วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 2 อาทิตย์ที่ 24:1:2010

คราวที่แล้ว..เราจบตรงบทเพลงของนางฮันนาห์ ซึ่งนักวิชาการบางคนให้ความเห็นว่าบทเพลงของฮันนาห์ มีวิธีเรียบเรียงแล้วก็ใช้คำคล้ายกับบทสดุดี(ในหนังสือสดุดี) คือไพเราะและสละสลวย ที่สำคัญเนื้อหาไม่ได้เจาะจงที่ความทุกข์ยากของตัวเองหรือสำแดงความยินดีในพระพรที่เธอได้รับมากมายอะไร แต่บทเพลงที่ฮันนาห์ร้อง”มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง..เนื้อหาส่วนใหญ่โฟกัสที่พระเจ้า” คือมันต่าง..ต่างจากอะไร ต่างจากคำอธิฐานของอีกหลายๆคน..ที่ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง..แต่คำอธิฐานของฮันนาห์ส่วนใหญ่จะบรรยายถึงพระลักษณะอันบริสุทธิ์งดงามและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า รวมถึงบรรดาพระหัตถกิจใหญ่ๆ (ย้ำ) พระหัตถกิจใหญ่ๆ คือ ไม่ใช่พระพรจิ๊บๆของตัวเอง..เพราะต้องบอกตรงๆคริสเตียนบางคน ต่อให้ได้ยินได้ฟังหรือสอนให้ตายก็ไม่สนใจหรอก..ว่าพระเจ้าจะเคยทำให้ฟาโรห์ยอมสิโรราบต่อพระองค์ หรือพระเจ้าจะเคยแหวกทะเลแดง ทำให้มานาตกจากฟ้า ให้น้ำออกมาจากหิน เคยให้อิสราเอลชนะศัตรู ทั้งๆที่ไม่มีอะไรไปสู้เขาได้เลย...ก็ไม่เคยสนใจ ไม่ตื่นเต้น หรือแม้จะมีอัศจรรย์อะไรๆอีกมากมายในพระคำภีร์ ก็ไม่อิน...เพราะมันไม่ได้เกิดกับชั้น จะตื่นเต้นก็ต่อเมื่อ..พระเจ้าอวยพรชั้นแบบระยะเผาขน...ให้เอ็นติด ได้งานดีๆ มีเงินซื้อรถ ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น ก็ต้องบอกตามตรงว่า...เพราะเขายังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง..อาจจะโดยไม่รู้ตัว นี่คือเหตุผลเบื้องต้น ถามว่าคนพวกนี้เชื่อพระเจ้ามั๊ย..เชื่อนะ แต่ยังเห็นตัวเองชัดกว่า ภาพของพระเจ้ายังไม่ชัดเจนเท่าที่ควรในชีวิตและจิตวิญญาณของเขา ส่วนฮันนาห์นั้นต่างไป เพราะคำอธิฐานเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์พูดถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มองภาพรวม(ที่สำคัญกว่าเรื่องส่วนตัวเป็นไหนๆ) จริงๆแล้ว มันไม่ง่ายหรอกที่เราจะโฟกัสพระเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องฝึก..ฝึกอย่างจดจ่อ..ขอกำลังจากพระเจ้าแล้วเราจะทำได้มากขึ้น แต่น้าตุ๊กไม่ได้บอกว่ามันผิดนะ ถ้าเราจะรู้สึกดีใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ หรือเวลาที่ได้รับพระพร มันไม่ผิด ใครๆก็ดีใจทั้งนั้นเวลาที่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ (จริงมะ) น้าตุ๊กก็ดีใจ แล้วฮันนาห์ดีใจมั๊ย..ที่ได้ลูก ฮันนาห์ก็ดีใจ จนสามารถเขียนบทเพลงออกมาได้อย่างสวยงาม เพราะตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง เราก็ต้องมีความรู้สึกตามเนื้อหนังบ้างเป็นธรรมดา เพียงแต่ตอนนี้เด็กๆโตแล้ว ก็ต้องฝึกที่จะเรียนรู้...เพื่อจิตวิญญาณจะก้าวไปอีกขั้น คือต้องฝึกที่จะเอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง(อย่างแท้จริง) มองข้ามสีสรรเล็กๆน้อยๆของชีวิตไปบ้าง อย่ายึดติดหรือมองพระพรส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ(ให้มากจนเกินไป) จริงอยู่มันทำยาก..ไม่ง่ายหรอก แต่พระเจ้าจะช่วยให้เราทำได้ถ้าเราติดสนิทกับพระองค์
กลับมาที่หนังสือซามูเอลของเรา พระคำภีร์บอกว่าเมื่อฮันนาห์ได้โมทนาเป็นบทเพลงถวายแด่พระเจ้าแล้ว ครอบครัวของเธอก็เดินทางกลับบ้านที่รามาห์ไป ทิ้งซามูเอลไว้กับเอลีที่ชิโลห์เพื่อที่เขาจะได้รับใช้พระเจ้าตามที่สัญญาไว้
คำพยากรณ์กล่าวโทษพงพันศ์เอลี
เนื้อหาในบทนี้จะเป็นเหมือนฉากที่เตรียมไว้รองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในบทต่อไป พระคำภีร์ได้บันทึกเรื่องราวช่วงนี้ ด้วยการนำชีวิตของ”ซามูเอล” มาเปรียบเทียบกับ “ลูกชายทั้งสองคนของเอลี” แบบสลับกันไปเรื่อยๆจนถึงบทที่สาม(ดูตามในพระคำภีร์)เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
2:11 ซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้า
2:12-17 โฮฟนีและฟีเนหัสลบหลู่การนมัสการ
2:18-21 ซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้า
2:22-25 ความชั่วของโฮฟนีและฟีเนหัส
2:26 ซามูเอลจำเริญขึ้น
2:27-36 คำพยากรณ์ถึงการถูกพิพากษา
แล้วต่อจากนั้นใน 3:1จะกล่าวถึงการปรนนิบัติพระเจ้าของซามูเอล
ดู1ซมอ.2:12-14/15-17 เราเคยเรียนเรื่องบทบาทและหน้าที่ รวมถึงคุณสมบัติของคนที่จะเป็นปุโรหิตไปแล้วในหนังสือเลวีนิติ อพยพ แล้วก็กันดารวิถีด้วย เราถึงรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้มอบมรดกให้กับปุโรหิตและคนเลวี แต่พระเจ้าจัดเตรียมการเลี้ยงดูพวกเขาอีกแบบนึง ซึ่งพิเศษกว่า...คือพวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งจากเนื้อ จากทศางค์ แล้วก็ของถวายบูชาต่างๆที่คนอิสราเอลนำมาถวาย นอกจากนี้พวกเขาก็จะได้รับประทานขนมปังหน้าโต๊ะพระพักตร์
ในข้อที่12บอกว่าบุตรทั้งสองของเอลีเป็นคนอันธพาล ทำไมถึงว่าเขาเป็นคนอันธพาล..แรกเลยก็เพราะพวกเขาไม่ยอมรับส่วนแบ่งของชิ้นเนื้อตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แต่อยากจะเลือกเฟ้นส่วนดีๆตามที่ตัวเองต้องการ ในข้อที่13-14 บอกว่า..ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อมีคนเอาเนื้อมาถวาย คนใช้ของปุโรหิตก็จะถือสามง่ามเข้าไปตอนที่เนื้อกำลังต้มอยู่ แล้วก็ใช้สามง่ามแทงเข้าไปในหม้อที่ต้มเนื้อ ติดชิ้นไหนขึ้นมาก็ชิ้นนั้นแหละที่จะเป็นของปุโรหิต..(แต่บางทีคนใช้ของโฮฟนีกับฟีเนหัส..อาจจะมีการเล็งนะ..เล็งก่อนที่จะแทงเข้าไปในหม้อเนื้ออ่ะ)
ที่หนักกว่านั้นก็คือ ในข้อที่15บอกว่า..ก่อนที่จะเผาไขมัน คนใช้ของปุโรหิตก็จะเข้ามาขอเนื้อไปก่อนเลย เพราะจะเอาไปทอด..ไม่อยากได้เนื้อต้ม เด็กๆนึกออกมั๊ยล่ะ..ว่าปุโรหิตคงจะเบื่อเนื้อต้ม เพราะรสชาติมันต้องจืดแน่ๆ (สมัยก่อนเขาไม่มีชูรส รสดี กะปิ น้ำปลานะ อย่างมากก็เกลือ...) ลูกของเอลีก็เลยอยากจะได้เนื้อสดไปทอด หรือย่างเหมือนสเต็กมั่งเพราะรสชาติมันเข้มข้นอร่อยกว่ากัน...(แต่คุณไม่มีสิทธิ์ทำหยั่งงี้) และถ้าคนที่เอาไปถวายบอกว่า “ขอให้เผาไขมันบนแท่นบูชาก่อนนะ แล้วค่อยเอาไป” คนใช้ของปุโรหิตยอมมั๊ย..ไม่ยอม ยังไงก็จะเอาให้ได้ และจะเอาเดี๋ยวนี้ด้วย ฟังให้ดีนะ..ไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาเผาไขมันถวายพระเจ้าให้ถูกต้องตามกฎบัญญัติซะก่อน (ไม่รู้ว่ามีการใช้กำลังข่มขู่กันมั่งป่าวเนอะ) แล้วลองคิดดูว่าประชาชนที่ไปนมัสการพระเจ้า เขาจะรู้สึกยังไง ที่มีผู้นำศาสนาอย่างงี้ และข้อที่17ก็บอกว่า..”เพราะอย่างนี้บาปของโฮฟนีและฟีเนหัสถึงได้ใหญ่หลวงมากในสายตาของพระเจ้า”
ใหญ่แน่นอน (เพราะอะไร) แทนที่ปุโรหิตจะเป็นที่พึ่งแล้วก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชนใน ทุกๆเรื่อง..กลับมาทำบาปเองซะงั้น เกิดคนทำตามขึ้นมาจะว่าไง มันเป็นไปได้...เพราะคุณเป็นผู้นำ
ดู1ซมอ.2:18-20 พอพูดถึงความชั่วร้ายของลูกชายเอลีแล้ว ข้อนี้พระคำภีร์ก็มาบรรยายถึงการจำเริญขึ้นของซามูเอลบ้าง ข้อนี้บอกว่า...ซามูเอลได้ปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์ ส่วนฮันนาห์ก็ไปนมัสการพระเจ้าทุกปี แล้วโอกาสนี้ก็จะเป็นเวลาที่เธอจะได้เจอลูก ก็เหมือนแม่ทั่วๆไป..ที่ลูกไม่ได้อยู่ด้วย พอจะได้เจอซักทีก็ต้องมีของไปฝาก ฮันนาห์ก็ตัดชุดเล็กๆไปให้ซามูเอลทุกปี แล้วเอลีก็อวยพรฮันนาห์ ขอพระเจ้าประทานลูกคนใหม่ให้..เพราะเอลีคงสงสาร..ทุกครั้งที่เห็นฮันนาห์ต้องจากลูกทั้งน้ำตา
ดู1ซมอ.2:21 และแล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงพระเมตตาคุณแก่ฮันนาห์อีกครั้ง ฮันนาห์ก็เลยท้องแล้วท้องอีก จนมีลูกถึงห้าคนเป็นชายสาม หญิงสอง รวมซามูเอลด้วยก็เป็นหก...
ดู1ซมอ.2:22-25 พระคำภีร์สลับมาพูดถึงความชั่วของโฮฟนีกับฟีเนหัสอีกครั้ง ในข้อที่12-17 เราได้เห็นความบาปเรื่องเนื้อถวายบูชาที่เขาได้ทำไปแล้ว มาข้อนี้จะเป็นความบาปที่พวกเขาล่วงประเวณี (ทั้งที่เป็นปุโรหิต) ข้อนี้บอกว่า..เอลีรู้เรื่องที่ลูกของเขาทำบาปทางเพศ รู้ว่าลูกตัวเองเข้าหาผู้หญิงที่อยู่ข้างเต๊นท์นัดพบ ทั้งๆที่แต่งงานแล้ว(ตามที่ระบุไว้ใน4:19) แล้วเอลีเตือนมั๊ย..ดูเหมือนจะเตือนนะ แต่น้าตุ๊กรู้สึกว่าเอลีเตือนแบบไม่จริงจัง ดูข้อที่24เอลีแค่พูดว่า”ลูกเราเอ๋ย อย่าทำเลย พ่อได้ยินคนพูดเรื่องไม่ดีกันไปทั่ว..” อ่านตอนนี้แล้วน้าตุ๊กเห็นภาพ ขอโทษนะ..ความเหยาะแหยะในการอบรมลูกตัวเอง เอลีทำได้แค่เนี้ยเหรอ!ห้ามลูกแค่สองสามคำ แล้วพอลูกไม่สนใจเชื่อฟัง..ก็ปล่อยไป..ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะเพราะรักผิดๆ ห่วงความรู้สึกหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เขาทำมันเป็นบาปที่กำลังทำต่อพระเจ้าซึ่งเขาเองก็รู้ เพราะในข้อที่25 เอลีบอกว่า”ถ้ามนุษย์ทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าก็จะทรงวินิจฉัยให้ แต่ถ้ามนุษย์ทำบาปต่อพระเจ้า..จะเหลือมั๊ยเนี่ย” แต่ยังไงก็ตามตอนท้ายของข้อที่25 พระคำภีร์ได้ยืนยันว่า “สิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงพิพากษาลูกทั้งสองคนของเอลี..” เพราะฉะนั้น การตายของเอลีกับลูกในบทที่ ๔ จะเป็นคำเตือนที่ชัดเจนว่า “พ่อแม่จะต้องจ่าย แพงแค่ไหน ถ้าไม่ยอมทำตามกฎบัญญัติของพระเจ้าในการเลี้ยงดูลูก”
ดูซมอ.2:26 เห็นมั๊ยคะ พอพระคำภีร์บรรยายความชั่วของบุตรเอลีจบ...ข้อนี้ก็สลับมาเล่าถึงพัฒนาการของซามูเอล เพื่อให้เราเห็นภาพเปรียบเทียบชัดเจน ข้อนี้บอกว่า”ฝ่ายกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น เฉพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย” ลองนึกดูว่า..ในขณะที่เอลีก็แก่มากแล้ว ลูกชั่วทั้งสองคนของเขาก็กำลังจะขึ้นแท่นรับตำแหน่งแทนพ่อเนี่ย ธรรมิกชนของอิสราเอลจะหวาดหวั่นขนาดไหน ที่เวลามานมัสการพระเจ้าแล้วต้องเจอปุโรหิตชั่ว ก็ขนาดเอลียังอยู่ลูกยังกล้าทำขนาดนั้น ถ้าพ่อตายไป..ก็คง..ได้อีกอ่ะ เพราะฉะนั้น พระเจ้าถึงตรัสว่า ”พวกเขาจะต้องถูกประหาร” แล้ววาระแห่งการพิพากษาก็กำลังจะมาถึง ในขณะเดียวกันกับที่ซามูเอลก็โตขึ้นทุกวัน
เห็นภาพมั๊ยคะ..ว่าพระเจ้าเตรียมการไว้เป็นขั้นตอน และทันเวลาเสมอ (บางคนกำลังจะถูกดึงให้ต่ำลง และอีกคนกำลังจะถูกยกขึ้น) เพียงแต่ตอนนั้นคนอิสราเอลไม่รู้หรอก..ว่ากุมารซามูเอลนี้จะมีบทบาทแค่ไหนต่ออิสราเอล แล้วพระธรรมตอนนี้ก็เป็นหมายสำคัญถึงพระเยซูคริสต์ด้วย เปิดไปดู ลูกา2:52 คำที่ใช้เหมือนกันเลย แล้วช่วงที่พระเยซูเกิด ก็เป็นช่วงที่ศาสนาและความเชื่อของอิสราเอล กำลังตกต่ำย่ำแย่เหมือนสมัยของซามูเอล “..แล้วพระกุมารเยซูก็จำเริญขึ้น เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าและคนทั้งปวงด้วย” แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปเด็กคนนี้จะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติขนาดไหน เช่นเดียวกับซามูเอล ที่ต่อไปเขาก็จะเป็นแม่แบบของปุโรหิตที่ดี แล้วก็ช่วยคนของพระเจ้าให้เลิกมีพฤติกรรมผิดๆ..เลิกทำบาปต่อพระเจ้า ดังนั้น เรื่องราวของซามูเอลกับพระเยซูคริสต์จึงเป็นเหมือนภาพซ้อน แค่ต่างที่..ต่างเวลา และต่างกันตรงที่ซามูเอลเป็นแค่ภาพจำลองแต่พระเยซูคริสต์เป็นของจริง
คำพยากรณ์การพิพากษาของเอลีและบุตร
ดู1ซมอ.2:29-30 พระเจ้าใช้ผู้เผยพระวจนะมาหาเอลี และได้เตือนให้เอลีนึกถึงการจัดตั้งปุโรหิตครั้งแรกตั้งแต่สมัยอพยพ รวมถึงทบทวนให้เอลีตระหนักถึงคุณสมบัติของคนที่เป็นปุโรหิต ในข้อที่ 29 พระเจ้าตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชา”ของเรา” คำว่าของเราคือเตือนให้เอลีกลับมาสังวรณ์ว่า..เครื่องบูชาเนี่ย..คนเขาเอามาถวายพระองค์ เขาไม่ได้ให้เจ้ากับบุตรชั่วทั้งสองคน
“....และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา..” ตรงนี้เองที่เอลีผิดเต็มๆ เอลีให้เกียรติลูกมากกว่าพระเจ้า การประนีประนอมกับสิ่งที่ลูกทำ มันเท่ากับว่า....”เอลีย้ายพระเจ้าไปนั่งข้างหลัง แล้วปล่อยให้ลูกตัวเองมานั่งข้างหน้าแทน” เรื่องนี้มันให้ข้อคิดกับเรานะ ต่อไปเด็กๆต้องระวังให้ดี เพราะทางที่ง่าย..หรือทางที่เราสะดวกใจบางครั้ง...มันไม่ใช่ทางที่ถูก จริงอยู่ว่าการที่เราจะเตือนใครซักคน...เมื่อเขาทำผิด บางครั้งมันก็ลำบากใจ กลัวเขาเสียใจ กลัวเขาโกรธ กลัวจะผิดใจกัน ก็เลยคิดว่าไม่พูดดีกว่าสบายใจดี...ซึ่งมันผิด เพราะพระเจ้าสอนให้เราเตือนสติซึ่งกันและกัน เพียงแต่เราต้องแน่ใจว่าเราเตือนเขาด้วยความรักจริงๆ แล้วสิ่งที่ควรจะจำไว้อีกอย่างก็คือ “วิธีพูด” มันสำคัญพอๆกับสิ่งที่เราจะพูด
...”และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกรายจากอิสราเอลชนชาติของเรา” พระเจ้าใช้คำว่า “เจ้าทั้งหลาย” เป็นพหูพจน์แน่นอน เพราะฉะนั้นคงจะอ้วนกันทั้งครอบครัว จะไม่อ้วนได้ไง...ก็ซัดเนื้อเกรดเอกันซะเต็มคราบ แถมติดมันอีกตะหาก จริงมะ..เพราะไม่ยอมให้เขาเผาไขมันทิ้งบนแท่นบูชาเลย แล้วหลายๆคำในพระคำภีร์ก็บ่งว่า “เอลี” เป็นคนอ้วนมาก เราเลยเข้าใจได้ไม่ยากว่า ความบาปของลูกชายทั้งสองคน เอลีมีส่วนผิดเต็มๆ....ไม่ยอมกำราบลูกให้เด็ดขาด (พ่อแม่หลายคนไม่กล้าเอาจริงกับลูก เพราะเกรงใจ..ไม่อยากให้ลูกเสียความรู้สึก...ซึ่งมันผิด(มหันต์) แล้วบางครั้งเตือนด้วยคำพูดอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีไม้เรียวด้วยถ้าจำเป็น
กลับมาที่เอลี เอลีไม่ใช่แค่ไม่เอาจริงกับลูก เขายังร่วมเสวยสุขกับเนื้อที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องอีกด้วย เพราะเรารู้จากพระคำภีร์ว่า..เอลีตำหนิลูกชายเรื่องความผิดทางเพศ แต่ไม่เห็นจะเคยพูดถึงเรื่องเนื้อถวายบูชา เพราะตัวเองก็คงจะติดใจในรสชาติเหมือนกัน...ถึงได้ยอมออมชอมกับความบาป ในข้อที่ 30 บอกว่า..พระเจ้าเคยพูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธ์อาโรนจะเป็นปุโรหิตที่ปรนนิบัติ พระองค์อยู่ในพลับพลาเสมอ ..”แต่บัดนี้ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา..” (พระเจ้าจะยกเลิกสัญญารึเปล่า) ไม่ใช่..พระเจ้าไม่ได้ตัดระบบปุโรหิตไปจากพงศ์พันธ์นี้ แต่จะตัดแค่บางคนออกไป ไม่ได้ตัดทั้งตระกูล เพราะพระองค์พูดว่า “ผู้ที่ให้เกียรติเรา เราจะให้เกียรติ” (ต่อไป)
ดู1ซมอ.2:34-36 พระเจ้าทรงพิพาษาว่า โฮฟนีกับฟีเนหัส จะตายในวันเดียวกัน....แล้วพระองค์จะทรงเจิมตั้งปุโรหิตคนใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แล้วพงศ์พันธ์ของเอลีที่เหลืออยู่ จะได้รับพระพรก็ต่อเมื่อเข้ามากราบไหว้ปุโรหิตผู้สัตย์ซื่อคนนี้
หมดเวลาแล้วค่ะ มาต่อกันในสัปดาห์หน้านะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่1 อาทิตย์ที่ 10:1:2010

หนังสือซามูเอลในพระคำภีร์ของเราจะแบ่งเป็นฉบับที่๑และ๒ แต่พระคำภีร์ของชาวยิวจะรวมเป็นเล่มเดียว และบันทึกเรื่องราวของประเทศอิสราเอลในช่วงประมาณ100ปีหลัง จากสมัยผู้วินิจฉัยแต่ความจริง...ก็ไม่ได้ปรากฎชัดว่าใครเป็นผู้เขียน ที่ได้ชื่อว่าหนังสือ ”ซามูเอล” ก็เพราะซามูเอลเป็นบุคคลสำคัญของเรื่อง แล้วก็เป็นคนที่เจิมตั้งกษัตริย์สองคนแรกให้แก่ประเทศอิสราเอล และพระคำภีร์ฉบับที่เราถือกันอยู่นี้ หนังสือซามูเอลจะอยู่ต่อจากนางรูธ แต่ในต้นฉบับของชาวฮีบรูหนังสือซามูเอลจะอยู่ต่อจากผู้วินิจฉัยเลย.....
ในขณะที่หนังสือผู้วินิจฉัยได้กล่าวถึงคืนวันที่คนอิสราเอลสับสนวุ่นวายและจิตวิญญาณก็ตกต่ำลงเพราะขาดผู้นำ พวกเราคงจำได้ว่าพระเจ้าทรงประทานผวฉ.ให้มาช่วยกอบกู้คนอิสราเอล แต่อิสรภาพของคนอิสราเอลก็ไม่ยั่งยืน(เพราะอะไร)พระคำภีร์บอกไว้ชัดเจน ให้เราย้อนกลับไปดูหนังสือผวฉ.2:19 “เพราะ..เมื่อผู้วินิจฉัยแต่ละคนสิ้นชีวิต อิสราเอลก็กลับประพฤติชั่วอีกแล้วพระเจ้าก็ให้พวกเขาตกเป็นทาสอีก” ซ้ำซากอยู่อย่างงั้น (คุ้นๆมะ)
เราก็อาจจะสรุปได้ว่า(ผู้เขียน)หนังสือผวฉ.คงจะต้องการที่จะเชื่อมโยงระหว่าง”ความตกต่ำทางจิตวิญาณของคนอิสราเอล” ให้สอดคล้องกับ“การที่พวกเขาไม่มีกษัตริย์เป็นผู้นำ...” อันนี้ ถ้าตามความเห็นส่วนตัวของน้าตุ๊กต้องบอกว่า มันน่าจะเป็นมุมมองของมนุษย์...เพราะจริงๆ พระเจ้า..เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอยู่แล้ว โอ.เค.การมีผู้นำมันก็น่าจะทำให้อะไรๆมันเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แต่ปัญหาต่างๆของอิสราเอลจริงๆแล้วมันเกิดขึ้น...เพราะพวกเขาไม่ติดสนิทกับพระเจ้า ไม่เคร่งครัดกับกฎบัญญัติ และที่สำคัญก็คือยอมออมชอมให้กับความบาป นี่ต่างหากคือสาเหตุหลักที่แท้จริงที่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก ระบบกษัตริย์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้คนอิสราเอลเลย ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมมอบกายถวายชีวิตและจิตใจไว้กับพระเจ้า เพราะอย่าลืมว่า...ไม่มีอะไรจะมาแทนที่การปกครองของพระเจ้า...ในหัวใจของเราได้
แต่ยังไงก็ตาม...1ซามูเอลจะเป็นหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวในขั้นตอนที่พระเจ้าทรงเตรียมกษัตริย์ไว้ให้คนอิสราเอล (ตามที่พวกเขาเรียกร้อง)เพราะฉะนั้น “ซาอูล”กษัตริย์องค์แรกจะเป็นกษัตริย์ในแบบที่คนอิสราเอลต้องการแล้วต้องบอกว่า..มันสมควรแล้วกับคนชาตินี้ ส่วน”ดาวิด” จะเป็นกษัตริย์ในแบบฉบับของพระเจ้า และจะยังไงก็ตามดาวิดก็ได้ชื่อว่า”เป็นผู้ที่ได้กระทำตามพระทัยพระเจ้าจนถึงที่สุด” นอกจากนี้..พระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์ก็ได้มาบังเกิดในเชื้อสายของ ก.ดาวิดด้วย
ในตอนต้นของหนังสือ1ซามูเอลจะเป็นช่วงที่อิสราเอลยังคงเสื่อมลงในทุกๆด้านทั้งการเมืองและศาสนา พระเจ้าจึงทรงตั้ง”ซามูเอล”เป็นผู้นำของอิสราเอลเพื่อ...ที่จะนำให้ประชาชนกลับมาดำเนินบนทางที่ถูกต้อง พวกเขาจะต้องกลับใจใหม่ (อีกครั้ง...หรือจะกี่ครั้งก็ตาม) หันมาโฟกัสที่พระเจ้า.....ไม่ใช่หลงไปเทิดทูนรูปเคารพทั้งหลายทั้งปวงที่ลอยหน้าอยู่บนโลกนี้ และอีกสาเหตุหนึ่งที่พระเจ้าต้องใช้ซามูเอล...ก็เพราะปุโรหิตคนเก่าคือ”เอลี”กับลูกชายทั้งสองคนของเขาคือโฮฟนีกับฟีเนหัส...มันใช้การไม่ได้แล้ว (ผิดเพี้ยน แล้วพฤติกรรมก็ไม่ได้เหมาะสมกับการเป็นปุโรหิต เอาเนื้อหนังความต้องการของตัวเองใหญ่) ถ้าขืนปล่อยไว้ก็มีแต่จะนำความเสื่อมทรามมาให้อิสราเอล
ดังนั้น ในช่วงต้นของหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกำเนิดของซามูเอล แล้วหลังจากนั้น....อิสราเอลก็จะได้มีกษัตริย์สมใจ โดยซามูเอลนี่เองที่จะเป็นผู้เจิมตั้งกษัตริย์คนสำคัญสองคนแรกคือ ”ซาอูล” กับ ”ดาวิด” ให้แก่อิสราเอล..ตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ซามูเอลจะได้ชื่อว่าเป็นทั้งปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายของอิสราเอลด้วย แต่ถ้าเราพบว่านักวิชาการบางคนเขาให้ความเห็นว่าซามูเอลไม่น่าจะเป็นปุโรหิต...ก็ไม่เป็นไรเพราะตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหา หรือว่าเป็นสาระสำคัญอะไรที่เราจะต้องไปหาข้อสรุป และเพื่อเป็นการง่ายต่อการเรียนรู้และเด็กๆจะได้ไม่หลงประเด็น เพราะหนังสือซามูเอลทั้ง๒เล่มก็ค่อนข้างที่จะยาว เราก็เลยจะแบ่งหนังสือ1ซามูเอลออกเป็น ๕ ตอนก็คือ
๑.บทที่ 1-7 คือ สมัยที่ซามูเอลเป็นผู้นำ
๒.บทที่ 8-12 เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๓.บทที่ 13-15 เป็นช่วงที่ซาอูลนำชาติให้มีชัยชนะ
๔.บทที่ 16-19 จะเป็นตอนที่ชื่อเสียงของดาวิดเริ่มดังขึ้นทุกที
และสุดท้ายตอนที่ ๕.ก็เป็นวาระที่ดาวิดต้องหนีจากซาอูล
ตอนที่๑. ซามูเอลเป็นผู้นำชาติ
ดู 1ซมอ.1:1-3/4-7 “เอลคานาห์”เป็นคนเผ่าเลวี(คือเกิดในตระกูลผู้รับใช้พระเจ้า) และอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาในเขตแดนของเผ่าเอฟราอิม บางครั้งก็เลยถูกเรียกว่าเป็นชาวเอฟราอิม ทั้งๆที่ความจริงแล้วเอลคานาห์เป็นคนเผ่าเลวี และเขาก็มีภรรยาสองคนคือฮันนาห์และเปนินนาห์ เปนินนาห์มีลูกหลายคนส่วนฮันนาห์ไม่มีลูกในข้อที่๖.บอกว่าเพราะ”พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนาง” (ผู้เขียนคงมีเจตนาที่จะสื่อให้เข้าใจว่า การที่ฮันนาห์ไม่มีลูกนั้น..เป็นพระประสงค์ที่เจาะจงของพระเจ้า) แล้วทุกปีครอบครัวนี้ก็จะเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่ชิโลห์....เพราะเป็นที่ที่พลับพลาของพระเจ้าตั้งอยู่ในตอนนั้น (เมืองชิโลห์ ตั้งอยู่ห่างไปทางเหนือของกรุงเยรูซาเล็มประมาณ20ไมล์) เอลคานาห์ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว...ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำตามประเพณีของชาวยิวทุกอย่าง ตั้งแต่ไปร่วมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนา พอถวายบูชาแล้ว..ก็มีการรับเนื้อบางส่วนกลับคืนมา รับประทานร่วมกันที่พลับพลาของพระเจ้าเลย (ตามที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติ) เปิดไปดูฉธบ.12:17-18 “...อย่ารับประทานของถวายเหล่านี้ที่บ้านตัวเอง แต่ให้มาร่วมดื่มกินต่อหน้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่พลับพลาอย่างพร้อมหน้าทั้งลูกหลานและบริวาร และปิติยินดีในการงานทุกอย่างที่ท่านได้ทำ” แต่...ฮันนาห์คงไม่ปลื้มงานเลี้ยงนี้ซักเท่าไหร่ เพราะอะไร...ในข้อที่๖.บอกว่า“เปนินนาห์ถือโอกาสนี้พูดจาเยาะเย้ยถากถาง ที่ฮันนาห์ไม่มีลูก...ปีแล้วปีเล่า...อย่างไม่ยอมลดลาวาศอก” วาระแห่งความชื่นชมยินดีในพระเจ้าคงเป็นช่วงเวลาที่ยากสุดๆสำหรับฮันนาห์ เราน่าจะพอนึกออกว่าเวลาอยู่บ้าน...เมียน้อยกับเมียหลวงคงจะอยู่กันคนละเต๊นท์ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งประจัญหน้าร่วมโต๊ะอาหารกันทุกวัน แต่พอถึงเวลาที่ต้องไปชิโล่ห์ มันเลี่ยงไม่ได้...ที่จะต้องเจอกันตั้งแต่ตอนเดินทาง กินอยู่หลับนอน แล้วก็ต้องกินอาหารร่วมกันต่อหน้าพระเจ้าที่พลับพลาด้วย ลองคิดดูว่าช่วงเวลานั้น...ฮันนาห์จะทุกข์ใจแค่ไหน
ดู1ซมอ.1:10-11 เมื่อการดื่มกินที่พลับพลาสิ้นสุดแล้ว ฮันนาห์ก็ตรงไปที่พลับพลาแล้วนางก็”เทใจอธิฐานต่อพระเจ้า” ขอให้พระองค์มองเห็นความทุกข์ใจของเธอซักครั้ง...พร้อมทั้งวิงวอนให้พระเจ้าได้โปรดประทานลูกให้เธอซักคน แล้วฮันนาห์สัญญาว่าจะถวายลูกเป็นนาศีร์ให้รับใช้พระเจ้าตลอดไป
ดู1ซมอ.1:12-14 ตอนที่ฮันนาห์อธิฐานอยู่ “เอลี” (ซึ่งเป็นปุโรหิตในตอนนั้น) ก็จับตาดูอยู่แล้วสังเกตุเห็นว่าฮันนาห์เอาแต่ทำปากหมุบหมิบแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญ เอลีก็นึกว่า “สงสัยผู้หญิงคนนี้จะเมา”(เพราะเพิ่งเสร็จจากการดื่มกินกัน) เอลีก็เลยตำหนิฮันนาห์แล้วก็คงจะพูดประมาณว่า“จะเมาไปถึงไหน นี่.ถ้ากินแล้วเป็นหยั่งงี้ทีหลังอย่ากินเลย”(ประมาณนั้น)
ดู1ซมอ.1:16-17 พอเห็นเอลีพูดอย่างงั้น ฮันนาห์ก็เลยรีบชี้แจงว่า ”เปล่า...เธอไม่ได้เมาแต่กำลังระบายความทุกข์ใจแสนสาหัสต่อพระเจ้า ที่ร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะจิตวิญญาณที่ทุรนทุรายหาความสุขไม่ได้ต่างหาก” พอได้ยินอย่างงั้นเอลีถึงได้เข้าใจ แล้วก็อวยพรให้พระเจ้าตอบคำอธิฐานของฮันนาห์” หลังจากนั้นฮันนาห์ก็มีกะจิตกะใจดีขึ้น (ดีขึ้นทันทีหลังจากที่อธิฐาน...ด้วยน้ำตานองหน้า เพราะรู้สึกว่ามีความหวังขึ้นมาอย่างอัศจรรย์)
ดู1ซมอ.1:20-22 พอกลับมาอยู่บ้านที่รามาห์ได้ไม่นาน ฮันนาห์ก็ท้องแล้วก็คลอดลูกชายคนหนึ่งตั้งชื่อว่า”ซามูเอล” หลังจากนั้นไม่นานเทศกาลฉลองก็มาถึง เป็นเวลาที่เอลคานาห์ต้องพาครอบครัวเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่ชิโลห์แต่ครั้งนี้ฮันนาห์ไม่ได้ไปด้วยเพราะซามูเอลยังไม่หย่านม แต่ฮันนาห์ตั้งใจว่าปีหน้าเธอจะพาซามูเอลไปที่ชิโลห์...แล้วก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า คือถวายเขาให้อยู่รับใช้พระเจ้าที่นั่นเลย
บทเพลงของนางฮันนาห์
เมื่อฮันนาห์มอบถวายซามูเอลกลับคืนแด่พระเจ้าแล้ว เธอก็ได้อธิฐานเป็นบทเพลงที่มีความหมายเล็งถึง...ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า ของคนที่หมดแรง...พ่ายแพ้...หรือรู้สึกจนมุม...ไร้ค่า ฮันนาห์เป็นพยานว่า...พระเจ้าจะทรงทำให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นยืน...เผชิญกับปัญหา....และเดินต่อไปได้ คำว่า”...ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรู..” ..สำหรับนางฮันนาห์แล้ว มันคงหมายถึง”ความมั่นใจและกำลังใจที่กลับคืนมาอย่างเหลือเชื่อ”
ในข้อที่๓.บอกว่า”อย่าพูดโอหังอีกต่อไปเลย อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของเจ้า..” เพราะถ้าทำอย่างงั้นแล้ว วันหนึ่งคงต้องเสียใจ “.เพราะการกระทำทั้งหลายพระเจ้าเป็นผู้ชั่งตรวจ”
คือพระองค์เป็นผู้พิพากษาทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ไม่โปรดจิตใจที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ในข้อนี้จึงเป็นการชี้นำพวกเราให้มีใจที่ถ่อมลง
ในข้อที่๔.บอกว่า”คันธนูของผู้มีกำลังก็หัก แต่ผู้ที่ซวนเซก็ได้กำลังมาคาดเอว..” แปลว่า...สิ่งที่ตาเรามองเห็นมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป...พระเจ้าทรงพลิกทุกสถานการณ์ได้ เพราะฉะนั้น จงอย่าวางใจในสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง หรือแม้แต่เรี่ยวแรงกำลัง-สติปัญญาของตัวเอง
ในข้อที่๖.บอกว่า”..พระเจ้าทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็นำขึ้นมา” อันนี้เป็นนิมิตรหรือหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ข้อนี้เป็นสิ่งที่ย้ำให้เราได้ตระหนักว่า “พระคำภีร์ทุกบททุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้าทั้งหมด” เพราะอะไร นางฮันนาห์เป็นใคร เป็นชาวบ้านธรรมดาแต่บทเพลงคำอธิฐานของเธอพยากรณ์ไปถึงการเสด็จมาของจอมกษัตริย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องในพระคำภีร์..ไม่ว่าใครจะเป็นคนเขียนก็ตาม เราเชื่อว่าเขาต้องได้รับการทรงนำจากพระเจ้า
ดูข้อที่ 8-9 “..เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่” ความหมายที่บางคนขัดใจ...เพราะเราหวังหรือพึ่งพาไม่ได้แม้แต่ความดีของตัวเอง มีหลายคนถามน้าตุ๊กว่าในทางของพระเจ้าเนี่ยทำดีแล้วจะได้ดีมั๊ย อันนี้มันขึ้นอยู่กับว่า”ความดี”ที่เขาพูดมันหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงความรอดก็ต้องตอบตามตรงว่า”ไม่ได้” ไม่ใช่เพราะพระเจ้าไม่แฟร์ ไม่ยอมให้คนที่ทำดีได้รอด แต่ความจริงก็คือ..มันไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่สามารถทำดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ...จนตัวเองรู้สึกได้จริงๆว่า เฮ้ย..ชั้นนี่แหละดีจริง และสมควรสุดๆที่จะได้ไปสวรรค์ (มันไม่มี) ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า”ถ้างั้นทำดีแล้วจะได้อะไร “ก็ได้ทำไง”..เอาเป็นว่า ได้ทำสิ่งที่ดีก็น่าจะพอแล้ว อย่าไปคิดว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน แล้วเราจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ซึ่งอันนี้ถือเป็นการกตัญญูต่อพระองค์ที่ทรงประทานความรอดให้กับเราฟรีๆผ่านทางความเชื่อนะ..ไม่ใช่เพราะความดีของเรา.....(อย่าสับสน) เพราะในข้อนี้บันทึกไว้ว่า ”ทรงกระทำให้เขาได้นั่งร่วมกับเจ้านายและได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก”และ”เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่”
สุดท้ายในข้อที่ 10 บอกว่า”...พระเจ้าจะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ” อันนี้พยากรณ์ถึงยุคสุดท้ายของแผ่นดินโลก...ว่าศัตรูของพระเจ้าจะต้องพินาศไป ศัตรูก็คือมารกับการงานของมัน และก็ทุกอย่างที่ไม่ได้อยู่ในทางของพระเจ้า รวมถึงคนที่ไม่เชื่อด้วย”ที่ต้องแตกเป็นชิ้น”คือต้องถูกพิพากษาเมื่อวันเวลานั้นมาถึง
และข้อนี้ก็ยังบอกต่อไปว่า”..พระองค์จะทรงประทานกำลังแก่พระราชาของพระองค์ และจะทรงเสริมอำนาจของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้” ซึ่งก็คือ..พระเยซูคริสต์ นั่นหมายความว่าเมื่อวันพิพากษามาถึงเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู..ก็จะได้รับศักดิ์ศรีให้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วย บทเพลงของฮันนาห์ก็จบลงตรงนี้...
สัปดาห์หน้าเราจะไม่เจอกัน ครูหนุ่ยจะเข้ามาทักทายพวกเรา แล้วอาทิตย์ที่ 24:1:2010 เรามาต่อหนังสือซามูเอลบทที่๓.กันนะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ