วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 2

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ (26-7-2009)

ดูยชว.3:1-4 การเข้ายึดครองคานาอันนั้น เป็นสงครามที่มีความหมายฝ่ายจิตวิญญาณ ดังนั้นหีบพันธสัญญา ต้องนำอยู่ข้างหน้าเสมอ ในข้อ4บอกว่า “ ให้ประชาชนทิ้งระยะห่างจากหีบประมาณ2000ศอก เพราะพวกเขาไม่รู้ทาง จึงต้องให้พระเจ้านำอยู่ข้างหน้า” เห็นมะ...อิสราเอลแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย พวกเราก็เหมือนกัน แค่เชื่อฟังแล้วก็ทำตามที่พระเจ้าบอก แค่นั้นจบ
ดูยชว.3:15-17 ในข้อนี้บรรยายถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำให้น้ำในน.จอร์แดนแห้งไปเพื่อให้คนอิสราเอลยอมรับโยชูวา เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเคยอยู่กับโมเสสฉันใดก็ทรงอยู่กับโยชูวาเช่นกัน
น.จอร์แดนเนี้ย กว้างมากว่า๑ไมล์ แล้วตอนที่อิสราเอลจะข้ามนั้นเป็นฤดูเกี่ยวข้าวหรือฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหิมะจะละลายทำให้น้ำเยอะจนท่วมฝั่ง แต่พระคำภีร์บอกว่าพอปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาก้าวลงในแม่น้ำปุ๊บ น้ำในน.จอร์แดนก็แห้งไป
คำอธิบายที่ใกล้เคียงกับปรากฎการณ์นี้ที่สุด ก็คืออาจจะเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองอาดัมซึ่งเป็นต้นน้ำ อยู่ห่างไปทางเหนือประมาณ24-25กม. ทำให้ตลิ่งยุบพังลงมาเป็นเขื่อนกั้นน้ำที่ต้นทางไว้ น้ำตรงทางที่คนอิสราเอลจะข้ามก็เลยลดลงจนเป็นแห้ง ปุโรหิตก็หามหีบพันธสัญญายืนรออยู่กลางแม่น้ำ จนประชาชนทั้งหมดเดินข้ามไป
ที่น้าตุ๊กใช้คำว่า..คำอธิบายที่ใกล้เคียง..ก็เพราะ..ว่าไปตามหลักฐาน ในปี1972 ที่ได้เกิดแผ่นดินไหว ในบริเวณนี้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ดินชายฝั่งถล่มลงมากั้นเป็นเขื่อนภายใน21ช.ม.ในจุดเดียวกันนี้ เกิดเป็นภาพที่ทำให้เราเข้าใจปรากฎการณ์ในอดีต (เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอย) แต่ความจริงก็คือ เหตุผลคืออะไร..ก็ช่างมันเถอะ เราแค่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยที่มาจากพระเจ้า..ก็เพียงพอแล้ว
ดูยชว.4:1-3/6-7 พระเจ้าทรงบอกโยชูวาให้ส่งผู้แทนของทั้ง๑๒เผ่ากลับไปเอาหินจากก้นแม่น้ำ และตั้งเป็นอนุสรณ์ที่เมืองกิลกาล เพื่อระลึกถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงทำให้น.จอร์แดนแห้งไป
ดู ยชว.4:9-10 อันนี้สิ น่าสนใจ พระคำภีร์ระบุว่านอกจากอนุสรณ์ที่ตั้งไว้บนแผ่นดินที่เมืองกิลกาลแล้ว โยชูวายังตั้งศิลาเป็นอนุสรณ์ไว้ที่ก้นแม่น้ำจอร์แดนอีกด้วย
ดู ยชว.4:15-18 เมื่อปุโรหิตยกเท้าขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง น้ำในน.จอร์แดนก็ไหลเข้าท่วมฝั่งเหมือนเดิม ศิลาที่กองอยู่กลางน.จอร์แดนก็เป็นอันจมอยู่ใต้น้ำ แล้วทีนี้ จะมีใครมองเห็นศิลาที่โยชูวาวางไว้เป็นอนุสรณ์ที่ก้นแม่น้ำมั๊ย (แล้วเด็กๆสงสัยมั๊ยว่า แล้วจะสร้างไปทำไม)
แท้จริงแล้ว ศิลาที่วางอยู่ใต้น้ำนั้น มันเป็นตัวแทนของความเชื่อและไว้วางใจที่เรามีต่อพระเจ้า ถึงแม้ว่าใครๆจะมองไม่เห็น แต่เรารู้ว่า”การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำเพื่อเรานั้นมีอยู่จริง” ดังนั้น สิ่งนี้มันเป็นเหมือนอนุสรณ์ในใจระหว่างเรากับพระองค์ เป็นสายสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้า ที่เชื่อมโยงกันด้วยความรู้สึกที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณไม่อาจจับต้องมองเห็นได้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น มีแต่เรากับพระเจ้าที่รู้กัน เหมือนศิลาที่จมอยู่ใต้น.จอร์แดนที่ไม่มีใครได้เห็นมันอีก แต่อิสราเอลรู้ว่า “มันมีอยู่จริง”
ดู ยชว.5:1/ 2-5 เมื่อชาวคานาอันเห็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ ”ก็ขวัญหนีดีฝ่อ หมดกำลังใจไปตามๆกัน” เพราะฉะนั้น ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับโยชูวาที่จะเร่งนำกำลังกองทัพบุกประจัญไปข้างหน้า (จริงมะ) เพราะศัตรูกำลังเสียขวัญ แต่นั่นไม่ใช่แผนของพระเจ้า น่าปะหลาดใจมาก...เพราะพระองค์ทรงบัญชาให้ชายอิสราเอลทุกคนเข้าสุหนัต! .........เข้าสุนัตในช่วงที่กำลังทำศึกสงครามเนี่ยนะ...มันหมายถึงว่า ร่างกายของพวกเขาจะต้องอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรงไปหลายวัน และศัตรูอาจฉวยโอกาสนี้โจมตีพวกเขาได้
เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้พระเจ้าทรงบอกอะไรเรา พระเจ้ากำลังบอกเรา “ พระองค์มีอิสระในการใช้เวลาเสมอ” ในเวลาที่มนุษย์ต้องรีบทำ เพื่อให้ได้บางอย่างมา แต่พระเจ้าได้มาอย่างง่ายๆไม่ต้องรีบร้อน แม้ว่าสิ่งที่พระองค์สั่งให้ทำมันจะดูขัดกับสถานการณ์ขนาดไหน ก็ขอให้เชื่อฟังและทำตามเสมอ เพราะใน อิสยาห์55:9 บอกไว้ว่า.....
“เพราะฟ้าสวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด พระปัญญาและวิถีของพระเจ้าก็สูงกว่าทางของมนุษย์ฉันนั้น” ดังนั้น มันสำคัญมากสำหรับอิสราเอล (แล้วก็พวกเราด้วย) ที่จะต้องมีความเชื่อวางใจให้ลึกลงไปในจิตวิญาณ จนสามารถมองข้ามสถานการณ์หรือเงื่อนไขทางฝ่ายโลกไปซะบ้าง เพื่อที่เราจะดำเนินกับพระเจ้าไปได้อย่างตลอดลอดฝั่ง
และในการเข้าสุนัตครั้งนี้ อิสราเอลก็ได้เรียนรู้อีกครั้งหนึ่งว่า ชัยชนะของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนกองทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ แต่มีเคล็ดลับง่ายๆ คือ เชื่อฟังพระเจ้าและเดินตามพระองค์
ดูยชว.5:10-12 หลังจากการเข้าสุหนัตแล้ว อิสราเอลก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่เมืองกิลกาล เมื่อร่างกายแข็งแรงเป็นปกติดีแล้ว ก็มีการฉลองปัสกากันในวันที่๑๔ และวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็กินขนมปังไร้เชื้อกับข้าวคั่ว ซึ่งหมายถึงผลแรกของแผ่นดินแห่งพันสัญญา ในเมื่อได้กินผลที่เกิดจากแผ่นดินแล้ว พระเจ้าจึงไม่ทรงประทานมานาจากฟ้าให้พวกเขาอีกต่อไป โอกาสนี้จึงถือเป็นจุดจบของการเดินทางจากอียิปต์
ยชว.5:13-15 ข้อนี้คือนิมิตรที่พระเจ้าประทานให้แก่โยชูวา โดยให้ทูตของพระองค์มาปรากฎ ลักษณะการปรากฎและคำพูดก็จะคล้ายๆกับที่เคยปรากฎกับคนอื่น เช่น ทูตของพระเจ้าที่เคยปรากฎแก่โมเสส (ในอพย.) แล้วก็ที่ปรากฎกับบาลาอัม (ในกดว.) หรือที่ปรากฎกับดาวิด (ใน๑พศด.) ก็จะเหมือนๆกัน แต่ที่ปรากฎแก่โยชูวานี้มีจุดประสงค์ที่ค่อนข้างชัดเจนกว่า เพราะเขาพูดตรงๆเลยว่า “....ที่เรามานี้ก็มาเป็นจอมพลโยธาของพระเจ้า” คือมาเพื่อเตือนให้โยชูวาสังวรณ์ไว้เสมอว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้นำทัพของอิสราเอล ให้โยชูวาเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของพระองค์ และในข้อที่๑๔ บอกไว้ว่า”.....ฝ่ายโยชูวาก็กราบลงถึงดินนมัสการ” สิ่งนี้สำแดงถึงจิตใจที่ถ่อมลงของโยชูวา เป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาผู้นำหรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า เพราะอย่าลืมว่าในตอนนี้โยชูวาเป็นแม่ทัพที่น่าเกรงขามมาก แล้วมนุษย์เวลาที่ได้รับความสำเร็จ ก็มักจะเย่อหยิ่ง (เสมอ) แต่สำหรับโยชูวานั้นเมื่อทูตของพระเจ้าแสดงตัวปุ๊บ โยชูวาก็ก้มลงกราบนมัสการทันที แสดงให้เห็นว่า เขายอมจำนนต่อพระเจ้า....ส่วนที่๑ (การเคลื่อนพล) ก็จบที่ข้อนี้
ส่วนที่๒ การทำสงครามและชัยชนะของอิสราเอล
ดูยชว.6:1-5 กลยุทธ์การรบที่สำคัญของอิสราเอล คือ ยึดภาคกลางก่อน เพราะจะทำให้ทางเหนือกับทางใต้ไม่สามารถรวมกำลังกันได้ หลังจากที่ยึดภาคกลางได้แล้ว ก็ไปยึดภาคใต้ และสุดท้ายคือภาคเหนือ ......ในข้อนี้บอกว่า เยรีโคปิดเมืองห้ามไม่ให้ใครเข้าออก ฝ่ายอิสราเอลได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้เดินรอบเมืองเยรีโค ๖วันๆละ๑รอบ พอเดินเสร็จก็กลับไปนอนที่ค่ายเมืองกิลกาล แล้วในวันที่๗ นั้นให้อิสราเอลเดินรอบเยรีโค๗รอบ โดยให้ปุโรหิตเป่าเขาแกะไปด้วย และเมื่อได้รับสัญญาณก็ให้ทุกคนโห่ร้องพร้อมกัน
เด็กๆว่า วิธีที่พระเจ้าให้พวกเขาทำเนี่ย แปลกมั๊ย ถ้าในสายตามนุษย์แล้ว ต้องบอกว่าแปลกสุดๆ แทนที่จะให้จัดเตรียมอาวุธ เสื้อเกราะ หรือโล่ อะไรก็ว่าไป กลับบอก“ให้เดินวนๆ ทุกวัน เสร็จแล้วก็ให้โห่ร้องพร้อมกัน” แค่เนี้ย แล้วจะชนะ อะไรจะง่ายขนาดนั้น
แล้วไงต่อไปดูต่อ ยชว.6:20-21 ไม่มีอะไรยากสำหรับพระเจ้า เพราะ..ในวันที่๗นั้นเมื่อประชาชนโห่ร้องกำแพงเมืองเยรีโคก็พังราบลง แล้วอิสราเอลก็เข้ายึดครองเมืองเยรีโค และการขุดพบซากของเมืองเยรีโคพบว่า .กำแพงของเมืองนี้มีสองชั้น ชั้นนอกหนา 6ฟุต สูง20ฟุต
...................................ส่วนชั้นในหนา12ฟุต สูง30ฟุต และทั้งสองชั้นห่างกัน15ฟุต
ต้องเรียกว่าแน่นหนาเกินกว่าที่กำลังกองทัพจะทำลายได้ แล้วอิสราเอลก็ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยอะไร......เพราะฉะนั้น ต่อไปถ้าเด็กๆเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรในชีวิต ขอให้จำเรื่องที่คนอิสราเอลเดินวนๆรอบเมืองเยรีโคนี้ไว้ แล้วเอาอย่างเขา จำไว้ว่าพระเจ้าบอกให้ทำยังไงก็ก้มหน้าก้มตาทำไป ถึงมันจะดูไม่สมเหตุผล หรือไม่ค่อยจะเข้ากับสถานการณ์ของเราเท่าไหร่ ก็ทำไปเถอะ ถ้าพระเจ้าบอกให้ร้องเพลง.......ก็ร้องเพลง ถ้าพระเจ้าบอกให้ตบมือ....... ก็ตบมือ ง่ายๆแค่นั้น ไม่ต้องเรียกหารูปแบบที่โก้หรู หรือต้องดูฉลาด สมเหตุสมผลมากมายอะไร เพราะนั่นไม่จำเป็นสำหรับพระเจ้า และทุกอย่างง่ายเสมอสำหรับพระองค์ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าให้เราทำ จะยากหรือง่ายไม่ใช่ประเด็น เพราะแท้จริงแล้ว....สิ่งที่พระองค์ทรงอยากเห็นคือ “ความเชื่อฟังของเรา”
ส่วนกำแพงของเยรีโคที่พังราบลงนั้น มีนักวิชาการก็ได้ให้ความเห็นว่า ในขณะที่คนอิสราเอลโห่ร้องพร้อมกันนั้น ดูเหมือนจะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับตอนที่พวกเขาจะข้ามน.จอร์แดน ..หลายๆครั้ง ที่น้าตุ๊กยกข้อมูลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังนั้น ก็แค่ประดับความรู้ให้พวกเรานะ ไม่ได้เอามาเป็นข้อยืนยันให้เด็กๆ "มีความเชื่อ เพราะหลักฐานหรือเพราะข้อมูลที่สมเหตุสมผล" เพราะความเชื่อของเราเป็นอัศจรรย์ ที่พระเจ้าประทานให้ เข้าใจมั๊ย "อัศจรรย์" แปลว่า น่าพิศวง หรือ น่างง, ประหลาดใจ , ไม่มีที่มาที่ไป เพราะฉะนั้น เหตุผลไม่ต้อง เพราะถ้ามีเหตุผลรัดกุม เขาไม่เรียก "อัศจรรย์" (จำไว้นะ ข้อมูลหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก็แค่เพื่อประดับความรู้)
ที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ ทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงตามเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้า เป๊ะ ซึ่งเป็นข้อยืนยันถึงชัยชนะที่มาจากพระองค์อย่างชัดเจน ส่วนปรากฎการณ์หรือภัยทางธรรมชาติก็เป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้าเท่านั้น
ดูยชว.6:24-25 เมื่ออิสราเอลกวาดล้างชาวเมืองเยรีโค รวมทั้งฝูงสัตว์ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็จุดไฟเผาเมือง เหลือไว้แต่เงินและทองกับของใช้ที่เป็นโลหะจะต้องถวายไว้ในนิเวศน์ของพระเจ้า ห้ามเก็บไว้เป็นของส่วนตัวเด็ดขาด ส่วนราหับและครอบครัว โยชูวาได้ไว้ชีวิตแล้วก็ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินร่วมกับคนอิสราเอลต่อไป
ยชว.6:26-27 พระเจ้าทรงสั่งห้าม ไม่ให้ใครก็ตามสร้างเมืองเยรีโคขึ้นใหม่ แล้วโยชูวาก็กล่าวคำแช่งสาปไว้ว่า “ถ้าใครวางรากก็ให้ผู้นั้นเสียบุตรหัวปี แล้วใครตั้งประตูเมืองขึ้นใหม่ก็ให้เสียบุตรคนสุดท้อง” .......เปิดไปดู 1 พกษ.16:33-34 และแล้วอีกประมาณ 400 ปีต่อมา สายเลือดของอิสราเอลก็ลืม(หรือไม่ก็แกล้งลืม) คำบัญชาของพระเจ้า เพราะในพระคำภีร์ข้อนี้บอกไว้ชัดเจนว่า ฮีเอล ชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโคขึ้นใหม่ใน รัชกาลของ ก.อาหับแห่งอิสราเอลฝ่ายเหนือ แล้วเขาก็ต้องเสียลูกคนโตกับคนสุดท้องเป็นเครื่องสังเวยตามคำสาปแช่งของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ทางโยชูวา นี่ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้านิรันดร์ เป็นพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นจนอวสาน ไม่ใช่ว่าพอเวลาผ่านไปอีกหลายร้อยปี คำแช่งสาปของพระองค์ก็คงจะเสื่อมแล้วล่ะ ถ้าทำเป็นไม่สนใจก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่นะคะ “เพราะ คำว่าพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคป” ที่คริสเตียนเรียกจนติดปากนั้น หมายถึง ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือกาลเวลา ไม่มีการฮิตเป็นพักๆ เหมือนพระอื่น * แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าตลอดกาล สิ่งไหนที่พระองค์ตรัสไว้แล้วจะต้องเป็นไปตามนั้นเสมอ มนุษย์อาจลืมไปหมดแล้วแต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี หรือแม้แต่เป็นล้านปีก็ตาม
ดูยชว.7:1-3 / 4-5 พระเจ้าสั่งไว้แล้วว่าห้ามเอาของถวายไปเป็นของส่วนตัว เพราะของเหล่านี้เป็นของต้องห้ามหรือของที่ต้องทำลาย จะเก็บไว้ได้ในนิเวศน์ของพระเจ้าเท่านั้น (มาคิดดูดีๆ พวกเราก็เป็นคนบาปที่ต้องถูกพิพากษาหรือถูกทำลายเหมือนของพวกนี้นั่นแหละ จะถูกเซฟไว้หรือจะมีทางรอดก็ต้องมาลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า เหมือนของพวกนี้ที่ต้องเก็บไว้ในพระนิเวศน์เท่านั้น ถ้าไม่งั้นก็ต้องถูกเผาทำลายเหมือนคนอื่นๆ นึกออกมะ) ในข้อนี้บอกว่ามีคนชื่อ “อาคาน”แอบเก็บของถวายไว้เป็นของตัวเอง โยชูวาก็เตือนแล้วว่าถ้าใครทำอย่างงี้ จะทำให้คนทั้งชาติต้องพลอยรับโทษไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่ออิสราเอลยกไปตีเมือง“อัย” ครั้งแรก........ก็แพ้กลับมา เพราะอาคานเก็บเอาของที่ต้องทำลายไว้ท่ามกลางคนอิสราเอล เลยทำให้อิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องถูกทำลายไปด้วย
ดูต่อยชว.7:6-7 โยชูวาร้องทุกข์ ถามพระเจ้าว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วก็บอกว่า “พวกเขาน่าจะพอใจที่จะอยู่แค่ฝั่งตะวันออก” เพราะโยชูวากลัวว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของอิสราเอลจะทำให้ชาวคานาอันฮึกเหิม แล้วถ้าพวกเขารวมตัวกันได้อิสราเอลต้องแย่แน่ๆ แล้วพระเจ้าว่ายังไง ดูต่อ ยชว.7:10-12 พระเจ้าบอกว่า มีคนยักยอกของต้องถวายไปเป็นของส่วนตัว เจ้าต้องทำลายของเหล่านั้นซะก่อน ไม่งั้นพระองค์จะไม่สถิตอยู่ด้วยแล้ว
ยชว.7:16-18/ 7:25-26 วันต่อมาพระเจ้าทรงเปิดเผยตัวผู้กระทำผิดคือ อาคาน คนเผ่ายูดาห์ ซึ่งอาคานก็ยอมรับผิดทุกอย่างพร้อมทั้งบอกที่ซ่อนสิ่งของที่เขาแอบยักยอกไว้ คนอิสราเอลก็เอาหินขว้างอาคานและครอบครัวจนตาย แล้วก็เผาข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของพวกเขา หลังจากนั้น กองทัพของอิสราเอลจึงสามารถเดินหน้าต่อไป ยชว.8:1-2 / 8:28-29 พระเจ้าทรงรับรองว่า การเข้าตีเมืองอัย ครั้งนี้ อิสราเอลจะชนะแน่นอน แต่ถึงยังไงโยชูวาก็ยังวางกลยุทธ์ไว้อย่างรอบคอบ โดยมีการแบ่งกำลังทหารเป็นหลายชุด มีชุดหนึ่งเป็นฝ่ายล่อชาวเมืองอัยให้ออกจากเมือง เสร็จแล้วพวกที่เหลือก็เข้าโอบล้อมยึดเมืองอัยไว้ได้ทันที ในพระคำภีร์บอกว่า ไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน ส่วนข้าวของที่ยึดมาได้นั้น ครั้งนี้พระเจ้าอนุญาตให้คนอิสราเอลเก็บไว้ได้

สัปดาห์หน้า(อาทิตย์ที่2:8:2009) จะยังไม่ต่อหนังสือโยชูวานะคะ เพราะน้าตุ๊กงดสอน (แต่จะมีการอธิบายเพิ่มเติมจากข้อสงสัยของสมาชิก ในเวปไซต์นี้ เด็กๆเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ) ส่วนในชั้นเรียนยุวชน สัปดาห์นี้ ห้ามพลาด! เพราะครูหนุ่ย ได้กรุณามาสอนแทนและจะเป็นผู้ปรุงอาหารฝ่ายวิญญาณมาเสริฟร้อนๆให้เด็กๆรับประทาน สำหรับน้าตุ๊ก พบกันวันอาทิตย์ที่9:8:2009
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนังสือโยชูวา ครั้งที่ 1

หนังสือ โยชูวา อาทิตย์ที่19/7/2009

ประวัติของโยชูวา

โยชูวา มีอีกชื่อหนึ่งว่า โฮเชยา ที่ระบุไว้ใน กดว.13:8 เป็นคนเผ่าเอฟราอิม เกิดและเติบโตในอียิปต์ ตลอดเวลาที่โมเสสนำชาติอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ มุ่งหน้าสู่คานาอันนั้น โยชูวาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า เขาเป็นผู้ที่กล้าหาญและเข้มแข็ง ที่สำคัญที่สุด “เขาสัตย์ซื่อและเชื่อวางใจพระเจ้า อย่างสุดกำลัง” เรียกว่ามีชื่อเสียงดี ในการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ............เรารู้จากหนังสืออพยพว่า โยชูวาเป็นขุนพลคนสำคัญในการสู้รบกับชาวอามาเลข (ถ้าเด็กๆจำได้) นอกจากนี้เราก็ได้เห็นว่า โยชูวาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปบนภูเขาซีนายกับโมเสส ในขณะที่โมเสสไปเข้าเฝ้าพระเจ้าตามลำพัง และคอยเฝ้าโมเสสอยู่ใกล้ๆที่พลับพลาด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับโมเสสมาก โยชูวาก็เลยได้เรียนรู้ทั้งประสบการณ์และบุคคลิกความเป็นผู้นำจากโมเสสมาเป็นอย่างดี จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำต่อจากโมเสส

ลักษณะหรือเนื้อหาของหนังสือโยชูวา

โยชูวา เป็นหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับการรบเพื่อเข้าครอบครองแผ่นดินคานาอัน แต่จะไม่เน้นรายละเอียดเกี่ยวกับสงครามที่ยืดเยื้อซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่สงครามครั้งนี้กินเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปี แต่ดูเหมือนผู้เขียนจะเน้นให้เห็นถึง พระลักษณะของพระเจ้า และ น้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อ คนอิสราเอล มากกว่า จุดประสงค์ที่สำคัญของพระธรรมเล่มนี้ ก็คือ เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ว่า“ชัยชนะในแผ่นดินคานาอันของอิสราเอลนั้นขึ้นอยู่กับความสัตย์ซื่อและไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ” เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นก็จะไม่มีการยกย่องใครก็ตามขึ้นมาเป็นวีรบุรุษคนสำคัญ นอกจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว .........และถ้อยคำที่เป็นเสมือนกุญแจแห่งความสำเร็จที่พระเจ้าทรงตรัสกับโยชูวาก็คือ....เปิดไปดู ยชว.1:6-7 / 1:9 /1:18 ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงหนุนใจโยชูวาและชาวอิสราเอลก็คือ “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” จริงๆแล้ว นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าที่มีความหมายมากกว่าที่คิดและยังต้องใช้หนุนใจพวกเราอยู่จนทุกวันนี้ (เดี๋ยวเราจะค่อยๆเรียนกันไป)

โครงร่างของหนังสือโยชูวา แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน

๑.การเคลื่อนพลเข้าสู่คานาอัน ๒.การทำสงครามและชัยชนะของอิสราเอล

๓.การจัดสรรแผ่นดิน ๔.การทำพันธสัญญาที่เชเคมและวาระสุดท้ายของโยชูวา

ส่วนที่๑ การเคลื่อนพลเข้าสู่ “คานาอัน”

ดู ยชว.1:1-3 คำว่า “ทุกตำบลที่ฝ่าเท้าของเจ้าทั้งหลายจะเหยียบลง เราได้ยกให้กับเจ้าทั้งหลายดังที่เราสัญญาไว้..” คำนี้เป็นเหมือนคำรับรองของพระเจ้าว่า อิสราเอลจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เพียงแต่ “จงลุกขึ้นยกข้ามน.จอร์แดนนี้” นี่เป็นคำสั่งจากพระเจ้าที่มีความหมายว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมความสำเร็จ ในการเข้าครอบครองแผ่นดินไว้ให้แก่อิสราเอลแล้ว แต่อิสราเอลต้อง ลุกขึ้น ต่อสู้เองด้วย ถึงจะได้ครอบครองดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะถ้าอยู่เฉย หรือมัวแต่หวาดกลัวไม่ยอมยกข้ามไปรบกับเขา จะได้ครอบครองดินแดนนี้มั๊ย (ไม่มีทาง) ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่า เขาจะได้รับชัยชนะแต่ถ้าไม่ลงมือทำในส่วนของตัวเอง ก็คงไปไม่ถึงจุดหมาย

เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะตามประสบการณ์ของน้าตุ๊ก นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น้าตุ๊กได้เรียนรู้ ว่า”พระเจ้าจะทรงเว้นช่องว่าง หรือ ขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่ง ไว้ให้เราทำเองเสมอ ไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม จริงอยู่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่างเพื่อเรา รวมทั้งกำหนดชัยชนะไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกครั้งเราจะต้อง “ลุกขึ้น” ทำบางอย่างเอง หรือกล้าที่จะเดินผ่านสถานการณ์แย่ๆด้วยตัวของเราเอง

เหมือนในสถานการณ์นี้ของคนอิสราเอล สงครามฝ่ายโลกของเขากำลังจะเริ่มต้น แต่สงครามฝ่ายวิญญาณเริ่มขึ้นก่อนแล้วตั้งแต่ยังไม่ได้ข้ามไปฝั่งโน้น ถ้าพวกเขาเชื่อความคิดตัวเอง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น แทนที่จะเชื่อวางใจในพระเจ้า พวกเขาคงไม่กล้าข้ามไปหรอก เพราะอะไร เพราะในสายตามนุษย์ อิสราเอลไม่มีอะไรที่จะไปสู้เขาได้เลย

แล้วถามว่า ทำไมพระเจ้าต้องวัดใจเรา หรือเว้นบางอย่างให้เราทำเอง ในเบื้องต้นก็เพื่อที่เราจะเติบโตและแข็งแรง เหมือนอย่าง พ่อ แม่ที่รักลูก ถามว่ารักแล้วก็จัดเตรียมสิ่งต่างๆที่ดีไว้ให้พร้อม แต่พ่อแม่จะรองมือ รองเท้าทำทุกอย่างให้ลูก โดยไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกทำเองเลยรึเปล่า ไม่ใช่แน่นอน เพราะทุกคนรู้ดีว่า นั่นเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม พระเจ้าของเราก็เป็นเหมือนพ่อที่รักลูกและอยากให้ลูกเติบโต มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมักจะเว้นช่องว่างหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ให้เราทำเองเสมอ”

ดูยชว.1:12-15 เราคงยังจำเรื่องราวของ สองเผ่าครึ่ง กันได้นะ ที่พวกเขาร้องขอแผ่นดินทางฟากตะวันออกของน.จอร์แดนกับโมเสส เรื่องนี้ก็มีข้อคิดให้เราเหมือนกัน....เราลองมาทบทวนเรื่องราวของคนสองเผ่าครึ่งนี้กันหน่อย

ตอนที่โมเสสนำคนอิสราเอลมาถึงที่ราบโมอับนั้น ปรากฎว่า พอคนเผ่ารูเบน กาด กับพวกมนัสเสห์ครึ่งเผ่า เห็นความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนนี้ปุ๊บ...ก็ใจเร็วด่วนได้ ออกปากขอดินแดนฝั่งตะวันออกกับโมเสสทันที สิ่งนี้ชี้ให้เห็นอะไร ก็ชี้ให้เห็นว่า “ พวกเขาเลือกในสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ได้เลือกสิ่งที่พระเจ้าเตรียมให้” จริงมั๊ย

ต้องเรียกว่า..พวกเขาเลือกที่จะเชื่อตัวเอง พวกเขาเลือกวัตถุ คือดินแดนที่เห็นว่า สุดแสนจะอุดมสมบูรณ์ รีบจองเลย ลืมหมดว่าเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ที่ไหน แล้วก็ไม่เฉลียวใจด้วยว่า.....ถ้าที่ฝั่งนี้มันดีจริง ทำไมพระเจ้าถึงเตรียมฝั่งโน้นไว้ให้ จริงมะ

แล้วเป็นยังไง พระคำภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์ในสมัยต่อมาว่า ดินแดนของคนสองเผ่าครึ่งนี้ถูกข้าศึกรบกวนมากเพราะ เป็นที่ราบไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำล้อมเป็นเขตแดนป้องกัน พี่น้องอิสราเอลที่อยู่ฝั่งคานาอันต้องส่งกำลังมาช่วยรบอยู่เป็นประจำ แล้วในสมัยที่อัสซีเรียแผ่ขยายอำนาจครั้งใหญ่ “คนสองเผ่าครึ่งนี้ก็ถูกเนรเทศแล้วก็กวาดไปเป็นเชลยก่อนพี่น้อง” นี่ก็คือผลที่เขาเลือกเอง

...........ในทางเดียวกันกับ คริสเตียนทุกวันนี้ หลายคนได้รู้จักและก็ได้เชื่อในพระเยซูแล้ว แต่กลับให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็น มากกว่าที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หรือให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุสิ่งของทางโลกมากเกินไป เหมือนคนสองเผ่าครึ่งที่เห็นแก่ความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนฝั่งตะวันออก จนหลงลืมเมืองแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ทางฝั่งตะวันตก

เรียกว่าเชื่อสายตาและความคิดของตัวเอง มากกว่าเชื่อพระเจ้า อุตส่าห์ติดตามพระเจ้ามาตั้งแต่อียิปต์ บุกป่าฝ่าดงมาไม่รู้เท่าไหร่พอมาถึงจริงๆแล้ว กลับเลือกที่จะไม่เข้าไป มาสะดุดแค่หยากเยื่อเส้นบางๆที่เป็นเพียงทรัพย์สินทางโลก (เด็กๆพอนึกภาพออกมั๊ย)

แล้วปัจจุบันนี้ คริสเตียนที่เป็นประเภทเดียวกับคนสองเผ่าครึ่งนี้ ก็มีไม่น้อย เผลอๆจะมีมากกว่าพวกที่เลือกจะอยู่ในคานาอันด้วยซ้ำ คนกลุ่มนี้จะมีความเชื่อที่ครึ่งๆกลางๆ พวกเขาจะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เขาชอบ มาหาพระเจ้าเฉพาะเวลาที่เขาต้องการ หรือเลือกที่จะเชื่อฟังและกระทำตามแค่บางเรื่อง(โดยไม่รู้สึกผิด) น้าตุ๊กเคยสอนแล้วว่า ความเชื่อ มีแค่สองอย่าง คือ เชื่อกับไม่เชื่อ เท่านั้น ถ้าเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง หรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็แปลว่าไม่เชื่อ ไม่มีคะแนน 50เต็ม100 หรือ70เต็ม100 มีแค่0กับ100คะแนนเต็ม

...........แล้วความพ่ายแพ้ในสงครามก่อนใคร ของสองเผ่าครึ่งนี้ มีความหมายทางฝ่ายวิญญาณด้วยเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เป็นภาพที่สะท้อนให้เรารู้ว่า ถ้าเราทำตัวเหมือนคนสองเผ่าครึ่งนี้ คือไม่ติดตามหรือเชื่อฟังพระเจ้าให้ตลอดลอดฝั่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาหรือการทดลอง “เราก็จะเป็นคนแรกๆที่จะล้มลงในความบาปหรือถูกล่อลวงได้ง่ายกว่าคนอื่น”

ดูยชว.2:1-3 เมืองแรกที่ต้องตีคือ เยรีโค เพราะเยรีโคตั้งขวางทางเป็นปราการด่านแรกที่จะผ่านเข้าสู่คานาอัน โยชูวาใช้วิธีส่งคนไปสอดแนมเมืองนั้นตามกลยุทธ์ที่ได้เรียนรู้มาจากโมเสส แล้วคนทั้งสองก็เข้าไปในบ้านของหญิงโสเภณีที่ชื่อ ราหับ ...ที่เลือกเข้าไปในบ้านของโสเภณี ก็เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ ผิดสังเกต เพราะปกติบ้านของหญิงโสเภณีก็จะมีคนที่มาซื้อบริการเข้าๆออกๆมากหน้าหลายตาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ถึงยังไงก็ยังไม่พ้นสายตาของชาวเมืองเยรีโคอยู่ดี กษัตริย์ถึงให้คนไปบอกราหับว่า ให้ส่งตัวคนอิสราเอลออกมา แล้วราหับว่ายังไง...

ดูยชว.2:4-7 ราหับซ่อนคนสอดแนมทั้งสองของอิสราเอลไว้บนหลังคา แล้วบอกคนที่มาตามจับว่า มีผู้ชายมาหาเขาจริงแต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็กลับออกนอกประตูเมืองไปแล้วตอนพลบค่ำ มาดูกันว่าทำไมราหับถึงทำอย่างงี้

ดูต่อในยชว.2:8-10 ในข้อนี้ราหับบอกว่า เธอรู้แล้วว่า”พระเจ้าประทานแผ่นดินคานาอันนี้ให้กับอิสราเอลแล้ว” และชาวคานาอันเองก็กลัวจนตัวสั่น เพราะพวกเขาได้ยินถึงการอัศจรรย์มากมายหลายอย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อชาวอิสราเอล ทั้งการข้ามทะเลแดง และการรบชนะกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ มันคงไม่ธรรมดาในสายตาของคนต่างชาติ เพราะอย่าลืมว่าอิสราเอลหรือพวกฮีบรูเนี่ย เคยเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อนเล็กๆที่ไม่น่าจะมีพิษสงอะไร ถึงจะมีกำลังคนค่อนข้างมากแต่ชั้นเชิงการรบและกลยุทธ์ทางสงคราม น่าจะยังสู้คนชาติอื่นไม่ได้ แล้วทำไมถึงสามารถชนะประเทศที่มีความเจริญกว่า แล้วก็น่าจะมีประสบการณ์ทางการรบมากกว่าด้วย เพราะสมัยที่ฮีบรูเป็นทาสอยู่ในอียิปต์คงจะไม่เคยไปรบกับใครหรอก เมื่อพระเจ้าปล่อยให้เป็นอิสระ แล้วตั้งให้อิสราเอลเป็นประเทศ พวกเราคงจำได้...ว่าพระเจ้าต้องสอนให้หมดทุกอย่าง...ทั้งการสำรวจจำนวนประชากร การจัดเตรียมกำลังทางทหาร อายุเท่าไหร่ มีหน้าที่อะไร หรือแม้แต่การเคลื่อนขบวนค่าย..ใครจะไปก่อนไปหลัง พระเจ้าคิดให้หมด

ตรงจุดเนี้ย ทำให้เรารู้ว่าชัยชนะของอิสราเอลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างชัดเจน แล้วก็หวาดกลัวพระเจ้าของอิสราเอลอย่างมากด้วย เพราะพวกเขารู้ว่า ลำพังฝีมือของพวกยิวหรือฮีบรูเร่ร่อนนี่ก็คงไม่เท่าไหร่ แต่พระเจ้าที่ทรงนำอยู่ข้างหน้า อิสราเอลนั่นต่างหากที่น่ากลัว

ดูต่อยชว.2:11-14 ในข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า ราหับนั้นมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มหัวใจ เรียกว่าไม่มีข้อสงสัยเลยทีเดียว เพราะดูจากคำพูดที่เขาใช้ อย่างเช่น “ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง” ถ้าคนที่ไม่เชื่อจะไม่ยอมรับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างนี้ ถึงจะเห็นการอัศจรรย์มากมายหรือคนตายฟื้นขึ้นมาต่อหน้า ถ้าไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ

แล้วอีกคำพูดที่ชัดเจนมาก ก็คือ “บัดนี้ ขอท่านสาบานให้ดิฉันในพระนามพระเจ้า..” รู้จักสาบานในพระนามพระเจ้า อันนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าไม่เชื่อว่ายิ่งใหญ่จริงจะอัญเชิญมาเป็นพยานในความเป็น ความตายของตัวเองมั๊ย ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ มนุษย์มักจะต้องนึกถึงสิ่งที่ตัวเองคิดว่าศักดิ์สิทธิ์จริง หรือช่วยตัวเองได้จริง น่ายำเกรงจริงๆเท่านั้นถึงจะยกขึ้นมากล่าวอ้าง ที่น้าตุ๊กบอกว่า ไม่ธรรมดา เพราะอะไร ราหับเป็นคนอิสราเอลรึเปล่า ไม่ใช่เลย เธอเป็นชาวเมืองเยรีโค นั่นหมายถึงเป็นคนต่างชาติ

เด็กๆเคยมีเพื่อนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนมั๊ย แล้วพอเขาได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ก็เชื่อทันที แถมรู้จักอธิษฐานในนามพระเยซูด้วย เคยเจอมั๊ยล่ะ อาจจะมีนะ แต่มันหายากมาก มักจะเป็นกรณีพิเศษที่พระเจ้าทรงเลือก เพราะพระองค์จะทรงกระทำการงานผ่านคนๆนั้นจริงๆ เหมือนอย่างราหับเนี่ย

แล้วภาพชีวิตของราหับก็เป็นเหมือนเสียงของพระเจ้าที่ฝังอยู่ในใจเราอีกครั้งว่า ไม่ใช่แค่คนที่ดีพร้อมหรือคนที่ดูสูงส่งไร้ตำหนิเท่านั้น ที่จะได้รับความรอด เพราะราหับเป็นโสเภณี ดูแล้วต่ำต้อยมากในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าก็ยังประทานความเชื่อให้เธอได้รับความรอด ในเวลาต่อมาราหับได้แต่งงานกับคนเผ่ายูดาห์และกลายเป็นพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์อีกด้วย เพราะฉะนั้น เราตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้เลย ว่าใครจะรอดหรือไม่รอด เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นผู้พิพากษาและพระองค์ทรงมองที่จิตใจ

สรุปว่าในข้อนี้ ราหับช่วยคนสอดแนมของอิสราเอลเพราะมีความเชื่อในพระเจ้า และสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายการมาสอดแนมของคนอิสราเอลให้ใครรู้ ฝ่ายคนสอดแนมของอิสราเอลก็รับปากว่า จะไม่ทำร้ายเธอและครอบครัว ก็เรียกว่าเป็นการให้สัญญาต่อกัน

ดูยชว.2:18 ผู้สอดแนมบอกราหับว่า ในวันที่อิสราเอลบุกเข้ามาให้ราหับรวบรวมคนในครอบครัวเข้ามาไว้ในบ้าน แล้วเอาด้ายสีแดงผูกไว้ที่หน้าต่างแล้วจะปลอดภัย ด้ายสีแดงก็เป็นเครื่องหมายเล็งถึงโลหิตของพระเยซูคริสต์ เช่นเดียวกับเลือดแกะที่ทาวงกบในวันปัสกาที่ประเทศอียิปต์ สถานการณ์ก็คล้ายๆกัน ถ้าเด็กๆสังเกตดูจะเห็นว่าพระเจ้าทรงประทานหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ไว้เป็นระยะๆ เพื่อบอกเป็นนัยน์ถึงการที่จะเสด็จมาของพระองค์ อาจจะต่างที่ ต่างเวลาหรือสถานการณ์ แต่มีความหมายเหมือนกันคือความรอด

ดูต่อในยชว.2:22-24 ในข้อนี้บอกว่า การที่ผู้สอดแนมกลับมาอย่างปลอดภัยนั้น นับเป็นความสำเร็จก้าวแรกของอิสราเอล ที่มีส่วนในการสร้างความมั่นใจให้พวกเขาอย่างมาก

แล้วมาต่อกันสัปดาห์หน้านะคะ วันนี้เวลาหมด

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดินแดนคานาอัน สมัยก่อนคริสตกาล

ดินแดนคานาอัน สมัยก่อนคริสตกา วันที่ อาทิตย์ 12-7-2009

นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ดินแดนนี้มีมนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่เป็นเวลาประมาณ 9000 ปี หรือตั้งแต่ 7000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งถือเป็นชุมชนของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ส่วนยุคประวัติศาสตร์ตามพระคำภีร์นั้น เริ่มต้นที่ประมาณ 4000 ปี ก่อนค.ศ.

คานาอัน” นั้นเป็นชื่อบุตรชายของฮาม หนึ่งในลูกของโนอาห์ คือ เชม ฮาม และยาเฟท โนอาห์และครอบครัวได้อพยพจากแหลมอาระเบีย มาอยู่ที่เมือง เออร์ ในดินแดนเคลเดียหรือบริเวณเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ อิรัก

ต่อมาโนอาห์ได้ขับไล่ฮามซึ่งมีบุตรชายชื่อ คานาอัน ออกไป คานาอันจึงไปอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งสมัยนั้นได้ชื่อว่า ดินแดนคานาอัน ตามชื่อบุตรชายของ ฮาม ดังนั้น ชาวคานาอัน จึงเป็นพวกแรกที่สร้างบ้านเรือนอยู่ในดินแดน แห่งพันธสัญญานี้

ชนเผ่าพื้นเมืองเดิมในคานาอัน ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าบุกยึดและอยู่อาศัยในคานาอัน

๑.ชาวอาโมไรต์ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกอาโมไรต์สืบเชื้อสายมาจาก เชม แต่ตามข้อความในพระคำภีร์ระบุว่า เป็นเชื้อสายของ ฮาม คงเป็นเพราะเมื่อเข้ามาอยู่ในคานาอันแล้ว ชาวอาโมไรต์ได้อยู่คลุกคลีแต่งงานกับชาวคานาอันมาเป็นเวลานาน ลูกหลานรุ่นต่อมาเลยเป็นเชื้อสายของทั้งเชม และฮาม ดังนั้นจะเรียกคนอาโมไรต์หรือเรียกว่าชาวคานาอันก็ได้ ใช้แทนกันได้

๒.คนเยบุส เยบุสก็เป็นเชื้อสายของคานาอัน บุตรของฮาม จึงเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเดิมของคานาอัน เมืองสำคัญของพวกเขาก็คือ เยรูซาเล็ม ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า เมืองเยบุส

ที่ตั้ง ของเยรูซาเล็มบนเนินเขานั้น เป็นป้อมปราการอย่างดี ยากที่ศัตรูจะเอาชนะได้ ชาวเยบุสจึงเคยคิดอย่างเย่อหยิ่งว่า แค่ใช้คนง่อย พิการ ตาบอด วางกำลังไว้ตามกำแพงเมืองก็ยังสามารถป้องกันศัตรูที่มารุกรานได้ แต่ต่อมาก็ถูกก.ดาวิดของอิสราเอล เข้าบุกยึดเยรูซาเล็มได้สำเร็จ

๓.คนเปริสซี พวกนี้อาศัยอยู่ตามเทือกเขาตอนกลางของคานาอัน ในพระคำภีร์ระบุว่าพวกนี้อาศัยอยู่ที่เมืองเบธเอล เชเคม และตามชนบทของเผ่าเอฟราอิม

๔.คนฮีไวต์ อาศัยอยู่ตามเทือกเขาทางภาคเหนือของคานาอัน และบริเวณเทือกเขาเลบานอน และก็มีบางส่วนที่อพยพลงไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองเชเคม กับเมืองกิเบโอน

๕.พวกเรฟาอิม เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนคนอานาค ที่อิสราเอลเรียกว่ายักษ์กินคน คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่กระจัดกระจายบนสองฝั่งน.จอร์แดน ในคานาอันมีหุบเขาแห่งหนึ่งชื่อว่าหุบเขาเรฟาอิม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงเยรูซาเล็ม

๖.คนฮิตไทต์ ความหมายของคนฮิตไทต์ที่พระคำภีร์กล่าวถึง ไม่เกี่ยวกับจักรวรรดิฮิตไทต์ที่ปกครองทั่วเอเชียน้อยและซีเรีย แต่หมายถึงชนเผ่าพื้นเมืองเดิมในคานาอัน ลูกหลานของพวกฮิตไทต์ที่อพยพมาตั้งหลักแหล่งในคานาอัน โดยอาศัยอยู่ตามเทือกเขาตอนกลาง แถวเมืองเบธเอล เยรูซาเล็มและเฮโบรน

๗.ชาวฟีนิเซีย ฟีนิเซียเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือของปาเลสไตน์ (คานาอัน) บางทีก็เรียกว่า “ไทระ” หรือ “ไซดอน” เพราะเป็นที่ตั้งของสองเมืองนี้ ปัจจุบันคือประเทศเลบานอน ทั้งไทระ และ ไซดอนนั้น สามารถต้านทานการบุกยึดของอิสราอลไว้ได้ อิสราเอลจึงไม่เคยได้ครอบครองทั้งสองเมืองนี้ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ แต่ถึงยังไง ฟีนิเซีย ก็ยังจัดว่ามีบทบาทต่อประเทศอิสราเอลมากพอสมควร เพราะต่อไปเราจะพบเรื่องราวของพวกฟีนิเซียที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับอิสราเอลทั้งในสมัยก.ดาวิด ก.โซโลมอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของก.อาหับ ที่ได้แต่งงานกับ พระนางเยเซเบล ชาวฟีนิเซีย แล้วเอาศาสนาบาอัลเข้ามาครอบงำคึนอิสราเอล จนทำให้อิสราเอลและยูดาห์ถึงกับหันหลังให้พระเจ้า จนเป็นเหตุให้ “เยฮู” ต้องปฏิวัติ เรื่องนี้ก็จะอยู่ในสมัยของการคืนดีระหว่างสองอาณาจักรที่น้าตุ๊กสอนไปคราวที่แล้ว

๘.พวกฟีลิสเตีย พวกนี้ก็สำคัญเพราะฟีลิสเตียจัดเป็นศัตรูคนสำคัญของอิสราเอล ส่วนดินแดนของพวกฟีลิสเตียตั้งอยู่บริเวณที่ราบชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนค่อนลงมาทางใต้ และในสมัยนั้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ทะเลของพวกฟีลิสเตีย” เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำนี้ก็ขอให้เข้าใจว่า หมายถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แล้ว ชื่อปาเลสไตน์นั้น ก็ได้มาจากชื่อของพวกฟีลิสเตียนี่เอง

เมื่อโยชูวาเริ่มนำอิสราเอลเข้ายึดครองคานาอัน เมืองที่ตีได้ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่อยู่บนเนินเขา แต่ไม่ค่อยจะยึดเมืองตามที่ราบได้ซักเท่าไหร่ ฟีลิสเตียนี่ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ในที่ราบที่อิสราเอลไม่สามารถจะรบชนะได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บางครั้งพระเจ้าของเราถูกเรียกว่า “พระเจ้าแห่งภูเขา” (เอล ชาดได ที่แปลว่า พระเจ้าแห่งภูเขา หรือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์)

ทั้งหมดที่พูดถึงนี้คือชนเผ่าสำคัญที่อาศัยอยู่ในคานาอันก่อนที่อิสราเอลจะเข้ายึดครอง ส่วนลักษณะเมืองของชาวคานาอัน จะเป็นเมืองที่มีกำแพงสูงที่ทำจากหินและดิน ป้องกันไม่ให้ศัตรูหรือสัตว์ป่าบุกรุก ภายในกำแพงก็จะมีบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ชาวบ้านธรรมดาก็จะทำไร่ทำนาบนที่ดินเล็กๆของตัวเอง ทำงานฝีมือ หรือเป็นลูกจ้างของคนรวยๆ เช่นเจ้าเมือง เจ้าของที่ดิน หรือพวกพ่อค้า .....ส่วนนอกกำแพงจะเป็นหมู่บ้านของชาวนาและคนเลี้ยงสัตว์ ที่อยู่อย่างกระจัดกระจายไปโดยรอบ พวกเจ้าเมืองก็มักจะมีเรื่องขัดแย้งกันเสมอ บางเมืองก็ถูกโจรป่าหรือคนนอกกฎหมายมาปล้นโจมตีบ่อยๆ ......ถ้าสังเกตุดูจะเห็นว่าชาวคานาอันนั้นไม่ค่อยจะรวมตัวอยู่กันเป็นปึกแผ่นซะเท่าไหร่ ทำให้อิสราเอลเข้าบุกยึดเมืองในคานาอันได้ง่ายขึ้น

ศาสนาของชาวคานาอัน

ชาวคานาอันนับถือพระบาอัลซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ควบคุมฝน หมอก น้ำค้าง หมายถึงว่าเป็นผู้ควบคุมผลผลิตทางการเกษตร หรือดูแลปากท้องของพวกเขา พระบาอัลมีมเหสีด้วยชื่ออานาด พ่อของพระบาอัลชื่อ เอล มเหสีของเอล ชื่ออาเชราห์ แต่ในสมัยที่อิสราเอลเข้ายึดครองคานาอัน เอล ก็กลายเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น (หุ่นเชิด ก็หมายถึง ไม่มีบทบาทของตัวเองหรือไม่มีฤทธิ์อำนาจจริง)

นอกจากนี้ ชาวคานาอันก็ยังมีพระอีกมากมายหลายองค์ เช่นพระดาโกน เป็นเทพแห่งข้าวโพด ชื่อพระเหล่านี้ปรากฎอยู่ในหน้าพระคำภีร์ มีทั้งที่เคยเรียนกันไปแล้วและก็ยังเรียนไม่ถึง

เรารู้ความเป็นมาของเทพเจ้าต่างๆของชาวคานาอันจากตำนานของพวกเขาเอง พระเหล่านี้มีทั้งโหดเหี้ยม กระหายเลือด บ้าสงคราม สำส่อนทางเพศแถมชอบวุ่นวายกับมนุษย์ เพียงแค่เพื่อความสะใจชั่วครู่โดยไม่คำนึงว่าการกระทำอย่างงั้นจะไปกระทบกระเทือนใคร แต่บางเวลาก็อาจจะมีใจเมตตาบ้าง (นี่มันบทตัวอิจฉาในละครทีวีรึเปล่าเนี่ย ใครเขียนคาแร็คเตอร์ให้เทพเจ้าพวกนี้ก็ไม่รู้เนอะ)

แท้จริงแล้วพระของชาวคานาอันเหล่านี้ ก็เป็นแค่ภาพสะท้อนถึงคนที่มากราบไหว้นั่นแหละ เพียงแต่ใส่บทบาทให้เป็นเทพเจ้าเท่านั้นเอง หมายความว่าไร ก็หมายความว่า ค่านิยมหรือนิสัยของพวกเขาเป็นยังไง ชอบแบบไหน ก็เอาใส่ ตั้งให้เป็นเรื่องเป็นราวของเทพเจ้าที่เขาบูชา เพราะสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประเพณีนิยมที่พวกเขาจะกระทำตาม (พูดง่ายๆว่า ชอบแบบไหนก็ใส่บทบาทนั้นให้เทพเจ้าที่ตัวเองกราบไหว้) ........แล้วผลเป็นยังไง เทศกาลงานศาสนาของพวกเขา ก็เลยกลายเป็นวาระที่ผู้คนได้ปล่อยตัวปล่อยใจกระทำการเสื่อมทรามกันอย่างเต็มที่ ขนาดนักเขียนชาวกรีก และโรมันก็ยังตกตะลึงพรึงเพริดกับการปฏิบัติกิจทางศาสนาของชาวคานาอัน (เพราะจริงๆแล้วกรีกก็ได้ชื่อว่ามีเรื่องราวตำนานของเทพมากมายแล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวที่ค่อนข้างพิศดารอยู่เหมือนกัน แต่พอได้รู้ถึงประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนาของชาวคานาอันแล้ว เรื่องของกรีกคงจืดไปเลย)

เรื่องที่เล่าให้เด็กๆฟังนี้ ไม่ใช่เรื่องโคมลอยที่เราสร้างขึ้นมากล่าวหาเขานะ เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังพิสูจน์ได้ว่า มีการค้นพบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของชาวเมืองคานาอันในช่วงก่อนที่ โยชูวาจะเข้าไปบุกยึดว่า ผู้คนในเมืองนั้นล้มตายด้วย กามโรคกันเป็นจำนวนมาก เรียนรู้ตรงนี้กันให้เรียบร้อย จะได้เข้าใจ เพราะถ้าเรียนต่อไปเรื่อยๆแล้วพบว่ามีบางกรณีที่พระเจ้าทรงสั่งให้อิสราเอลเผาทำลายเมืองต่างๆรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ให้สิ้นซาก จะได้ไม่ตกใจ เพราะเรารู้เหตุผล รู้ที่มาที่ไป

.......ทีนี้มาพูดถึงพระเจ้าของอิสราเอลกันบ้าง พระเจ้าของเราเป็นยังไง พระเจ้าของเราต่างกับพระของชาวคานาอันอย่างลิบลับ เพราะพระเจ้านั้น คือ ความรัก และพระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์มีจริยธรรมอันดีงาม รวมถึงพระองค์ทรงห่วงใยในทุกสรรพสิ่งบนโลกที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนแค่บางกลุ่ม บางเผ่า หรือเป็นพระเจ้าของมนุษย์อย่างเดียว แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างและครอบครองทั่วทั้งมหาจักรวาลนี้พระองค์ไม่ได้เห็นแก่สิ่งใดสิ่งเดียวบนโลกนี้ ..............แต่ พระองค์ทรงรักมนุษย์ รักษ์สรรพสัตว์ทั้งปวง ทรัพยากรของโลกทุกอย่าง รวมถึงระบบสุริยะจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้างไว้ด้วย และพระประสงค์ของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่เหนือนามใดๆทั้งปวง เพราะพระประสงค์ของพระองค์ คือ การได้เห็นทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เป็นระบบ และดำเนินอย่างถูกต้องตามวัฏจักรหรือกฎธรรมชาติที่พระองค์ทรงตั้งไว้

............แล้วการงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีนามไหนที่จะทำได้ นอกจากพระเจ้าของอิสราเอล หรือ พระเจ้าของพวกเรานี่แหละ ต้องพระปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เท่านั้น ที่จะควบคุมสิ่งสารพัดในมหาจักรวาลนี้ให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะอะไร เพราะพระองค์เป็นผู้สร้าง เหมือนอย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ว่าเวลาที่เราซื้อเครื่องใช้อะไรมาสักอย่าง เราจะรู้วิธีใช้หรือวิธีแก้ปัญหาของเครื่องใช้เหล่านั้นได้ยังไง........ก็ต้องอ่านจากคู่มือที่ผู้ผลิตเขาแนบมากับสินค้านั่นไง ถึงจะรู้ว่าต้องใช้ยังไงถึงจะตรงจุดประสงค์ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด หมายความว่า ถ้าจะให้รู้จริงแล้ว ก็ต้องถามคนผลิต เพราะคนผลิตเขาจะรู้โครงสร้าง และระบบการใช้งานอย่างละเอียด ....... พระเจ้าของเราก็เช่นกัน พระองค์เป็นผู้สร้างและเมื่อพระองค์สร้างมนุษย์ พระองค์ก็ทรงประทานคู่มือการใช้ชีวิตไว้ให้เราด้วย เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้ว่า ผู้สร้างมีจุดประสงค์อะไรในการสร้างเขาขึ้นมา และจะต้องดำเนินชีวิตแบบไหนจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด หรือเกิดผลอันดีในทุกสิ่ง และคู่มือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็คือ“พระคำภีร์” เพราะฉะนั้น แท้จริงแล้วพระคำภีร์จึงไม่ใช่คู่มือการดำเนินชีวิตสำหรับคริสเตียนเท่านั้น แต่เป็นคู่มือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน (ถ้าพวกเขาอยากจะมีชีวิตที่ถูกต้องและดีงาม)

เมื่อเข้าใจอย่างงี้แล้ว พวกเราควรทำอะไร สิ่งที่พวกเราควรทำก็คือ ยอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกกรณี ถึงบางครั้งเราจะไม่เข้าใจหรือแอบไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้น ก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด และ ไม่มีวันที่จะผิดพลาดด้วย เพราะฉะนั้น จงเชื่อและวางใจพระองค์ในทุกกรณี

วิถีของชาวคานาอัน กับ คนอิสราเอล

จริงๆแล้ววิถีชีวิตของชาวคานาอัน ไม่ค่อยต่างจากชาวอิสราเอลเมื่อครั้งที่อยู่ในประเทศอียิปต์ซักเท่าไหร่ ทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิต ค่านิยม ประเพณีนิยม รวมทั้งภาษาก็ใกล้เคียงกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องยากในการที่อิสราเอลจะเข้าไปตั้งถิ่นฐานในคานาอัน คงไม่มีปัญหาเรื่องการที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แต่ในขณะเดียวกันมันก็ง่ายและเสี่ยงต่อการที่จะถูกชาวคานาอันครอบงำด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อและการที่จะประคองชีวิตให้อยู่ในวิถีทางของพระเจ้า

ต่อไปเมื่อเราเรียนไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่าสิ่งนี้มันสร้างปัญหาให้อิสราเอลจริงๆ ความที่มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันมาก มันคงทำให้บางครั้งพวกเขาคงแยกแยะไม่ออก ว่าเรื่องไหนทำได้ เรื่องไหนไปตามอย่างชาวคานาอันไม่ได้ น้าตุ๊กถึงย้ำนักหนา เกี่ยวกับเรื่องที่เด็กๆต้องอยู่ร่วมกับผู้คนหลากหลายในสังคมทุกวันนี้ ว่ามันสำคัญมากในการที่เราจะมีสติปัญญา วินิจฉัยว่า วัฒนธรรม ประเพณี หรือค่านิยมอันไหนที่เราเอาอย่างเขาได้ แล้วอันไหนที่ยอมไม่ได้ (เด็ดขาด)

ที่ตั้งของดินแดนคานาอัน คานาอันเป็นศูนย์กลางการติดต่อของสามทวีป คือเอเชีย อาฟริกา และยุโรป จึงทำให้คานาอันนี้เป็นศูนย์รวมของกองคาราวานการค้าต่างๆในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ตามชายฝั่งทะเลของดินแดนนี้จะมีการค้าขายกันอย่างคึกคัก ท่าเรือต่างๆจะมีการขนไม้สนสีดาร์ น้ำมัน เหล้า เหล้าองุ่น และสินค้าอื่นๆ ไปยังอียิปต์ เกาะครีต และกรีก แล้วตอนขากลับก็จะบรรทุกบรรดาสินค้าฟุ่มเฟือยและกระดาษพาพิรัส จากอียิปต์ เครื่องปั้นดินเผาจากกรีก กลับมาด้วย เพราะฉะนั้น ดินแดนคานาอันจึงเป็นที่หมายปองของหลายๆชนชาติ ใครๆก็อยากจะได้ครอบครอง

ดังนั้น บริเวณนี้จึงกลายเป็นสมรภูมิของบรรดาประเทศมหาอำนาจ และถูกอาณาจักรโดยรอบนั้นหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้าแย่งชิงและครอบครอง ......ในสายตาของชาติอื่นก็คงรวมถึงอิสราเอลด้วย เพราะหลายครั้งก็ยังได้ยินผู้คนพูดถึงอิสราเอล ประมาณว่า “ความจริงก็ไปแย่งที่คนอื่นเขามา” (อะไรประมาณนี้) แต่ถ้าตามความเห็นของน้าตุ๊ก คิดว่า อิสราเอลนั้นเข้ายึดครองคานาอันตามพระบัญชาของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้ทำด้วยความกล้าหาญหรือความทะเยอทะยานส่วนตัวหรอก แต่พูดไปใครจะเชื่อ ยกเว้นคนของพระเจ้าด้วยกันที่จะรู้ว่า อิสราเอลไม่เคยแม้แต่จะคิดดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเป็นทาสด้วยซ้ำ อาจจะคิดแหละ แต่ดิ้นรนน้อยมากแล้วก็ไม่ค่อยจะอดทนต่ออุปสรรคซักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว น้าตุ๊กว่า ป่านนี้ยิวน่าจะยังเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ หรืออย่างมาก ก็ผลัดกันมีอำนาจขึ้นๆลงๆกับเจ้าถิ่นเดิมของอียิปต์ (เหมือนอย่างสมัยโยเซฟที่ฟาโรห์เป็นพวกฮิกซอส <พวกเซม์ไมต์ เชื้อสายของเชม> พวกยิวในอียิปต์ก็สุดแสนจะสุขสำราญ คล้ายๆว่าเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่พอเจ้าถิ่นเดิมเขาชิงอำนาจกลับมาได้ ยิวก็ตกกระป๋องกลายเป็นทาส อย่างในสมัยโมเสส วัฏจักรชีวิตของยิวก็น่าจะวนๆอยู่แถวนั้นแหละ) คงไม่พากเพียรไปแย่งชิงอะไรไกลๆกับใครเขาหรอก ฝ่อจะตาย ไม่ได้กล้าหาญชาญชัยอะไรนักหนา เก่งแต่เอาตัวรอดไปวันๆ เอะอะก็จะกลับไปตายอยู่ข้างหม้อข้าว หม้อเนื้อที่อียิปต์ (ที่เราเห็นกันไปแล้ว ในหนังสือกันดารวิถี) เพราะฉะนั้นความสำเร็จเบื้องต้นในสมัยโยชูวานั้นแท้จริงคือ “ฝีพระหัตถ์และพระเมตตาคุณของพระเจ้าล้วนๆ” พวกเราว่าจริงมะ

เท่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเขาหรอก เพราะน้าตุ๊กก็รู้ว่า ตัวเองนั้นก็ไม่ได้ดีอะไรไปกว่าพวกยิวเลย อาจจะแย่กว่าเขาด้วยซ้ำ แต่เด็กๆที่เรียนพระคำภีร์อย่างต่อเนื่อง จะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเลือก “พวกยิว” หรือ “อิสราเอล” เพราะเราจะรู้ว่ายิ่งเห็นความเป็นชนกลุ่มน้อย (เมื่อสมัยเริ่มต้น) เห็นความกบฎ เห็นความดื้อ ความขี้ลาด ความไม่อดทน นิสัยขี้บ่น เห็นแก่ตัว หรือเรียกว่ายิ่งเห็นนิสัยแย่ๆของอิสราเอลมากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นพระคุณความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าภาพที่ไม่สมบูรณ์พร้อมของคนอิสราเอลนั้นมันเป็นเสมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ฝังลึกลงในจิตใจของเราว่า พระองค์ไม่ได้รักเราเพราะว่าเราเป็นคนดี หรือคนสมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่พระองค์จะทรงเลือกและเรียกเข้ามารับความรอด ไม่งั้นคนบาปจะมีหวังอะไร แล้วความเชื่อไหนก็ตาม ที่บอกมนุษย์ว่า คุณต้องดีพร้อมเท่านั้นถึงจะรอดหรือแม้แต่ได้ขึ้นสวรรค์ นั่นก็แปลว่านามนั้นหรือความเชื่อนั้นช่วยอะไรมนุษย์ไม่ได้เลย เพราะมนุษย์ไม่มีวันที่จะสมบูรณ์พร้อมและมนุษย์ก็ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว จิตวิญญาณของมนุษย์ถึงดิ้นรนแสวงหา "ผู้ที่จะช่วยให้ตัวเองรอด" (พระเยซูคริสต์ จึงทรงเป็นคำตอบสำหรับมนุษยชาติ) และพระเจ้าเท่านั้น ที่กำลังบอกเราว่า “ไม่ว่าความบาปของเรานั้นจะใหญ่โตขนาดไหน พระองค์ก็ทรงสามารถชำระเราให้บริสุทธิ์ได้” ..........และถ้าเป็นของพระเจ้าจริงๆ สิ่งที่ผูกพันเรากับพระเจ้าไว้ คือ “ความรัก” ไม่ใช่ผลประโยชน์ใดๆที่แอบแฝง เพราะฉะนั้น ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหน เราก็จะเปลี่ยน ระบบกระบวนการ การดำเนินชีวิตของเราทั้งหมดจะเปลี่ยน เหตุผลของการตัดสินใจในแต่ละเรื่องของเราก็จะเปลี่ยน (บางคนอาจจะบอกว่า......ไม่เปลี่ยน เพราะเขาดีอยู่แล้ว ก็แล้วไป) เพราะอะไร เพราะจุดหมายในชีวิตของเราเปลี่ยนไป และเพราะเราถูกผูกพันกับพระเจ้าไว้ด้วย “ความรัก” เราจึงอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อจะให้คนที่เรารักพอใจ เราจะไม่ทำอะไรเพื่อพระเจ้าโดยคิดว่าแค่ทำไปตามหน้าที่ เราจะไม่ทำเพราะเรากลัวหรือรู้สึกถูกบังคับ เราจะไม่ทำเพราะอยากให้พระเจ้าอวยพรหรือหวังผลตอบแทน เพราะแท้จริงแล้ว เหตุผลเหล่านี้ไม่สามารถทำให้สิ่งใดผูกพันกันได้จริง เพราะมันเป็นปฏิสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไข มีแต่ความรักเท่านั้นที่จะผูกพันทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยกันได้อย่างแนบแน่นโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น.... (ส่วนพระพรเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่พ่อแม่นั้น ย่อมอยากจะให้ของดีแก่ลูกของตนอยู่แล้ว ถ้าไม่ให้....แปลว่า........มีเหตุผล )

และเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น ถ้าเราจะเชื่อฟังพระองค์และอยากทำชีวิตของเราให้ดี ก็เพราะ "เรารักพระองค์เช่นกัน" แค่รักเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขอื่น ถึงแม้จะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง พระเจ้าก็ให้อภัยเราเสมอ “เพราะพระองค์ทรงมองดูที่หัวใจและพระองค์ทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญจากหัวใจของเราในการที่อยากทำให้พระองค์พอใจ”

ออกนอกเรื่องไปซะยาว.....

กลับมาดูกันต่อ ถึงที่ตั้งและทำเลของคานาอัน ว่าดินแดนนี้มันสำคัญยังไง มันสำคัญเพราะมันตั้งอยู่บนจุดเชื่อมระหว่างเมโสโปเตเมีย กับ อียิปต์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกในสมัยนั้น ก็เท่ากับว่าคานาอันต้องเป็นจุดผ่านที่สำคัญของผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล จึงทำให้คานาอันเป็นดินแดนที่อ้าแขนรับเอาวัฒนธรรมทุกอย่างรวมไว้ในตัวเอง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแผ่กระจายของค่านิยมหรือสิ่งแปลกใหม่ที่ทรงอิทธิพลมาก ใครอยากจะเผยแพร่ความคิดอะไรใหม่ๆก็ต้องมาที่นี่.......เหมือนกับไข้หวัด 2009ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเริ่มต้นที่เม็กซิโกและอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่เจริญมากในสมัยนี้ ใครๆในทุกประเทศทั่วโลกก็มีเหตุที่มักจะต้องเดินทางไปอเมริกาอยู่เสมอ แต่สมมติว่า ถ้าไวรัสชนิดนี้มันเริ่มต้นที่ประเทศเล็กๆในอาฟริกา ป่านนี้ มันก็คงจะระบาดอยู่ในวงแคบแถวๆนั้น ไม่แพร่สะพัดไปทั่วโลกได้รวดเร็วอย่างทุกวันนี้หรอก จริงมั๊ย

นอกจากนี้ รูปแบบของศิลปะและสถาปัตยกรรมของคานาอันเองก็ยังเอามาจากหลายชาติด้วยกัน อย่างเช่น วิหารและค่ายทหารของเมืองหนึ่ง อาจจะสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของอียิปต์ ....................แต่พอถัดไปอีกเมือง ก็อาจจะสร้างตามแบบของซีเรีย .............. ....หรือมีตราประทับ เหมือนของบาบิโลน แต่เครื่องทองจะออกแบบเป็นสไตน์ฮิตไทต์ ของตุรกี อย่างงี้เป็นต้น .............แล้วก็ที่เด่นชัดอีกอย่าง คือ ตัวอักษรของชาวคานาอัน ซึ่งมีรูปแบบที่ดัดแปลงมาจากทั้งของอียิปต์และของบาบิโลนผสมกัน

ทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนคานาอัน อย่างย่อที่น้าตุ๊กเอามาสอน เพื่อให้เด็กๆมองเห็นภาพรวมของดินแดนนี้ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปเรียนรู้หนังสือโยชูวา

แล้วพบกันอาทิตย์หน้า พระเจ้าอวยพรค่ะ....