วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 8 (ตอนจบ) อาทิตย์ที่ 29:11:2009

เรื่องของคนเลวีและภรรยาน้อยของตน
ดูผวฉ.19:1-4 มีชายเลวีคนหนึ่ง ที่ภรรยาน้อยเกิดนอกใจและหนีเขา กลับไปอยู่บ้านเดิมกับพ่อที่เขตของเผ่ายูดาห์ เลวีคนนี้ก็ตามไปง้อเพราะยังรักเมียคนนี้อยู่ พอได้คืนดีกันแล้วพ่อตาก็ดีใจจนไม่อยากให้กลับไป ก็เลยมีการหน่วงเหนี่ยวให้กินอยู่หลับนอนกันอยู่หลายวัน จนถึงวันที่ห้าเลวีคนนี้กับภรรยาน้อยถึงได้เดินทางกลับบ้าน
ดูผวฉ.19:11-15 พอเดินทางมาใกล้ถึงเมืองเยบุส (ซึ่งก็คือ เมืองเยรูซาเล็ม) ก็ใกล้จะเย็นแล้ว คนรับใช้ของเขาก็แนะนำให้หยุดพักค้างคืนที่เมืองนี้ แต่คนเลวีไม่ยอมเพราะชาวเมืองเยบุสหรือชาวเยรูซาเล็ม..เป็นคนคานาอันไม่ใช่คนอิสราเอล ชายเลวีก็เลยบอกให้รีบเดินทางต่อไปอีกหน่อย แล้วค่อยไปพักค้างคืนที่เมืองกิเบอาห์ในเขตของเผ่าเบนจามินจะดีกว่า เพราะเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน (คิดว่า..น่าจะปลอดภัยดี) แต่พอมาถึงเมืองกิเบอาห์ก็มืดแล้ว พวกเขาก็เลยไปนั่งอยู่ที่ลานเมืองแล้วก็ไม่มีใครมาชวนให้ไปพักที่บ้านเลย ซึ่งตามปกติคนสมัยก่อนถ้าเห็นใครมาเยือนถึงเรือนถึงถิ่นก็มักจะต้อนรับขับสู้อย่างดี ไม่เหมือนสมัยนี้...หรืออย่างน้อยก็ต้องสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วยิ่งถ้าได้ความว่าเป็นคนอิสราเอลเหมือนกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ก็ยิ่งจะต้องดูแลเป็นพิเศษ...แต่นี่ไม่ใช่
ดูผวฉ.19:16-18 / 19-21 ยังโชคดีที่มีชายแก่คนนึงซึ่งเป็นคนเอฟราอิม(คนบ้านเดียวกัน)ผ่านมาเห็นแล้วเข้ามาทักทาย พอไต่ถามที่มาที่ไปกันเรียบร้อยแล้วก็ชวนให้ไปนอนที่บ้าน ไม่งั้นคงต้องนอนกันที่ลานเมือง แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วเป็นไงต่อ...
ดูผวฉ.19:22-24 ในขณะที่กำลังดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน ก็มีพวกนักเลงซึ่งเป็นชาวเมืองกิเบอาห์ (หมายความว่า เป็นคนอิสราเอลด้วยกันเนี่ย) มาทุบประตูบ้าน ร้องบอกให้ส่งชายเลวีคนนั้นออกไปให้พวกเขาสังวาส คือต้องการที่จะร่วมหลับนอนกับเพศเดียวกัน (พูดง่ายๆเป็นเกย์น่ะแหละ) แล้วชายแก่ที่เป็นเจ้าของบ้านก็บอกนักเลงพวกนั้นว่า
”อย่าทำอย่างงี้เลย เอาอย่างงี้มั๊ย เรามีลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์อยู่คนนึงกับเมียน้อยของชายคนนี้ จะเอาไปทำอะไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว..คืออย่าทำลามกกับผู้ชายด้วยกันเลย
ดูผวฉ.19:25-26/29-30 ข้อนี้บอกว่า “เมื่อชายเลวีเห็นท่า..ว่า พวกนักเลงคงจะไม่ยอมง่ายๆ ก็เลยจับเมียตัวเองผลักออกไปให้คนพวกนั้น..” (อันนี้เลยไม่รู้ว่า จริงๆแล้วไม่รักเมีย หรือว่ารักมาก...แต่ชั้นกลัวกระเทยมากกว่า เลยยอมส่งเธอไปตายแทน) ปรากฎว่าเมียก็เลยโดนข่มขืนจนตาย ชายเลวีก็อุ้มศพเมียกลับบ้านแล้วจัดการหั่นออกเป็นสิบสองท่อน คืออันนี้เป็นวิธีของคนอิสราเอลในสมัยนั้น ในการที่จะเรียกพี่น้องเผ่าต่างๆให้มาช่วยแก้แค้นหรือมาช่วยรบกับศัตรู
ดูผวฉ.20:1-2/12-14 หลังจากที่ชายเลวีได้ส่งชิ้นส่วนของภรรยาไปให้อิสราเอลทุกเผ่าแล้ว คนอิสราเอลทั่วประเทศก็มารวมตัวกัน พอสอบถามเรื่องราวความเป็นมาของเหตุร้ายจากชายเลวีเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นพ้องต้องกันว่า พวกอันธพาลที่เป็นชาวเมืองกิเบอาห์เนี่ย..สมควรที่จะโดนลงโทษ พวกเขาก็เลยยกกันไปที่เผ่าเบนจามิน ในชั้นแรก.คนอิสราเอลก็ขอให้เผ่าเบนจามินส่งตัวพวกที่ทำผิดออกมารับโทษ แต่ชาวเผ่าเบนจามิน..ไม่ยอม กลับเข้าข้างคนเมืองกิเบอาห์ที่ทำผิด แล้วก็ยังตั้งท่าเตรียมจะรบกับอิสราเอลทั้งประเทศอีกด้วย
ดูผวฉ.20:18-21 ก่อนที่จะไปรบกับเผ่าเบนจามิน อิสราเอลทูลถามพระเจ้าว่า..เผ่าไหนที่ควรจะนำหน้าไปในการรบ ซึ่งพระเจ้าทรงตอบว่า “ให้ยูดาห์นำไป” ถ้าเด็กๆจำได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ยูดาห์นำหน้า เปิดไปดู ผวฉ.1:1-2
ครั้งนั้น อิสราเอลก็ถามพระเจ้าว่าใครจะนำหน้า พระเจ้าก็ตอบเหมือนครั้งนี้ว่า “ให้ยูดาห์นำไป” สงสัยมั๊ย...ว่าทำไมพระเจ้าถึงให้ยูดาห์นำหน้าตลอด เพราะต่อไปพระเยซูคริสต์จะทรงมาบังเกิดอยู่ในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ เพราะฉะนั้น ตรงนี้คือความหมายฝ่ายวิญญาณ....ที่พระเจ้าตั้งใจจะบอกเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า ต่อไปพระองค์จะทรงโปรดให้”พระเยซูคริสต์”เป็นผู้ช่วยให้รอด และจะนำอยู่ข้างหน้าประชากรของพระองค์ในสงครามฝ่ายวิญญาณ....เสมอ...เช่นกัน
กลับมาที่เรื่องของเผ่าเบนจามิน..ในครั้งแรก..ปรากฎว่าทหารของอิสราเอลกลุ่มใหญ่ถูกเผ่าเบนจามินฆ่าตายไปสองหมื่นกว่าคน ทั้งๆที่มีเบนจามินมีคนน้อยกว่าตั้งเยอะแต่อิสราเอลทั้งประเทศก็ยังเอาชนะไม่ได้ พวกเขาก็เลยไปร้องคร่ำครวญต่อพระเจ้า แล้วทูลถามพระองค์ว่า “พวกเขาทำถูกมั๊ยเนี่ยที่มารบรากับพี่น้องตัวเอง” พระเจ้าก็ทรงตอบว่า “รบไปเถอะ" แล้วในข้อที่๒๕ ก็บอกว่า “วันที่สอง คนเบนจามินก็ฆ่าฝ่ายอิสราเอลไปอีกหมื่นกว่าคน”ทีนี้อิสราเอลทำไง
ดูผวฉ.20:26-28 เมื่อการยกไปครั้งที่สองดูเหมือนว่าจะยังสู้เผ่าเบนจามินไม่ได้ คนอิสราเอลก็ขึ้นไปไว้ทุกข์ ร้องคร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ “เบธเอล” แล้วก็ทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “จริงๆแล้ว พวกเขาทำถูกมั๊ย..ที่ไปรบกับพี่น้องตัวเองหรือพวกเขาคิดผิด ถึงทำท่าเหมือนจะแพ้ทั้งสองครั้ง” พระเจ้าก็ทรงยืนยันว่า “ให้รบต่อไป..แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเจ้าจะชนะ..” (เรื่องตอนนี้ให้ข้อคิดอะไรเราบ้าง)
อย่างน้อยที่สุดเด็กๆควรจะจำไว้เป็นตัวอย่าง ว่าบางครั้ง..ถึงแม้พระเจ้าจะทรงยืนยันทางที่เราเลือกเดินแล้ว แต่พระองค์อาจต้องการให้เราเรียน...ที่จะรู้จักกับความล้มเหลวซะก่อน เพราะอะไร...เพราะมันดี...ความล้มเหลวดีสำหรับทุกคน
แล้วบุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม..ทุกคน “ต้องเคยล้มเหลว” เพราะความล้มเหลว ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นอันยิ่งใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดอย่างงั้นแต่กลับจะมองหา”แพะ” ทุกครั้งที่เกิดความล้มเหลว (เด็กๆเข้าใจคำว่าหาแพะมะ) ก็คือ โทษอย่างอื่นไว้ก่อน...เวลาเกิดความผิดพลาด เพราะมันรู้สึกสบายใจดี แล้วก็อุ่นใจกว่าที่ได้สรุปว่า ปัญหาหรือความเดือดร้อนอันนี้มันเกิดเพราะ ”คนอื่น” ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ชั้น หาน้อยมาก..ที่จะโทษตัวเอง หรือยอมรับสถานะการณ์ตามความจริง (เพราะอะไร) เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ดูปฐก.3:11-13
พอพระเจ้าถาม..(อาดามโทษใคร) อาดามก็โทษเอวา (แล้วเอวาว่าไง) เอวาก็โทษงู...เนี่ยคำตอบ คือเราก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษไง ก็ดีเอ็นเอเดียวกัน มันเลยอยู่ในสายเลือด แต่ถ้าเราฝึกฝนที่จะเปลี่ยนแปลง (ทำได้มะ) เดี๋ยวนี้ทำได้แล้ว....เพราะเรามีพระเยซูคริสต์ ชนะได้ทุกอย่าง..แม้แต่สันดานบาปที่ฝังอยู่ในสายเลือด
........แล้วเด็กๆควรจะมีทัศนคติยังไงกับความล้มเหลว เราต้องมองว่า “ความล้มเหลวหรือความทุกข์ยากของชีวิต..คือวาระแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง”(อย่างกล้าหาญ) ไม่ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ก็ให้เรามองว่า..ช่วงเวลานี้ คือ โอกาสที่เราจะได้พัฒนาวุฒิภาวะอย่างแท้จริง (แปลว่าอะไร) ก็จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทั้งร่างกาย..ความคิด..และจิตใจ ดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ตามสมควร แบบปัญหามา..ปัญญามี ไม่ใช่เจอปัญหาแล้วไปไม่เป็น เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ไปวันๆ
มีผลสำรวจของ”นิตยสารไทม์”เกี่ยวกับคนตกงานก็บันทึกไว้อย่างน่าทึ่งว่า “คนที่ผ่านมรสุมชีวิตหรือเจอปัญหาหนักๆมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะสามารถเรียนรู้วิธี”การกระดอน”กลับมาสู่ภาวะปกติได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่น่าหดหู่หรือสิ้นหวัง” (อันนี้เป็นสำนวนของฝรั่ง) ซึ่งแปลง่ายๆว่า “คนที่ล้มเหลวบ่อยๆมักจะรับมือกับปัญหาได้ดีกว่า เพราะไร..ชั่วโมงบินสูง...เลยปรับตัวเก่ง เจออะไรก็ไม่ค่อยตกใจ...ชินละ....เจอมาเยอะ มันก็เข้าที่เข้าทางเร็วเป็นธรรมดา ถูกมะ.. (อันนี้ก็เป็นกฎของธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้)
เพราะฉะนั้น...ต่อไปถ้าเด็กๆต้องพบกับปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิต ก็ขอให้เผชิญหน้ากับมัน....อย่างกล้าหาญ และมองว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และเติบโต โอบกอดมันไว้ ซึมซับทุกความรู้สึกเพราะมันก็แค่อีกเรื่อง...ที่จะผ่านไป ไม่มีเรื่องไหนที่จะไม่ผ่านไป ที่สำคัญพระเจ้าก็ทรงมองอยู่...ว่าเราเลือกที่จะสู้หรือยอมแพ้ เหมือนอย่างที่คนอิสราเอลกำลังเผชิญอยู่ในบทเรียนของเราตอนนี้ คือคล้ายๆว่าจะสู้ไม่ได้มาสองครั้งแล้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะทำอะไร ในความล้มเหลวสองครั้งที่ต้องเรียกว่า....พระเจ้าทรงนำ....ด้วยนะ (ทรงนำจริงๆเพราะพระคำภีร์บอกไว้ชัดๆว่า...ก่อนที่จะรบอิสราเอลถามพระเจ้าตลอด...แล้วพระเจ้าก็บอกให้ไป แต่ยังสู้ไม่ได้ถึงสองครั้ง) แล้วถ้าเรื่องอย่างงี้เกิดขึ้นกับเราบ้าง...เราเลือกที่จะทำอะไร เราจะเลิกเชื่อพระเจ้ามั๊ย แต่คนอิสราเอลเขาเลือกที่จะเชื่อฟังต่อไป...
ดูผวฉ.20:35-36/46-48 ในการโจมตีเผ่าเบนจามินครั้งที่สามนี้ อิสราเอลมีการวางยุทธศาสตร์การรบอย่างรอบคอบ โดยกองทัพของอิสราเอลแกล้งถอยร่นกลับไป คือทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ก่อนในตอนแรก เพื่อล่อให้ทหารของเผ่าเบนจามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ เสร็จแล้วก็ให้ทหารอิสราเอลอีกกลุ่มนึงที่แอบซุ่มอยู่ ยกมาโจมตีเผ่าเบนจามินจากข้างหลัง ปรากฎว่าสำเร็จ คราวนี้...เผ่าเบนจามินแพ้กระจายจนแทบสูญพันธ์ เพราะสุดท้ายในข้อที่๔๗.บอกว่า “เหลือทหารเบนจามินแค่หกร้อยคนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้” ที่เหลือตายเรียบ
ดูผวฉ.21:6-8/10-12 หลังจากที่โจมตีเผ่าเบนจามินจนยับเยินแล้ว ชาวอิสราเอลก็เกิดสงสารเบนจามินเผ่าน้อง นึกเสียใจที่ทำรุนแรงไปหน่อย...คิดว่าต่อไปประเทศอิสราเอลคงต้องขาดไปเผ่านึง เพราะเบนจามินเหลือแต่ผู้ชายแค่หกร้อยคนแล้วพวกเขาก็ปฏิญาณไว้..ว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับคนเผ่าเบนจามินเด็ดขาด..” เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเบนจามินต้องสูญพันธ์แน่
แล้วสุดท้ายก็มีทางออก เพราะถามไปถามมาก็ได้ความว่า.......ชาวยาเบชกิเลอาด ไม่ได้ไปช่วยพี่น้องรบกับคนเบนจามิน ซึ่งในข้อที่๕.ได้บอกไว้ว่าพวกเขาปฏิญาณไว้อย่างแข็งแรงว่า ใครที่ไม่ได้มาร่วมประชุม...ก็คือไม่ได้มาช่วยรบจะต้องโทษถึงตาย ว่าแล้ว..ก็จัดแจงยกทัพไปสำเร็จโทษชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ฆ่าทุกคน...เหลือไว้แต่หญิงพรมจรรย์สี่ร้อยคน ก็จัดการพากลับมาที่คานาอัน...แล้วยกให้เป็นภรรยาของชายเผ่าเบนจามิน แต่ก็ไม่พอ ขาดอีกสองร้อยคน....จะไปหาที่ไหน
ดูผวฉ.21:20-21/23-24 อุบายต่อไปในการหาผู้หญิงอีกสองร้อยคน ให้ชายเผ่าเบนจามิน ก็คือ “ฉุด” แต่ฉุดแบบพอเป็นพิธีแค่ทำทีให้รู้ว่า..นี่ชั้นไม่รู้เรื่องด้วย แต่จริงๆแล้วรู้เห็นเป็นใจกันเกือบทุกฝ่าย และแผนก็คือ ให้ชายเผ่าเบนจามินสองร้อยคนที่ยังไม่มีคู่....ไปฉุดผู้หญิงที่ออกมาเต้นรำตอนงานเทศกาลประจำปีที่ชิโลห์แล้วพากลับบ้านไปเลย ก็เป็นอันว่าไม่มีใครผิดคำสาบาน...พ่อแม่ก็ไม่ผิดเพราะไม่ได้เต็มใจยกให้ เขามาฉุดไปเอง
ในที่สุด เผ่าเบนจามินก็ได้ภรรยากันครบถ้วนทั่วหน้า ก็เลยสามารถดำรงเผ่าพันธ์ของตัวเองสืบเชื้อสายต่อไปได้ อิสราเอลก็เลยยังอยู่ครบทั้งสิบสองเผ่า
ปิดท้ายในข้อที่๒๕.พระคำภีร์ยังคงย้ำคำว่า”..สมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ ทุกคนต่างก็กระทำตามที่เห็นชอบ” เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาจริงๆ อย่างที่น้าตุ๊กสอนไปแล้ว...ว่าเราจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ แต่ต้องให้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเครื่องชี้ขาด..ในสิ่งที่เราจะทำ
บทสรุป
ดูผวฉ.2:19 พระคำภีร์บอกว่าเมื่อผู้วินิจฉัยแต่ละคนตายไปอิสราเอลก็กบฎหนักยิ่งกว่าเดิม เขามิเคยงดเว้นความชั่วที่เคยกระทำ หรือหายจากทางดื้อดึง...” เพราะอะไร..ทำไมถึงงดเว้นไม่ได้ แล้วก็ดื้อไม่หายซักที เพราะนี่คือ “ธรรมชาติบาป”ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ก็เลยฝืนไม่ได้ต้องทำอยู่เรื่อย.....น้าตุ๊กอ่านเจอบทความอันหนึ่ง เขาบอกว่า “ธรรมชาติ” แปลว่า ความจริงที่ก่อกำเนิดหรือความจริงที่ดำรงอยู่...ส่วนในพจนานุกรมแปลว่า ”ที่เป็นไปเอง” (คืออะไรก็ตามที่...มันเป็นเอง..ไม่ได้แกล้งทำ) ก็ถูกทั้งสองอย่างเลย เพราะพระคำภีร์บันทึกไว้...ว่ามนุษย์เริ่มทำบาปครั้งแรกตอนไหน..ตอนก่อกำเนิด คือ ปฐมกาล...เริ่มจากอาดาม (ถูกมะ) มันเลยเป็นบาปตามธรรมชาติที่ยังคงอยู่ในตัวมนุษย์...ไม่หายไปไหน แล้วมนุษย์ก็ต้องทำอยู่เรื่อยเพราะ”มันเป็นไปเอง“ ควบคุมไม่ได้ก็เลยต้องวนเวียนทำซ้ำซากอยู่อย่างงั้น
ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยคนอิสราเอลหรือแม้แต่เรา...ทุกคนก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรความบาปที่ไม่มีวันจบสิ้น" เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในหนังสือผู้วินิจฉัย
เด็กๆดูต่อไปในผวฉ.3:9-10 ข้อนี้บอกว่า เมื่อทรงเลือกโอทนีเอลแล้ว “พระวิญญาณก็ทรงสถิตหรือสวมทัพโอทนีเอล” (และผู้วินิจฉัยทุกคน) สังเกตให้ดี...นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลในสมัยก่อน (หรือในยุคของพันธสัญญาเดิม) คือประทานชัยชนะที่มาจาก”การทรงสถิต”ของพระองค์ผ่านทาง”ผู้วินิจฉัย” ซึ่งต่างไปจากยุคพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทาน”พระวิญญาณ”ให้ทรงสถิตกับ”เราทุกคน”ที่เชื่อในพระองค์...
ดู1โครินธ์ 6:19-20 “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” (ตรงส่วนไหน) “ที่หัวใจ” นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้าของเรา (พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก) กับ พระอื่น...เพราะพระเจ้าของเราไม่ทรงสถิตในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเหมือนพระอื่น (เช่นอยู่ในรูปปั้น รูปภาพ ปูชนียสถาน วัตถุสิ่งของ หรือแม้แต่ในพระวิหาร) เพราะในสมัยที่อาณาจักรยูดาห์ถูกทำลาย นครเยรูซาเล็มที่ตั้งของพระวิหารในสมัยนั้นก็ถูกเผาไปด้วย เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลยกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่พระองค์เลือกที่จะสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไว้ที่ “หัวใจของมนุษย์”....ที่พระองค์สร้าง
ดูยอห์น3:16-17 แต่เพราะพระเจ้าทรงรักโลกและรักมนุษย์ พระองค์จึงทรงเตรียมทางแห่งความรอดไว้ให้พวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ในวันนี้การช่วยกู้ของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวผู้วินิจฉัยหรือใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน....(อันนี้ต้องจำไว้ให้ดี) .เราทุกคนได้ชื่อว่าเป็น”วิหารของพระเจ้า”และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ ทุกวันนี้คริสเตียนถึงไม่ต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากใครที่ไหน เพราะผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริงอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู คนที่อ่อนแอ...ก็จะค่อยๆเข้มแข็ง (ค่อยๆนะค่อยๆทีละน้อย) ที่เคยเป็นปัญหา....ก็จะกลายเป็นสันติสุข แล้วอะไรก็ตามที่เคยยาก....มันก็ง่ายขึ้นเมื่อเรามีพระเยซูคริสต์....น้าตุ๊กขอจบหนังสือผู้วินิจฉัยไว้ตรงนี้นะคะ สัปดาห์หน้าคงจะเป็นการทดสอบ (ความเข้าใจ และความสนใจของเด็กๆด้วย) เพื่อประเมินประสิทธิภาพทั้งการเรียนและการสอน พระเจ้าอวยพรค่ะ...

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่7 อาทิตย์ที่ 15:11:2009

แซมสัน ตอนที่๔ (แซมสัน กับ นางเดลิลาห์) ผวฉ.16:4-22
พระคำภีร์บันทึกว่า...ช่วงหลังของชีวิตแซมสันก็ไปหลงรักผู้หญิงอีกคนชื่อ”เดลิลาห์” พอพวกหัวหน้าของคนฟิลิสเตียรู้เข้า ก็เลยไปหาเดลิลาห์แล้วบอกว่า ”ถ้าเดลิลาห์ล้วงความลับหรือหลอกถามแซมสันได้ ว่าพละกำลังของเขามาจากไหน แล้วมีวิธีไหนบ้างที่จะปราบเขาได้” พวกฟิลิสเตียจะให้เงินเดลิลาห์.....คนละ1100 แผ่น (หรือว่า 1100 เชเขล ) เงิน 1 เชเขลหนักประมาณ 11.5 กรัม เพราะฉะนั้น 1100 เชเขลก็เท่ากับ 12650 กรัม หรือ ประมาณ 12.6 กิโล (ตาโตมะ) เดลิลาห์ก็เลยโอเค หลังจากนั้น เดลิลาห์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเพียรถามแซมสันอยู่นั่นแหละว่า “..จะทำยังไงถึงจะจับตัวและมัดเขาให้อยู่หมัด” แซมสันก็โกหกไปถึงสามครั้ง หลอกให้ใช้สายธนูหนังที่ยังไม่แห้งมั่ง ให้ใช้เชือกใหม่มั่ง
หลังสุดก็หลอกว่าต้องเอาผมเจ็ดปอยของเขาทอเข้าไปในเครื่องทอผ้าแล้วเขาจะหมดแรง แต่พอเดลิลาห์ลองเทสต์ดูแล้ว แซมสันก็สะบัดหลุดทุกครั้ง
ความจริงแซมสันน่าจะเอะใจมั่งเนอะ มาหลอกถามวิธีทำร้ายกันซะงั้น เรื่องของเรื่องก็คงจะรักมากจนไม่คิดที่จะระวังอะไร สุดท้าย...เจอไม้ตายของผู้หญิง ในข้อที่๑๕บอกว่า เดลิลาห์ ตัดพ้อกับแซมสันว่า “เธอพูดได้ยังไงว่าเธอรักชั้น ในเมื่อใจเธอไม่ได้อยู่กับชั้นเลย” แซมสันก็เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่เจอไม้นี้เข้าให้..ใจก็เริ่มอ่อนระทวย ข้อที่๑๖.บอกว่า เดลิลาห์เองก็รบเร้าคาดคั้นทุกวัน จนแซมสันเบื่อแทบจะตาย ก็เลยบอกความจริงไปจนได้ว่า ”ชั้นไม่เคยตัดผมเลย เพราะชั้นเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด ถ้าโกนผม เรี่ยวแรงกำลังของชั้นก็จะหายไปด้วย”
แค่นั้นแหละ เดลิลาห์ก็รีบให้คนไปส่งข่าวถึงพวกฟิลิสเตีย....บอกว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่ แล้วเดลิลาห์ก็ให้คนย่องเข้าไปตัดผมของแซมสันตอนที่เขาหลับอยู่ ส่วนพวกฟิลิสเตียพอได้ข่าวปุ๊บก็รีบมาพร้อมเงินที่สัญญาว่าจะให้...ถ้าหลอกแซมสันได้ ครั้งนี้ พอเดลิลาห์พูดว่า”แซมสัน คนฟิลิสเตียมาจับตัวท่านแล้ว” แซมสันยังตื่นขึ้นมาพูดว่า “ชั้นก็จะสลัดหลุดเหมือนทุกครั้งน่ะแหละ”
ในข้อที่ 20 บอกว่า “แซมสันไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ละท่านไปเสียแล้ว” เพราะอะไร...เพราะก่อนหน้านี้แซมสันก็ทำผิดกฎของนาศีร์แทบทุกข้ออยู่แล้ว เหลืออยู่ข้อเดียวก็คือยังไม่ได้ตัดผม แล้วแซมสันก็ไม่เคยที่จะยับยั้งใจตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง”เรื่องผู้หญิง”...เสียมากเป็นพิเศษ
และแล้ว..เมื่อเขาได้ละเมิดกฎข้อสุดท้ายที่เหลืออยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างแซมสันกับพระเจ้าก็เป็นอันสิ้นสุด พระเจ้าก็ทรงถอนฤทธิ์อำนาจออกจากตัวเขา ข้อที่๒๑.บอกว่า “คนฟิลิสเตียก็มาจับตัวแซมสันแล้วก็ควักลูกตาทิ้ง”หลังจากนั้น ก็จับล่ามโซ่แล้วให้ไปโม่แป้งอยู่ในคุก
มรณกรรมของแซมสัน ผวฉ.16:23-31
พอปราบแซมสันได้ชาวฟิลิสเตียก็ดีใจ เลยฉลองกันเป็นการใหญ่เพื่อสรรเสริญเทิดทูนพระดาโกนเทพเจ้าของพวกเขา ในข้อที่๒๕บอกว่า”เมื่อจิตใจของเขาร่าเริงเต็มที่แล้ว เขาจึงพูดว่า..ไปเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู” คำว่า”เมื่อจิตใจร่าเริงเต็มที่...หมายถึงพอสนุกกันเต็มที่ ก็ให้คนไปเอาตัวแซมสันออกมาเล่นตลกให้ดู” ความจริงถ้าสนุกกันเต็มที่แล้วก็น่าจะพอนะ...จบได้ แต่นี่ยังต้องการความบันเทิงในลักษณะที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอีก” เพราะอะไร อาการแบบนี้มีอย่างเดียว ก็คือ “เมา” ทำให้เราเห็นภาพเลยว่าคงจะเป็นการฉลองที่กินดื่มกันอย่างเต็มขนาด
ว่าแล้วเด็กคนนึงก็ไปจูงแซมสันออกมา แซมสันก็บอกเด็กคนนั้นว่า “ช่วยพาเขาไปยืนพิงที่เสารองรับพระวิหารหน่อย” เด็กที่จูงน่าจะคิดว่า..แซมสันคงจะเมื่อยเลยพาแซมสันไปยืนพิงเสาค้ำพระวิหาร
แล้วแซมสันก็อธิฐานต่อพระเจ้า..ว่า
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟิลิสเตียเพื่อตาข้างหนึ่งในสองข้างของข้าพระองค์” คำอธิฐานนี้แสดงให้เห็นว่า..สุดท้ายแซมสันก็ยอมจำนนต่อพระเจ้า ร้องทูลขอกำลังจากพระองค์และครั้งนี้พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของเขา แซมสันก็รวบรวมกำลังทั้งหมดพังเสาของวิหาร จนวิหารพังลงมาทับเจ้านายของพวกฟิลิสเตียและประชาชนทั้งหมดในนั้น ในข้อที่๒๗.บอกว่ามีคนอยู่เต็มตึกนั้น แค่บนหลังคายังนับได้สามพันคน แล้วคิดดูข้างล่างจะเยอะขนาดไหน แล้วในข้อที่ 30 ก็บอกว่า”ดังนั้น คนที่แซมสันฆ่าตายพร้อมกับตัวเองนี้ มีจำนวนมากกว่าคนที่เขาได้ฆ่าตอนที่มีชีวิตอยู่” (นี่ขนาดขอแก้แค้นเพื่อตาข้างเดียวนะ ถ้าขอเพื่อตาสองข้าง คงจะหนักกว่านี้) ที่สำคัญคนที่ถูกวิหารทับตายก็มีทั้งเจ้าเมือง นายทหาร แล้วก็บรรดาผู้นำคนสำคัญของพวกฟิลิสเตียรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถึงครั้งนี้อิสราเอลจะยังกำจัดพวกฟิลิสเตียได้ไม่สิ้นซาก แต่แซมสันก็ช่วยได้เยอะ..เพราะจากวันนั้นพวกฟิลิสเตียก็อ่อนกำลังลงไป
เรื่องของ มีคาห์ ตอนที่๑ ผวฉ.17:1-13
“มีคาห์”ไม่ใช่เรื่องของผวฉ. แต่เรื่องของมีคาห์เป็นเหมือนภาคผนวกของธรรมเล่มนี้ ที่หยิบยกเรื่องราวบางกรณีมาเป็นตัวอย่าง เพื่ออะไร...เพื่อให้เห็นว่าในสมัยผวฉ.เนี่ย ความผิดบาปมันปกคลุมอิสราเอลจนทั่วไปหมด (แล้วเรื่องของมีคาห์..ก็เป็นแค่บางกรณีเท่านั้น เพราะฉะนั้นความจริงน่าจะมีเรื่องหยั่งเงี้ยเกิดขึ้นเยอะในอิสราเอลสมัยนั้น)
เรื่องนี้ก็คือ มีชายอิสราเอลคนหนึ่งชื่อมีคาห์ขโมยเงินแม่ไป แล้วก็ได้ยินแม่สาปแช่งคนที่ขโมยอย่างรุนแรงมากก็เลยกลัว เปลี่ยนใจไปรับสารภาพกับแม่..ว่าตัวเองเนี่ยเป็นคนเอาไปแล้วก็คืนเงินให้แม่ พอแม่ได้เงินคืนก็ดีใจ ในข้อที่๒.แม่ของมีคาห์ได้พูดว่า “...ขอให้พระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด เงินรายนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ..” บางคนอ่านตอนนี้แล้วงง... งงว่า...เฮ้ย! พูดได้ไงว่า”เงินนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อทำรูปเคารพ” น้าตุ๊กก็บอกไม่ต้อง..งง อิสราเอลสมัยนั้นเชื่ออย่างเพี้ยนสนิท
ในข้อที่๕.บอกว่า “มีคาห์คนนี้มีเรือนพระหลังหนึ่งขาทำรูปเอโฟดและรูปพระ แล้วมีคาห์ก็แต่งตั้งลูกของเขาคนนึงของเขาให้เป็นปุโรหิต.” (ของศาลเตี้ยตั้งเองนี่แหละ) ทีนี้คำว่า”เรือนพระ” เด็กๆนึกภาพ ศาลพระภูมิ (นึกออกมะ) ประมาณนั้นแหละที่มีคาห์ทำ (ขอโทษที่ต้องขอพาดพิงเพราะมันทำให้เด็กๆเห็นภาพชัดเจน) ถ้าใหญ่หน่อยก็ศาลเจ้า..แล้วก็จะมีคนดูแล แบบเดียวกับที่มีคาห์อุปโหลกลูกตัวเองขึ้นมาเป็นปุโรหิต สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ มีคาห์เนี่ยหลงผิดทุกเม็ด ทั้งสร้างรูปเคารพ ยกมันขึ้นมาเป็นเรื่องเดียวกับพระเจ้า แล้วยังตั้งลูกตัวเองที่เป็นคนเผ่าเอฟราอิมเนี่ย...ให้เป็นปุโรหิต ซึ่งตามกฎบัญญัติของพระเจ้าคนเอฟราอิมเป็นปุโรหิตได้มั๊ย ต้องคนเลวีเชื้อสายอาโรนเท่านั้น (ถูกมะ)
หลังจากนั้น ไม่นานก็มีคนเลวีผ่านมาที่บ้านของมีคาห์ มีคาห์ก็ได้ชวนให้เขามาเป็นปุโรหิตประจำบ้าน จริงๆจะเรียกว่า”จ้าง”ก็ได้นะ เพราะดูเหมือนจะมีการตกลงเรื่องค่าตอบแทนกันด้วย คือ จ่ายเงินให้ปีละสิบแผ่น ให้เครื่องแต่งตัวหนึ่งสำรับพร้อมอาหาร เหมือนเป็นแพ็คเกจเวลามีโปโมชั่นยังไงยังงั้น (ซึ่งเรื่องอย่างเงี้ย..ก็ไม่มีในพระบัญญัติของพระเจ้า).....เพราะฉะนั้น ผิดทุกข้อ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เนี่ยคือประเด็นสำคัญที่พระคำภีร์ตอนนี้อยากจะชี้ให้เราเห็น
ในข้อที่ 17:6. (อ่าน) “...ทุกคนก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ” หลายๆปัญหาบนโลกนี้มันก็เกิดขึ้นเพราะคำนี้แหละ (แล้วทำไมหลายๆครั้งเราถึงทำตามที่ตัวเองเห็นชอบไม่ได้) เพราะสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าพอใจ หรือแม้แต่สิ่งที่มนุษย์คิดว่าถูกต้อง หลายครั้งก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะยึดเอาความพอใจหรือความเห็นชอบของมนุษย์เป็นหลักการหรือมาตรฐานการดำเนินชีวิต..ไม่ได้ คือเราจะทำอะไรตามความพอใจของเรา..ไม่ได้ (แม้ว่าบางครั้งเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม) ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราขับรถ สมมติว่าทางของเราไฟเขียว และเราเห็นแล้วว่ามีรถคันหนึ่งฝ่าไฟแดงมา แต่ชั้นก็จะไปเพราะถือว่าชั้นถูก ทางของชั้นไฟเขียว แบบนี้ปัญหาเกิดมั๊ย เกิดแน่นอนแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก แต่ปัญหาก็เกิด (เพราะอะไร ) เพราะเราเลือกที่จะทำตามใจตัวเอง ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ก็เลยไม่ยอมให้รถที่ฝ่าไฟแดงมาผ่านไปก่อน ยอมไม่ได้ แกผิด เพราะฉะนั้น..แกต้องเบรค ยังไงชั้นก็จะไม่เบรค (ถ้าคิดหยั่งงี้ เดี๋ยวได้ไปเบรคอยู่แถวๆอกอับราฮัม) ส่วนเรื่องของฝ่ายที่ฝ่าไฟแดงนั้น ไม่ต้องพูดถึงมันผิดเต็มประตู และกระทำตามที่ตัวเองเห็นชอบอยู่แล้ว แต่ประเด็นนี้ น้าตุ๊กอยากจะชี้ให้เห็นว่า "หลายครั้งแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก เราก็จะทำตามที่เราเห็นชอบไม่ได้" เราต้องทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ (ยังไงล่ะ)อย่างเรื่องนี้ ทางของเราไฟเขียวก็จริงแต่ถ้าเห็นรถฝ่าไฟแดงมา เราก็ต้องเป็นฝ่ายยอม...รอให้เขาไปก่อน คิดอย่างมีความรัก คิดอย่างยอมเสียสละตามอย่างพระเยซูคริสต์ อย่าเอาไปเป็นอารมณ์ ปัญหาก็จะไม่เกิด ที่น้าตุ๊กเลือกเรื่องขับรถมาเป็นตัวอย่างก็เพราะมันเห็นภาพชัดเจนที่สุด..แล้วเวลาขับรถปัญหามันเกิดได้ทุกเวลาไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด
....และความจริงสติปัญญาของมนุษย์มีจำกัดแต่ไม่ค่อยรู้ตัว มนุษย์ชอบนึกว่าตัวเองเก่ง รู้ดี...อย่างน้าตุ๊กเคยดูสารคดีอันหนึ่ง ที่นักวิจัยเขาเสี่ยงชีวิต พยายามที่จะดำน้ำลงไปให้ได้ลึกที่สุด โดยมีอุปกรณ์ที่ช่วยปรับความดันของร่างกายให้สามารถอยู่ในที่ลึกมากๆได้ชั่วคราว แล้วที่สุดก็ได้ลงไปในที่ลึกขนาดที่แสงแดดส่องไม่ถึง...มืดสนิท แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจเพราะว่ามีสัตว์น้ำแปลกๆมีแสงในตัวเองที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนเต็มไปหมด แล้วก็มีนักวิจัยบางกลุ่มสรุปว่า “บรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักแล้วก็เคยเห็นเนี่ย...จริงๆแล้วมันน่าจะแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก” เด็กๆเข้าใจมะ สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น มันแปลว่าไร...แปลว่าจริงๆแล้วมนุษย์รู้น้อยมาก อันนี้แค่เรื่องสปีชีของสัตว์น้ำเท่านั้นนะ แล้วเรื่องอื่นๆอีกหลายล้านเรื่องล่ะ ถ้ารวมกันแล้วน้าตุ๊กว่า...มนุษย์รู้จริงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของทุกเรื่องในมหาจักรวาลนี้ (ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของน้าตุ๊ก ใครที่บังเอิญมาอ่านแล้วไม่เห็นด้วย..ไม่ว่ากัน) ที่พูดมาทั้งหมดก็แค่อยากให้เด็กๆเห็นภาพว่า....จริงๆแล้วมนุษย์ไม่ได้ฉลาดมากมายอะไร แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก มนุษย์ถึงต้องพึ่งพระเจ้า เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องก็คือ “เราต้องกระทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ ไม่ใช่ตัวเราเองเห็นชอบ” ถึงแม้บางครั้งมันจะขัดใจ หรือทุกข์ยากลำบากบ้าง...ก็ทำเถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว...คุ้มแน่นอน
มีคาห์ ตอนที่2 ผวฉ.18:1-31 (มีคาห์และคนเผ่าดาน)
พระคำภีร์ช่วงนี้บันทึกเรื่องราวของมีคาห์กับคนเผ่าดาน ข้อที่๑.เลยบอกว่า”คนเผ่าดานยังเที่ยวหาที่ดินอันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนี้แล้วมรดกในหมู่คนอิสราเอลยังไม่ตกแก่เขา” หมายความว่า เมื่อสมัยที่โยชูวาแบ่งเขตแดนในคานาอันให้เผ่าต่างๆของอิสราเอลเนี่ย เผ่าดานเขาได้สิทธิ์ตรงเขตแดนที่ติดกับฝั่งทะเล ตั้งอยู่ระหว่างเผ่าเอฟราอิมกับยูดาห์ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่แล้วสองเผ่านี้ก็มีการเอาเปรียบบ้าง..รุกล้ำเนื้อที่ของเผ่าดานบ้าง แล้วก็ยังมีพวกฟิลิสเตียที่อยู่ตามชายทะเลมารุกราน ผลักดันให้เผ่าดานต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ เนื้อที่ของดานก็เลยน้อยไปเรื่อย (โดนพวกฟิลิสเตียรุกล้ำก็ว่าไปอย่างเนอะ ไอ้ที่โดนเอฟราอิมกับยูดาห์เอาเปรียบเนี่ย..น่าเสียใจกว่า พี่น้องกันแท้ๆ) เหมือนพวกเราที่เป็นคริสเตียนเนี่ย ถ้าโดนคนอื่นที่เป็นคนไม่เชื่อพระเจ้าเขาเอาเปรียบหรือทำร้าย เราทนได้ ทนได้มากกว่า..แต่ถ้าถูกคริสเตียนด้วยกันทำให้เสียใจเนี่ย...เราจะรู้สึกเจ็บมาก เพราะเราจะรู้สึกว่าคนที่เชื่อพระเจ้าไม่น่าจะทำอย่างงี้ (ถูกมะ) แต่ยังไงก็ตามเด็กๆต้องจำไว้ว่า “พระดำรัสของพระเจ้าก็บอกให้เรารักกัน” อภัยให้กัน มีอะไรก็ต้องอดทนยอมๆกันไป เพราะเด็กๆเคยเรียนไปหลายครั้งแล้วว่า..ไม่ได้มีแต่คนที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่สามารถมาเชื่อพระเจ้าหรือเข้ามารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ได้ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็ควรให้โอกาสกัน ทุกคนต่างก็เป็นทางที่ยังสร้างไม่เสร็จ..อยู่ระหว่างกำลังปรับปรุงด้วยกันทั้งสิ้น ขอให้เรารักพี่น้องในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่แบบที่เราต้องการให้เขาเป็น ถ้ามีเรื่องไหนที่จำเป็นต้องเตือนสติกันเพราะพี่น้องของเราทำผิด เด็กๆต้องถามตัวเองให้แน่ในใจก่อนว่า"เราเตือนเขาด้วยความรักจริงๆหรือเตือนเพราะอยากจะกล่าวโทษเขา" เพราะสิ่งไหนที่ทำโดยปราศจากความรักมันก็ไร้ค่าและมักเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น ถ้าเราจะต้องเตือนใคร เราควรจะอธิฐานขอพระเจ้าทรงค้นลึกในจิตใจของเราซะก่อนและขอการทรงนำจากพระองค์ด้วย
ในที่สุดเผ่าดานก็เลยตัดสินใจว่าจะย้ายที่อยู่ ก็เลยส่งตัวแทนไปสอดแนมหาที่อยู่ใหม่ ระหว่างทางคนเผ่าดานที่ออกไปสำรวจหาที่อยู่ใหม่ก็ผ่านไปทางบ้านของมีคาห์ที่เผ่าเอฟราอิม พวกเขาแวะทักทายกับคนเลวีที่มีคาห์แต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต (ประจำตำหนักของตัวเอง) แล้วหลังจากที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี ปุโรหิตของมีคาห์ก็อวยพรคนเผ่าดาน หลังจากนั้นคนเผ่าดานก็ออกเดินทางต่อไปถึงเมืองลาอิชที่อยู่เหนือสุดของดินแดนคานาอัน ปรากฎว่าถูกใจเมืองนี้ เพราะเป็นดินแดนเงียบสงบ อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคนที่นี่ดูไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ อยู่กันอย่างสงบแล้วก็ดูไม่ค่อยจะระวังอะไร คงจะเข้ายึดครองได้ง่าย ว่าแล้วคนสอดแนมก็กลับมาบอกพี่น้องเผ่าดานให้เตรียมทำสงคราม แล้วก็ย้ายที่อยู่
ระหว่างที่คนเผ่าดานยกกันไปที่เมืองลาอิชเพื่อทำสงคราม พวกเขาก็ผ่านบ้านของมีคาห์อีก แทนที่จะแวะเพื่อตอบแทนน้ำใจ เพราะบ้านนี้เคยต้อนรับเขาอย่างดีเมื่อครั้งที่มาสอดแนม กลับชวนพรรคพวกให้ปล้นบ้านของมีคาห์ ทำทีเข้าไปทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วคนที่เคยมาสอดแนมห้าคนก็เดินเข้าไปขโมยของ ขโมยอะไรรู้มะ ขโมยรูปเคารพ พวกรูปแกะสลัก รูปพระ แล้วก็เอโฟด (จะบ้าตาย)
นี่แสดงว่า เพี้ยนกันทั่วหน้าไม่ใช่แค่เผ่าเดียว...แล้วไงต่อไป ปุโรหิตอุปโหลกของมีคาห์ก็ทำท่าจะโวยวาย ถามคนเผ่าดานว่า “ ทำงี้หมายความว่าไง” คนเผ่าดานก็บอกปุโรหิตของมีคาห์ “ให้เงียบๆไว้ แล้วคิดดูให้ดีว่าจะอยู่เป็นปุโรหิตของคนๆเดียว หรือว่า...จะไปกับพวกเขา แล้วได้เป็นปุโรหิตของคนทั้งเผ่า... มันรุ่งกว่ากันเยอะนะ แค่นั้นแหละ ในข้อที่๒0 บอกว่า”.ใจของปุโรหิตก็ยินดี..” แล้วก็ โดดตามเขาไปเลย ไปกับพวกเผ่าดาน (ซะงั้น)
ฝ่ายมีคาห์กับเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ตามไปจะทวงของคืน คนเผ่าดานก็หันมาถามมีคาห์หน้าตาเฉย “ว่า พาพวกมาทำไมเยอะแยะ” มีคาห์ก็บอกว่า “ ก็พวกเธอขโมยพระของชั้นไปหมด แล้วก็ยังเอาปุโรหิตของเขาไปด้วย ยังจะมีหน้ามาถามอีก ว่าตามมาทำไม “ คนเผ่าดานก็เลยไม่อ้อมค้อมสวมบทบาทอันธพาล ขู่จะฆ่ามีคาห์ยกครัว เพราะถือว่ามีกำลังมากกว่า มีคาห์ก็เลยต้องยอมถอย...กลับบ้านไป เพราะสู้ไม่ได้
หลังจากนั้น คนเผ่าดานก็ยกไปตีเมืองลาอิช แล้วก็ชนะอย่างง่ายดาย เพราะไม่มีใครมาช่วย เนื่องจากเมืองนั้นอยู่กันอย่างสันโดดไม่ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับเมืองอื่น ดานก็เลยได้สร้างเมืองของตัวเองขึ้นที่นั่น แล้วก็เปลี่ยนชื่อเมืองจาก”ลาอิช” เป็น “ดาน” พร้อมทั้งเอารูปพระ เอโฟดที่ขโมยมา กับปุโรหิตของมีคาห์ สถาปนาขึ้นเป็นรูปเคารพของเผ่าดาน ต้องเรียกว่า ตั้งศาสนาของตัวเองเลยทีเดียว พระคำภีร์บอกว่า พวกเขาหลงผิดอยู่อย่างงั้นตลอดสมัยที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าตั้งอยู่ที่ชิโลห์ หลงผิดกันจนกระทั่งต้องตกไปเป็นเชลย
เวลาหมดแล้วค่ะ สัปดาห์หน้าเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ขอให้พี่น้องทุกคนร่วมใจกันนมัสการสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างสุดใจ และทุกวันนี้ไม่ว่าข่าวภัยพิบัติ โรคระบาด ความวุ่นวายทางสังคม เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คริสเตียนทุกคนจะปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์เสมอ ปลอดภัยแม้จะตายหรืออยู่ก็ตาม น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กๆจำพระลักษณะของพระเจ้าของเราไว้ให้ดีๆ ในพระคำภีร์ได้เปิดเผยถึงพระลักษณะของพระองค์ไว้หลายครั้ง และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและไม่เปลี่ยนแปลงจากวานนี้ วันนี้และสืบๆไปเป็นนิตย์
อพยพ 34:6-7 “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดง
ความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด
การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้......”
โยนาห์ 4:2 “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ”
เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเชื่อว่าวันนี้ก็เช่นกันไม่ว่าโลกจะถูกกำหนดไว้ให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คริสเตียนก็มีความหวังในพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระกรุณาเสมอ เรามีสิทธิ์ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ ตลอดจนการกลับพระทัยไม่ลงโทษ เช่นเดียวกับที่หลายๆคนในพระคำภีร์เคยได้รับมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในส่วนของเราให้ดีที่สุด ถ้าพอจะช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมได้บ้างก็ทำไป ที่สำคัญ “คริสเตียนทุกคนจงร่วมใจกันอธิฐานอย่างเซ้าซี้" เพื่อประเทศไทยและเพื่อโลกใบนี้ของเรา ดังเช่นที่อับราฮัมอธิฐานเพื่อเมืองโสโดม (ปฐม.18:22-33) แล้วบางทีพระเจ้าอาจจะทรงยับยั้งพระอาชญาของพระองค์ไม่ลงโทษโลกใบนี้ หรืออาจจะทรงผ่อนหนักให้เป็นเบาเพราะเห็นแก่ผู้ชอบธรรมของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนแผ่นดินโลกและในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย เพราะเราเชื่อแน่ในใจว่า “ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อทุกคนที่รักพระองค์เสมอ” ดังนั้น น้าตุ๊กขอหนุนใจฝากไว้ เพื่อเด็กๆจะไม่กังวลมากจนเกินไปกับข่าวสารทุกวันนี้
พบกันสัปดาห์ที่ 29:11:2009 ซึ่งจะเป็นตอนจบและบทสรุปของหนังสือผู้วินิจฉัยแล้ว อย่าพลาดนะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 6 อาทิตย์ที่ 8:11:2009

แซมสัน ตอนที่๒ ผวฉ.14:1-20/15:1-8 (แซมสันกับหญิงชาวทิมนาห์)
พอโตเป็นหนุ่มแซมสันก็เกิดไปชอบหญิงฟิลิสเตียคนหนึ่ง..เป็นชาวเมืองทิมนาห์ ก็เลยกลับไปบอกพ่อแม่ประมาณว่า “คนนี้ใช่เลย ไปขอให้หน่อย” แต่ในข้อที่๔บอกว่า”พ่อแม่ของแซมสันไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ก็เลยพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงเพราะผู้หญิงที่ลูกไปชอบเนี่ย...เป็นคนต่างชาติ” แต่พูดยังไงลูกก็ไม่ยอม แซมสันตื๊อ...จะเอาให้ได้ คงจะพูดประมาณว่า “แต่คนนี้....มันโดนใจจริงๆนะแม่” ....สุดท้ายพ่อแม่ก็แพ้ทาง ต้องไปขอสาวฟิลิสเตียมาเป็นเมียลูก
ระหว่างที่เดินทางไปขอสาวที่ทิมนาห์ แซมสันก็มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมที่ไม่ธรรมดาเป็นครั้งแรก ด้วยการฉีกสิงโตออกเป็นสองซีกด้วยมือเปล่า แล้วในข้อที่๖.บอกว่าพ่อแม่ของแซมสันไม่ทันรู้เรื่อง...ทั้งที่เดินทางมาด้วยกัน แสดงว่าแซมสันต้องใช้กำลังอย่างมหาศาล ถึงได้สามารถฆ่าสิงโตอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วจนพ่อแม่ไม่ทันรู้เรื่อง (เด็กๆลองนึกภาพตาม.. เดินทางมาด้วยกันแต่ไม่รู้ว่ามันฆ่าสิงโต สิงโตนะ...ไม่ใช่แมวหรืออีกัวน่า) แล้วก็มือเปล่าอีกต่างหาก
พอไปถึงเมืองทิมนาห์เมื่อได้พูดจาสู่ขอกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานแซมสันก็กลับไปรับภรรยา...ระหว่างทางก็มีการแวะไปดูซากสิงโตที่เขาฆ่า (ตอนที่มากับพ่อแม่) ปรากฎว่ามีผึ้งมาทำรัง
แซมสันไม่รอช้ายื่นมือไปกวาดเอาน้ำผึ้งจากซากสิงโตแล้วก็เดินไป กินไป เหมือนหมีพูล์ (แซมสัน เดอะ พูล์) แถมยังมีแก่ใจไปแบ่งให้พ่อแม่กินด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองไปเอามาจากไหน ตอนนี้แซมสันทำผิดกฎของนาศีร์รึยัง (ผิดไปเรียบร้อยแล้วเพราะไปโดนซากศพ)
หลังจากนั้นก็มีการจัดงานเลี้ยงตามแบบที่ชาวบ้านเขาชอบทำกัน แล้วก็เลือกชายหนุ่มสามสิบคนมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แซมสันก็พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ให้เราทายปริศนาซักข้อมั๊ย ถ้าพวกท่านตอบได้ภายในเจ็ดวันที่มีการเลี้ยงฉลองกันเนี่ย เราจะให้เสื้อผ้าพวกท่าน ทั้งชุดอยู่บ้านแล้วก็ชุดไปเที่ยว สามสิบชุด แต่ถ้าภายในเจ็ดวันยังตอบไม่ได้พวกท่านต้องเป็นฝ่ายมอบเสื้อผ้าสามสิบชุดให้เรา ทางฝ่ายเพื่อนเจ้าบ่าวสามสิบคนตอบตกลงรับคำท้า ว่าแล้วแซมสันก็เลยถามปัญหาว่า
.”มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง” หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ “มีอาหารออกมาจากตัวผู้กินหรือ...ผู้ล่า มีของหวานออกมาจากผู้มีกำลัง” ถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้... เพื่อนเจ้าบ่าวก็ตอบไม่ได้ สุดท้ายพวกฟิลิสเตียก็เลยไปคาดคั้นข่มขู่เอากับภรรยาของแซมสัน บอกให้ไปหลอกถามคำตอบมาให้ได้ ไม่งั้นจะเผาบ้านให้ไฟคลอกตาย (ภรรยาของแซมสันกลัวมั๊ย) กลัวมาก...ไปตื๊อจนแซมสันทนไม่ไหว ก็เลยเฉลยคำตอบให้ฟัง
พอถึงวันที่เจ็ดพวกเพื่อนเจ้าบ่าวก็เลยมาตอบแซมสันว่า “มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงห์” (แปลว่าตอบถูก) แซมสันก็โมโหแล้วพูดว่า ถ้าพวกชาวบ้านไม่ใช้ภรรยาของเขาเป็นเครื่องมือ ก็ไม่มีทางตอบได้แน่ ว่าแล้วแซมสันก็ไปที่เมืองอัชเคโลนฆ่าชาวฟิลิสเตียสามสิบคน แล้วก็เอาเสื้อผ้าสามสิบชุดของคนที่เขาฆ่าเนี้ย..มาจ่ายเป็นเดิมพันให้คนที่ทายปริศนาได้ เสร็จแล้วก็กลับบ้านตัวเองไปเลย ทีนี้พ่อตาก็ไม่รู้ทำไง....กลัวลูกสาวหม้ายขันหมากก็เลยยกเจ้าสาวให้เพื่อนเจ้าบ่าวไปเลย (มั่วจริงๆ)
เด็กๆดูในข้อที่๑๙.บอกว่า..”พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับแซมสันอย่างมาก” หมายความว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานเรี่ยวแรงกำลังให้กับแซมสันเขาถึงเอาชนะฆ่าฟันคนฟิลิสเตียได้ เพราะฉะนั้น....เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น จริงๆแล้วก็คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้แซมสันได้มีโอกาสแก้แค้นคนฟิลิสเตียเป็นครั้งแรก แม้ว่ากระบวนการบางอย่างมันจะดูไม่ถูกต้องหรือสวยงามนักในสายตามนุษย์ อยากให้เด็กๆพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีๆ...ว่าหลายครั้งพระเจ้าอาจใช้คนบางคน ของบางสิ่ง หรืออนุญาตให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ก็เพื่อที่จะให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทุกอย่างได้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะฉะนั้น แม้เราจะไม่เข้าใจแต่ขอให้จำไว้ว่า สุดท้ายแล้วทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะเป็นผลดีกับเราแน่นอน ดูต่อไปในบทที่๑๕.บอกว่า พอถึงฤดูเกี่ยวข้าวแซมสันก็เกิดคิดถึงภรรยาเลยกลับไปหา(กะจะไปง้อขอคืนดี) เอาแพะไปฝากตัวนึงด้วย แต่พอไปถึงพ่อตาบอกว่า เอาน้องแทนได้มั๊ยเพราะยกเมียของแซมสันให้คนอื่นไปแล้ว...แค่นั้นแหละแซมสันก็ลุกเป็นไฟ (แล้วก็ได้สร้างวีรกรรมทำเพื่อเธอ..) ออกไปจับหมาจิ้งจอกมาสามร้อยตัวมัดหางติดกันเป็นคู่ เอาเชื้อเพลิงติดไว้กับทุกคู่แล้วจุดไฟเผา เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มันวิ่งเตลิดเปิดเปิงเข้าไปในนาของคนฟิลิสเตีย ไร่นาก็ถูกเผาวอดวายทั้งนาข้าว ทั้งสวนมะกอก (เนี่ยแซมสัน...สุดยอดแห่งความคิดสร้างสรรค์ ในการทรมานสัตว์)
พอชาวฟิลิสเตียรู้ว่าเป็นฝีมือของแซมสัน ก็ไปลงที่ภรรยากับพ่อตาหาว่าสองคนนี้เป็นต้นเหตุก็เลยฆ่าทิ้งซะ อ่ะ..พอแซมสันรู้เข้าก็แค้นอีก ออกไปฆ่าคนฟิลิสเตียอีก คราวนี้ตายไปเยอะแต่ไม่รู้กี่คน พระคำภีร์บอกไว้แต่ว่า ..แซมสันฆ่าซะแหลกจนพอใจแล้วก็หนีไปอยู่ที่ยูดาห์
แซมสัน ตอนที่๓ (แซมสันชนะพวกฟิลิสเตียที่เมืองเลฮี) ผวฉ.15:9-20
คนฟิลิสเตียก็ตามล่าแซมสันไปถึงเขตแดนของคนยูดาห์ ชาวยูดาห์ไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกฟิลิสเตียอยู่แล้วเพราะคิดว่า..ยังไงก็สู้ไม่ได้ ก็เลยจับแซมสันมัดแล้วส่งตัวให้พวกฟิลิสเตีย แต่พอถึงมือพวกฟิลิสเตียพระเจ้าก็สถิตกับแซมสัน ทำให้เขาสามารถฆ่าคนฟิลิสเตียไปมากถึงพันคนด้วยกระดูกขากรรไกรลาเพียงท่อนเดียว แล้วแซมสันพูดว่าไงเด็กๆดูในข้อที่๑๖. ”ด้วยขาตะไกรลา เป็นกองซ้อนกอง ด้วยขาตะไกรลา เราได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย” คือแซมสันพูดประมาณว่า “แค่ขาตะไกรลาเพียงชิ้นเดียว คนก็ตายเป็นกองพะเนิน เขาสามารถฆ่าคนนับพันได้ ด้วยขาตะไกรลาเพียงชิ้นเดียว” คือเขาน่าจะพูดด้วยความภาคภูมิที่ติดจะเย่อหยิ่งเล็กๆนะ...น้าตุ๊กว่า เพราะหลังจากนั้นในข้อที่๑๘.บอกไว้ว่า “แซมสันอ่อนเพลียและกระหายน้ำมากๆ จนต้องร้องทุกข์ถึงพระเจ้าเพราะคล้ายๆจะสำนึกได้ว่ากำลังวังชาและความสำเร็จทั้งหมดนั้น...มันมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ถ้าณ.ตอนนี้แค่พระเจ้าไม่ประทานน้ำให้เขาดื่ม..แซมสันจะรอดมั๊ย ไม่รอด..ต้องตายแน่ ดังนั้นเมื่อแซมสันสำนึกได้และโมทนาพระคุณแล้ว พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้น้ำไหลออกมาอย่างอัศจรรย์ แซมสันถึงได้รอดตายเพราะได้ดื่มน้ำและจิตวิญญาณก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง พระคำภีร์บอกว่าแซมสันวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี แต่แซมสันไม่ได้วินิจฉัยในทางที่เป็นแม่ทัพกู้ชาติ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินหรือปกครองอิสราเอล แต่แซมสันได้ชื่อว่าเป็นผู้วินิจฉัยคนหนึ่งเพราะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกใจคนอิสราเอลให้มีความกล้าหาญ กล้าลุกขึ้นต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียจนอิสราเอลสามารถบรรลุผลสำเร็จในสมัยของก.ซาอูลและก.ดาวิด แต่เรื่องของแซมสันก็ยังไม่ได้จบแค่นั้น...
เรื่องของแซมสันที่เมืองกาซา ผวฉ.16:1-3
ประเด็นสำคัญในตอนนี้ จริงๆแล้วก็คือ การชี้ให้เห็นถึงนิสัยแย่ๆของแซมสันที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำผิดกฎข้อห้ามของการเป็นนาศีร์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง”เรื่องผู้หญิง” ในบทที่๑๖บอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เมืองกาซา มีคนเห็นแซมสันเข้าไปนอนกับหญิงโสเภณี พวกฟิลิสเตียก็เลยยกกันมาดักรอจะฆ่าแซมสัน กะว่าตอนเช้าพอแซมสันออกมาก็จะฆ่าทิ้งซะเลย(สร้างปัญหาดีนัก) ว่าแล้วพวกฟิลิสเตียก็ล้อมที่นั้นไว้ซุ่มรออยู่ที่ประตูเมือง ปรากฎว่า....ยังไม่ทันจะเช้าเลยแค่เที่ยงคืนเท่านั้นแหละ พระคำภีร์บอกว่า”แซมสันก็ลุกขึ้นมายกประตูเมืองรวมทั้งเสาสองต้น พร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไปถึงยอดภูเขาหน้าเมืองเฮโบรน” (นึกถึงเรื่องมนุษย์จอมพลังเนอะ ไอ้ตัวเขียวๆอ่ะ) คือแซมสันคงคิดแล้วล่ะว่าถ้าแบกไปแต่คน...คงต้องเดินหลายเที่ยว สู้ยกไปทั้งยวงดีกว่า เที่ยวเดียวจบ
สรุปว่าแซมสันรอดจากมือพวกฟิลิสเตียได้อีกครั้ง..อย่างไม่มีปัญหา แต่นิสัยของแซมสัน ที่เสียเรื่องผู้หญิงเอามากๆเนี่ย มันทำให้พวกฟิลิสเตียจับทางเขาได้ จนในที่สุดเมื่อมาถึงตอนที่๔ เราก็จะเห็นว่าสุดท้ายแซมสันก็พลาดจนได้ (เพราะหมกมุ่นกับผู้หญิงจนได้เรื่อง) วันนี้เวลาหมดแล้ว เรื่องของแซมสันคงต้องไปต่อกันสัปดาห์หน้า
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 5 อาทิตย์ที่ 1:11:2009

เยฟธาห์ ตอนที่ ๑ ผวฉ.10:6-18/11:1-33
อิสราเอลกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก พระองค์จึงขายเขาไว้ในมือของคนอัมโมนและคนฟิลิสเตีย คนอัมโมนเริ่มโจมตีเผ่าทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนก่อนแล้วจึงข้ามมาตีทางฝั่งตะวันตกยึดครองเขตแดนของคนอิสราเอลได้มากพอสมควร แล้วอีกด้านหนึ่งพวกฟิลิสเตียก็บุกเข้ามายึดเขตแดนริมฝั่งทะเลทางภาคใต้ อิสราเอลถูกข่มเหงอยู่นานสิบแปดปีก็ทนไม่ไหวก็เลยร้องทุกข์ต่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงตอบว่ายังไงดูผวฉ.10:11-14 พระเจ้าทรงตอบว่า “กี่ครั้งแล้วที่เราช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากมือของศัตรูนับตั้งแต่ออกจากอียิปต์ แล้วเมื่อสุขสบายพวกเจ้าก็ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระอื่น เพราะฉะนั้น เราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว จงไปร้องทุกข์ต่อพระเหล่านั้นที่พวกเจ้าเลือกปรนนิบัติ ไปขอให้พระพวกนั้นช่วยเจ้าสิ” (ดูซิจะช่วยได้มั๊ย)
คนอิสราเอลก็สำนึกผิดกลับใจใหม่ (เพราะเลือดมันเข้าตา) ก็เลยละทิ้งพระอื่นหันมาปรนนิบัติพระเจ้า (อีกครั้ง) พระเจ้าก็ทรงใจอ่อน (อีกครั้ง..เช่นกัน นี่แหละ..คือพระลักษณะของพระเจ้า...ที่ปรากฎชัดเจนในหนังสือผู้วินิจฉัย คือทรงพระกรุณาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด)
ในครั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเลือก”เยฟธาห์”ให้มาเป็นผู้ปลดปล่อยอิสราเอล เยฟธาห์คือใคร....เยฟธาห์เป็นผู้ที่มีชีวิตค่อนข้างที่จะโลดโผน พระคำภีร์บอกว่า เยฟธาห์เป็นลูกของกิเลอาดที่เกิดกับหญิงโสเภณี
ทีนี้เมื่อเยฟธาห์โตขึ้นก็เลยเป็นที่รังเกียจของพี่น้อง ก็คือลูกๆที่เกิดจากเมียแต่ง พี่น้องของเยฟธาห์ได้ผลักไสไล่ส่งเขาให้ออกไปจากครอบครัว เพราะไม่ต้องการให้เยฟธาห์มีส่วนร่วมในมรดก เยฟธาห์ก็เลยต้องร่อนเร่ไปอยู่เมืองโทบ แล้วพอโตขึ้นมาก็คบค้ามั่วสุมอยู่กับพวกนักเลง (ตามประสาคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่มีใครชี้นำถูกผิด) แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังคงเห็นว่า งานนี้เยฟธาห์นั้นเหมาะสมที่สุด ...... พวกผู้นำเผ่าต่างๆก็เลยไปหาเยฟธาห์เพื่อที่จะเชิญให้เขามาเป็นคนฝึกกองทหารของอิสราเอล ก็คือให้มาเป็นคล้ายๆผู้นำหรือผู้บัญชาการทหารน่ะแหละ เพราะเห็นว่าเยฟธาห์เป็นคนสมบุกสมบัน แล้วเด็กๆว่าเยฟธาห์จะคิดยังไง ในเมื่อตอนเป็นเด็กก็เนรเทศเขาไป..ให้ระหกระเหิน แต่มาตอนนี้กลับมาขอให้ช่วย เยฟธาห์ก็คิดหยั่งงี้แหละก็เลยไม่ยอมตกลงง่ายๆ เขายื่นข้อเสนอกับพวกผู้นำว่าถ้าจะให้เขาตกลง ก็ต้องสัญญาว่าจะให้เขาได้เป็นผู้นำชาติตลอดไปด้วย พวกผู้ใหญ่ก็ตอบตกลงตามที่เยฟธาห์ขอทุกอย่าง
หลังจากนั้นเยฟธาห์ก็เริ่มปฏิบัติการขั้นต้น (คือใช้วิธีไปเจรจายอมความก่อน น้าตุ๊กว่า..เยฟธาห์จัดว่าเป็นนักเลงที่เก๋าพอสมควรนะ ไม่ได้เป็นอันธพาลเลือดร้อน...ที่เอะอะก็ท้าตีท้าต่อย) เยฟธาห์ได้ส่งผู้สื่อสารไปหากษัตริย์คนอัมโมน ถามเลย..ตามประสานักเลง ว่า”ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า” ถ้าจะแปลเป็นภาษาเรา ก็คือ
“ไม่พอใจอะไรเหรอ ถึงได้มาหาเรื่องกัน”
ทางฝ่ายคนอัมโมนก็บอกว่า “ ดินแดนฝั่งตะวันออกที่พวก you อยู่เนี้ย จริงๆแล้วเป็นของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะเอาคืน “
เยฟธาห์ตอบอย่างใจเย็น โดยให้เหตุผลสามข้อก็คือ
๑.อิสราเอลยึดเขตแดนทางภาคตะวันออกจากชนชาติที่พระเจ้าทรงพิพากษาคือดินแดนของพวกอาโมไรต์ ไม่ได้ยึดเขตแดนของพี่น้อง (ซึ่งก็คือพวกโมอับ อัมโมน แล้วก็เอโดม) เพราะพระเจ้าไม่ได้อนุญาต
๒.พระเจ้าเป็นผู้บัญชาให้อิสราเอลยึดกิเลอาด คือดินแดนที่ว่าเนี้ย เพราะฉะนั้น อิสราเอลจะฝืนคำสั่งพระเจ้าไม่ได้ อีกอย่าง..พวกเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว...ว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ทำตามพระบัญชาของพระเจ้า (อย่างตอนที่ต้องวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี นั่นก็เพราะพระเจ้าบอกให้เข้าไปยึดครองคานาอัน แต่พวกเขาไม่ยอมทำตามก็เลยต้องโดนอย่างงั้น)
เหตุผลข้อที่๓.กษัตริย์โมอับในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ บาลาคถ้าเด็กๆจำได้ (บาลาค กับ บาลาอัม) เยฟธาห์บอกว่า..บาลาคก็ไม่เห็นจะว่าหรือทำอะไรได้เลย ตอนที่อิสราเอลยึดครองกิเลอาด แล้วจะมาหาเรื่องอะไรกันตอนนี้ แต่ไม่ว่าเยฟธาห์จะพูดยังไงคนอัมโมนก็ไม่ฟัง....ก็คือยืนกรานที่จะทำสงครามกับคนอิสราเอล
เยฟธาห์ก็เลยยกกองทหารผ่านดินแดนกิเลอาดไปถึงเขตแดนของคนอัมโมน แล้วพระเจ้าก็ทรงสถิตกับเขา คือจริงๆพระเจ้าพร้อมที่จะประทานชัยชนะให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ส่วนหนึ่งก็เพราะเยฟธาห์เติบโตมาในสังคมที่ค่อนข้างล่อแหลม คืออยู่ในดงนักเลง ก็เลยทำให้ความเชื่อในทางพระเจ้าของเขายังไม่ค่อยจะสมบูรณ์.....เขาก็เลยออกปากบนกับพระเจ้าว่า”ถ้าเขาเอาชนะคนอัมโมนได้ ใครก็ตามที่ออกมาจากประตูเรือนเพื่อต้อนรับเขาเป็นคนแรก จะต้องถูกเผาเป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า”
อันนี้เป็นการบนบานเพราะขาดความรู้ พูดง่ายๆสิ่งที่เยฟธาห์ทำเนี้ย มันทำให้เราเห็นว่าคนอิสราเอลในสมัยนั้นมีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนมาก... แล้วก็คงลืมกฎบัญญัติของพระเจ้ากันหมดแล้ว
เพราะกฎบัญญัติของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่าห้ามฆ่าคน แต่สิ่งที่เยฟธาห์กำลังทำเนี้ยมันเป็นพิธีกรรมของคนคานาอัน ไม่ใช่กฎบัญญัติของพระเจ้า.....
ว่าแล้วเยฟธาห์ก็ยกไปรบกับคนอัมโมน พระคำภีร์บอกว่า..พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้กับเขา เยฟธาห์ก็เลยชนะรวดยี่สิบหัวเมือง คนอัมโมนก็หมดฤทธิ์ อิสราเอลก็ได้เป็นไทอีกครั้ง
เยฟธาห์ ตอนที่๒
(บุตรีของเยฟธาห์) ผวฉ.11:34-40
เมื่อรบชนะเสร็จสรรพเยฟธาห์ก็กลับบ้าน พอมาถึง”ลูกสาว”คนเดียวก็ถือฉาบเต้นโลดออกมาต้อนรับ... พอเยฟธาห์เห็นลูกสาวออกมาต้อนรับเป็นคนแรกเท่านั้นแหละ (ลมแทบใส่) นึกขึ้นได้ว่าเคยบนอะไรไว้กับพระเจ้า ว่าแล้วก็พิราบร่ำรำพันกับคำบนบานของตัวเอง ที่บอกว่าใครที่ออกมาต้อนรับเขาเป็นคนแรกจะต้องถูกฆ่าเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วตอนนี้คนที่ต้องถูกฆ่าก็คือ...ลูกสาวตัวเอง
ลูกของเยฟธาห์ก็ช่างสัตย์ซื่อ บอกพ่อว่าไม่เป็นไร...พ่อบนอะไรไว้ก็ทำตามนั้นเถอะ แต่เขาขอเวลาทำใจซักสองเดือน หลังจากครบสองเดือนลูกสาวของเยฟธาห์ก็ถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาตามที่พ่อบนไว้ นี่ล่ะนะ..บทเรียนของคนที่ขาดความรู้ในทางพระเจ้า ทำให้ต้องพบความสูญเสียโดยใช่เหตุ เพราะถ้าเยฟธาห์มีความเชื่อและติดสนิทกับพระเจ้ามากกว่านี้ เขาจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้โปรดให้ใครใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องเซ่นสังเวย (ถูกมะ).... พระคำภีร์บอกต่อไปว่า หลังจากนั้นก็มีธรรมเนียมที่ลูกสาวคนอิสราเอลจะมีการไปร้องไห้ไว้ทุกข์ ให้ลูกสาวของเยฟธาห์ทุกปีๆละ๔วัน
เยฟธาห์และคนเอฟราอิม ผวฉ.12:1-7
คนเอฟราอิมมาพูดกับเยฟธาห์ว่า”ไปรบกับคนอัมโมนทำไมไม่ชวนชั้น เพราะฉะนั้นชั้นจะเผาบ้านเธอ” (อ้าว) เอาอีกละ...คนเอฟราอิม จำได้มะคราวก่อนก็ไปต่อว่ากิเดโอน...หาว่าไปรบแล้วไม่ชวน แต่กิเดโอนใจเย็นรู้จักใช้คำพูดยกยอปอปั้น...ก็เลยไม่ผิดใจกัน
แต่เยฟธาห์เนี่ยนิสัยเขาติดจะเป็นนักเลง ก็เลยตอบกลับด้วยท่าทางขึงขังว่า
“เมื่อหลายปีก่อนคนเผ่าตะวันออกเคยไปขอให้คนเผ่าเอฟราอิมมาช่วยขับไล่ศัตรู แต่ก็ไม่เห็นมาช่วยซักที ครั้งนี้ก็เลยไม่อยากจะเรียก” และในข้อที่๔บอกว่า คนเอฟราอิมได้กล่าวถากถางคนกิเลอาด (คนเผ่าตะวันออก)ว่า...
“เจ้าคนกิเลอาด เจ้าเป็นคนหลบหนีของชาวเอฟราอิม ท่ามกลางคนเอฟราอิมและมนัสเสห์” พูดอย่างงี้แปลว่าไร (แถวบ้านน้าตุ๊กเรียกว่า..อยากมีเรื่อง) คือเขาหาว่า”คนเผ่าตะวันออกเป็นคนขี้ขลาด...ไม่เอาพี่น้อง” แล้วถ้าคิดดูให้ดีคำว่า"กิเลอาด"เนี่ย..มันคือชื่อของวงศ์ตระกูลเและที่สำคัญมันเป็นชื่อ"พ่อ"ของเยฟธาห์ด้วย (เล่นพาดพิงถึงบรรพบุรุษกันเลยนะ) เยฟธาห์เองก็ไม่ใช่คนใจเย็น (เหมือนกิเดโอน) พอได้ยินคนเอฟราอิมพูดอย่างงี้....ก็เลือดขึ้นหน้า ชวนสมัครพรรคพวกให้จับอาวุธเพื่อแก้แค้นคนเอฟราอิม พร้อมทั้งยึดท่าข้ามน.จอร์แดนไว้แล้วไม่ยอมให้คนเอฟราอิมข้ามผ่าน....ทีนี้พวกของเยฟธาห์จะรู้ได้ไงว่าคนไหนเป็นคนเอฟราอิม วิธีก็คือให้พูดคำว่า”ชิบโบเลท”เพราะพระคำภีร์บอกว่า คนเอฟราอิมจะออกเสียงคำนี้ไม่ได้ แต่จะออกเป็น “สิบโบเลท” เพราะฉะนั้นถ้าพูดชัดก็โอเค...ไปได้ แต่ถ้าสิบโบเลทเมื่อไหร่ ก็ฆ่าทิ้งเลย (งานนี้คนเอฟราอิมเจอของแข็งเข้าให้..ไม่เหมือนตอนที่ตั้งแง่กับกิเดโอน) แล้วครั้งนั้นก็มีคนเอฟราอิมก็ถูกฆ่าตายไปถึงสี่หมื่นสองพันคน
หลังจากที่เยฟธาห์ช่วยอิสราเอลให้หลุดพ้นอำนาจของคนอัมโมนได้แล้ว...เขาก็ได้เป็นผู้นำชาติตามที่ได้ตกลงไว้กับผู้ใหญ่แต่เยฟธาห์ปกครองอิสราเอลอยู่เพียงหกปีก็สิ้นชีวิต
หลังจากนั้นอิสราเอลก็มีผู้วินิจฉัยอีกสามคนที่พระคำภีร์บันทึกเรื่องราวไว้เพียงสั้นๆ ชื่อ อิบซาน...เอโลน...อับโดน เด็กๆเปิดไปดู...
อิบซาน ผวฉ.12:8-10 เอโลน ผวฉ.12:11-12 อับโดน ผวฉ.12:13-15
พระคำภีร์ก็ได้บันทึกเรื่องราวของผู้วินิจฉัยทั้งสามคนนี้ไว้เพียงสั้นๆ นักวิชาการบอกว่าทั้งสามคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะ แล้วก็เป็นคนในตระกูลที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลในสมัยนั้น
แซมสัน ตอนที่๑ ผวฉ.13:1-25
ดูผวฉ.13:1-5 คนอิสราเอลทำความชั่วอีกครั้ง...ทรยศและหันหลังให้พระเจ้า พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชาวฟิลิสเตียซึ่งเป็นศัตรูที่แข็งแรง...น่ากลัวกว่าศัตรูอื่นๆทั้งหมดในสมัยนั้น และอิสราเอลก็ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของฟิลิสเตียนานสี่สิบปี จนกระทั่งถึงสมัยของซามูเอลฟิลิสเตียก็ยังเป็นศัตรูคนสำคัญทั้งในสมัยของก.ซาอูลแล้วก็ก.ดาวิด
ในครั้งนี้คนที่พระเจ้าทรงเลือกให้มาช่วยกู้อิสราเอลจากมือพวกฟิลิสเตีย (ก็แรงพอกันกับคนฟิลิสเตีย) คือ”แซมสัน” ในข้อที่สามบอกว่า ”พระเจ้าส่งทูตของพระองค์มาปรากฎแก่แม่ของแซมสันซึ่งในตอนนั้นพระคำภีร์ระบุว่า “เป็นหมัน" แต่ทูตของพระเจ้าบอกกับแม่ของแซมสันว่า เจ้าจะตั้งครรภ์แล้วออกลูกเป็นผู้ชายและเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด (นาศีร์คืออะไร) จริงๆก็เรียนกันไปแล้วในหนังสือกดว. ..ทบทวนกันอีกทีเด็กๆเปิดไปดูกดว.6:1-4/5-8 สรุปแล้วนาศีร์ก็คือผู้ที่รักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อถวายแด่พระเจ้า โดยที่เขาต้องรักษากฎเกณฑ์ตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้คือไม่ดื่มเหล้าองุ่นรวมถึงทุกอย่างที่ได้จากต้นองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง.....ห้ามตัดผม.....และอีกข้อคือไม่เข้าใกล้หรือแตะต้องศพ(เพราะถือว่าเป็นมลทิน)
ผวฉ.13:24-25 ในที่สุดแซมสันก็ได้เกิดมาอย่างอัศจรรย์เพราะจริงๆแล้วแม่เขาเป็นหมัน แล้วยังโตขึ้นพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษที่พระเจ้าประทานให้อีกด้วย หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไปติดตามกันต่อในตอนที่๒ สัปดาห์หน้านะคะ.....วันนี้เวลาหมด พระเจ้าอวยพรค่ะ