ดู
มัทธิว 10:34-35 “..พระคริสต์ทรงอยู่เหนือบิดาหรือมารดา”..ถ้าใครมีพ่อแม่ที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็จะรู้ว่า..เขาจะรับไม่ค่อยได้สำหรับถ้อยคำในข้อนี้ที่พระเยซูบอก เพราะ เขาจะไม่มีวันเข้าใจ..เขาจะรู้สึกว่ามาสอนอย่างนี้ได้ยังไง ประโยคต่อไปยิ่งแล้วใหญ่เลย “..อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก
เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา”.......จำให้ดีนะคะเด็กๆ ในบริบทนี้ หมายถึงในเรื่องจิตวิญญาณและความเชื่อนะคะ อย่าเอาไปตีความผิดบริบท..ผิดความหมาย พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่า
เมื่อพระองค์เสด็จมา..มนุษย์จะถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย
พระองค์มาเพื่อ”คัดกรอง”คนของพระเจ้าและแยกคนเหล่านั้นออกจาก..คนที่ไม่ใช่..หรือคนที่ไม่ได้ถูกเลือก ข้อที่ 36 บอกว่า “..ผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน
ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน”....เพราะเวลาพระเจ้าเลือก..บางทีพระองค์ไม่ได้เลือกยกตระกูลหรือเลือกทั้งครอบครัว ในบ้านนึงเนี่ย..บางทีคนนี้ใช่..คนนั้นไม่ใช่ เลือกคนนี้..ไม่เลือกคนนั้น อะไรต่างๆเหล่านี้ คือ ความหมายของคำว่า ”ศัตรู
และ ความหมางใจ” ..ทำไมต้องหมางใจและเป็นศัตรู
เพราะคนที่ไม่ใช่..ก็จะไม่เชื่อและมองข่าวประเสริฐเป็นเรื่องโง่และรับไม่ได้..สุดท้ายในครอบครัวเลยต้องทะเลาะกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวที่”ลูกเชื่อ” แต่
“พ่อแม่ไม่เชื่อ” แทบทุกคนที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ มักจะได้ยินประโยคที่ว่า “บรรพบุรุษก็เป็นพุทธกันมาแต่ไหน
แต่ไร ทำไมน๊า..ยายคนนี้ถึงแหกคอก !!! (ประมาณนี้)และข้อที่ 37 บอกว่า “ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา
และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา”...คือเมื่อถูกครอบครัวต่อต้านหนักเข้า..เริ่มทนไม่ได้ พ่อแม่ก็จะตัดเป็นตัดตาย..ถ้าจะยังเชื่อพระเยซู
ญาติพี่น้องก็พูดจาส่อเสียดเหยียดหยามอยู่ทุกวัน
สุดท้ายทนความกดดันที่ครอบครัวหยิบยื่นให้..ไม่ได้ ก็เลิกดีกว่า..เลิกเชื่อพระเยซูดีกว่า..เชื่อแล้วครอบครัวมีปัญหา พระเยซูบอก “ใครที่เลือกอย่างนั้น ผู้นั้นก็ไม่สมกับพระองค์” ....เชิญไปได้เลย
ดู
มัทธิว 10:38-39 “..ผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป
ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา” สาวกของพระคริสต์หรือคริสเตียน..ต้องยอมรับความทุกข์ยากเหมือนที่พระเยซูรับ เพราะเราต้อง”ต่าง”และ”สวนกระแส”กับคนของโลก เพื่อให้โลกเห็นว่า “ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน เราก็จะยังเป็นแสงสว่างได้อยู่ดี” เพราะมันเป็นการง่าย ถ้าเรายังกินอิ่ม นอนสบาย ได้อยู่ห้องแอร์ แล้วเราจะบอกว่า "ฉันจะไม่ลักขโมย ไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ไม่กล่าวโทษ ไม่บ่น หรือทำบาป" เพราะ”ภาวะสุขสบายมันไม่สามารถพิสูจน์คนได้” เพราะงั้น ถ้าเราสามารถสว่างได้เฉพาะเวลาที่มีความสุขสบาย..อันนั้นมันไม่ทำให้เราต่างจากคนอื่น ดังนั้น บางครั้ง
เราจึงต้องดำเนินอยู่ในความทุกข์ยากบ้าง
พระเยซูบอกให้เราแบกกางเขนของเราตามพระองค์ไป นั่นหมายความว่า
พระองค์ดำเนินแบบไหน..เราจำเป็นต้องทำตามเพื่อที่เราจะได้มีศักดิ์ศรีสมกับความรอดที่พระองค์เตรียมให้ ข้อที่ 42 บอกว่า”...ผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยดื่ม
เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้” ความหมายของพระเยซูในข้อนี้ ก็คือ
ใครก็ตามที่ทำดีกับคนของพระเจ้า
แม้จะเป็นแค่น้ำใจเล็กๆน้อย..พระเจ้าสัญญา..ว่าจะอวยพรผู้นั้น
ดู
มัทธิว 11:16-17 พระเยซูทรงเปรียบคนในยุคพระคุณว่า
“..เหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องบอกเพื่อนว่า..ฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ
และเธอมิได้เต้นรำ ฉันได้พิลาปร่ำไห้แก่พวกเธอ
และพวกเธอมิได้คร่ำครวญ” คือ
ไม่ยินดี..ยินร้ายกับอะไร บางที เรื่องที่น่ายินดีที่สุดอย่างข่าวประเสริฐ..ที่เราพยายามจะบอกแล้วบอกอีก..หลายคนกลับรู้สึกเฉยๆ..ไม่สนใจ
วันอีสเตอร์ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่..อันนี้คือความน่ายินดีที่สุดไม่ใช่เฉพาะสำหรับคริสเตียน แต่มนุษย์ทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะโลดเต้นในเรื่องนี้ แต่หลายคน..ไม่สนใจเลย..เฉยมาก ศุกร์ประเสริฐเราก็สลดใจแทบตาย แต่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้ อะไรต่างๆเหล่านี้ คือ ความหมายที่พระเยซูกล่าวถึงในข้อนี้ ข้อที่ 18 บอกว่า
“..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม
เพราะยอห์นเป็นนาศีร์ คือ กินอยู่เหมือนฤาษี..อะไรประมาณนี้..ยอห์นจะไม่กินดื่มหรือใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย ส่วนพระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา
เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนบาป” แต่ ทั้งยอห์นและพระเยซูก็คือผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทั้งคู่ แม้จะทำต่างกัน..มีสถานะหรือไลฟ์สไตน์ที่ต่างกัน
แต่พระปัญญาของพระเจ้าได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้ว และข้อที่จะขยายความของบริบทนี้ได้เป็นอย่างดี
คือ....
ดู
มัทธิว 11:28 ที่พระองค์บอกว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก
จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข”
คำว่า “ภาระหนัก” ในที่นี้ คือ ภาระฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์ไม่มีวันไถ่ถอนให้ตัวเองเป็นอิสระได้
และรวมถึง..ความทุกข์ยากลำบากจากความที่ต้องพยายามทำตามกฎบัญญัติต่างๆ สำหรับยิวก็คือ กฎบัญญัติทางโมเสส ด้วยความเคารพ..สำหรับต่างชาติก็อาจหหมายถึงข้อห้ามหรือกฎต่างๆตามความเชื่อของเขา ศีล5 ศีล8 ศีลกี่ร้อยข้อก็ตาม ซึ่งไม่ว่าจะบัญญัติว่ายังไง ก็ไม่มีวันที่ใครจะทำตามได้อย่างครบถ้วน
“ตามมาตรฐานของพระเจ้า”
เพราะมาตรฐานของพระเจ้า คือ “แค่คิดผิดแล้ว” พระเยซูถึงต้องมาเติมเรา มาแบกรับและทำแทนเรา ที่ข้อ 18 บอกว่า “..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม แต่ พระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม
เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา..”
ข้อนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนขี้เมาหรือเห็นแก่กินได้นะคะ แต่พระองค์ทรงสำแดงให้เราเห็นว่า กฏข้อห้ามหยุมหยิมเล็กน้อย..จะไม่สามารถทำให้เราบาปหรือลงบึงไฟนรกได้อีกต่อไป แม้กระทั่งบางครั้งเราจะยังอ่อนแอและอาจ”เผลอ”ทำความผิดไปบ้าง (เผลอ ทำไปบ้างนะคะ ไม่ใช่ทั้งชีวิตผิดตลอดแบบไม่เคยสำนึกและกลับใจ
อันนั้นไม่ใช่ละ) คือ ถ้าเราจะพลาดพลั้งไปบ้าง ยังไงความเชื่อในโลหิตของพระเยซูก็สามารถชำระเราได้เสมอ ดังนั้น ที่พระองค์บอกว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา..” ก็คือ
เราแค่ทำตามที่พระองค์สอน แค่นั้น ! หน้าที่ของเรา..อย่างอื่นพระองค์จัดการเอง โอเคมั๊ย
ดู มัทธิว 11:25-26
“..พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญา..” สิ่งเหล่านี้ที่ข้อนี้พูดถึงคืออะไร ก็คือ “ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ หรือเรื่องราวของแผ่นดินสวรรค์ “
คือ
ก่อนที่จะเป็นสมัยโรม ก่อนหน้านั้น คือ
“กรีก” ซึ่งกรีกจะเป็นพวกตรรกนิยม คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ..ซึ่งทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน
อย่าง“พิธากอรัส”กับ ”อริสโตเติล” ที่เราน่าจะรู้จักกันดี..นี่ก็เป็นชาวกรีก เพราะงั้น ต่อเนื่องจนถึงสมัยโรมหรือแม้กระทั้งทุกวันนี้..ความนิยมในความเป็นเหตุเป็นผล ก็ยังคงส่งผลต่อแนวคิดและความเชื่อของมนุษย์อย่างมาก
เพราะคนที่คิดว่าตัวฉลาด..เขาจะรับไม่ได้หรอก..ที่จะเชื่อว่า
“เลือดของคนๆนึงเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้” มันเป็นไปไม่ได้..มันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา นี่แหละ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า
“พระองค์ทรงปิดบังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูไว้จากคนที่คิดว่าตัวเอง..ฉลาด” (ฉลาดฝ่ายโลกนะ
ไม่ใช่ฉลาดในทางพระเจ้า) แต่ “..ทรงสำแดงความรอดนี้ให้แก่ผู้เล็กน้อย” ผู้เล็กน้อย ก็คือ คนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่คนใหญ่..คนโต หรือ คนที่จะสมองดีอยู่ในอันดับต้นๆของโลก ถามว่า
มีคนใหญ่คนโตเชื่อพระเจ้ามั๊ย..มีค่ะ
แต่..ยังไม่เยอะ ข้อที่ 29 พระเยซูบอกว่า “..จงเอาแอกของเราแบกไว้
แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง”
ถ่อมลง..ไม่ต้องโอ้อวดในสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเอง เพราะถ้าพระเจ้าจะมีส่วนที่เล็กน้อยที่สุด..ส่วนนั้นก็ยังสูงส่งกว่าปัญญาของมนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..อยู่ดี
เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดหรือมีปัญญาในทางพระเจ้า..ต้องไม่อวดรู้..ไม่พึ่งสติปัญญาของตัวเอง..แต่เขาจะเดินตามและพึ่งพระเยซู เอเมนมั๊ย
ดู
มัทธิว 12:1-2 วันสะบาโตคือ “วันเสาร์” หรือ “วันที่เจ็ด”
ของสัปดาห์ตามปฏิทินของชาวยิว พระบัญญัติทางโมเสสตั้งให้เป็นวันหยุดพัก และสมัยที่ยิวได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนพวกเขาตั้งให้วันสะบาโตเป็นวันนมัสการพระเจ้าด้วย
แล้วก็เป็นที่รู้กันว่า”ยิว”เคร่งครัดที่จะทำตามกฎบัญญัติมาก..มากซะจนหลาย
ครั้งลืมที่จะสนใจ..ว่าพระประสงค์แท้จริงของพระเจ้าคืออะไร อย่างบอกว่าห้ามทำงานวันสะบาโต..เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเอาคำสั่งนี้เป็นที่ตั้ง โดยไม่ใช้วินิจฉัยว่า..พระเจ้าห้ามทำไม พระองค์มีพระประสงค์อะไรในกฎข้อนี้หรือในกฎแต่ละข้อ
ยิ่งไปกว่านั้น..ก็ยังเพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีก อย่างข้อนี้.. “คำว่า ห้ามทำงานวันสะบาโต ก็เอาไปขยายความต่อไปอีกว่า หมายถึง
ห้ามเดินเกินกว่ากี่กิโล กี่กิโล อะไรประมาณนี้”..ซึ่งมันไม่ใช่ พระเจ้าให้หยุดพักวันสะบาโตเพราะอะไร
เพราะพระองค์รู้ว่าร่างกายมนุษย์ต้องการการพักผ่อน
ทำงานมาทั้งสัปดาห์มนุษย์จำเป็นต้องพัก..พระเจ้ารู้ เพราะพระองค์สร้างเรามากับมือ แต่เราจะไปก็กล่าวโทษพวกยิวก็ไม่ได้
เพราะเขาอาจจะไม่รู้เหตุผลจริงๆ..ที่พระเจ้าตั้งกฎให้ บางสิ่งบางอย่างที่เราคิดออกก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงกับเรา หรือเหตุผลของกฎบัญญัติอีกหลายๆข้อ..ก็เพิ่งจะถูกเปิดเผย..ตอนที่เทคโนโลยีเจริญมากแล้ว..นึกออกมั๊ยคะ
เช่น ห้ามกินเลือดเ..พราะเลือด คือ
แหล่งรวมของเชื้อโรค ห้ามกินไขมัน เพราะไขมัน..กินแล้วไม่ดี อะไรต่างๆเหล่านี้
มนุษย์ก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง
ถ้าจะผิด..ก็ผิดก็ผิดตรงที่ชอบเพิ่มความยากลำบากเข้าไปในกฎแต่ข้อ..ให้ทำยากขึ้น
เป็นภาระมากขึ้น และพระเยซูรู้ดี..ถึงความความทุกข์ยากในการทำตามกฎบัญญัติของมนุษย์ พระองค์จึงมาเพื่อไถ่มนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากภาระหนักและความเหน็ดเหนื่อย
บกพร่องฝ่ายวิญญาณ
ข้อนี้
บอกว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปในนาวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน” พวกฟาริสีก็เห็น..แล้วก็พูดกับพระเยซูว่า “นั่นแน่ะ
ศิษย์ของท่านทำการต้องห้ามในวันสะบาโต” พระเยซูทรงตอบว่าไง...
ดู
มัทธิว 12:3-6 ข้อนี้
พระเยซูทรงยกการกระทำของดาวิดขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
ตอนนั้น ที่ดาวิดกำลังหนีซาอูลอย่างหัวซุกหัวซุน
ถ้าเด็กๆเคยเรียนหนังสือซามูเอลกับน้าตุ๊กจะจำได้
ซาอูลตามฆ่าดาวิดอย่างเอาเป็นเอาตาย..ไม่มีการลดลาวาศอก จนดาวิดแทบไม่มีเวลาหายใจ..อารมณ์มันประมาณนั้นจริงๆ แล้วก็มีอยู่ตอนนึงใน 1 ซมอ.
21 ซึ่งเป็นอีกตอนที่ดาวิดต้องหนีซาอูลแบบไม่มีเวลาตั้งตัว และเขาไม่มีทั้งอาวุธกับและเสบียง
ดาวิดก็เลยไปหาปุโรหิตที่เมืองโนบ..ซึ่งคุ้นเคยกับดาวิดเป็นอย่างดี ไปถึงดาวิดก็ออกปากถามหาอาวุธกับอาหาร ซึ่งก็ได้ดาบของโกไลอัทไป ส่วนอาหาร..ไม่มี นอกจาก”ขนมปัง ที่วางต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า”
ซึ่งปกติปุโรหิตเท่านั้นที่มีสิทธิ์กินขนมปังที่ถวายพระเจ้า..คนทั่วไปห้ามกิน แต่วันนั้น ปุโรหิตก็เอาให้ดาวิดติดตัวไป พระเยซูทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ปุโรหิตคนนั้น (คือ “อาหิเมเลค”) ได้ทำนั้น..ถูกต้องแล้ว เพราะเขาเลือกที่จะทำด้วยความรักและเมตตา
มากกว่าที่จะตะบี้ตะบันยืนยันตามกฎอย่างไม่ลืมหูลืมตา ข้อที่ 5 พระองค์บอกว่า “ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารดูหมิ่นวันสะบาโต..แต่ไม่มีความผิด” ( เนื่องจากปุโรหิตจะมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร) “..
แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีผู้หนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก” ข้อนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงพระองค์เอง เพราะถ้าพวกปุโรหิตมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร พระองค์ก็ยิ่งมีมากกว่านั้นอีกหลายเท่า เพราะพระองค์ใหญ่กว่าพระวิหาร..ถูกมั๊ยคะ ข้อที่
7 บอกว่า “แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายของข้อที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด” พระเยซูชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีความรักและเมตตาต่อพี่น้องและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
พระองค์ไม่ต้องการให้เรา..สักแต่จะทำตามพระบัญญัติให้ครบถ้วน”ตามตัวอักษร” แต่ในหัวใจขาดวินิจฉัยที่แท้จริงเพราะไม่มีความรัก แบบนี้ พระเจ้าไม่ต้องการ พระเยซูถึงบอกว่า
ถ้าเราเข้าใจความจริงในข้อนี้
เราจะไม่ตัดสินหรือกล่าวโทษพี่น้อง
แล้วการที่สาวกของพระองค์เก็บรวงข้าวในนาไปกินนั้น จริงๆแล้วพวกเขา ”หิว” ไม่ได้งก...หรือตั้งใจจะทำงานวันสะบาโตอย่างไม่คิดจะหยุดพัก
พอเห็นภาพมั๊ยคะ
ดู
มัทธิว 12:10-11 นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกฟาริสีกำลังหาช่องจะจับผิดพระเยซู เมื่อมีชายมือลีบคนหนึ่งเดินมา เหล่าฟาริสีเลยถามพระเยซูว่า
“..แล้วพระองค์คิดว่าการรักษาคนในวันสะบาโต..ผิดมั๊ย” (...ที่ถาม ก็เพราะพวกฟาริสีเขาคิดว่าผิดไง..อะไรๆก็ทำไม่ได้ในวันสะบาโต นี่คือ การสักแต่จะเคร่งครัดแค่ตามตัวอักษร) ข้อที่ 11 พระเยซูตอบพวกเขาว่า
“ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต
ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ”
ความหมายคือ ถ้าแกะหรือสัตว์เลี้ยงของพวกเขาตกลงไปในบ่อวันสะบาโต พวกเขาจะฉุดมันขึ้นมามั๊ย..ฉุดแน่นอน ต่อให้เป็นวันสะบาโตก็ตาม เพราะแกะ ม้า วัว ควาย มันคือทรัพย์สินของพวกเขา มันเป็นเงิน..เป็นทอง
ขืนปล่อยให้ตาย..เงินก็หายสิ ข้อที่ 12 พระองค์จึงบอกว่า “มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากเท่าใด..”
ถ้าพวกเขาซึ่งเป็นคนถือรักษากฎอย่างเคร่งครัดยังมีใจยอมช่วยเหลือสัตว์ในวันสะบาโต..ไม่ว่าจะช่วยเพราะกลัวเงินหายหรือช่วยเพราะใจเมตตาก็ตาม ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร ที่พวกเขาก็ควรจะเต็มใจช่วยชายมือลีบคนนี้ด้วย เพราะมนุษย์ประเสริฐและมีค่ามากกว่าแกะหลายเท่า แล้วพระองค์ก็ลงท้ายว่า “... เหตุฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”
ข้อที่ 14 บอกว่า
“ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า ..ทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้” และนี่คือ การพยายามจะฆ่าพระเยซู ”ครั้งแรก”
ตามที่หนังสือมัทธิวบันทึกไว้
ดู
มัทธิว 12:33-35 “..เราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน” อันนี้ ต้องจำไว้ให้แม่นเลยนะคะ
เราไม่สามารถจะตัดสินใครก็ตามด้วยรูปแบบภายนอก พระเยซูสอนหลายครั้งว่าให้เราดูที่ผล ผลอะไร..ในยุคพระคุณของพวกเรา ก็คือ
ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอะไรบ้างให้เราเปิดไป... ดู กาลาเทีย 5:22-23 นี่คือ วิธีที่จะดูว่าคนๆนั้นเกิดผลหรือเปล่า คือดูว่า.. เขามีความรักมั๊ย มีสันติสุข
มีความเมตตาปรานี สุภาพอ่อนน้อม
ถ่อมตน มีความสัตย์ซื่อ รู้จักยับยั้งชั่งใจหรือรู้จักบังคับใจตนบ้างหรือเปล่า
เพราะคนที่เกิดผลดีตามที่พระเยซูบอกไว้จะต้องมีผลของพระวิญญาณสำแดงออกมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าน้อยก็ต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น ข้อที่ 34 พระเยซูกล่าวต่อไปว่า
“..โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร
ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ”
พระเยซูทรงใช้คำนี้กับพวกฟาริสีบ่อยมาก
เฉพาะในหนังสือมัทธิวก็ปรากฎถึง 3 ครั้ง เป็นที่รู้กันถึงนิสัยของงูตามที่พระคำภีร์กล่าวถึง..ว่ามันทั้งหลอกลวง..เจ้าเล่ห์และดุร้าย แถมยังชอบชี้ช่องให้คนอื่นทำบาป ดังนั้น สำหรับน้าตุ๊กคำนี้ถือว่าเจ็บแสบมาก เพราะเป็นการกล่าวโทษที่เหมือนจะชี้ชันหยั่งลึกไปถึงกมลสันดานรวมทั้งความประพฤติที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย
“..เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ในเมื่อปากย่อมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ”
พระคำภีร์ยืนยันความจริงในเรื่องนี้..หลายครั้งมากนะคะเด็กๆ
หนังสือสุภาษิตก็บันทุกเรื่องของการพูดที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในใจของมนุษย์ไว้หลายบทมาก แล้วมันก็เป็นเรื่องที่น้าตุ๊กอยากสอน..แล้วก็อยากตอกย้ำกับเด็กๆมาก..ให้เรา”ระวังคำพูด”
ของตัวเองให้มากๆ จะพูดอะไร..คิดซะก่อน
อย่าให้ปากนำ เราต้องใช้สติปัญญานำ หลายคนบอก
แหม! แค่พูดเล่นๆเอง..ไม่ได้คิดอะไร
ถ้าไม่คิดอะไร งั้นจะพูดทำไม !! ไม่มีประโยชน์
เก็บปากเก็บคำไว้จะดีกว่า”
พูดเล่น..บางทีก็พูดได้นะคะ
แต่ต้องวินิจฉัยให้ดีว่าเราไม่ได้แอบแฝงความคิดชั่วไว้ในคำพูดเหล่านั้น..จริงๆ แล้วประเภทลามก หยาบคาย
นี่ไม่เอาเลยนะคะ..ตัดมันทิ้งไป เพราะข้อที่
36 พระเยซูยืนยันกับเราว่า “..คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น
มนุษย์จะต้องรับผิดในถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา” เพราะฉะนั้น ไม่คุ้มเลยค่ะ..กับความสนุก..สะใจชั่วครู่ชั่วยาม เพราะแค่ได้พูดเล่น พูดไร้สาระ
พูดส่อเสียดหรือกล่าวโทษคนอื่น แล้วเราต้องถูกพระเจ้าพิพากษา
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ