วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความสำคัญและฤทธิ์เดชของ”คำพยาน” อาทิตย์ที่ 25:11:2012


เมื่อพูดถึงการเป็นพยาน  หลายครั้งเรานึกถึงการเป็นพยานในการได้รับพระพรฝ่ายโลก เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้   สอบสัมภาษณ์ผ่านได้งานทำ  ได้รถ ได้บ้าน ได้ครอบครัวที่อบอุ่น  ได้หายโรค  อะไรต่างๆเหล่านี้  ก็เป็นคำพยาน แต่ สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่หัวใจที่แท้จริงของคำพยาน  แต่การเป็นพยานที่น้าตุ๊กจะกล่าวถึงในวันนี้  หมายถึง การเป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  อันมีเนื้อหาที่มีใจความสำคัญคือ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า  มายอมตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระมวลมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย  จากนั้นอีกสามวันพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์มีชัยชนะเหนือความตาย เราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ร่มกับพระองค์ด้วย”    
คำพยาน หรือ การเป็นพยานมีความสำคัญอย่างไร  จำเป็นแค่ไหน..ที่เราจะต้องทำสิ่งนี้  คำตอบง่ายๆที่น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็น ก็คือ พระเจ้าสั่งอะไรไว้ก็จงทำ  ถ้าเราอยากรู้ว่าพระเจ้าสั่งให้เราทำอะไรบ้าง  ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในพระคำภีร์  หรืออีกทาง..พระองค์ทรงสำแดงความสมบูรณ์แบบในทางของพระองค์ไว้ใน”องค์พระเยซูคริสต์” ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น1:14  “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”  คือ ข้อนี้บอกว่า..พระวจนะพระเจ้าหรือพระดำรัสของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์  คือ “พระเยซูคริสต์”  หมายความว่า พระเจ้าทรงสำแดงน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ไว้ในพระเยซูคริสต์   ดังนั้น พระเยซูคริสต์ทำอะไร..นั่นคือ สิ่งที่คริสเตียนพึงต้องเดินตาม  และสิ่งนึงที่พระเยซูคริสต์ทำและสำคัญมากที่เราต้องทำตามก็คือ..”การประกาศข่าวประเสริฐ”  พระองค์สั่งให้เราประกาศกับใครบ้าง..
ดู ลูกา 5:30-32  ข้อนี้ พวกธรรมมาจารย์และฟาริสีมาต่อว่าพระเยซูประมาณว่า..ทำไมพระองค์ถึงเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับคนไม่ดีอย่างพวกคนบาปและคนเก็บภาษี” การเก็บภาษีสมัยก่อนทำคล้ายๆเป็นการสำปะทาน คือ ไปประมูลมา..สมมติเหมาจ่ายให้รัฐบาลโรม 1 แสน  เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องเก็บภาษีจากประชาชนให้ได้มากกว่า 1 แสน  จะเป็น 2 แสน 3 แสนหรือมากกว่านั้นก็แล้วแต่..เพื่อให้ได้กำไร  ส่วนใหญ่ก็เรียกเก็บแพงๆเพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์  คนเก็บภาษีส่วนมากก็จะโหด  น่าจะประมาณพวกที่เก็บค่าคุ้มครองสมัยนี้  ต่างกันที่การเก็บภาษี..ถูกกฎหมาย   แต่ถ้าไม่โหดก็เป็นคนเก็บภาษีไม่ได้  เพราะจะขาดทุน..ไม่มีกำไร   ดังนั้น เมื่อพระคำภีร์พูดถึงคนเก็บภาษี  ก็จะหมายถึงคนไม่ดีไปโดยปริยาย...
พระเยซูตรัสตอบพวกฟาริสีว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ พระองค์มิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่ เด็กๆลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่พระเยซูพูด..มันจริงมั๊ย  จริงแท้แน่นอน  เพราะสังเกตได้เลย..ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดี..ตัวเองเก่ง..ตัวเองฉลาด  เขาจะไม่ฟังคนอื่นหรอก  อย่าบังอาจไปสอนเขา..เหมือนพวกธรรมาจารย์และฟาริสีนี่แหละ..ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม แล้วเลยเห็นคนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเอง..ผิดบาปไปซะหมด  เปิดไปดูข้อพระคำที่สนับสนุนเรื่องนี้กันใน.....
ดู มัทธิว 5:43-45 / 46-48  ข้อนี้ บอกว่าเราทั้งหลายคุ้นเคยแต่กับคำสอนที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู”  ก็คือ ให้รักพี่น้องของตัวเอง..คนกันเอง..พวกกัน..คนบ้านเดียวกัน  ข้อที่ 44 พระเยซูบอกว่า “จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน   เพราะมันจะมีประโยชน์อะไร  ถ้าเราจะรักแต่คนที่ดีกับเรา..หรือคนที่น่ารัก...เพื่อนคนไหนทำถูกใจ  เอาใจ  เราก็ตั้งป้อมเลยว่า..ชั้นจะคบคนนี้  จะยุ่งกับคนนี้เท่านั้น  ส่วนที่ชอบนินทา  ปากว่าตาขยิบ  เราก็ตีกรอบเลย..อย่าหวังว่าฉันจะเสวนาด้วย  ต่อให้มาคุกเข่าตรงหน้าก็อย่าหวังว่าจะเห็นใจ..อะไรประมาณนี้..มันไม่ถูกต้อง  เพราะสำหรับพระเจ้า..มันไม่ใช่  ก็คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาก็ทำกันอย่างงั้น..จริงมั๊ย      สังคมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น..ยอมรับแต่คนที่ดี  เด็กดี  ส่วนคนไม่ดี  เด็กนิสัยแย่ๆ หรือคนที่ทำผิด  ก็มักจะไม่ค่อยได้รับโอกาสหรือความเห็นใจจากคนรอบข้างหรือจากสังคม  อันนี้ คือเรื่องจริง..สังคมของคนที่ไม่มีพระเจ้าส่วนใหญ่..ก็จะเป็นแบบนี้  แต่สำหรับพระเจ้า..ไม่ใช่  พระเยซูสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง   
ดู โรม 1:13-15  “..ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกชาวป่าด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลา”  นี่คือ คำพูดของอ.เปาโล  เป็นสำนวนว่าเขาเป็นหนี้คนทั้งโลก  ทำไมเปาโลถึงบอกว่าเขาเป็นหนี้คนมากมาย  เพราะเปาโลรู้ซึ้งว่า ”ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์”  มีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน  พระเจ้า..พระบิดาไม่ได้เตรียมทางรอดในพระเยซูคริสต์ไว้เพื่อใครคนใดคนเดียว  พระองค์ไม่ได้เลือกแค่คนกลุ่มเดียว  ชนชาติเดียว..อิสราเอลอย่างเดียว..ไม่ใช่  แต่ พระเจ้าให้โอกาสทุกคน และเปาโลซาบซึ้งในเรื่องนี้เป็นอย่างดี  เพราะอะไร..เมื่อก่อนเขาเป็นขุนนางของพวกยิว..เป็นหัวหอกในการต่อต้านพระคริสต์และข่มเหงคริสตจักร    จนวันนึงเมื่อพระเจ้าเปิดตาเขา..พระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองต่อหน้าเปาโล..เปาโลกลับใจใหม่ทันที   เขาเริ่มรับใช้พระเจ้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะประกาศข่าวประเสริฐออกไปให้มากที่สุด..ไกลที่สุด  เพราะเปาโลรู้ดีว่าสิ่งนี้ คือ “น้ำพระทัยของพระเจ้า”   ในเมื่อเขาได้ความรอดมาฟรีๆ  เขาก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อสิ่งที่ดีนี้ให้คนอื่นบ้าง..เขาจะเห็นแก่ตัวเก็บเอาไว้คนเดียว..ไม่ได้ 
ดู โรม 1:16-17  ข้อนี้อ.เปาโลบอกว่า “..ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์..”  อ.เปาโลบอกว่าเขาไม่อายที่จะบอกกับทุกคนว่า”พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ  มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับเรา  เพราะฉะนั้น ได้โปรดเชื่อในพระองค์แล้วรับเอาความรอดไว้..ช่วยรับไว้หน่อยเถอะ”ฟรี”..ไม่เสียค่าใช้จ่าย   เด็กๆว่าพูดแล้วคนที่ฟังเชื่อทุกคนมั๊ย..ไม่เลย  ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังแล้วจะเชื่อ  แต่มันแค่บางคนเท่านั้นเอง   แล้วที่สำคัญ ไอพวกที่ไม่เชื่อก็มักจะมองเรื่องที่พระเยซูทำบนไม้กางเขน..”เป็นเรื่องโง่”  อ.เปาโลถึงต้องใช้คำพูดว่า”เขาไม่อาย”  เพราะหลายคน”อาย”..ที่จะพูดเรื่องราวของพระเยซู    
แล้วอ.เปาโลไม่ใช่แค่ไม่อายนะ  แต่ตลอดชีวิตเขาทุ่มเทรับใช้จนข่าวประเสริฐถูกแผ่ออกไปเกือบครึ่งโลก   จริงๆต้องบอกว่าทั่วโลกเพราะทุกวันนี้ถ้อยคำของอ.เปาโลยังอยู่มั๊ย..ยังอยู่ให้เราได้อ่านได้เรียนกันอยู่นี่ไง  
ดู โรม 10:14 ข้อนี้บอกว่า “..แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อจะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐจะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีใครประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินอย่างไรได้”...เด็กๆ ลองนึกภาพดู ถ้าอัครทูตเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระเยซู..ไม่ทุ่มเทหรือเห็นความสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐ   เด็กๆว่าผู้คนมากมายในสมัยนี้..รวมทั้งเราด้วยจะรู้จักพระเจ้ามั๊ย..ไม่รู้จัก  และในเมื่อไม่รู้จัก..ก็จะได้รอดมั๊ยล่ะ..ไม่รอด  เพราะไม่มีใครมาบอกข่าวประเสริฐ  แล้วทีนี้ลองคิดต่อไป ถ้าเราเพิกเฉยไม่ทำหน้าที่อันเดียวกันนี้  ผู้คนมากมายทั้งในสมัยนี้และลูกหลานเหลนที่จะอยู่ในอนาคตจะรับความรอดได้ยังไง  เมื่อเราได้รับข่าวประเสริฐ..ได้รับความรอดแล้ว  เราเก็บเอาไว้คนเดียว  ไม่สนใจคนอื่นที่เขาต้องพินาศไปในบึงไฟนรก  นั่นคือ เราเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ 
ดู 2ทิโมธี 4:2-4  “..จงขมักเขม้นที่จะทำการทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส..”  ..หมดข้ออ้าง เพราะหลายคนมีปัญหากับการประกาศข่าวประเสริฐ..คิดไปเองว่า “ไม่มีโอกาส”  แต่ความจริง คือ เราพูดได้ทุกโอกาส  เพราะความเชื่อเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้า  ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับพระองต์  ไม่ใช่เพราะเราพูดเก่ง  ไม่ใช่เพราะเราดูดีน่าเชื่อถือ..เขาถึงได้เชื่อ  ไม่ใช่..อย่าเข้าใจผิด   พระคำภีร์ข้อนี้จึงหนุนใจให้เราขมักเขม้น..ทุ่มเทเพื่อข่าวประเสริฐ  ใครที่ไม่เคยทำเลย..ก็หัดทำซะบ้าง  ใครที่ทำน้อยเกินไป..ก็ตั้งใจทำให้มากขึ้น    เพราะ..ข้อที่ 3 บอกว่า “..จะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนอันถูกต้องไม่ได้ (เพราะถูกมารล่อลวงจนหลงเจิ่นไป) แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง..”..ทุกวันนี้เราชอบฟังอะไร..seed 97.5 , 93 คูลเอฟเอ็ม   ข่าววันใหม่ที่มีสารพัดภัยพิบัติ..อาชญากรรม  อะไรอีก..เดอะ โว๊ยซ์  ชอบดูมั๊ย..น้าตุ๊กก็ชอบ ยิ่งในอินเตอร์เน็ท..จะเอาอะไรมีหมด  อากู๋รู้ทุกอย่าง ..ใช่มะ  สื่อในปัจจุบันนี้ไปไกลมาก  เราตามทันมั๊ย..สติปัญญาฝ่ายโลกอาจจะตามทัน  แต่ฝ่ายวิญญาณ..ไม่มีทาง ถ้าเราไม่ระวัง    เราก็เสพเข้าไปแล้วก็ติดใจมาก    แต่ถึงกระนั้น  ก็จะไม่มีข่าวไหนเลยที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด..พ้นจากความพินาศ  นอกจาก..ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู  พระคำภีร์ถึงบอกว่า “..มนุษย์จะรวบรวมครูไว้ให้สอนใน”สิ่งที่เขาชอบฟัง”  ไปฟังแต่ที่ชอบๆ ตามความปรารถนาของตนเอง และจะบ่ายหูจากความจริงเรื่องข่าวประเสริฐในองค์พระคริสต์ หันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ”
กิจการ 1:6-8  ข้อนี้ บรรดาอัครสาวกได้ทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ"  พระเยซูตอบพวกเขาว่า  “ไม่ใช่ธุระของท่าน..”  ..ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องตะเกียกตะกายรู้ให้ได้..ว่าพระเจ้าจะพิพากษาโลกนี้เมื่อไหร่ อีกนานมั๊ยกว่า พระองค์จะจัดตั้งอาณาจักรใหม่ให้ผู้ชอบธรรม   พระเยซูบอกว่าเรื่องนี้..ไม่ใช่ธุระของเรา  แล้วธุระหน้าที่ของเรา คืออะไร..ข้อที่ 8 บอกว่า  “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา..”  คือ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือเรา..สถิตอยู่กับเรา  แล้วเราจะ”เป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์”  นี่คือ หัวใจสำคัญเมื่อเราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์   พระเจ้าไม่ได้บอกว่าเมื่อเรามีพระวิญญาณเราต้องขับผีออก  รักษาคนให้หาย  ห้ามลม  ห้ามฝนหรือเสกไฟลงมาจากฟ้าเหมือนเอลียาห์  แต่..เราจะเป็นพยานในข่าวประเสริฐ 
เพราะงั้น ถ้าใครไม่เคยที่จะอยากพูดเรื่องพระเจ้ากับเพื่อนหรือคนรู้จักเลย  น้าตุ๊กแนะนำว่า “ต้องเช็คตัวเองแล้ว”  ว่าเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจจริงๆรึยัง  เพราะโดยธรรมชาติของคนที่มีพระวิญญาณ..ยังไงก็ต้องทำสิ่งนี้ คือ “เป็นพยาน”  จะมากจะน้อย หรือแม้จะแค่คิดอยู่ในใจ..ยังไงก็ต้องทำ เช่น.. เห็นเพื่อนบางคนมีปัญหา  เศร้าใจ  ไม่มีความสุขก็..เออ อยากชวนเขาไปโบสถ์นะ  อยากให้เขาเชื่อพระเจ้า  อะไรประมาณนี้..ต้องมี 
ดู ฟิลิปปี 1:21-23  ข้อนี้เปาโลบอกว่า “เขาลังเลใจ..จะอยู่หรือจะตายดี  เพราะถ้าอยู่..ก็อยู่เพื่อพระคริสต์  อยู่ต่อไปเขาก็สามารถประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างเกิดผล   ส่วนถ้าตายก็ได้กำไร..อีกใจเปาโลก็อยากจะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก”..เลยเลือกไม่ถูก  นี่คือ ตัวอย่างของคนที่อยู่อย่างมีคุณภาพ  ไม่ใช่อยู่หายใจทิ้งไปวันๆ อยู่เพื่อกิน  อยู่เพื่อเที่ยว วันๆคิดแต่จะหาสิ่งมาปรนเปรอเนื้อหนัง  สุดท้าย อ.เปาโลก็สรุปได้ว่าการที่เขามีชีวิตอยู่  มันมีความจำเป็นมากกว่าสำหรับพี่น้อง  ข้อที่ 24 เปาโลบอกว่า “เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่กับท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ”
นี่คือ สาเหตุเดียวที่ทำให้อ.เปาโลยังอยากมีชีวิตอยู่ คือ อยู่เพื่อเป็นพยานในข่าวประเสริฐ  เพื่อที่มนุษย์อีกมากมายจะได้จำเริญขึ้น..ได้รับความรอดและพบกับสันติสุขที่แท้จริง  หรือน้าตุ๊กจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ ถ้าปราศจากการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว  เราก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร  
  หมดเวลาแล้วค่ะ สัปดาห์หน้ามาต่อกันเกี่ยวกับ"ท่าทีของการประกาศข่าวประเสริฐ"   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ