วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 9


ดู มัทธิว 10:34-35 “..พระคริสต์ทรงอยู่เหนือบิดาหรือมารดา”..ถ้าใครมีพ่อแม่ที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็จะรู้ว่า..เขาจะรับไม่ค่อยได้สำหรับถ้อยคำในข้อนี้ที่พระเยซูบอก  เพราะ เขาจะไม่มีวันเข้าใจ..เขาจะรู้สึกว่ามาสอนอย่างนี้ได้ยังไง     ประโยคต่อไปยิ่งแล้วใหญ่เลย “..อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา”.......จำให้ดีนะคะเด็กๆ ในบริบทนี้ หมายถึงในเรื่องจิตวิญญาณและความเชื่อนะคะ  อย่าเอาไปตีความผิดบริบท..ผิดความหมาย  พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่า เมื่อพระองค์เสด็จมา..มนุษย์จะถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย  พระองค์มาเพื่อ”คัดกรอง”คนของพระเจ้าและแยกคนเหล่านั้นออกจาก..คนที่ไม่ใช่..หรือคนที่ไม่ได้ถูกเลือก    ข้อที่ 36 บอกว่า “..ผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน”....เพราะเวลาพระเจ้าเลือก..บางทีพระองค์ไม่ได้เลือกยกตระกูลหรือเลือกทั้งครอบครัว  ในบ้านนึงเนี่ย..บางทีคนนี้ใช่..คนนั้นไม่ใช่  เลือกคนนี้..ไม่เลือกคนนั้น  อะไรต่างๆเหล่านี้ คือ ความหมายของคำว่า ”ศัตรู และ ความหมางใจ” ..ทำไมต้องหมางใจและเป็นศัตรู  เพราะคนที่ไม่ใช่..ก็จะไม่เชื่อและมองข่าวประเสริฐเป็นเรื่องโง่และรับไม่ได้..สุดท้ายในครอบครัวเลยต้องทะเลาะกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวที่”ลูกเชื่อ” แต่ “พ่อแม่ไม่เชื่อ” แทบทุกคนที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ  มักจะได้ยินประโยคที่ว่า “บรรพบุรุษก็เป็นพุทธกันมาแต่ไหน แต่ไร ทำไมน๊า..ยายคนนี้ถึงแหกคอก !!! (ประมาณนี้)และข้อที่ 37 บอกว่า “ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา”...คือเมื่อถูกครอบครัวต่อต้านหนักเข้า..เริ่มทนไม่ได้   พ่อแม่ก็จะตัดเป็นตัดตาย..ถ้าจะยังเชื่อพระเยซู  ญาติพี่น้องก็พูดจาส่อเสียดเหยียดหยามอยู่ทุกวัน   สุดท้ายทนความกดดันที่ครอบครัวหยิบยื่นให้..ไม่ได้  ก็เลิกดีกว่า..เลิกเชื่อพระเยซูดีกว่า..เชื่อแล้วครอบครัวมีปัญหา  พระเยซูบอก “ใครที่เลือกอย่างนั้น ผู้นั้นก็ไม่สมกับพระองค์” ....เชิญไปได้เลย
ดู มัทธิว 10:38-39  “..ผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา”  สาวกของพระคริสต์หรือคริสเตียน..ต้องยอมรับความทุกข์ยากเหมือนที่พระเยซูรับ  เพราะเราต้อง”ต่าง”และ”สวนกระแส”กับคนของโลก    เพื่อให้โลกเห็นว่า “ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน  เราก็จะยังเป็นแสงสว่างได้อยู่ดี” เพราะมันเป็นการง่าย ถ้าเรายังกินอิ่ม นอนสบาย ได้อยู่ห้องแอร์ แล้วเราจะบอกว่า "ฉันจะไม่ลักขโมย ไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ไม่กล่าวโทษ ไม่บ่น หรือทำบาป"  เพราะ”ภาวะสุขสบายมันไม่สามารถพิสูจน์คนได้” เพราะงั้น ถ้าเราสามารถสว่างได้เฉพาะเวลาที่มีความสุขสบาย..อันนั้นมันไม่ทำให้เราต่างจากคนอื่น  ดังนั้น บางครั้ง เราจึงต้องดำเนินอยู่ในความทุกข์ยากบ้าง   พระเยซูบอกให้เราแบกกางเขนของเราตามพระองค์ไป  นั่นหมายความว่า พระองค์ดำเนินแบบไหน..เราจำเป็นต้องทำตามเพื่อที่เราจะได้มีศักดิ์ศรีสมกับความรอดที่พระองค์เตรียมให้  ข้อที่ 42 บอกว่า”...ผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยดื่ม เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้”    ความหมายของพระเยซูในข้อนี้ ก็คือ ใครก็ตามที่ทำดีกับคนของพระเจ้า  แม้จะเป็นแค่น้ำใจเล็กๆน้อย..พระเจ้าสัญญา..ว่าจะอวยพรผู้นั้น  
ดู มัทธิว 11:16-17  พระเยซูทรงเปรียบคนในยุคพระคุณว่า “..เหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องบอกเพื่อนว่า..ฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ  ฉันได้พิลาปร่ำไห้แก่พวกเธอ และพวกเธอมิได้คร่ำครวญ”  คือ ไม่ยินดี..ยินร้ายกับอะไร  บางที เรื่องที่น่ายินดีที่สุดอย่างข่าวประเสริฐ..ที่เราพยายามจะบอกแล้วบอกอีก..หลายคนกลับรู้สึกเฉยๆ..ไม่สนใจ  วันอีสเตอร์ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่..อันนี้คือความน่ายินดีที่สุดไม่ใช่เฉพาะสำหรับคริสเตียน  แต่มนุษย์ทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะโลดเต้นในเรื่องนี้  แต่หลายคน..ไม่สนใจเลย..เฉยมาก   ศุกร์ประเสริฐเราก็สลดใจแทบตาย  แต่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้  อะไรต่างๆเหล่านี้  คือ ความหมายที่พระเยซูกล่าวถึงในข้อนี้    ข้อที่ 18  บอกว่า “..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม  เพราะยอห์นเป็นนาศีร์ คือ กินอยู่เหมือนฤาษี..อะไรประมาณนี้..ยอห์นจะไม่กินดื่มหรือใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย  ส่วนพระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา  เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนบาป”  แต่ ทั้งยอห์นและพระเยซูก็คือผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทั้งคู่  แม้จะทำต่างกัน..มีสถานะหรือไลฟ์สไตน์ที่ต่างกัน แต่พระปัญญาของพระเจ้าได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้ว   และข้อที่จะขยายความของบริบทนี้ได้เป็นอย่างดี คือ....
ดู มัทธิว 11:28 ที่พระองค์บอกว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข”  คำว่า “ภาระหนัก” ในที่นี้ คือ ภาระฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์ไม่มีวันไถ่ถอนให้ตัวเองเป็นอิสระได้ และรวมถึง..ความทุกข์ยากลำบากจากความที่ต้องพยายามทำตามกฎบัญญัติต่างๆ  สำหรับยิวก็คือ กฎบัญญัติทางโมเสส  ด้วยความเคารพ..สำหรับต่างชาติก็อาจหหมายถึงข้อห้ามหรือกฎต่างๆตามความเชื่อของเขา  ศีล5 ศีล8 ศีลกี่ร้อยข้อก็ตาม   ซึ่งไม่ว่าจะบัญญัติว่ายังไง  ก็ไม่มีวันที่ใครจะทำตามได้อย่างครบถ้วน “ตามมาตรฐานของพระเจ้า”  เพราะมาตรฐานของพระเจ้า คือ “แค่คิดผิดแล้ว”  พระเยซูถึงต้องมาเติมเรา  มาแบกรับและทำแทนเรา  ที่ข้อ 18  บอกว่า “..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม  แต่  พระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา..”  ข้อนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนขี้เมาหรือเห็นแก่กินได้นะคะ  แต่พระองค์ทรงสำแดงให้เราเห็นว่า  กฏข้อห้ามหยุมหยิมเล็กน้อย..จะไม่สามารถทำให้เราบาปหรือลงบึงไฟนรกได้อีกต่อไป   แม้กระทั่งบางครั้งเราจะยังอ่อนแอและอาจ”เผลอ”ทำความผิดไปบ้าง  (เผลอ ทำไปบ้างนะคะ ไม่ใช่ทั้งชีวิตผิดตลอดแบบไม่เคยสำนึกและกลับใจ  อันนั้นไม่ใช่ละ)  คือ ถ้าเราจะพลาดพลั้งไปบ้าง  ยังไงความเชื่อในโลหิตของพระเยซูก็สามารถชำระเราได้เสมอ   ดังนั้น ที่พระองค์บอกว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา..”  ก็คือ เราแค่ทำตามที่พระองค์สอน  แค่นั้น ! หน้าที่ของเรา..อย่างอื่นพระองค์จัดการเอง    โอเคมั๊ย
ดู มัทธิว 11:25-26  “..พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญา..”  สิ่งเหล่านี้ที่ข้อนี้พูดถึงคืออะไร ก็คือ “ข่าวประเสริฐของพระคริสต์  หรือเรื่องราวของแผ่นดินสวรรค์ “
คือ ก่อนที่จะเป็นสมัยโรม  ก่อนหน้านั้น คือ “กรีก” ซึ่งกรีกจะเป็นพวกตรรกนิยม คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล  ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ..ซึ่งทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน อย่าง“พิธากอรัส”กับ ”อริสโตเติล” ที่เราน่าจะรู้จักกันดี..นี่ก็เป็นชาวกรีก  เพราะงั้น ต่อเนื่องจนถึงสมัยโรมหรือแม้กระทั้งทุกวันนี้..ความนิยมในความเป็นเหตุเป็นผล  ก็ยังคงส่งผลต่อแนวคิดและความเชื่อของมนุษย์อย่างมาก   เพราะคนที่คิดว่าตัวฉลาด..เขาจะรับไม่ได้หรอก..ที่จะเชื่อว่า “เลือดของคนๆนึงเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้”  มันเป็นไปไม่ได้..มันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา   นี่แหละ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า “พระองค์ทรงปิดบังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูไว้จากคนที่คิดว่าตัวเอง..ฉลาด” (ฉลาดฝ่ายโลกนะ ไม่ใช่ฉลาดในทางพระเจ้า)  แต่  “..ทรงสำแดงความรอดนี้ให้แก่ผู้เล็กน้อย”  ผู้เล็กน้อย ก็คือ คนธรรมดาสามัญ  ไม่ใช่คนใหญ่..คนโต  หรือ คนที่จะสมองดีอยู่ในอันดับต้นๆของโลก  ถามว่า มีคนใหญ่คนโตเชื่อพระเจ้ามั๊ย..มีค่ะ  แต่..ยังไม่เยอะ  ข้อที่ 29 พระเยซูบอกว่า “..จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง”  ถ่อมลง..ไม่ต้องโอ้อวดในสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเอง  เพราะถ้าพระเจ้าจะมีส่วนที่เล็กน้อยที่สุด..ส่วนนั้นก็ยังสูงส่งกว่าปัญญาของมนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..อยู่ดี เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดหรือมีปัญญาในทางพระเจ้า..ต้องไม่อวดรู้..ไม่พึ่งสติปัญญาของตัวเอง..แต่เขาจะเดินตามและพึ่งพระเยซู   เอเมนมั๊ย 
ดู มัทธิว 12:1-2  วันสะบาโตคือ “วันเสาร์” หรือ “วันที่เจ็ด” ของสัปดาห์ตามปฏิทินของชาวยิว  พระบัญญัติทางโมเสสตั้งให้เป็นวันหยุดพัก  และสมัยที่ยิวได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนพวกเขาตั้งให้วันสะบาโตเป็นวันนมัสการพระเจ้าด้วย
แล้วก็เป็นที่รู้กันว่า”ยิว”เคร่งครัดที่จะทำตามกฎบัญญัติมาก..มากซะจนหลาย ครั้งลืมที่จะสนใจ..ว่าพระประสงค์แท้จริงของพระเจ้าคืออะไร   อย่างบอกว่าห้ามทำงานวันสะบาโต..เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเอาคำสั่งนี้เป็นที่ตั้ง  โดยไม่ใช้วินิจฉัยว่า..พระเจ้าห้ามทำไม  พระองค์มีพระประสงค์อะไรในกฎข้อนี้หรือในกฎแต่ละข้อ  ยิ่งไปกว่านั้น..ก็ยังเพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีก  อย่างข้อนี้.. “คำว่า ห้ามทำงานวันสะบาโต  ก็เอาไปขยายความต่อไปอีกว่า หมายถึง ห้ามเดินเกินกว่ากี่กิโล กี่กิโล อะไรประมาณนี้”..ซึ่งมันไม่ใช่  พระเจ้าให้หยุดพักวันสะบาโตเพราะอะไร  เพราะพระองค์รู้ว่าร่างกายมนุษย์ต้องการการพักผ่อน  ทำงานมาทั้งสัปดาห์มนุษย์จำเป็นต้องพัก..พระเจ้ารู้  เพราะพระองค์สร้างเรามากับมือ  แต่เราจะไปก็กล่าวโทษพวกยิวก็ไม่ได้   เพราะเขาอาจจะไม่รู้เหตุผลจริงๆ..ที่พระเจ้าตั้งกฎให้   บางสิ่งบางอย่างที่เราคิดออกก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงกับเรา  หรือเหตุผลของกฎบัญญัติอีกหลายๆข้อ..ก็เพิ่งจะถูกเปิดเผย..ตอนที่เทคโนโลยีเจริญมากแล้ว..นึกออกมั๊ยคะ  เช่น ห้ามกินเลือดเ..พราะเลือด คือ แหล่งรวมของเชื้อโรค  ห้ามกินไขมัน  เพราะไขมัน..กินแล้วไม่ดี  อะไรต่างๆเหล่านี้ มนุษย์ก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง  ถ้าจะผิด..ก็ผิดก็ผิดตรงที่ชอบเพิ่มความยากลำบากเข้าไปในกฎแต่ข้อ..ให้ทำยากขึ้น เป็นภาระมากขึ้น  และพระเยซูรู้ดี..ถึงความความทุกข์ยากในการทำตามกฎบัญญัติของมนุษย์   พระองค์จึงมาเพื่อไถ่มนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากภาระหนักและความเหน็ดเหนื่อย บกพร่องฝ่ายวิญญาณ 
ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปในนาวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน”   พวกฟาริสีก็เห็น..แล้วก็พูดกับพระเยซูว่า “นั่นแน่ะ ศิษย์ของท่านทำการต้องห้ามในวันสะบาโต”  พระเยซูทรงตอบว่าไง...
ดู มัทธิว 12:3-6  ข้อนี้ พระเยซูทรงยกการกระทำของดาวิดขึ้นมาเป็นตัวอย่าง  ตอนนั้น ที่ดาวิดกำลังหนีซาอูลอย่างหัวซุกหัวซุน  ถ้าเด็กๆเคยเรียนหนังสือซามูเอลกับน้าตุ๊กจะจำได้   ซาอูลตามฆ่าดาวิดอย่างเอาเป็นเอาตาย..ไม่มีการลดลาวาศอก  จนดาวิดแทบไม่มีเวลาหายใจ..อารมณ์มันประมาณนั้นจริงๆ  แล้วก็มีอยู่ตอนนึงใน 1 ซมอ. 21  ซึ่งเป็นอีกตอนที่ดาวิดต้องหนีซาอูลแบบไม่มีเวลาตั้งตัว  และเขาไม่มีทั้งอาวุธกับและเสบียง  ดาวิดก็เลยไปหาปุโรหิตที่เมืองโนบ..ซึ่งคุ้นเคยกับดาวิดเป็นอย่างดี  ไปถึงดาวิดก็ออกปากถามหาอาวุธกับอาหาร    ซึ่งก็ได้ดาบของโกไลอัทไป  ส่วนอาหาร..ไม่มี  นอกจาก”ขนมปัง ที่วางต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า” ซึ่งปกติปุโรหิตเท่านั้นที่มีสิทธิ์กินขนมปังที่ถวายพระเจ้า..คนทั่วไปห้ามกิน  แต่วันนั้น ปุโรหิตก็เอาให้ดาวิดติดตัวไป   พระเยซูทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมา  เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า  สิ่งที่ปุโรหิตคนนั้น (คือ “อาหิเมเลค”)  ได้ทำนั้น..ถูกต้องแล้ว  เพราะเขาเลือกที่จะทำด้วยความรักและเมตตา  มากกว่าที่จะตะบี้ตะบันยืนยันตามกฎอย่างไม่ลืมหูลืมตา  ข้อที่ 5 พระองค์บอกว่า “ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารดูหมิ่นวันสะบาโต..แต่ไม่มีความผิด”  ( เนื่องจากปุโรหิตจะมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร) “.. แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีผู้หนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก”  ข้อนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงพระองค์เอง  เพราะถ้าพวกปุโรหิตมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร  พระองค์ก็ยิ่งมีมากกว่านั้นอีกหลายเท่า  เพราะพระองค์ใหญ่กว่าพระวิหาร..ถูกมั๊ยคะ   ข้อที่ 7 บอกว่า “แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายของข้อที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด”  พระเยซูชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีความรักและเมตตาต่อพี่น้องและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน   พระองค์ไม่ต้องการให้เรา..สักแต่จะทำตามพระบัญญัติให้ครบถ้วน”ตามตัวอักษร” แต่ในหัวใจขาดวินิจฉัยที่แท้จริงเพราะไม่มีความรัก  แบบนี้ พระเจ้าไม่ต้องการ  พระเยซูถึงบอกว่า ถ้าเราเข้าใจความจริงในข้อนี้  เราจะไม่ตัดสินหรือกล่าวโทษพี่น้อง  แล้วการที่สาวกของพระองค์เก็บรวงข้าวในนาไปกินนั้น  จริงๆแล้วพวกเขา     ”หิว” ไม่ได้งก...หรือตั้งใจจะทำงานวันสะบาโตอย่างไม่คิดจะหยุดพัก พอเห็นภาพมั๊ยคะ 
ดู มัทธิว 12:10-11  นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกฟาริสีกำลังหาช่องจะจับผิดพระเยซู  เมื่อมีชายมือลีบคนหนึ่งเดินมา  เหล่าฟาริสีเลยถามพระเยซูว่า “..แล้วพระองค์คิดว่าการรักษาคนในวันสะบาโต..ผิดมั๊ย” (...ที่ถาม ก็เพราะพวกฟาริสีเขาคิดว่าผิดไง..อะไรๆก็ทำไม่ได้ในวันสะบาโต  นี่คือ การสักแต่จะเคร่งครัดแค่ตามตัวอักษร)  ข้อที่ 11 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ”  ความหมายคือ ถ้าแกะหรือสัตว์เลี้ยงของพวกเขาตกลงไปในบ่อวันสะบาโต  พวกเขาจะฉุดมันขึ้นมามั๊ย..ฉุดแน่นอน  ต่อให้เป็นวันสะบาโตก็ตาม  เพราะแกะ ม้า วัว ควาย มันคือทรัพย์สินของพวกเขา  มันเป็นเงิน..เป็นทอง ขืนปล่อยให้ตาย..เงินก็หายสิ   ข้อที่ 12 พระองค์จึงบอกว่า “มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากเท่าใด..”  ถ้าพวกเขาซึ่งเป็นคนถือรักษากฎอย่างเคร่งครัดยังมีใจยอมช่วยเหลือสัตว์ในวันสะบาโต..ไม่ว่าจะช่วยเพราะกลัวเงินหายหรือช่วยเพราะใจเมตตาก็ตาม  ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร  ที่พวกเขาก็ควรจะเต็มใจช่วยชายมือลีบคนนี้ด้วย  เพราะมนุษย์ประเสริฐและมีค่ามากกว่าแกะหลายเท่า    แล้วพระองค์ก็ลงท้ายว่า “... เหตุฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”    ข้อที่ 14 บอกว่า “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า ..ทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้”  และนี่คือ การพยายามจะฆ่าพระเยซู ”ครั้งแรก” ตามที่หนังสือมัทธิวบันทึกไว้
ดู มัทธิว 12:33-35  “..เราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน”  อันนี้ ต้องจำไว้ให้แม่นเลยนะคะ  เราไม่สามารถจะตัดสินใครก็ตามด้วยรูปแบบภายนอก  พระเยซูสอนหลายครั้งว่าให้เราดูที่ผล  ผลอะไร..ในยุคพระคุณของพวกเรา ก็คือ ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มีอะไรบ้างให้เราเปิดไป...  ดู กาลาเทีย 5:22-23  นี่คือ วิธีที่จะดูว่าคนๆนั้นเกิดผลหรือเปล่า  คือดูว่า.. เขามีความรักมั๊ย  มีสันติสุข  มีความเมตตาปรานี  สุภาพอ่อนน้อม ถ่อมตน  มีความสัตย์ซื่อ  รู้จักยับยั้งชั่งใจหรือรู้จักบังคับใจตนบ้างหรือเปล่า  เพราะคนที่เกิดผลดีตามที่พระเยซูบอกไว้จะต้องมีผลของพระวิญญาณสำแดงออกมาบ้างไม่มากก็น้อย  แต่ถ้าน้อยก็ต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่อยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น   ข้อที่ 34 พระเยซูกล่าวต่อไปว่า “..โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ”  พระเยซูทรงใช้คำนี้กับพวกฟาริสีบ่อยมาก  เฉพาะในหนังสือมัทธิวก็ปรากฎถึง 3 ครั้ง เป็นที่รู้กันถึงนิสัยของงูตามที่พระคำภีร์กล่าวถึง..ว่ามันทั้งหลอกลวง..เจ้าเล่ห์และดุร้าย   แถมยังชอบชี้ช่องให้คนอื่นทำบาป   ดังนั้น สำหรับน้าตุ๊กคำนี้ถือว่าเจ็บแสบมาก  เพราะเป็นการกล่าวโทษที่เหมือนจะชี้ชันหยั่งลึกไปถึงกมลสันดานรวมทั้งความประพฤติที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย  
“..เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร  ในเมื่อปากย่อมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ”  พระคำภีร์ยืนยันความจริงในเรื่องนี้..หลายครั้งมากนะคะเด็กๆ   หนังสือสุภาษิตก็บันทุกเรื่องของการพูดที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในใจของมนุษย์ไว้หลายบทมาก  แล้วมันก็เป็นเรื่องที่น้าตุ๊กอยากสอน..แล้วก็อยากตอกย้ำกับเด็กๆมาก..ให้เรา”ระวังคำพูด” ของตัวเองให้มากๆ จะพูดอะไร..คิดซะก่อน  อย่าให้ปากนำ  เราต้องใช้สติปัญญานำ  หลายคนบอก  แหม! แค่พูดเล่นๆเอง..ไม่ได้คิดอะไร  ถ้าไม่คิดอะไร  งั้นจะพูดทำไม !! ไม่มีประโยชน์  เก็บปากเก็บคำไว้จะดีกว่า”  พูดเล่น..บางทีก็พูดได้นะคะ  แต่ต้องวินิจฉัยให้ดีว่าเราไม่ได้แอบแฝงความคิดชั่วไว้ในคำพูดเหล่านั้น..จริงๆ  แล้วประเภทลามก  หยาบคาย  นี่ไม่เอาเลยนะคะ..ตัดมันทิ้งไป  เพราะข้อที่ 36 พระเยซูยืนยันกับเราว่า “..คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดในถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา”   เพราะฉะนั้น ไม่คุ้มเลยค่ะ..กับความสนุก..สะใจชั่วครู่ชั่วยาม  เพราะแค่ได้พูดเล่น พูดไร้สาระ พูดส่อเสียดหรือกล่าวโทษคนอื่น  แล้วเราต้องถูกพระเจ้าพิพากษา
  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
                ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 8


ดู มัทธิว 9:9-11 พระเยซูทรงเรียก”มัทธิว” ซึ่งเป็นคนเก็บภาษีให้มาเป็นสาวกของพระองค์..มัทธิวก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ทันที  ข้อที่ 10 บอกว่า “ขณะที่พระเยซูทรงดื่มกินอยู่กับคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นหลายคน”  อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอกไปแล้ว..ว่าสมัยนั้นเขารังเกียจคนเก็บภาษีมาก..ตราหน้าว่าเป็นคนบาปเพราะคนเก็บภาษีมักจะขูดรีดเงินมากเกินพิกัด  ส่วนคนบาปอื่นๆอีกหลายคนในข้อนี้ หมายถึง “คนต่างชาติ”  คือ “ยิว”จะไม่สุงสิงเสวนา.. เข้านอกออกใน  หรือคบหากับคนต่างชาติเลย  เขาถือว่าคนต่างชาติเป็นคนบาป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พวกฟาริสี”  เพราะงั้น เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูทรงร่วมสำรับดื่มกินกับคนพวกนี้  นึกภาพออกมั๊ยคะ..ว่าเขาจะทำท่าตกใจขนาดไหน  ข้อที่ 11 บอกว่า “เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่พวกสาวกของพระเยซูว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า”   ประมาณว่า..อาจารย์ของท่านกล้าทำงี้ได้ไง  นี่เท่ากับทำผิดประเพณีอย่างแรงเลยนะ.. และเมื่อพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพูด  พระองค์ว่าอย่างไร..
ดู มัทธิว 9:12-13  ”คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายดี..ไม่ต้องการ  ท่านทั้งหลายจงไปเรียน  “คัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ”..ซะใหม่นะ  ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา...”  หลายครั้งเราจะเห็นว่า..”แทบจะทุกสังคมเลย”ที่ยอมรับแต่คนที่ดูดี..คนที่สมบูรณ์แบบ  ส่วนคนที่ถูกตราหน้า..ว่าเป็นคนไม่ดี..(ไม่ว่าจะไม่ดีเพราะอะไร..)..ก็มักจะไม่เป็นที่ยอมรับ..ไม่มีใครสนใจคบค้าสมาคมหรือคิดจะช่วยเหลือ..   แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ พระเยซูจึงบอกว่า..พระองค์มาเพื่อคนบาป..ไม่ได้มาเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว  เพราะถ้ามนุษย์ดีพร้อมแล้ว..พระองค์ไม่ต้องมาตายที่ไม้กางเขน..ถูกมั๊ยคะ   แต่พวกฟาริสี..มักจะชอบเคร่งครัดแต่เรื่อง”หยุม หยิม” คือ ใส่ใจแต่รายละเอียดยิบย่อยภายนอก..ที่ไม่สำคัญ  แต่หลักข้อเชื่อสำคัญๆทางฝ่ายวิญญาณ  กลับไม่ค่อยจะสนใจ เพราะไร  มันมองไม่เห็น..ทำดีไปก็ไม่มีใครรู้   พวกเขาเลยสนใจแต่อะไรที่เป็นรูปแบบภายนอก  หรือพิธีกรรมที่คนมองเห็น   เพราะทำแล้วมันดูดี..ดูเป็นคนมีความเชื่อ  ดูเป็นคนโฮลี่ อย่างไปยืนอธิฐานอยู่ตามทางหรือตามที่สาธารณะ.เนี่ย..ชอบ  บริจาคเงินแล้วมีคนเป่าแตรประกาศชื่อออกไมล์..อย่างเงี้ย..ชอบ  เพราะทำแล้วมีคนมองเห็น..ดูเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา   ทำแล้วก็มักจะได้รับคำสรรเสริญยกย่องจากผู้คน  พระเยซูถึงบอกฟาริสีพวกนี้..ไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ซะใหม่นะ..เข้าใจซะใหม่นะ..ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นความรัก..ความเมตตา  พระองค์ไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกแต่อย่างใด  ถามว่าพระองค์พอพระทัยมั๊ย..ที่เราร่วมกันนมัสการและสรรเสริญพระองค์..พระองค์พอพระทัยแน่นอน  เป็นสิ่งที่เราควรทำและต้องทำ   แต่อย่าเข้าใจผิด..พระเจ้าไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้สำคัญไปกว่าหัวใจที่มีความรักและเมตตาต่อกัน..ของพวกเรา  พระองค์เป็นความรัก..ความเมตตา    พระองค์ก็ประสงค์ให้เราเป็นเหมือนพระองค์ด้วย
ดู มัทธิว 9:14-15  ศิษย์ของยอห์น (ผู้ให้บัพติศมา) ถามพระเยซูว่าทำไมพวกเขากับพวกฟาริสีถืออดอาหาร  แต่ศิษย์ของพระเยซู..ไม่ทำ  พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร” คือ คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงทำราชกิจมากมายเพื่อเป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงยุคใหม่ คือ “ยุคพระคุณ”ของพระองค์   สิ่งเก่าๆภายนอกบางอย่างที่เคยถือมานานจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป  พระเยซูเปรียบพระองค์เป็น”เจ้าบ่าว” ในงานเลี้ยง..แล้วมีใครเขาอดอาหารในงานเลี้ยงมั๊ย..ไม่มี เพราะถ้าอดก็ไม่ต้องจัดหรอก..งานเลี้ยง  เพราะงานเลี้ยงเขาทำอะไรกัน  “ดื่มกินด้วยความสนุกสนานชื่นชมยินดี”..ใช่หรือไม่   แต่พระองค์ก็บอกพวกเขาล่วงหน้าว่า..แต่เดี๋ยววันนึง..ก็จะถึงวันที่เจ้าบ่าวต้องจากพวกเขาไป คือ พระองค์จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน  แล้ววันนั้นถึง..จะเป็นวาระที่เหล่าสาวกของพระองค์จะอดอาหารอธิฐาน 
ดู มัทธิว 9:16-17  เมื่อเห็นประชานมีคำถามมากมายมาย  พระเยซูจึงทรงยกคำอุปมาแก่พวกเขาว่า  “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก”  คือ ผ้าสมัยก่อนเมื่อใช้หรือซักไปเรื่อยๆมันก็จะหดเพราะยังไม่มีนวัตกรรมอะไรต่างๆเกี่ยวกับเส้นใยเหมือนสมัยนี้  เพราะงั้นถ้าเอาผ้าใหม่ๆไปปะชุนเสื้อผ้าเก่าๆพอผ้าใหม่มันหดมันก็จะดึงให้รอยขาดกว้างขึ้น   ข้อที่ 17 พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด..”..เพราะน้ำองุ่นใหม่เปรี้ยวมากอาจทำให้ถุงหนังที่เก่าอยู่แล้ว..ขาดหรือรั่วได้  
ทั้งผ้าเก่าและถุงหนังเก่าเปรียบเหมือนขนบธรรมเนียมแนวคิดและวิถีชีวิตเดิมของพวกยิว  ซึ่งเน้นแต่การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมภายนอก   ส่วนผ้าใหม่และน้ำองุ่นใหม่ หมายถึง แนวคิดและวิถีชีวิตใหม่ที่พระเยซูทรงนำมา..ซึ่งจะเน้นเรื่องของจิตวิญญาณภายในมากกว่า  และพระองค์บอกว่าทั้งสองอย่าง (คือแนวคิดแบบเก่าและวิถีชีวิตใหม่ในพระองค์)..มันไปด้วยกันไม่ได้  ข้อที่ 17 พระองค์ตรัสว่า “..แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้”  ...ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต้องดำเนินไปพร้อมกับแนวคิดใหม่ที่พระองค์สอน..ทุกอย่างถึงจะถูกต้องสมบูรณ์และลงตัว  
ข้อที่ 18-34 จะเป็นการอัศจรรย์อีกหลายครั้งที่พระเยซูทำ  มีทั้งการรักษาคนตาบอด เป็นใบ้ และรวมถึงการทำให้คนตายกลับฟื้นมีชีวิตขึ้น  ซึ่งหลายๆกรณีจะมีหมายสำคัญทางฝ่ายวิญญาณอยู่ด้วย  อย่างเช่นตาบอดฝ่ายวิญญาณ ตายฝ่ายวิญญาณซึ่งถ้าเชื่อพระเยซูแล้วตาฝ่ายวิญญาณของเราก็จะกลับมองเห็นความจริงในทางพระเจ้า  หรือที่เราเคยตายฝ่ายวิญญาณเราก็กลับมีชีวิตนิรันดร์ อย่างนี้เป็นต้น
ดู มัทธิว  9:36-38  พระเยซูทรงสงสารประชาชน  เมื่อพระองค์มองดูผู้คนบนโลกแล้ว..พระองค์คงรู้สึกเวทนาพวกเราอย่างมาก   พระองค์เห็นความมืดบอด  ความเลื่อนลอย..ไร้จุดหมายและไม่มีที่พึ่งของมนุษย์  ข้อที่ 36 พระองค์บอกว่า “..ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง (บางฉบับใช้คำว่าพวกเขา”อิดโรย”) และกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง  เพราะมนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า  พระเยซูทรงมองเห็นความทุกขเวทนาของมนุษย์อย่างชัดเจน  ข้อที่ 37 พระองค์บอกว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา  แต่คนงานยังน้อยอยู่” ..ข้าวที่ต้องเกี่ยว หมายถึง คนที่พระเจ้าทรงเลือก..ให้กลับคืนดีกับพระองค์  พระเยซูบอก คนเหล่านี้ มีมากมายเหลือเกินแต่คนงานหรือคนที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำพันธกิจของพระเจ้า..ยังมีน้อยมาก   ดังนั้น บทที่ 10 พระเยซูจึงทรงเริ่มต้นเรียกสาวกทั้ง 12 คน  มาเป็นคนงานที่จะออกไปเก็บเกี่ยวแผ่นดินของพระเจ้า  หรือเรียกว่า..เป็นผู้ที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้..ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน  จนทุกวันนี้เราก็ยังเก็บเกี่ยวคนเหล่านี้ได้ยังไม่ครบ
ดู มัทธิว 10:5-8  “..อย่าไปทางที่ไปสู่คนต่างชาติ  อย่าเข้าไปในสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดีกว่า”  .. พระประสงค์ของพระเยซู ณ.ขณะนั้น คือ ให้สาวกไปประกาศข่าวประเสริฐกับยิวหรืออิสราเอลก่อน  แล้วคนต่างชาติเอาไว้ทีหลัง  แต่กลายเป็นว่า คนต่างชาติกลับมีความเชื่อแซงหน้า ยิวหรือคนอิสราเอล  ส่วนสะมาเรีย..จะเป็นเมืองที่ยิวรังเกียจเพราะเป็นเมืองที่ถูกปะปนไปด้วยคนต่างชาติและธรรมเนียมปฏิบัติที่เพี้ยนๆอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด  พระเยซูจึงยังไม่ให้สาวกเข้าไป    แต่หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว..พระองค์ถึงจะสั่งให้เหล่าสาวกไปประกาศกับชนทุกชาติ   ถ้าถามว่าเพราะอะไร..น้าตุ๊กว่า เพราะเมื่อพระองค์คืนพระชนม์แล้ว  สาวกและเราทุกคนทุกคนจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   ซึ่งจะสามารถทำการได้โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณอย่างเต็มขนาด  แต่ตอนนี้..ต้องรอก่อน
พระองค์ให้เหล่าสาวกทำอะไรบ้าง ข้อที่ 8 พระเยซูสั่งว่า “จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้ฟื้น และจงขับผีให้ออก (นี่เป็นสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้เลย).. และเมื่อท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ...ห้ามเก็บค่าครู ค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการใดๆทั้งสิ้น  เพราะพระคุณหรือของประทาน..ที่เหล่าสาวกจะสามารถทำการอัศจรรย์ค่างๆเพื่อช่วยผู้คนนั้น  มาจากใคร..มาจากพระเจ้า  เสียเงินซื้อมารึเปล่า..ต้องเอาชีวิตไปแลกรึเปล่า..เปล่าเลย   พระองค์ให้ฟรี..เพราะฉะนั้น ในเมื่อได้มาฟรี..ก็ต้องส่งต่อพระพรนี้ไป “ฟรีๆ”เหมือนกัน
ดู มัทธิว 10:16-18  พระเยซูบอก..เราจะอยู่ในโลกนี้เหมือน”แกะ” บุคลิกของแกะ คือ ใสซื่อ..บริสุทธิ์..ว่าง่าย..ไม่มีพิษภัยและที่สำคัญ..ไม่ทันคน  และในขณะที่เรามีบุคลิกแบบนี้ ..เรายังต้องอยู่ท่ามกลาง”ฝูงหมาป่า”  ซึ่งนิสัยของหมาป่า คือ  เจ้าเล่ห์..หยาบคาย..โหดร้าย  (ถ้าเป็นในการ์ตูนก็..จะขี้โกงด้วย)    และพระเยซูบอก..เราต้องอยู่ในโลกนี้แบบ”สวนกระแส”ให้ได้  และการที่จะดำเนินอยู่ให้ได้แบบที่พระเจ้าบอก..คนของพระองค์จำเป็นต้องใช้”สติปัญญา”..ไม่ใช่ใช้อารมณ์หรือใช้กำลัง ต้องฉลาดเหมือนงู  ทำไงเราจะฉลาด..เราต้องเรียนรู้แนวทางการดำเนินชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูสอน..รู้ให้หมด แล้วจะฉลาดและสมาร์ทด้วย  แต่ในขณะเดียวกัน ..ต้องสุภาพเหมือนนกพิราบ  จะฉลาดแล้วดุร้ายกราดเกรี้ยวเหมือนงู..ไม่ได้   ข้อที่ 17 พระเยซูบอกต่อไปว่า “แต่จงระวังตัวให้ดี  เพราะเขาจะอายัดท่านไว้กับศาล และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา”  อันนี้เป็นความหมายที่พระเยซูเตือนสาวก..(ไม่ต้องตกใจ กางเขนของพวกเราจะเบากว่าเยอะ)  ในคริสตศตวรรษแรก รัฐบาลโรมอนุญาตให้ยิวสามารถมี”ศาลศาสนา” ประจำท้องถิ่นได้  ซึ่งเป็นศาลที่ใช้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องทางศาสนาโดยตรง  ไม่เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายบ้านเมืองหรืออาชญากรรมอย่างอื่น  และพระเยซูบอกเหล่าสาวกไว้ล่วงหน้าเลย..ว่า ให้ระวังตัวนะ  เพราะพวกยิวจะคาดโทษสาวกทุกคนเพราะพวกเขาเชื่อและติดตามของพระเยซูคริสต์   ข้อกล่าวหาคือทำผิดบัญญัติพระเจ้าทางโมเสส  แล้วจะเฆี่ยนพวกเขาในธรรมศาลา..
ถ้าเป็นพวกเรา..พระเจ้าบอกไว้อย่างนี้  เราจะยังอยากเป็นสาวกของพระองค์อยู่มั๊ย..อันนี้ต้องคิดให้ดีๆ   ถ้าคิดได้แล้ว..ก็ก้มศีรษะลงขอบพระคุณ..ที่พระองค์ไม่ให้เราต้องถูกข่มเหงถึงขนาดนั้น    เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้อะไรที่หนักนิดเบาหน่อย..ยกโทษให้กันได้..ก็ยกโทษซะ  แต่ละวันอาจจะไม่สะดวกสบายอย่างที่ใจเราต้องการ..ก็อดทนเอาหน่อย  อย่าบ่นหรือเหวี่ยงให้มากมายนัก   ต้องตระหนักไว้ตลอดเวลาว่า..ความทุกข์ยากของเรายังไม่เท่าไหร่..ไม่ถึง 1 ใน 100 หรือไม่ได้เศษเสี้ยวที่สาวกเหล่านั้นต้องเจอเลย  
ดู มัทธิว 10:24-25 “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน..”  คือ  พระเยซูเป็นครูหรือเป็นเจ้านาย   แต่อีกไม่นานพระองค์จะต้องถูกอายัดจนถึงการมรณาบนกางเขน  และถ้าพระองค์ต้องอยู่ในสภาพไหน..สาวกซึ่งเป็นศิษย์หรือเป็นทาส..ก็จะโดนไม่ต่างกัน   เพราะศิษย์จะใหญ่กว่าครูหรือทาสจะมีสภาพดีกว่าเจ้านาย..มันเป็นไปไม่ได้  นี่คือ ความหมายที่พระเยซูบอก   ข้อที่ 25 บอกว่า “..แค่นั้นก็พออยู่แล้ว  ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด”....เบเอลเซบูล เป็นชื่อพระของชาวคานาอัน  ชาวยิวใช้ชื่อนี้เรียกซาตานหรือใช้เรียกอะไรก็ตามที่มีความหมายไปในทางที่ชั่วร้าย   คำนี้ของพระเยซูจึงหมายความว่า “ ถ้าพระองค์จะต้องถูกตรึง  และสาวกก็ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก..แค่นั้นก็โอเค..พอรับได้  แต่ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า “บาเอลเซบูล” คือ ถ้ามนุษย์ยกให้พวกซาตานเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก..เป็นเจ้าบ้านแล้ว  ลองคิดดูว่า..มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้จะมีสภาพยังไง..น่าเวทนาขนาดไหน  
ดู มัทธิว 10:26-27  “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา...ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวในที่สว่าง และที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู..จงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน” ...ในเมื่อพระองค์อุตส่าห์มาเพื่อถูกฆ่าและไถ่บาปให้มนุษย์    ก็จงให้สิ่งนี้เป็นข่าวประเสริฐที่แผ่ออกไปให้ได้มากที่สุด  เอาแบบทุ่มสุดตัว  และไม่ว่าอะไรที่พระเจ้าสำแดงแก่เราเป็นการส่วนตัว   เราจงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่ผู้อื่นอย่างเปิดเผยและด้วยใจกล้าหาญ  ข้อที่ 28  บอกว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”....แม้จะต้องถูกจองจำ  ถูกข่มเหง  หรือแม้แต่ถูกฆ่าเหมือนพระเยซู  ก็จงอย่ากลัวคนเหล่านั้นที่ฆ่าได้แต่ตัว..ฆ่าจิตวิญญาณของเราไม่ได้  แต่จงเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด..ที่มีอำนาจที่จะฆ่าได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  พระเจ้าคือ พระองค์เดียว..ที่มีสิทธิ์ชี้ขาด..ว่าใครจะขึ้นสวรรค์แล้วใครจะลงนรก
ดู มัทธิว 10:32-33  “..ผู้ใดรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ด้วย”...ถามว่าการรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์เป็นเรื่องยากมั๊ย  สำหรับพวกเราอาจจะคิดว่า..ไม่เห็นยากเลย  แต่สำหรับบางคนยังยากอยู่..ถ้ารับต่อหน้าคนในโบสถ์ก็ยังไม่เท่าไหร่เพราะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน   แต่ถ้าประกาศตัวอย่างกล้าหาญในสังคมที่เขาอยู่..มันเริ่มจะเป็นอีกเรื่องนึงละ  เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่ออย่างอื่น  เรากล้ามั๊ยที่จะยืดอกขึ้นมาแล้วบอกว่าเราเชื่อพระเยซู..หลายคนไม่กล้านะคะ  กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ  กลัวถูกมองเป็นตัวประหลาด  
แต่ผู้เชื่อพระเยซูในสมัยพระคำภีร์ไม่ได้โดนแค่นี้  เพราะยิวตามฆ่ากวาดล้างคริสเตียนอย่างเอาเป็นเอาตาย   หลายคนก็เลยต้องขาดกลัว..ไม่กล้ารับพระเยซูต่อหน้าผู้คนเพราะกลัวโดนฆ่า   ดังนั้น พระเยซูถึงบอกว่า”ใครที่กล้ารับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ (คือ ยอมตายเพราะเชื่อพระเยซู) พระองค์ก็จะรับเขาต่อหน้าพระบิดาด้วย”  พระองค์บอกแล้วว่า”อย่ากลัว ! ผู้ที่ฆ่าได้แต่ตัว  แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าวิญญาณเราได้