งที่เขาทำแน่ๆ ก็เลยวิ่งแจ้นไปหาเพื่อจะเอาหน้า ประมาณว่า..ข้ามาพร้อมข่าวดี (แต่ปัญหาก็คือ ดาวิดจะเห็นว่าเป็นข่าวดีด้วยรึเปล่า..เท่านั้นเอง)
ดู2ซมอ.1:11-14 พอดาวิดรู้แน่ว่าซาอูลกับโยนาธานตายแล้ว ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดฉีกเสื้อผ้าตัวเองทันที..เพราะไร เสียใจมาก..ร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็ไว้ทุกข์ให้กับซาอูล โยนาธาน รวมถึงพี่น้องอิสราเอลที่ตายในสนามรบด้วย สรุปแล้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีของดาวิดเลย การตายของซาอูลกับโยนาธานไม่ใช่ข่าวดีที่จะนำความรื่นรมณ์มาให้ดาวิดอย่างที่คนอามาเลขคิดไว้ ข้อที่12 บอกว่า..พวกเขาไว้ทุกข์ อดอาหาร แล้วก็ร้องไห้กันเป็นการใหญ่ ต่อจากนั้น ดาวิดก็หันมาเคลียอะไรบางอย่าง
ดาวิดถามชายอามาเลขซ้ำอีก..ว่าเจ้าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงกล้าฆ่า”คนที่พระเจ้าเจิมไว้” ดาวิดคงไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงกล้าทำ เพราะกี่ครั้งแล้วที่ดาวิดปฏิเสธไม่ยอมฆ่าซาอูล แล้วก็ไม่ยอมให้ลูกน้องฆ่าด้วย (ถ้าเด็กๆจำได้ ดาวิดมีโอกาสตั้งหลายครั้ง ทั้งตอนที่ซาอูลเข้าไปปลดทุกข์ในถ้ำ กับตอนที่ย่องฝ่าวงล้อมทหารเข้าไปจนถึงตัวซาอูล แต่กลับเอาแค่หอกกับเหยือกน้ำติดมือมา ทั้งสองครั้ง..โอกาสอำนวยมากแล้วลูกน้องของดาวิดก็อยากฆ่าซาอูลมาก แต่ดาวิดก็ปฏิเสธ..ห้ามใครแตะต้องซาอูลเด็ดขาด เขาถึงได้ถามคนอามาเลขย้ำแล้วย้ำอีก..ว่าเจ้าเป็นใคร ไม่ได้อยากรู้จริงๆหรอกว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ถามแบบมีนัยน์ว่า..แกเป็นใครทำไมถึงกล้าทำ อีกอย่างถ้าyouเป็นคนอามาเลข แล้วเข้าไปทำอะไรในค่ายของกษัตริย์อิสราเอล มาถึงตอนนี้ ชายอามาเลขคงเริ่มรู้สึกเสียวสันหลัง เขาแก้ตัวกับดาวิด..ว่าเขาเป็นลูกของคนต่างด้าว แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร หรือฆ่าซาอูลเพราะอะไร เขาก็ไม่พ้นข้อหา..บังอาจฆ่าผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้อยู่ดี
ดู2ซมอ.1:15-16 “ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ เพราะปากเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเองว่า..ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้” ด้วยความภูมิใจด้วยนะ..เพราะคิดไปเองว่าดาวิดต้องเห็นซาอูลเป็นศัตรูแน่ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเขาฆ่าซาอูล..ดาวิดน่าจะดีใจ แถมตบรางวัลให้เขาด้วย เราถึงได้เห็นภาพเขาวิ่งโล่มาหาดาวิดพร้อมหลักฐานในมือ (คือ มงกุฎกะกำไร) พอมาถึงก็ก้มกราบตามแบบที่ทำกับกษัตริย์..ตั้งใจจะประจบเต็มที่
แต่ถึงตอนนี้รู้แล้วว่า..ตัวเองคิดพลาดไป เพราะดาวิดไม่ได้ดีใจกับการตายของซาอูลเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม..ดาวิดเสียใจอย่างหนัก ไม่ว่าซาอูลจะเคยทำให้ดาวิดลำบากขนาดไหน หรือจะชั่วร้ายเคยทำบาปมากมาย..ทั้งฆ่าปุโรหิต ไปหาคนทรง หรือชายอามาเลขอาจจะอ้างว่าตอนไปเจอซาอูล..เขาก็จะตายอยู่แล้ว” ไม่ฆ่า เดี๋ยวก็ตายอยู่ดี ..แต่ความจริงก็คือ ซาอูลแค่ ”ใกล้ตาย” แปลว่า ยังไม่ตาย และ you ก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องหรือช่วยให้เขาตายเร็วขึ้น..แม้แต่วินาทีเดียว เพราะฉะนั้น ในข้อที่15 ดาวิดเลยสั่งให้ลูกน้องคนนึงฆ่าชายอามาเลขทิ้งซะ ข้อหา..บังอาจฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้
มาถึงตรงนี้เลยทำให้เราเห็นภาพ..ว่าการปฏิเสธหรือต่อต้านผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเนี่ย..มันเป็นความผิดบาปที่ค่อนข้างร้ายแรง เด็กๆคิดดู ขนาดซาอูลที่นิสัยไม่ค่อยดี ชอบทำบาปอยู่เรื่อย..พระเจ้ายังไม่ให้ใครแตะต้องเขาเลย เพราะถึงยังไงเขาก็คือ"คนที่พระเจ้าเจิมไว้" แล้วถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ล่ะ พระเยซูคริสต์ คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้ปกครองอยู่นิรันดร์ ถ้าคนที่ปฏิเสธ..ต่อต้านหรือฆ่าซาอูลยังโดนขนาดนี้ แล้วพอจะนึกออกมั๊ย..ว่าคนที่ปฏิเสธ..ต่อต้าน รวมถึงลงมือฆ่าพระเยซูจะโดนหนักขนาดไหน (ไม่อยากจะนึกภาพเลย) พระคำภีร์ข้อนี้ทำให้เรายิ่งแน่ใจ..ว่าใครก็ตามที่ปฎิเสธพระเยซู จะต้องรอรับพระอาชญาที่หนักหนากว่าชายอามาเลขคนนี้หลายล้านๆเท่า..แน่นอน
ถ้อยคำที่ดาวิดคร่ำครวญถึงการจากไปของซาอูลและโยนาธาน (ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ คำไว้อาลัยในงานศพของซาอูล)
ดู2ซมอ.1: 17-20/21-22 จริงๆแล้วการกล่าวคำไว้อาลัยให้คนตายไม่ใช่เรื่องยากถ้า..ผู้ตายเป็นคนดี มีความดีให้ผู้คนนึกออกมากมาย คือพอพูดถึงคนนี้ปุ๊บ..ภาพด้านบวกก็เกิดขึ้นเลยโดยไม่ต้องคิดนาน แต่ถ้าต้องนึกนาน..ว่าจะพูดยังไงดีถึงจะดูเป็นการให้เกียรติคนตาย แสดงว่า..คิดไม่ออก เพราะผู้ตายคงไม่ค่อยมีส่วนดีให้พูดถึงซักเท่าไหร่ การกล่าวสุนทรพจน์หรือคำไว้อาลัยของงานนั้นก็จะเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที..แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับดาวิด
ข้อที่18 ดาวิดบอกกับคนอิสราเอลว่า..ให้สอน”คำคร่ำครวญ” นี้แก่ชาวยูดาห์
นี่คือ การกระทำที่น่ายกย่องมากๆของดาวิด เพราะอะไร ยูดาห์ เป็นวงศาคณาญาติของ “ดาวิด” ไม่ใช่เผ่าของซาอูล ส่วนซาอูลเป็นคนเผ่า”เบนยามิน” แน่นอนซาอูลเป็นกษัตริย์ แต่ใครๆก็รู้ว่า..เดี๋ยวดาวิดก็จะเป็นกษัตริย์แทนซาอูล เพราะพระเจ้าทรงเจิมไว้ เรื่องนี้..ดาวิดเองก็รู้ แต่ความต่างก็คือ ซาอูลเป็นกษัตริย์ที่ชอบรำเลิกบุญคุณกับพี่น้องเผ่าเดียวกัน เขาเคยพูดประมาณว่า ถ้าไม่มีเขา..คนเบนยามินไม่มีทางได้อยู่ดีกินดีอย่างที่เป็น ความหมายก็คือ ห้ามเห็นคนอื่นดีกว่าชั้นเพราะชั้นมีบุญคุณ เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะยอมให้คนเบนยามินยกย่องสรรเสริญคนอื่นอ่ะ..อย่าหวัง แต่ดาวิดไม่ใช่..ดาวิดสั่งให้สอนคำคร่ำครวญของเขาให้ลูกหลาน "ยูดาห์" ฟัง..ใจกว้างมาก เขาให้เกียรติซาอูลกับโยนาธานด้วยใจจริง ยกให้เป็นวีรบุรุษตัวจริง แล้วไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษของคนเผ่าเดียว..แต่ยกให้เป็นวีรบุรษของประเทศอิสราเอลเลย
ในตอนท้ายของข้อที่ 18 บอกว่า..ดูเถิดคำคร่ำครวญนั้นบันทึกไว้ในหนังสือ ”ยาชาร์” หนังสือยาชาร์คืออะไร พระคำภีร์เคยพูดถึงหนังสือยาชาร์นี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ดูโยชูวา10:12-13
ข้อนี้บอกว่า..เรื่องที่พระเจ้าทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หยุดนิ่งอยู่เป็นเวลาประมาณหนึ่งวันตามคำร้องขอของโยชูวา เรื่องนี้ก็ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ”ยาชาร์”เหมือนกัน หนังสือยาชาร์ คือ หนังสือของชาวยิวที่ใช้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆในสมัยพระคำภีร์เดิม บางตอนของหนังสือยาชาร์น่าสนใจมาก ก็เลยถูกยกมาพูดถึงบ้างในพระคำภีร์เดิม แต่หนังสือยาชาร์ไม่ได้ถือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ก็เลยไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในไบเบิ้ล
ดูต่อ2ซมอ.1:23-24/25-27 ข้อที่23 ดาวิดคร่ำครวญว่า..”ซาอูลและโยนาธานเป็นที่รักและน่ารัก..” ดาวิดพูดเพราะมากๆ ใช้คำอ่อนหวานมากในการพูดไว้อาลัยให้ทั้งคู่ “ทั้งสองเร็วกว่านกอินทรีย์ และแข็งแรงกว่าสิงห์ บุตรีอิสราเอลเอ๋ย..จงร้องไห้เพื่อซาอูล..”ดาวิดต้องการจริงๆที่จะให้คนอิสราเอลจดจำความดีของซาอูลกับโยนาธาน ดาวิดไม่ได้พูดคำไว้อาลัยแบบพอเป็นพิธีหรือขอไปที แต่เจตนาที่จะให้คนอิสราเอลสอนลูกหลานให้ยกย่องซาอูลกับโยนาธานเป็นวีรบุรุษ เพราะฉะนั้น แบบอย่างของดาวิดที่เราต้องจำไว้ในข้อนี้ก็คือ..ไม่ช่างจดจำความผิดของคนอื่น แล้วการเป็นคนจริงใจและสัตย์ซื่อก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกรื่อง น้าตุ๊กอยากสอนเรื่องนี้มาก เรามาดูข้อพระคำภีร์ที่สอนเกี่ยวกับการพูดกันซักนิดนึง
ปญจ.10:12-14 สภษ.10:8/10:14/13:3/15:2/18:6-7
ข้อพระคำภีร์ทั้งหมดนี้สอนเราว่า “ผู้ที่มีสติปัญญาในทางพระเจ้าจะเลือกพูดแต่"สิ่งที่ควรพูด" และ"ในเวลาที่ถูกที่ควรด้วย" เรื่องบางเรื่องไม่ต้องพูดเลยก็ได้ อย่ามาอ้างว่า..ก็พระคำภีร์สอนให้เราเป็นคนสัตย์ซื่อ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นความจริงชั้นต้องพูดทั้งหมด..ไม่ใช่ พระเจ้าไม่ได้สอนอย่างงั้น โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัลหรือในที่สาธารณะ..เราต้องไม่พูดเรื่องที่จะทำให้คนอื่นเสียหาย หรือพูดอะไรที่ทำให้เขาอาย คิดซะก่อน..คิดให้เยอะๆเวลาที่จะพูดถึงคนอื่นเนี่ย.. แล้วถ้าจำเป็นต้องเตือนพี่น้องที่ทำผิด เราควรจะทำยังไง..พระเจ้าสอนยังไง ไปดูตัวอย่างจากดาวิดใน 1ซมอ.24:8-9/10 1ซมอ.26:17-18
เท่าที่เราเห็นทั้งหมดใน 1ซมอ.ที่เรียนจบไปแล้วเนี่ย..ไม่มีซักคำที่ดาวิดบ่น..ว่า หรือพูดนินทาซาอูลให้คนอื่นฟัง แต่ทุกครั้งที่เหลืออดหรือข้องใจในสิ่งที่ซาอูลทำกับเขา..ดาวิดจะพูดต่อหน้า ถามซาอูลตรงๆตัวต่อตัว แล้วที่สำคัญท่าทีที่พูดกับซาอูลทุกครั้งดาวิดถ่อมสุภาพตลอด พระคำภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่า..เวลาที่ต้องประจัญหน้ากับซาอูลเพื่อที่จะพูดกับเขาตรงๆอ่ะ ..ดาวิดถ่อมสุดๆเลย...เขาจะก้มกราบซาอูลถึงดิน แล้วแต่ละคำที่เขาเรียกซาอูลก็ให้เกียรติเต็มที่..เสด็จพ่อมั่ง..พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทมั่ง ไม่เคยเลยที่จะโกรธซาอูลแล้วพูดจาไม่สุภาพ หรือถือว่าเขาผิดแต่ตัวเองถูกแล้วจะพูดยังไงก็ได้..ไม่เคย เนี่ย..ดาวิด แบบอย่างที่เราต้องทำตาม เราไปดูคำสอนของพระเยซูคริสต์ในพระคำภีร์ใหม่กันบ้างว่า..หัวใจสำคัญในการที่เราจะเตือนผู้ที่ทำผิด คืออะไร
ดูกาลาเทีย 6:1-2 ต้องพูดกับเขาด้วยความรัก หวังดีอย่างจริงใจ เด็กๆต้องอธิฐานก่อน..ขอพระเจ้าชันสูตรหัวใจของเราว่าเราเตือนเขาด้วยความรักจริงรึเปล่า เราจริงใจกับเขาจริงๆมั๊ย ถ้าไม่จริง..ก็ไม่ต้องเตือน ไม่ต้องพูดเลยดีกว่า เพราะมันจะไม่มีประโยชน์เลย แล้วไม่ใช่จะถือโอกาสตำหนิคนที่ทำผิดโดยไม่อธิฐานและไม่ชันสูตรใจตัวเองให้ดี เพราะหมั่นเขี้ยวเขามานานแล้ว ก็เลยอ้างว่า..พระคำภีร์บอกต้องไม่ยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด เพราะฉะนั้น ชั้นเลยได้โอกาสชี้หน้าว่าเขาซะเลย ทำอย่างงี้..ไม่ได้ ที่สำคัญต้องพูดกับเขาด้วยใจอ่อนสุภาพเหมือนที่ดาวิดทำกับซาอูล ไม่ว่าเขาจะทำผิดอะไร..จำไว้..ว่ายังไงเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวร้าว..หยาบคาย หรือชี้หน้าว่าเขา มีสุภาษิตฝรั่งอันนึงบอกว่า “วิธีพูดสำคัญพอๆกับสิ่งที่เราจะพูด” เพราะฉะนั้น ถ้าจำเป็นต้องเตือนกันก็เอาอย่างดาวิด ที่สุภาพแล้วก็ให้เกียรติซาอูลตลอด ไม่ว่าซาอูลจะร้ายกับเขาแค่ไหน ดาวิดก็มีความเชื่อมากพอ..ที่จะไม่ทำการร้ายตอบแทนการร้าย เพราะดาวิดทำดีถวายพระเจ้า ไม่ได้ทำเพราะต้องการบำเน็จจากมนุษย์ นี่คือ หลักการสำคัญที่ทำให้ดาวิดสามารถดำเนินอยู่บนความชอบธรรมในจุดนี้ได้ ดังนั้น คำไว้อาลัยที่ดาวิดพูดไว้ในบทนี้ เราเชื่อได้แน่นอนว่า..ดาวิดพูดจากใจ..จริงจังแล้วก็ไม่ได้ฝืน เพราะวิธีที่เขาปฏิบัติกับซาอูลอย่างเสมอต้นเสมอปลายนั้น เป็นพยานและทำให้เราเชื่อได้..ว่าดาวิดรักและให้เกียรติซาอูลจริงๆ
น้าตุ๊กฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ...