วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่1 อาทิตย์ที่ 10:1:2010

หนังสือซามูเอลในพระคำภีร์ของเราจะแบ่งเป็นฉบับที่๑และ๒ แต่พระคำภีร์ของชาวยิวจะรวมเป็นเล่มเดียว และบันทึกเรื่องราวของประเทศอิสราเอลในช่วงประมาณ100ปีหลัง จากสมัยผู้วินิจฉัยแต่ความจริง...ก็ไม่ได้ปรากฎชัดว่าใครเป็นผู้เขียน ที่ได้ชื่อว่าหนังสือ ”ซามูเอล” ก็เพราะซามูเอลเป็นบุคคลสำคัญของเรื่อง แล้วก็เป็นคนที่เจิมตั้งกษัตริย์สองคนแรกให้แก่ประเทศอิสราเอล และพระคำภีร์ฉบับที่เราถือกันอยู่นี้ หนังสือซามูเอลจะอยู่ต่อจากนางรูธ แต่ในต้นฉบับของชาวฮีบรูหนังสือซามูเอลจะอยู่ต่อจากผู้วินิจฉัยเลย.....
ในขณะที่หนังสือผู้วินิจฉัยได้กล่าวถึงคืนวันที่คนอิสราเอลสับสนวุ่นวายและจิตวิญญาณก็ตกต่ำลงเพราะขาดผู้นำ พวกเราคงจำได้ว่าพระเจ้าทรงประทานผวฉ.ให้มาช่วยกอบกู้คนอิสราเอล แต่อิสรภาพของคนอิสราเอลก็ไม่ยั่งยืน(เพราะอะไร)พระคำภีร์บอกไว้ชัดเจน ให้เราย้อนกลับไปดูหนังสือผวฉ.2:19 “เพราะ..เมื่อผู้วินิจฉัยแต่ละคนสิ้นชีวิต อิสราเอลก็กลับประพฤติชั่วอีกแล้วพระเจ้าก็ให้พวกเขาตกเป็นทาสอีก” ซ้ำซากอยู่อย่างงั้น (คุ้นๆมะ)
เราก็อาจจะสรุปได้ว่า(ผู้เขียน)หนังสือผวฉ.คงจะต้องการที่จะเชื่อมโยงระหว่าง”ความตกต่ำทางจิตวิญาณของคนอิสราเอล” ให้สอดคล้องกับ“การที่พวกเขาไม่มีกษัตริย์เป็นผู้นำ...” อันนี้ ถ้าตามความเห็นส่วนตัวของน้าตุ๊กต้องบอกว่า มันน่าจะเป็นมุมมองของมนุษย์...เพราะจริงๆ พระเจ้า..เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอยู่แล้ว โอ.เค.การมีผู้นำมันก็น่าจะทำให้อะไรๆมันเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น แต่ปัญหาต่างๆของอิสราเอลจริงๆแล้วมันเกิดขึ้น...เพราะพวกเขาไม่ติดสนิทกับพระเจ้า ไม่เคร่งครัดกับกฎบัญญัติ และที่สำคัญก็คือยอมออมชอมให้กับความบาป นี่ต่างหากคือสาเหตุหลักที่แท้จริงที่ทำให้พวกเขาต้องลำบาก ระบบกษัตริย์ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรให้คนอิสราเอลเลย ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมมอบกายถวายชีวิตและจิตใจไว้กับพระเจ้า เพราะอย่าลืมว่า...ไม่มีอะไรจะมาแทนที่การปกครองของพระเจ้า...ในหัวใจของเราได้
แต่ยังไงก็ตาม...1ซามูเอลจะเป็นหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวในขั้นตอนที่พระเจ้าทรงเตรียมกษัตริย์ไว้ให้คนอิสราเอล (ตามที่พวกเขาเรียกร้อง)เพราะฉะนั้น “ซาอูล”กษัตริย์องค์แรกจะเป็นกษัตริย์ในแบบที่คนอิสราเอลต้องการแล้วต้องบอกว่า..มันสมควรแล้วกับคนชาตินี้ ส่วน”ดาวิด” จะเป็นกษัตริย์ในแบบฉบับของพระเจ้า และจะยังไงก็ตามดาวิดก็ได้ชื่อว่า”เป็นผู้ที่ได้กระทำตามพระทัยพระเจ้าจนถึงที่สุด” นอกจากนี้..พระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์ก็ได้มาบังเกิดในเชื้อสายของ ก.ดาวิดด้วย
ในตอนต้นของหนังสือ1ซามูเอลจะเป็นช่วงที่อิสราเอลยังคงเสื่อมลงในทุกๆด้านทั้งการเมืองและศาสนา พระเจ้าจึงทรงตั้ง”ซามูเอล”เป็นผู้นำของอิสราเอลเพื่อ...ที่จะนำให้ประชาชนกลับมาดำเนินบนทางที่ถูกต้อง พวกเขาจะต้องกลับใจใหม่ (อีกครั้ง...หรือจะกี่ครั้งก็ตาม) หันมาโฟกัสที่พระเจ้า.....ไม่ใช่หลงไปเทิดทูนรูปเคารพทั้งหลายทั้งปวงที่ลอยหน้าอยู่บนโลกนี้ และอีกสาเหตุหนึ่งที่พระเจ้าต้องใช้ซามูเอล...ก็เพราะปุโรหิตคนเก่าคือ”เอลี”กับลูกชายทั้งสองคนของเขาคือโฮฟนีกับฟีเนหัส...มันใช้การไม่ได้แล้ว (ผิดเพี้ยน แล้วพฤติกรรมก็ไม่ได้เหมาะสมกับการเป็นปุโรหิต เอาเนื้อหนังความต้องการของตัวเองใหญ่) ถ้าขืนปล่อยไว้ก็มีแต่จะนำความเสื่อมทรามมาให้อิสราเอล
ดังนั้น ในช่วงต้นของหนังสือเล่มนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกำเนิดของซามูเอล แล้วหลังจากนั้น....อิสราเอลก็จะได้มีกษัตริย์สมใจ โดยซามูเอลนี่เองที่จะเป็นผู้เจิมตั้งกษัตริย์คนสำคัญสองคนแรกคือ ”ซาอูล” กับ ”ดาวิด” ให้แก่อิสราเอล..ตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ซามูเอลจะได้ชื่อว่าเป็นทั้งปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายของอิสราเอลด้วย แต่ถ้าเราพบว่านักวิชาการบางคนเขาให้ความเห็นว่าซามูเอลไม่น่าจะเป็นปุโรหิต...ก็ไม่เป็นไรเพราะตรงนั้นมันไม่ใช่ปัญหา หรือว่าเป็นสาระสำคัญอะไรที่เราจะต้องไปหาข้อสรุป และเพื่อเป็นการง่ายต่อการเรียนรู้และเด็กๆจะได้ไม่หลงประเด็น เพราะหนังสือซามูเอลทั้ง๒เล่มก็ค่อนข้างที่จะยาว เราก็เลยจะแบ่งหนังสือ1ซามูเอลออกเป็น ๕ ตอนก็คือ
๑.บทที่ 1-7 คือ สมัยที่ซามูเอลเป็นผู้นำ
๒.บทที่ 8-12 เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๓.บทที่ 13-15 เป็นช่วงที่ซาอูลนำชาติให้มีชัยชนะ
๔.บทที่ 16-19 จะเป็นตอนที่ชื่อเสียงของดาวิดเริ่มดังขึ้นทุกที
และสุดท้ายตอนที่ ๕.ก็เป็นวาระที่ดาวิดต้องหนีจากซาอูล
ตอนที่๑. ซามูเอลเป็นผู้นำชาติ
ดู 1ซมอ.1:1-3/4-7 “เอลคานาห์”เป็นคนเผ่าเลวี(คือเกิดในตระกูลผู้รับใช้พระเจ้า) และอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาในเขตแดนของเผ่าเอฟราอิม บางครั้งก็เลยถูกเรียกว่าเป็นชาวเอฟราอิม ทั้งๆที่ความจริงแล้วเอลคานาห์เป็นคนเผ่าเลวี และเขาก็มีภรรยาสองคนคือฮันนาห์และเปนินนาห์ เปนินนาห์มีลูกหลายคนส่วนฮันนาห์ไม่มีลูกในข้อที่๖.บอกว่าเพราะ”พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนาง” (ผู้เขียนคงมีเจตนาที่จะสื่อให้เข้าใจว่า การที่ฮันนาห์ไม่มีลูกนั้น..เป็นพระประสงค์ที่เจาะจงของพระเจ้า) แล้วทุกปีครอบครัวนี้ก็จะเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่ชิโลห์....เพราะเป็นที่ที่พลับพลาของพระเจ้าตั้งอยู่ในตอนนั้น (เมืองชิโลห์ ตั้งอยู่ห่างไปทางเหนือของกรุงเยรูซาเล็มประมาณ20ไมล์) เอลคานาห์ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว...ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำตามประเพณีของชาวยิวทุกอย่าง ตั้งแต่ไปร่วมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนา พอถวายบูชาแล้ว..ก็มีการรับเนื้อบางส่วนกลับคืนมา รับประทานร่วมกันที่พลับพลาของพระเจ้าเลย (ตามที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติ) เปิดไปดูฉธบ.12:17-18 “...อย่ารับประทานของถวายเหล่านี้ที่บ้านตัวเอง แต่ให้มาร่วมดื่มกินต่อหน้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่พลับพลาอย่างพร้อมหน้าทั้งลูกหลานและบริวาร และปิติยินดีในการงานทุกอย่างที่ท่านได้ทำ” แต่...ฮันนาห์คงไม่ปลื้มงานเลี้ยงนี้ซักเท่าไหร่ เพราะอะไร...ในข้อที่๖.บอกว่า“เปนินนาห์ถือโอกาสนี้พูดจาเยาะเย้ยถากถาง ที่ฮันนาห์ไม่มีลูก...ปีแล้วปีเล่า...อย่างไม่ยอมลดลาวาศอก” วาระแห่งความชื่นชมยินดีในพระเจ้าคงเป็นช่วงเวลาที่ยากสุดๆสำหรับฮันนาห์ เราน่าจะพอนึกออกว่าเวลาอยู่บ้าน...เมียน้อยกับเมียหลวงคงจะอยู่กันคนละเต๊นท์ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งประจัญหน้าร่วมโต๊ะอาหารกันทุกวัน แต่พอถึงเวลาที่ต้องไปชิโล่ห์ มันเลี่ยงไม่ได้...ที่จะต้องเจอกันตั้งแต่ตอนเดินทาง กินอยู่หลับนอน แล้วก็ต้องกินอาหารร่วมกันต่อหน้าพระเจ้าที่พลับพลาด้วย ลองคิดดูว่าช่วงเวลานั้น...ฮันนาห์จะทุกข์ใจแค่ไหน
ดู1ซมอ.1:10-11 เมื่อการดื่มกินที่พลับพลาสิ้นสุดแล้ว ฮันนาห์ก็ตรงไปที่พลับพลาแล้วนางก็”เทใจอธิฐานต่อพระเจ้า” ขอให้พระองค์มองเห็นความทุกข์ใจของเธอซักครั้ง...พร้อมทั้งวิงวอนให้พระเจ้าได้โปรดประทานลูกให้เธอซักคน แล้วฮันนาห์สัญญาว่าจะถวายลูกเป็นนาศีร์ให้รับใช้พระเจ้าตลอดไป
ดู1ซมอ.1:12-14 ตอนที่ฮันนาห์อธิฐานอยู่ “เอลี” (ซึ่งเป็นปุโรหิตในตอนนั้น) ก็จับตาดูอยู่แล้วสังเกตุเห็นว่าฮันนาห์เอาแต่ทำปากหมุบหมิบแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญ เอลีก็นึกว่า “สงสัยผู้หญิงคนนี้จะเมา”(เพราะเพิ่งเสร็จจากการดื่มกินกัน) เอลีก็เลยตำหนิฮันนาห์แล้วก็คงจะพูดประมาณว่า“จะเมาไปถึงไหน นี่.ถ้ากินแล้วเป็นหยั่งงี้ทีหลังอย่ากินเลย”(ประมาณนั้น)
ดู1ซมอ.1:16-17 พอเห็นเอลีพูดอย่างงั้น ฮันนาห์ก็เลยรีบชี้แจงว่า ”เปล่า...เธอไม่ได้เมาแต่กำลังระบายความทุกข์ใจแสนสาหัสต่อพระเจ้า ที่ร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะจิตวิญญาณที่ทุรนทุรายหาความสุขไม่ได้ต่างหาก” พอได้ยินอย่างงั้นเอลีถึงได้เข้าใจ แล้วก็อวยพรให้พระเจ้าตอบคำอธิฐานของฮันนาห์” หลังจากนั้นฮันนาห์ก็มีกะจิตกะใจดีขึ้น (ดีขึ้นทันทีหลังจากที่อธิฐาน...ด้วยน้ำตานองหน้า เพราะรู้สึกว่ามีความหวังขึ้นมาอย่างอัศจรรย์)
ดู1ซมอ.1:20-22 พอกลับมาอยู่บ้านที่รามาห์ได้ไม่นาน ฮันนาห์ก็ท้องแล้วก็คลอดลูกชายคนหนึ่งตั้งชื่อว่า”ซามูเอล” หลังจากนั้นไม่นานเทศกาลฉลองก็มาถึง เป็นเวลาที่เอลคานาห์ต้องพาครอบครัวเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่ชิโลห์แต่ครั้งนี้ฮันนาห์ไม่ได้ไปด้วยเพราะซามูเอลยังไม่หย่านม แต่ฮันนาห์ตั้งใจว่าปีหน้าเธอจะพาซามูเอลไปที่ชิโลห์...แล้วก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า คือถวายเขาให้อยู่รับใช้พระเจ้าที่นั่นเลย
บทเพลงของนางฮันนาห์
เมื่อฮันนาห์มอบถวายซามูเอลกลับคืนแด่พระเจ้าแล้ว เธอก็ได้อธิฐานเป็นบทเพลงที่มีความหมายเล็งถึง...ความชื่นชมยินดีในพระเจ้า ของคนที่หมดแรง...พ่ายแพ้...หรือรู้สึกจนมุม...ไร้ค่า ฮันนาห์เป็นพยานว่า...พระเจ้าจะทรงทำให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นยืน...เผชิญกับปัญหา....และเดินต่อไปได้ คำว่า”...ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรู..” ..สำหรับนางฮันนาห์แล้ว มันคงหมายถึง”ความมั่นใจและกำลังใจที่กลับคืนมาอย่างเหลือเชื่อ”
ในข้อที่๓.บอกว่า”อย่าพูดโอหังอีกต่อไปเลย อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของเจ้า..” เพราะถ้าทำอย่างงั้นแล้ว วันหนึ่งคงต้องเสียใจ “.เพราะการกระทำทั้งหลายพระเจ้าเป็นผู้ชั่งตรวจ”
คือพระองค์เป็นผู้พิพากษาทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ไม่โปรดจิตใจที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ในข้อนี้จึงเป็นการชี้นำพวกเราให้มีใจที่ถ่อมลง
ในข้อที่๔.บอกว่า”คันธนูของผู้มีกำลังก็หัก แต่ผู้ที่ซวนเซก็ได้กำลังมาคาดเอว..” แปลว่า...สิ่งที่ตาเรามองเห็นมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป...พระเจ้าทรงพลิกทุกสถานการณ์ได้ เพราะฉะนั้น จงอย่าวางใจในสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง หรือแม้แต่เรี่ยวแรงกำลัง-สติปัญญาของตัวเอง
ในข้อที่๖.บอกว่า”..พระเจ้าทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็นำขึ้นมา” อันนี้เป็นนิมิตรหรือหมายสำคัญที่เล็งถึงพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ข้อนี้เป็นสิ่งที่ย้ำให้เราได้ตระหนักว่า “พระคำภีร์ทุกบททุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้าทั้งหมด” เพราะอะไร นางฮันนาห์เป็นใคร เป็นชาวบ้านธรรมดาแต่บทเพลงคำอธิฐานของเธอพยากรณ์ไปถึงการเสด็จมาของจอมกษัตริย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องในพระคำภีร์..ไม่ว่าใครจะเป็นคนเขียนก็ตาม เราเชื่อว่าเขาต้องได้รับการทรงนำจากพระเจ้า
ดูข้อที่ 8-9 “..เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่” ความหมายที่บางคนขัดใจ...เพราะเราหวังหรือพึ่งพาไม่ได้แม้แต่ความดีของตัวเอง มีหลายคนถามน้าตุ๊กว่าในทางของพระเจ้าเนี่ยทำดีแล้วจะได้ดีมั๊ย อันนี้มันขึ้นอยู่กับว่า”ความดี”ที่เขาพูดมันหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงความรอดก็ต้องตอบตามตรงว่า”ไม่ได้” ไม่ใช่เพราะพระเจ้าไม่แฟร์ ไม่ยอมให้คนที่ทำดีได้รอด แต่ความจริงก็คือ..มันไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่สามารถทำดีได้อย่างสมบูรณ์แบบ...จนตัวเองรู้สึกได้จริงๆว่า เฮ้ย..ชั้นนี่แหละดีจริง และสมควรสุดๆที่จะได้ไปสวรรค์ (มันไม่มี) ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า”ถ้างั้นทำดีแล้วจะได้อะไร “ก็ได้ทำไง”..เอาเป็นว่า ได้ทำสิ่งที่ดีก็น่าจะพอแล้ว อย่าไปคิดว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน แล้วเราจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ซึ่งอันนี้ถือเป็นการกตัญญูต่อพระองค์ที่ทรงประทานความรอดให้กับเราฟรีๆผ่านทางความเชื่อนะ..ไม่ใช่เพราะความดีของเรา.....(อย่าสับสน) เพราะในข้อนี้บันทึกไว้ว่า ”ทรงกระทำให้เขาได้นั่งร่วมกับเจ้านายและได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก”และ”เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่”
สุดท้ายในข้อที่ 10 บอกว่า”...พระเจ้าจะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ” อันนี้พยากรณ์ถึงยุคสุดท้ายของแผ่นดินโลก...ว่าศัตรูของพระเจ้าจะต้องพินาศไป ศัตรูก็คือมารกับการงานของมัน และก็ทุกอย่างที่ไม่ได้อยู่ในทางของพระเจ้า รวมถึงคนที่ไม่เชื่อด้วย”ที่ต้องแตกเป็นชิ้น”คือต้องถูกพิพากษาเมื่อวันเวลานั้นมาถึง
และข้อนี้ก็ยังบอกต่อไปว่า”..พระองค์จะทรงประทานกำลังแก่พระราชาของพระองค์ และจะทรงเสริมอำนาจของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้” ซึ่งก็คือ..พระเยซูคริสต์ นั่นหมายความว่าเมื่อวันพิพากษามาถึงเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู..ก็จะได้รับศักดิ์ศรีให้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วย บทเพลงของฮันนาห์ก็จบลงตรงนี้...
สัปดาห์หน้าเราจะไม่เจอกัน ครูหนุ่ยจะเข้ามาทักทายพวกเรา แล้วอาทิตย์ที่ 24:1:2010 เรามาต่อหนังสือซามูเอลบทที่๓.กันนะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น