วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 3


คราวที่แล้วเรามาถึงราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงทำที่แคว้นกาลิลี  รวมถึงการเทศนาบนภูเขา  ซึ่งมีคำสอนที่เป็นคำอุปมามากมายที่เด็กๆควรจะเรียนรู้
ดูต่อ มัทธิว 5:13  “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก..”  พระเยซูเปรียบเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์..เป็นสาวกของพระองค์ว่า”เป็นเกลือ”  หมายความว่าไง..”เกลือ” นอกจากจะให้รสเค็ม..เพิ่มรสชาดให้อาหารแล้ว  มนุษย์ยังใช้เกลือในการ”ป้องกันความเปื่อยเน่า”   เพราะงั้นคำตรัสของพระเยซูในข้อนี้จึงหมายถึงคนของพระเจ้า คือพวกเรานี่แหละ..จะต้องเป็นดำเนินชีวิตเป็นเกลือของแผ่นดินโลก  ไม่ต้องทั้งโลกเพราะเราคงไม่มีกำลังขนาดนั้น  เอาแค่อยู่ตรงไหน..เราต้องเป็นตัวอย่างและยืนหยัดที่จะป้องกันคนรอบข้างให้รอดพ้นจากความพินาศหรือความเปื่อยเน่าต่างๆที่โลกหยิบยื่นให้   เราอาจจะไม่มีเพาว์เวอร์พอที่จะไปกวาดล้างความบาปหรือแม้แต่สิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นกับสังคม  แต่อย่างน้อยที่สุดในวงแคบกับผู้คนรอบข้าง..เราต้องไม่สนับสนุนความผิดบาปและจะต้องดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างให้ผู้คนรอบข้างนะคะ
พระเยซูบอกว่า “..ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็ม   จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้  แล้วนั่นก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร  มีแต่จะทิ้งเสียให้คนเหยียบย่ำ”  ถ้าเกลือไม่เค็ม..มันจะเป็นเกลือมะ  ไม่เป็นหรอก..ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้  เหมือนคนของพระเจ้า..ถ้าเราไม่ยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอน  หรือไม่สนใจกับสิ่งที่พระเจ้าให้ทำ  เราก็จะเป็นเหมือนเกลือที่หมดรสเค็มไม่สามารถปกป้องคนรอบข้าง..หรือแม้แต่ตัวเองให้พ้นจากความเปื่อยเน่า  ไม่ต้องพูดถึงคนรอบข้าง..แค่ดูแลตัวเองก็ยังไม่ได้เลย   สุดท้ายเกลือก็จะเป็นเหมือนธุลีดินที่ไม่มีค่า..ไม่มีศักดิ์ศรีมีแต่จะเป็นที่เหยียดหยามของผู้คนอย่างที่พระเยซูบอก 
ดู มัทธิว 5:14-16  “..เราทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”  ก่อนหน้าที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป  พระเจ้าทรงเป็นความสว่างของโลก  พออาดามกับเอวาทำบาป..มนุษย์ก็ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ความสว่างก็หายไป..โลกจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดบอด  กระทั่งยุคพระคุณมาถึง..พระเยซูคริสต์มาไถ่เรา  ด้วยโลหิตของพระองค์ที่ทำให้เราบริสุทธิ์  บริสุทธิ์แค่ไหน..บริสุทธิ์มากขนาดที่เราจะสามารถกลับมาสัมผัสและมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีกครั้ง   
พระเยซูบอก “ไม่มีใครจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง หรือเอาอะไรมาครอบไว้ แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน”  ลองนึกถึงความเป็นจริงก็ได้ว่า..โดยทั่วไปทำไมเขาต้องจุดตะเกียง    ก็เพราะมัน  ”มืด”  แล้วมีใครมั๊ยที่จุดแล้วเอาถังไปครอบหรือเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น..ไม่มี  จุดแล้วก็ต้องวางไว้ในที่ที่ส่องสว่างได้มากที่สุด..ถูกมั๊ยคะ  เพราะงั้น พระเยซูถึงเปรียบเราทุกคนว่าเป็นเหมือนตะเกียงที่ถูกจุดให้สว่างขึ้นอีกครั้งนึง..เพื่อส่องสว่าง..เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนรอบด้าน..คนที่อยู่ใกล้ๆหรือคนที่อยู่ข้างๆ  เขาจะได้มองเห็นทาง..ไม่เดินหลงทางหรือเดินเตะนู่นเตะนี่..สะดุดไปเรื่อยเพราะมองทางไม่เห็น  เราต้องเป็นความสว่าง..ต้องบอกข่าวดี  และเป็นตัวอย่างให้เขาเดินอย่างปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  “..เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่เราทำ เขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า”
ดู มัทธิว 5:17-18 “..อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติ  แต่พระเยซูสอนพระบัญญัติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องลึกซึ้ง  ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์หรือฟาริสีในสมัยนั้น..ที่หลงประเด็นไป สักว่าทำแต่ภายนอก..อาจจะถือกฎกติกาเคร่งครัดตามตัวอักษรแต่ไม่ได้ทำด้วยใจ..ไม่ได้ทำด้วยความรัก  มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร  เพราะความรักเป็นน้ำพระทัยสูงสุดของพระเจ้า  ที่เราได้มีพระเยซู..ได้กลับคืนดีกับพระองค์เพราะอะไร..เพราะความรักของพระองค์ 
ข้อที่ 30 พระเยซูจึงบอกว่า “..ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เราจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์” ..แต่ที่พระองค์พูดอย่างงี้  ไม่ได้แปลว่าพระบัญญัติไม่ดีหรือไม่สำคัญ  แต่ทุกอย่างต้องทำด้วย”หัวใจและด้วยความรัก”  
ข้อที่ 17 พระเยซูถึงบอกว่า “..พระองค์ไม่ได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ”  เพราะตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า”มนุษย์มักล้มเหลวในการทำตามสัญญา  พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูมา  เพื่อทำแทนเรา..เพื่อที่เราจะได้สมบูรณ์พร้อมตามมาตรฐานของพระเจ้า” เด็กๆจำไว้นะคะ..ว่ากฎบัญญัติทุกอย่างเป็นเหมือนกระจกเงา  ที่ส่องแล้วทำให้เรารู้ว่า..”ตัวเองสวยงาม..น่าเกลียด..มีตำหนิ หรือข้อบกพร่องบกพร่องตรงไหน  แต่กระจกเงาทำให้เราดูดีขึ้น..สวยขึ้น..หรือแก้ไขข้อบกพร่องของเรา..ไม่ได้  กฎบัญญัติก็เช่นเดียวกัน..ที่มีไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐาน..ให้เราเห็นความบาปของตัวเอง ให้เรารู้ว่าเราผิดตรงไหน  หรือส่วนไหนที่เราดีแล้ว..ทำถูกแล้ว  เราก็จะได้รู้ว่าเออ..อันนี้ ทำดีแล้วนะ..ให้รักษาไว้..ก็แค่นั้น 
ดู มัทธิว 5:21-22 “..ในพระคัมภีร์เดิมเราทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวไว้กับคนโบราณ..(คนโบราณ หมายถึง บรรพบุรุษของพวกยิวตั้งแต่สมัยโมเสส)  พระบัญญัติกล่าวไว้ว่า `อย่าฆ่าคน' ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ   แต่ ! พระเยซูบอก“..ผู้ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่มีเหตุ ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน”  พระเยซูกำลังขยายความพระบัญญัติข้อนี้ ..ในแง่มุมจากท่าทีภายใน  พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถือว่าการฆ่าคนหรือการทำบาปภายนอก..เป็นบาปที่ใหญ่มาก (มันเห็นกันจะๆ)  เพราะงั้น ถ้าเขาไม่ฆ่าคนซะอย่าง..ก็คงนับได้ว่าเป็นผู้ชอบธรรม  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่  ใครก็ตามที่ถึงแม้จะไม่ฆ่าคน  แต่ไม่มีใจรักในพี่น้องของตน..ก็ต้องถูกพิพากษา คือ รับโทษตายเหมือนกัน  แล้วก็หนักกว่าเพราะเป็นการตายฝ่ายวิญญาณด้วย
ข้อที่ 22 พระเยซูบอกต่อไปว่า“..ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า `อ้ายบ้า' ผู้นั้นต้องถูกนำไปพิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า `อ้ายโง่' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก”..คำว่าอ้ายโง่ กับ อ้ายบ้า ในสมัยนั้นมันมีความหมายไปในทางสบประมาท..ดูถูกเหยียดหยาม   ซึ่งใครก็ตามที่ว่าคนอื่นแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งเอาการ  แล้วน้าตุ๊กจะบอกให้นะ..ว่าในทางพระเจ้า ความบาปที่พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยที่สุด..ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  แต่เป็น”ความเย่อหยิ่ง” นี่แหละ เพราะความเย่อหยิ่งมันส่อถึงท่าทีในใจที่ไม่มีความรัก  แล้วที่เราต้องจำ คือ พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีภายในมากกว่าสิ่งที่ฉาบอยู่ภายนอก   พระองค์จึงทรงกล่าวโทษคนที่ดูถูกคนอื่น..ว่าต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน..
 ดู มัทธิว 5:23-24 ... “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า  ท่านมีเหตุขัดเคืองใจใคร ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา แล้วกลับไปคืนดีกับพี่น้องคนนั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” ..เห็นมะ..ข้อนี้ คอนเฟริ์มอีก พระเยซูทรงใส่ใจในรายละเอียดของท่าทีภายในจิตใจมากกว่าการกระทำภายนอก   เราอาจจะคิดว่าการทะเลาะกับเพื่อนมันเป็นเรื่องเล็กน้อย..ไม่น่าจะผิดจะบาปอะไร..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะเด็กๆ   น้าตุ๊กเคยสอนหลายครั้งแล้วว่าความบาปไม่ใช่เรื่อง”เซอร์ไพรส์” แต่มันจะก่อร่างสร้างขึ้นทีละน้อย  บ่มเพาะจากจุดเล็กๆจนเติบโตเป็นบาปที่ใหญ่โตลุกลามขยายเป็นวงกว้าง   ดังนั้น พระเจ้าจึงสอนให้เรารีบไปเคลียร์ความขัดแย้งทุกอย่างกับพี่น้องเสียก่อน   เพราะสำหรับพระเจ้า..ความรักสำคัญที่สุด  ถ้ายังไม่รัก..ไม่ให้อภัยพี่น้อง..ไม่แก้ไขท่าทีภายใน  เครื่องบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกมันก็ช่วยเราไม่ได้  และถ้าไม่ยอมไปเคลียร์ แปลว่า..”เราเย่อหยิ่ง” 
ในเรื่องนี้ คนทั่วไป..เป็นกันเยอะ  ชอบจัง..เน้นแต่พิธีกรรมหรือแก้ไขกันแต่เพียงภายนอก  อย่างพ่อแม่หลายๆคนที่ลูกเกเรหรือทะเลาะกับลูกบ่อย..ก็จะชอบเอาลูกไปรดน้ำอะไรบางอย่าง หรือไปเข้าคอร์สทำสมาธิอะไรต่างๆ  แล้วหวังจะให้ความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้น  น้าตุ๊กไม่ได้บอกว่าการมีสมาธิไม่ดี..ไม่ใช่  แต่มันไม่ตอบโจทย์หรอก   เพราะคุณยังไม่ได้เคลียร์ปัญหาในหัวใจ..(ของลูก)  และไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนหรือกับใคร..เราต้องทำแบบที่พระเยซูสอน คือ นั่งลงแล้วคุยกันอย่าง ”ถ่อมใจ”  บางทีเหตุผลก็ยังไม่สำคัญเท่ากับ”การถ่อมใจ”  อะไรที่เราผิด..ต้องสำนึกและขอโทษ  อย่ามาอีโก้แบบชั้นเป็นใคร..เธอเป็นใคร ชั้นเป็นแม่..หรือชั้นแก่กว่า แกต้องมาง้อชั้น..”อย่า ! ” อย่าทำ
ดู มัทธิว 5:25-26  ข้อนี้ก็อยากสอนมาก  ถึงตอนนี้..เรื่องอย่างงี้ อาจจะยังดูห่างไกลกับเด็กๆ  แต่น้าตุ๊กเชื่อว่า..บางทีโตขึ้นไปเด็กๆอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมัน  พระเยซูบอก  ”..จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว”  คำว่า”คู่ความ” หมายถึง ทุกคนที่เราเข้าไปมีกรณีพิพาทย์กับด้วย..ไม่ว่าจะเรื่องอะไร..โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม  อาจจะแค่พูดจากระทบกระทั่ง..หรือเหยียบเท้ากัน  เรื่องใหญ่หน่อยก็ตัวอย่างเช่น เรื่องหนี้สินเงินทองหรือขับรถไปเฉี่ยวชนกัน อะไรต่างๆเหล่านี้..ใช่หมด   พระเจ้าสั่งว่า..”จงปรองดอง”  ปรองดองแปลว่า”พยายามทำให้ทุกอย่างสงบ..อย่ามีปัญหา..อย่าใช้อารมณ์” 
ยกตัวอย่าง เรื่องรถชนก่อน..ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด พอชนปุ๊บ!ทำไง..(บางคนลงไปว่าเขาเลย..”ขับรถยังไงเนี่ย...จะรีบไปตายรึไง  ถ้าอีกฝ่ายใจร้อนก็ยิงกันตายไปเลย..สมัยนี้” จริงมั๊ยคะ)  คือ ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด  จำไว้..พอชนปุ๊บ! ให้ลงไปขอโทษนะคร๊าบ เป็นอะไรมั๊ยครับ  แล้วถ้ามีประกันก็ว่ากันไป  ยังไงก็ให้พูดจาแบบถ่อมใจปรองดองกับเขาไว้..ตามที่พระเยซูสอน   
อีกเรื่องที่อยากจะยกตัวอย่าง ก็คือ เวลาที่“เป็นหนี้เขา”  ในชีวิตความเป็นจริง  “ปกติ”แล้ว..ไม่มีใครอยากเป็นหนี้  (ที่ไม่ปกติเราไม่พูดถึง) ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอีกเหมือนกัน ..ที่วันนึงเราอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะที่”เป็นหนี้” ..และถ้าเราเป็นหนี้เขา..พระเยซูบอก “จงปรองดองกับคู่กรณี”...ทำไง   เป็นหนี้เขา จำไว้ !..ถ้ามีเงิน”ต้องใช้หนี้ก่อน”ไม่ใช่เอาไปใช้ฟุ่มเฟือยก่อน  น้าตุ๊กเห็นมาเยอะมาก  ยังเป็นหนี้อยู่  แต่พอมีเงินแทนที่จะใช้หนี้..เปล่า เอาไปซื้อรถ..ซื้อมือถือ..นู้นนี้นั้น  แต่ ! ไม่ใช้หนี้ หรือไม่ก็ใช้แค่บางส่วน..แบบนี้อย่าทำ  เพราะลองคิดดู  ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้เราจะรู้สึกยังไง..ที่ลูกหนี้ทำแบบนี้
ที่นี้ ถ้ากรณี..เป็นหนี้  แล้วยังไม่มีเงินใช้เขา  เราควรทำไง..ก็ไม่ได้หลุดคอนเซ็ปต์ของพระเยซูเลย  “จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว..” ..ต้องรีบไปเลย..ไปหาเจ้าหนี้ขอผ่อนผัน..ขอความเมตตา  ไปหาเขาก่อน..อย่ารอให้เขาเป็นฝ่ายมาหาเรา  อย่าทำเฉย  หายหน้า..หายตา   ปิดมือถือติดต่อไม่ได้..ไม่เอานะคะ..อย่าทำ  เพราะมันจะ”บันดาลโทสะ”ให้กับคนที่เป็นเจ้าหนี้  ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีจะรู้ว่า..ปัญหาหนี้สินที่ถึงขั้นต้องฟ้องร้องขึ้นศาลหรือแม้แต่ฆ่ากันตายไปเลยเนี่ย  ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นเพราะเจ้าหนี้เขา”บันดาลโทสะ” ก็คือ ลูกหนี้มันทำให้โมโห..โทรไปไม่รับ..บ่ายเบี่ยงเจตนาไม่ดี  หรือบางทีก็พูดจาหาเรื่อง..หาเรื่องจะไม่ใช้หนี้   เขาก็เลยต้อง..”..อายัดเราไว้กับผู้พิพากษา แล้วคราวนี้ล่ะ..เราต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที..ตามที่พระคำภีร์บอกไว้  ไม่มีก็ต้องไปหามา  เดือดร้อนญาติโกโหติกา  เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น..เขาก็จะขังเราไว้ในเรือนจำ”..แบบที่พระเยซูบอกเลย  
จำไว้นะคะเด็กๆ ไม่มีเจ้าหนี้คนไหนหรอก..ที่ลูกหนี้มาขอเคลียร์ด้วยเจตนาดี..ตั้งใจดีแล้วเขาจะไม่อลุ่มอล่วยให้  ยิ่งเรามีพระเจ้าด้วยแล้ว..ไม่ต้องกลัว  ถ้าเราเจตนาดีซะอย่าง..เจ้าหนี้ต้องให้โอกาสเราแน่นอน
ดู มัทธิว 5:27-28  นี่ก็เป็นอีกข้อที่บันทึกไว้ในพระบัญญัติทางโมเสส   พระเยซูบอก..พวกเราคงเคยได้ยินแต่คำสอนที่บอกว่า“..อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา  ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิง (สมัยนี้น่าจะรวมถึงผู้หญิงที่มองผู้ชายด้วย) ด้วยใจไม่บริสุทธิ์  ก็ถือว่าล่วงประเวณีแล้ว”  ข้อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามาตรฐานของพระเจ้า คือ “แค่คิดก็ผิดแล้ว” ชาวยิวโบราณหรือแม้แต่คนทั่วไป อาจจะถือว่า..ถ้าแค่มองแล้วแอบคิด..คงไม่ผิดอะไร  ก็ยังไม่ได้ลงมือทำ  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ “เพราะ แค่คุณคิดก็ถือว่าทำบาปแล้ว”  พระองค์ถึงต้องมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อแบกรับ..สิ่งที่เกินกว่ากำลังของเรา  พระองค์รู้ดีว่าไม่มีใครเลย..ที่จะไม่เคย”คิดชั่ว”  แล้วก็ทำตามกฎได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์  เพราะมาตรฐานของพระเจ้าสูงมาก..แค่คิดก็ไม่ได้..คิดไม่ดีก็บาปแล้ว  (ทีนี้ เห็นภาพรึยังว่าเราต้องการพระเยซูมากแค่ไหน..)
ดู มัทธิว 5:29-30 “..ถ้าตาขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้ง..” หรือ “ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดมันทิ้งไป”....ฟังดูรุนแรงน่ากลัวมาก  แต่ความหมายในข้อนี้  จริงๆน้าตุ๊กคิดว่า..พระเยซูทรงตั้งใจจะบอกเราว่า “อย่ายอมออมชอมให้กับความบาป”  แล้วถ้าเราจะหลีกเลี่ยงการทำบาป   บางครั้ง เราต้องยอมตัดบางสิ่งในชีวิตทิ้งไป เช่น ตัดความสัมพันธ์กับบางคน  ถ้าอยู่ใกล้ใครแล้วใจคอยแต่จะล่วงประเวณี..ก็อย่าไปใกล้เขา   ถ้าอยู่ใกล้เพื่อนคนไหนหรือกลุ่มไหนแล้วคอยแต่จะพากันเที่ยวกลางคืน..ก็ต้องเลิกคบไป (ตัดทิ้งไป)   หรือะไรก็ตามที่มันเป็นตัวฉุดรั้งให้เรา..ห่างจากพระเจ้า..ไม่อยู่ในทางของพระองค์..เราต้องตัดมันทิ้งไป   อย่าเอาตัวเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง..สถานการณ์ที่เสี่ยงหรือเอื้อต่อการทำบาป  นี่คือ ความหมาย..ที่พระเยซูบอกเราในข้อนี้   เพราะการเสียอวัยวะไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ การยอมข่มใจตัดบางอย่างออกไปจากชีวิต..มันก็ดีกว่าที่ทั้งตัวของเราต้องถูกทิ้งลงนรกไป  เพราะทำบาปต่อพระเจ้า 
ดู มัทธิว 5:31-32  ...ในบัญญัติเดิมของโมเสส  มีบันทึกเกี่ยวกับการหย่าร้าง  ที่เหมือนจะอนุญาตให้หย่ากันได้  แต่ต้องทำหนังสือให้เรียบร้อย..ประมาณนั้น  แต่พระเยซูบอก ผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการมีชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นล่วงประเวณี และถ้าใครจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีด้วย”....พระเยซูไม่ได้ค้านหรือขัดแย้งกับพระบัญญัตินะคะ  พระองค์แค่ไม่อยากให้ใครเอากฎข้อนี้มาอ้าง..เพื่อที่จะหย่าร้างกันตามสบาย   นึกอยากจะแต่ง..ก็แต่ง  นึกอยากจะหย่า..ก็หย่า..ไม่ได้   เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อภาพรวม   ทุกสังคมตลอดจนชาติบ้านเมืองจะมั่นคงหรือไม่..ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวเป็นหลัก   ถ้าแค่ทำหนังสือแล้วก็หย่ากันได้.. ความอดทนซึ่งกันและกันจะอยู่ตรงไหน.. คนของพระเจ้าจะต่างกับคนอื่นยังไง..จะเรียกว่าเป็นแสงสว่างมั๊ย  ในเมื่อสถาบันครอบครัวที่ได้ชื่อว่าสำคัญที่สุด..คุณยังล้มเหลว   พระเยซูถึงตรัสชัดเจนว่าพระองค์ไม่สนับสนุนให้ใครหย่าร้างกัน  ตอนเลือก..ไม่เลือกให้ดีก็ต้องกินผลไป..ยังไงคริสเตียนก็ต้องอดทนและเปลี่ยนแปลง
ดู มัทธิว 5:34-37  “..อย่าปฏิญาณเลย ไม่ว่าจะอ้างถึงสวรรค์หรือจะอ้างถึงแผ่นดินโลกก็ดี  อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้  จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแค่นี้ก็พอแล้ว”  คือ ในสมัยพระคำภีร์เนี่ย..คนอิสราเอลรู้สึกว่าการสาบานโดยออกพระนามพระเจ้า..จะทำให้คำพูดมีน้ำหนักขึ้น  แต่พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีในใจ  พระองค์สอนว่า “เราต้องพูดความจริงเสมอ” โดยไม่ต้องสาบาน เพราะในยุคพระคุณนี้ตัวเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะพูดหรือทำอะไรพระวิญญาณที่สถิตกับเราทรงเป็นพยานอยู่แล้ว  เพราะงั้น ไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า  อ้างดิน..อ้างฟ้า ให้มันเยอะแยะเหมือนคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาชอบทำกัน..”การไปสาบานต่อหน้านามไหนๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ”..ไม่จำเป็นสำหรับคริสเตียน    เพราะเรามีพระวิญญาณอยู่ด้วย  เครดิตร์แค่นั้นมากพอแล้ว
ดู มัทธิว 5:38-40  ในบัญญัติของโมเสสบอก “ตาแทนตา และฟันแทนฟัน”..กฎพวกนี้  จริงๆแล้วค่อนข้างจำเป็นนะคะในสมัยของโมเสส  เพราะผู้คนยังค่อนข้างป่าเถื่อน  คำว่า”ตาแทนตา  ฟันแทนฟัน” ในบริบทนี้ เล็งถึงการพิพากษาคดีแบบยุติธรรม  ซึ่งเป็นหลักเกฎฑ์ของกฎหมายที่พระเจ้าให้ไว้ทางโมเสส  เพื่อจำกัดขอบเขตไม่ให้มนุษย์แก้แค้นกัน..เกินกว่าที่ถูกกระทำ 
แต่พระเยซูสอนเราว่า “อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวา..ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย”   ..ไหวมั๊ย  ต้องไหวนะ หรือ “ใครฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ก็ให้เสื้อคลุมแก่เขา..แถมไปด้วยเลย”.... ความหมายในข้อนี้ คือ ไม่ใช่แค่..ไม่ให้แก้แค้น  แต่ต้องยกโทษให้เขาด้วย   เพราะถ้าไม่ยกโทษให้จะมีใจแถมเสื้อคลุมให้เขามั๊ยล่ะ      น้าตุ๊กว่าคำสอนของพระเยซูในข้อนี้..เป็นแท็กซ์ติก ของพระองค์ในการที่จะละลายความโกรธหรือความแข็งกระด้างในหัวใจของมนุษย์..ด้วยการสั่งให้เรา..ให้ออกไป  เพราะการให้เป็นผลของความรัก  โดยเฉพอย่างยิ่ง”การให้อภัย”  จริงอยู่ ที่บางครั้งเราอาจจะให้โดยที่ไม่รักก็ได้  แต่ยังไงก็ตาม “การให้” ก็มีอานุภาพในการที่จะหลอมหัวใจมนุษย์ให้อ่อนโยนลงได้..ไม่ว่าจะให้อะไรก็ตาม   ดังนั้น การยื่นแก้มอีกข้างให้ตบหรือการแถมเสื้อคลุมให้เขา..ในบริบทนี้จึงเล็งถึงการ”ให้อภัย”   เราอาจจะไม่สามารถแถมอย่างงี้หรือทำอย่างงี้ในสถานการณ์จริง  แต่ขอให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่พระเยซูพยายามบอกเรานะคะ
    หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ “มัทธิว” ครั้งที่ 2


คราวที่แล้ว เรามาถึงเรื่องราวของ”ยอห์น” ผู้ให้บัพติศมา  พระคำภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเตรียมยอห์นและกำหนดบทบาทของเขาไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  พระองค์ส่งทูตสวรรค์มาบอกกับพ่อของยอห์นว่า..ยอห์นจะเกิดมาเป็นนาศีร์  และจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก  เมื่อยอห์นโตขึ้นเขาไปใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร คือ อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร  กินจักจั่นกับน้ำผึ้งป่า  เรียกว่าอยู่ง่าย..กินง่าย  ฝึกฝนตัวเอง.. รอเวลาที่พระเจ้าจะเรียกเขาออกมา    แล้วในที่สุด เมื่อยอห์นอายุประมาณ 30 ในราว คศ. 26  พระเจ้าก็ทรงเร้าใจ..ว่าถึงเวลาแล้วที่ยอห์นจะออกมารับใช้พระองค์ด้วยการประกาศข่าวดี  เทศนา พร้อมทั้งให้บัพติศมาผู้คนที่เชื่อและกลับใจใหม่
ดู ลูกา 3:7  ยอห์นเปิดฉากการเทศนาขณะที่ให้บัพติศมาว่า “..เจ้าชาติงูร้าย  ใครเตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาที่จะมาถึง”  มีใครกล้าประกาศเหมือนยอห์นมั๊ย..น้าตุ๊กไม่กล้า โผล่มา..ก็ด่าเขาเลย  แต่ปรากฎว่า  ประชาชนส่วนใหญ่กลับใจเชื่อฟังยอห์น  เนี่ย..เห็นมะ  ถ้ามาจากพระเจ้านะ..พูดยังไงเขาก็เชื่อ  เราต้องเข้าใจอารมณ์ของคนอิสราเอลในเวลานั้นด้วยว่า “พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้ามานานมากแล้ว  ตั้งแต่พระคำภีร์เดิมสิ้นสุดลงที่หนังสือมาลาคี  เป็นเวลาราว 400 ปีที่พระเจ้าไม่ตรัสเลย    จนถึงวันนี้..ที่ยอห์นถูกเรียกออกมารับใช้  ก็นับเป็นครั้งแรกที่คนอิสราเอลได้ยินเสียงพระเจ้าอีกครั้ง   และทั้งที่ยอห์นพูดขวานผ่าซากขนาดนี้  แต่คนอิสราเอลจำนวนมากก็กลับใหม่ทันทีที่ได้ยินยอห์นประกาศ  เพราะไร..ยอห์นเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ  (ลูกา 1:17) .. เขาจะรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ คือ เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า  ผู้ที่จะรับใช้แล้วเกิดผลอย่างมากมาย..ต้องรับใช้ด้วย”สิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า” จะทำอะไรตามใจตัวเอง..ไม่ได้  เด็กๆจำไว้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม  ถ้าใจเราโฟกัสที่เรี่ยวแรงกำลังหรือสติปัญญาของตัวเอง..มันจะไปไม่ถึงไหนหรอก  แต่ถ้าเราโฟกัสที่จะพึ่งพาพระเจ้า..เคลื่อนไปโดยอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์..เราจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง..เสมอ 
ดู ลูกา 3:8-9  ..อย่านึกเหมาในใจว่าตัวเองเป็นลูกหลานของอับราฮัม..ผู้ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้รับพระพร  แล้วจะทำตัวชั่วช้าเลวทรามยังไงก็ได้..ไม่ใช่  “..พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้”  ..อับราฮัมเป็นที่โปรดปรานก็จริง  แต่อับราฮัมใช่จะช่วยได้ทุกอย่าง  เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือก..และความจริงก็คือ พระเจ้าเลือกใครก็ได้  ถูกมั๊ยคะ  พระเจ้าถึงบอกว่า “พระองค์จะเสกพงศ์พันธ์ของอับราฮัมให้ออกมาจากก้อนหิน..ก็ยังได้”  
ข้อที่ 9 บอก.. “ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว..” หมายถึง เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว “ และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในเตาไฟ” ..ถามว่าข้อนี้วัดกันตรงไหน  เกิดผล กับ ไม่เกิดผล..วัดกันตรงไหน  ก็ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไง..ที่จะเป็นบรรทัดฐาน  ประชาชนได้ยินการประกาศของยอห์นแล้ว  กลับใจเชื่อหรือไม่..นั่นแหละ คือ สิ่งที่จะแยกมนุษย์ออกเป็น 2 ฝ่าย  ผู้ที่เชื่อก็นับเป็นต้นที่เกิดผลดี  แต่ถ้าไม่เชื่อ..ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดและโยนทิ้งลงบึงไฟนรกไป
ดู ลูกา 3:10-13 “ประชาชนถามยอห์นว่า..แล้วพวกเขาต้องทำยังไงอีก..”  ยอห์นบอก “ใครที่มีเสื้อผ้าและอาหารอย่างเพียงพอ.. ก็ให้แบ่งให้คนที่ไม่มี  ส่วนพวกที่เก็บภาษี..ก็อย่าขูดรีดมากนัก  ข้อที่ 14 บอกว่า..ฝ่ายพวกทหารก็ถามยอห์นด้วย..ว่าพวกเขาต้องทำไง ยอห์นบอก “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง” ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การคอรัปชั่น มีมานานมากละ..ตั้งแต่สมัยพระเยซูแล้ว  แล้วถ้าสังเกตุให้ดี..เราจะเห็นว่า ยอห์นไม่ได้สอนเรื่องใหม่เลย  ยอห์นเน้นย้ำให้ประชาชนเคร่งครัดที่จะทำตามบัญญัติของโมเสส  ทุกข้อที่ยอห์นสอนไป..ไม่มีอะไรใหม่  เป็นเรื่องที่พระเจ้าสั่งไว้แล้วทั้งหมด
ข้อที่ 15 บอกว่า “เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระคริสต์อยู่ และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระคริสต์หรือมิใช่”  คือ ผู้คนที่ตอบสนองต่อการประกาศของยอห์น  ส่วนใหญ่คิดว่า..ยอห์นคือ “พระคริสต์”  เพราะด้วยคำสอนและสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า..ประชาชนส่วนใหญ่เลยคิดว่ายอห์นคือพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา..ปลดปล่อยจากอะไร ? คนยิวส่วนใหญ่คิดว่า”พระคริสต์”จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้ป็นอิสระจากมหาอำนาจ..ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของใคร..เขาคิดแค่นั้น  เพราะเด็กๆต้องเข้าใจว่า..ตั้งแต่ที่อาณาจักรยูดาห์ล่มสลายไป  อิสราเอลก็ไม่เคยมีเสถียรภาพอีกเลย..เป็นเหมือนลูกบอลที่เขาส่งลูกกันไปมา  ใครขึ้นมาเป็นใหญ่..ก็จะได้อิสราเอลไปครองด้วย..เสมอ  เพราะงั้น “พระคริสต์”ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้..ตามความรู้สึกของคนยิว คือ ผู้ที่จะมาช่วยปลดปล่อย..ให้ประเทศอิสราเอลได้เป็นอิสระจากมหาอำนาจอีกครั้งนึง  ซึ่งขณะนั้น..ก็หมายถึง อาณาจักรโรม 
ดู ลูกา 3:16-17 เมื่อถูกถามว่า “ยอห์น นั้นเป็นพระคริสต์ใช่หรือไม่” ยอห์นบอก..ไม่ใช่ เขาเป็นแค่”ผู้เตรียมทาง หรือ แค่เพื่อนเจ้าบ่าวเท่านั้น..ไม่ใช่ตัวจริง” แต่จะมีอีกพระองค์หนึ่ง..ที่ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าจะเสด็จมา  ซึ่งเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะแตะต้องฉลองพระบาทของพระองค์  ยอห์นบอก..”เขาให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” ..การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยอห์นพูดถึงครั้งนั้น  เล็งถึงเหตุการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์   ข้อที่ 17 บอกว่า “พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บ”ข้าว”ไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผา”แกลบ”ด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ" ในข้อนี้ ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่เป็นข้าว ก็เป็นแกลบ..พลั่วก็คือ อุปกรณ์ที่เขาใช้ในการตักข้าวเปลือกโยนไปในอากาศ  เพื่อให้แกลบพัดไปตามลม   ส่วนเมล็ดข้าวที่ใช้การได้ก็จะตกลงบนพื้น  อันนี้เป็นวิธีแยกแกลบออกจากข้าว  ซึ่งเป็นหมายสำคัญ  เล็งถึงการที่พระเจ้าจะคัดแยกคนของพระองค์ออกมา..เอาไปเก็บในยุ้งฉาง  หมายถึง.. พาไปอยู่ที่ที่พระองค์เตรียมไว้ คือ อาณาจักรสวรรค์  ส่วนแกลบ เอาไปทำไร..เอาไปเผาไฟ  นี่ก็เล็งถึงการพิพากษาที่จะมาถึงคนที่ไม่เชื่อในพระคริสต์..ที่กำลังเสด็จมา  กลับมาที่..
มัทธิว 3:13-15 ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาหายอห์น..ที่ลุ่มน้ำจอร์แดน  ข้อนี้ บอกว่า พระองค์เสด็จมาจากแคว้นกาลิลี..มาหายอห์นเพื่อ”รับบัพติศมา” จากท่าน  และเมื่อยอห์นเห็นพระเยซูปั๊บ ! เขารู้ทันทีว่าพระองค์ คือ พระคริสต์  ยอห์นรู้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนั้น คือ พระเมสสิยาห์ที่ทุกคนรอคอย  ข้อที่ 14 บอก..ยอห์นจึงทูลห้ามพระเยซู บอกว่า “..ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาและรับบัพติศมาจากข้าพระองค์” คือ ยอห์นรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู  เพราะพระองค์สูงส่งกว่าเขา..อย่างเทียบไม่ได้เลย  ยอห์นคิดว่าเขาต่างหาก..ที่น่าจะเป็นฝ่ายรับบัพติศมาจากพระองค์    แต่พระเยซูตรัสกับยอห์นว่า “บัดนี้ จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำสิ่งชอบธรรมทุกประการ”..พระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็นชัดเจน..ว่า อะไรที่พระเจ้าสั่งให้ทำ..ก็จงทำ  โดยไม่มีข้อแม้   เพราะขนาดพระองค์เองผู้เป็นพระเจ้าก็ยังทรงถ่อมใจลงเชื่อฟังและทำตามให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง  และเมื่อพระองค์ยืนยันอย่างนั้น  ยอห์นจึงให้บัพติศมาแก่พระเยซู    จากนั้น ข้อที่ 16 บอกว่า “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว..เสด็จขึ้นจากน้ำ  ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาสถิตอยู่บนพระองค์”..พร้อมทั้งมีเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเราและเราชอบใจท่านมาก  อันนี้คือ หมายสำคัญที่เป็นการยืนยันจากพระเจ้า..และพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย..ว่าพระเยซูคือพระบุตรองค์นั้นที่เสด็จมาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา
ดู มัทธิว 4:1-4  ข้อนี้ เป็นช่วงที่พระเยซูถูกมารทดลอง  พระคำภีร์บอกชัดเจนว่า“..พระวิญญาณทรงนำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร..” พระวิญญาณ”เป็นผู้ที่นำพระเยซู..ไม่ใช่มารนะคะ  อันนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าการทดลองทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับเรา  “พระเจ้า”เท่านั้น ที่สามารถอนุญาตให้เกิดขึ้น..  มารไม่มีสิทธิ์มาควบคุมชีวิตเรา   มันเป็นได้อย่างมากก็แค่เครื่องมือ..ที่พระเจ้าใช้ให้มาทดลองเรา..เหมือนกับที่มันกำลังทดลองพระเยซูอยู่ตอนนี้  
พระวิญญาณนำพระเยซูเข้าไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  อันนี้คือ ถิ่นทุรกันดาร”ยูเดีย”..ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม    เมื่อทรงอดอาหาร 40 วัน 40 คืน แล้ว..มารก็มาทดสอบพระองค์ บอกว่า..”ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าจริง ก็เสกให้ก้อนหินพวกนี้กลายเป็นอาหารสิ” พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” 
เราเคยเรียนกันหลายครั้งแล้วถึงตอนที่พระเยซูถูกมารทดลองนี้  และพระองค์ก็ไม่บาป..พระองค์ชนะการทดลองคือสอบผ่านตลอด  แต่ประเด็นที่น้าตุ๊กอยากชี้ให้เห็นในข้อนี้ก็คือ  ที่พระองค์ไม่บาป..หลายคนอาจแอบคิดว่า  ใช่สิ..ก็พระองค์เป็นพระเจ้านี่  เลยเอาชนะความบาปได้   อันนี้..  เข้าใจผิด  ความจริงคือ เมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์..พระองค์ทรงอยู่สภาพเดียวกับเรา 100%   สังเกตดูดีๆข้อนี้ บอกว่า..เมื่ออดอาหารแล้วพระองค์ทรง”อยากพระกระยาหาร”  แปลว่า “หิว” พระเยซู หิวเป็น เหนื่อยเป็น เจ็บเป็น ร้อน..หนาว และที่สำคัญมีวาระที่พระองค์”กลัว”  แต่ความกลัวของพระองค์ต่างกับความกลัวของมนุษย์  ความกลัวของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะ..มนุษย์ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์สุดท้ายของแต่ละสถานการณ์ได้  ถ้าเขาเหล่านั้นสามารถกำหนดรูปแบบความเลวร้ายที่สุดของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้  ความกลัวจะลดน้อยลงหรือหายไปทันที   ดังนั้น แท้จริงแล้ว มนุษย์”กลัว” สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ต่างหาก..หาใช่สถานการณ์เลวร้ายไม่   และสาเหตุที่เป็นอย่างนี้  ก็ต่อเนื่องจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปตั้งแต่ปฐมกาล..เพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้าแต่อยากจะเป็นผู้ควบคุมซะเอง  แต่ความกลัวของพระเยซูนั้น..เป็นเพราะพระองค์รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น..และบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไง  พระองค์วางใจในพระบิดาเต็มเปี่ยม   แต่ณ.จุดนั้นเนื้อหนังความรู้สึกแบบมนุษย์ที่มีอยู่ในพระองค์ครบถ้วน..มันทำงานอย่างเต็มขนาดอย่าง ดู มัทธิว 4:5-7  แล้วมารก็ทดลองพระเยซูอีก  โดยนำพระองค์ไปประทับบนยอดหลังคาพระวิหาร..พระวิหารนี้ เป็นวิหารที่ก.เฮโรดใหม่สร้างขึ้นบนรากของวิหารที่ซาโลมอนสร้างไว้  จากพื้นถึงหลังคาก็สูงประมาณตึก 15 ชั้น  มารบอกพระเยซูว่า ”ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงไปเถิด พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ให้เอามือประคองชูท่านไว้..” พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”  สังเกตุดูนะคะพระเยซูจะอ้างพระคำภีร์ทุกครั้งในการตอบโต้กับมาร  อันนี้ก็เป็นบทเรียนของเราในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน..คำตอบของเราต้องอยู่ใน”พระคำภีร์” เสมอ
แล้วคำว่าอย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า..มนุษย์ทุกคนต้องจำไว้ให้ดี มีหลายครั้งที่น้าตุ๊กเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง ก็ต้องทำ 1..2..3..ได้สิ หรือถ้าจะให้เชื่อก็ต้องให้ชั้น...(ได้อย่างที่ต้องการ)  ถามหน่อย..ถ้าต้องให้ตามที่เรียกร้องเพื่อให้เธอเชื่อ..แล้วตกลงใครใหญ่         เพราะนั่นมันวิธีที่คนไม่มีพระเจ้าเขาใช้เรียกร้องกับพระของเขา..ถูกมะ แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่  อะไรดีสำหรับเรา พระองค์รู้หมดแล้ว..พระองค์รู้ดีกว่าเราแน่นอน  ถ้ารู้เท่าๆเราพระองค์จะดูแลชีวิตเรารวมถึงมหาจักรวาลนี้ให้ขับเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์..ไม่ได้หรอก
ดู มัทธิว 4:12-13  พระเยซูทรงเริ่มต้นราชกิจของพระองค์  หลังจากที่ทรงสั่งสอนและให้บัพติศมาผู้คนแถวน.จอร์แดนแล้ว  พระองค์ก็ย้ายไปที่แคว้นกาลิลี   ข้อที่ 18 บอก..ทรงเรียกเปโตรกับอันดรูว์ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องที่เป็นชาวประมงสองคน คือซีโมนหรือที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา  พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”  ..เพราะสาวกเหล่านี้ที่พระองค์ตั้งไว้จะพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์  พวกเขาจะเป็นผลแรกแห่งคริสตจักรของพระเยซูคริสต์  ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ในวันเพนเธคอสต์  (เดี๋ยวเราจะได้เรียนกันต่อไป)  จากนั้น ทรงเรียกยากอบกับยอห์น  ซึ่งตอนนั้นกำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อ  แต่พระคำภีร์บอก..”ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป”  ข้อที่ 23 บอกว่า “พระเยซูทรงประกาศในแคว้นกาลิลี  ทรงสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐ  และยังทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย ทั้งหมดนี้ ก็เป็นราชกิจที่แคว้นกาลิลี
ดู มัทธิว 5:1-5/6-10  ภูเขาที่กล่าวถึงในข้อนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นภูเขาอะไร  แต่ในหนังสือมัทธิว มักจะเอ่ยถึงภูเขาว่าเป็นที่ “อธิฐานและรับการสำแดงจากพระเจ้า”  ก็ลักษณะเดียวกันกับพระคำภีร์เดิมที่พระเจ้าสอนคนอิสราเอลหรือเวลาที่พระองค์จะเรียกโมเสสไปรับการสำแดง..พระองค์ก็จะเรียกให้ขึ้นไป..”บนภูเขา”  และการเทศนาบนภูเขาของพระเยซูก็เจาะจงสำหรับสาวก..ไม่เฉพาะสาวก 12 คน แต่รวมถึงประชาชนที่ติดตามพระองค์ไปเพื่อจะเรียนรู้จากพระองค์ด้วย    สังเกตุคำสอนทั้ง 8 ข้อนี้ เป็นข้อที่มีพระพรพ่วงท้ายเสมอ   พระเยซูใช้คำว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” ถึง 8 ครั้ง..เพื่อไร เพื่อที่ที่จะย้ำกับทุกคนว่า..ผู้ที่เข้ามาเชื่อในพระองค์  จะได้พบสันติสุขแท้จริง..อย่างแน่นอน  อย่างเช่น ข้อที่ 3 บอกว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา” ..ข้อนี้  น้าตุ๊กว่า พระเยซูพยายามจะบอกเรา..ว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม  เพราะงั้น ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดีพร้อมแล้ว “นั่นคือมีปัญหา”  คำสอนของพระเยซูจะประมาณนี้  สั้นๆ..ได้ใจความ  และเป็นมาตรฐานของพระเจ้าซึ่ง..ถ้าไม่มีพระเจ้า..ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ไม่มีใครทำตามได้แน่นอน  นอกจากเข้ามาพึ่งในพระคุณพระองค์เท่านั้น  ( และประสบการณ์เบื้องลึกในเรื่องนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเด็กๆเอง  ถ้าเด็กๆมีความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกับพระองค์)

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ “มัทธิว” ครั้งที่ 1


เชื่อว่า “ท่าน มัทธิว” เป็นผู้เขียน  มัทธิวเป็นหนึ่งในอัครสาวก 12 คนของพระเยซู   และมัทธิวมีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี  ซึ่งถ้าจะมองฝ่ายโลก..มัทธิวก็เป็นที่รังเกียจของคนยิวเพราะคนเก็บภาษีในสมัยนั้นได้ชื่อว่า”เป็นคนบาป” ชอบขูดรีดเก็บภาษีเกินพิกัด  เพราะส่วนใหญ่ต้องไปขอสัมปะทานมา  ถ้าไม่เก็บเยอะๆเดี๋ยวจะขาดทุน   ดังนั้น ถ้ามองตรงจุดนี้ก็คือ พระเจ้าทรงเลือกคนที่โลกไม่สมบูรณ์พร้อม  หลายครั้งพระองค์เลือกคนที่โลกประนามว่าเป็นคนไม่ดี   เพราะคนแย่ๆเหล่านี้แหละ..ที่เมื่อพระองค์ทรงขัดเกลาแล้วชนทุกชาติก็จะเห็นพระสิริของพระองค์ได้อย่างชัดเจน  และด้วยความที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี   อีกด้านนึงมัทธิวจึงเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ  ทำบัญชี..จดบันทึกได้อย่างถี่ถ้วน   แล้วก็ยังเชี่ยวชาญในภาษากรีกอย่างมาก
ส่วนเวลาที่เขียนก็เชื่อว่า  หนังสือ”มัทธิว” เขียนขึ้นหลังจากที่พระวิหารในเยรูซาเล็มถูกทำลายไปแล้วใน คศ. 70
หนังสือ มัทธิว มีทั้งหมด 28 บท  และรายละเอียดของเนื้อหาหลักแบ่งได้เป็น 5 หัวข้อได้แก่..
1. เรื่องเกี่ยวกับพงศ์พันธ์  การกำเนิดและบ้านเกิดของพระเยซูในวัยเยาว์
2. ราชกิจกับมวลชนในแคว้นกาลิลี
3. ราชกิจกับเหล่าสาวก  และการเตรียมสาวกของพระเยซู
4. ช่วงที่มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม  และราชกิจในแคว้นยูเดีย
5. การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  มาจนถึงการฟื้นคืนพระชนม์และการบัญชาเหล่าสาวก 
ดู มัทธิวบทที่ 1:1-17  ข้อนี้จะเป็นลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ที่เราเคยอ่านหลายครั้ง  แล้วก็จำไม่หวาดไม่ไหว   เพราะมีแต่ชื่อที่เรียกยากๆยาวเหยียด   แต่จำไม่ได้ไม่เป็นไร  น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็นเฉพาะข้อเด่นๆ  และประเด็นที่น่าสังเกต..
อันแรก คือ ข้อที่ 17 พงศ์พันธ์ของพระคริสต์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ  โดยนับเป็นกลุ่มละ 14 ช่วงอายุ  กลุ่มแรกนับจาก”อับราฮัม”  จนถึง ก.ดาวิด (14 ชั่วคน)   กลุ่มที่สอง คือ จาก”ดาวิด” ถึงรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย (14 ชั่วคน)  และกลุ่มที่สาม นับจากรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน  จนถึงพระเยซูตริสต์  (ก็ 14 ชั่วคน)  ดังนั้น มี 3 คนที่น้าตุ๊กอยากพูดถึง
คนแรก คือ อับราฮัม  คือ ต้นตระกูลของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้  มัทธิวต้องการชี้ให้ชนชาติยิวรู้ว่า  พระเยซูสืบเชื้อสายมาทาง”อับราฮัม”
คนที่สองคือ “ดาวิด”  กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล  ยิ่งใหญ่จริงๆทุกวันนี้ธงประจำชาติอิสราเอลยังคงเป็นรูปดาวดาวิด  และดาวิด คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า ( A man after God’s own heart) แปลว่า “บุรุษผู้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า” (เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมาแล้ว..ถูกใจที่สุด)  และในพระคำภีร์เดิม  ดาวิดเป็นเงาของพระเยซูคริสต์  
และสุดท้ายคือ พระเยซู ผู้ซึ่งเป็นพระเมสสิยาห์  เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แท้จริงของชาวยิวและมนุษยชาติทั้งปวงด้วย 
สิ่งที่น่าสังเกตในข้อที่ 3-6 คือ มีผู้หญิงอยู่ 5 คนที่พระคำภีร์กล่าวถึงอยู่..ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์  คนแรก คือ นางทาร์มา  เปิดไปดู..
ดู ปฐก.38:16-18  จริงๆทาร์มา  เป็นลูกสะใภ้ของยูดาห์..เป็นภรรยาของลูกชายคนโต  แต่อยู่มาสามีของทาร์มาตาย  แล้วธรรมเนียมของยิวก็คือ น้องชายคนถัดไปก็ต้องรับพี่สะใภ้เป็นภรรยา..เพื่อสืบเชื้อสายให้ลูกชายคนโต  แต่เรื่องของเรื่อง ก็คือ น้องชายคนรองก็ตายอีก  ยังเหลือน้องชายคนเล็กที่ต้องรับทาร์มานั่นแหละไปเป็นภรรยา  ทีนี้ ยูดาห์เห็นลูกชายตายไปสองคนแล้ว  พอเดาออกมั๊ย..ว่ายูดาห์คิดอะไร  “ใครไปเป็นสามีของยายคนนี้..ตายเรียบ”  ยูดาห์เลยกลัวลูกชายคนเล็กจะตายไปอีกคน  ก็เลยเฉไฉ  บ่ายเบี่ยงไม่ยกลูกชายคนเล็กให้ทาร์มา  ซึ่งจริงๆมันผิดธรรมเนียมที่พึงปฎิบัติต่อลูกสะใภ้ที่เป็นหม้าย  ทาร์มาเลยออกอุบายแกล้งปลอมตัวเป็นโสเภณีจนได้ไปหลับนอนกับยูดาห์ (พ่อสามี)  ไม่ยกลูกให้นอนกะพ่อสามีซะเลย ..จนในที่สุด ทาร์มาก็ตั้งท้อง  คือ สมัยนั้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกสืบสกุลเนี้ย  มันถือเป็นเรื่องน่าอับอายมากๆ   ถามว่าลูกที่เกิดกับยูดาห์(พ่อสามี)  ถือเป็นความเชิดหน้าชูตามั๊ย..เปล่าเลย  มันดูอัปยศและน่าตะขิดตะขวงใจด้วยซ้ำ  แต่ทาร์มาก็คงคิดว่า “ยังดีกว่า..ไม่มีลูก”  เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปี..เด็กๆดูว่า.. ที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่ทาร์มาทำ..
ในมัทธิว 1:3 นี้บันทึกว่า “ยูดาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อเปเรศกับเศ-ราห์เกิดจากนางทามาร์..”   ผลจากการกระทำของทาร์มาในครั้งนั้นกลายเป็นหนึ่งในแผนการของพระเจ้าในการเตรียมทางให้พระเยซูคริสต์มาบังเกิด  พระเจ้าตั้งใจมั๊ย..ให้มันเป็นแบบนี้  พระองค์ตั้งใจแน่นอน  แล้วเราเห็นอะไรในสิ่งที่พระองค์ทำ  พระองค์ไม่ได้เลือกแต่คนที่สมบูรณ์พร้อม  หรือ เกิดมาอย่างถูกต้อง  ไม่ว่าเราจะเกิดมาในสภาพไหน  อยู่สถานะใดของสังคม..ก็ไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า  ถ้าพระองค์เลือกเฉพาะผู้ที่มีสถานภาพถูกต้องหรือดูดีมีชาติตระกูลทุกอย่าง  ลูกของทาร์มาคงไม่ได้อยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูแน่นอนถูกมั๊ยคะ เพราะเป็นลูกนอกกฎหมาย 
ผู้หญิงที่น้าตุ๊กจะพูดถึงอีกในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูก็คือ “นางราหับ” กับ “นางรูธ”
ราหับ เป็นใครจำได้มั๊ย  เปิดไปดู..
ดู โยชูวา 2:1-4  ตอนที่โยชูวาจะเข้าไปยึดเมืองเยรีโค   เขาส่งผู้สอดแนมเข้าไปดูราดราวในเมืองเยรีโค   แล้วตอนนั้น”ราหับ” คนนี้แหละที่ช่วยเหลือผู้สอดแนมของโยชูวาไว้  บอกทางหนีทีไล่ให้อย่างดี  โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ ในวันที่คนอิสราเอลเข้ามายึดเมืองเยรีโค  พวกเขาต้องไว้ชีวิตเธอและครอบครัว   ทำไมราหับถึงทำอย่างงั้น  ตอนนั้น ราหับพูดกับคนสอดแนมว่า “เธอเคยได้ยินเรื่องราวที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลไว้หลายต่อหลายครั้ง  ไม่ว่าจะเป็นการอัศจรรย์ที่ทะเลแดง  หรือชัยชนะในแผ่นดินคานาอัน.. ข้อที่ 11 ราหับบอกว่า “พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในเราสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง..”  นี่คือ คำพูดของคนต่างชาติ    ราหับไม่ใช่คนอิสราเอลนะคะ..เธอป็นชาวเมืองเยรีโค  แต่กลับพูดจาอย่างคนมีความเชื่อมากกว่าคนอิสราเอลบางคนซะอีก         ทีนี้ มาดู”นางรูธ” บ้าง
ดู นางรูธ 1:2-7  นางรูธ  เป็นชาวโมอับ หมายความว่า เป็นคนต่างชาติเหมือนกัน  ในพระคำภีร์ถ้าไม่ใช่อิสราเอล  ก็ถือเป็นคนต่างชาติทั้งหมด   เรื่องราวของนางรูธเราก็เรียนกันไปแล้ว  แล้วก็ค่อนข้างน่าประทับใจ   นางรูธเป็นคนต่างชาติที่ได้แต่งงานกับคนอิสราเอล  ก็คือ ลูกชายของนาโอมี  แต่ต่อมาสามีของนาโอมีกับลูกชายทั้งสองคนเสียชีวิตที่แผ่นดินโมอับ  นาโอมีก็เลยตั้งใจจะกลับไปอยู่ที่แผ่นดินยูดาห์..บ้านเกิด  นาโอมีก็หวังดีอยากให้ลูกสะใภ้ทั้งสองคนมีโอกาสไปมีครอบครัวใหม่   แต่จนแล้วจนรอดรูธก็ไม่ยอมทิ้งแม่สามีไป  ขอตามกลับมาอยู่ที่อิสราเอลด้วย  สุดท้ายรูธก็ได้แต่งงานกับโบอาส  ซึ่งเป็นคนเผ่ายูดาห์  แล้วในรายชื่อพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ก็มีชื่อของนางรูธ..รวมอยู่ด้วย 
เรื่องราวของราหับ และ นางรูธที่พระคำภีร์บันทึกไว้ทำให้เรารู้ว่า.. พระเจ้าไม่ได้เลือกแค่คนอิสราเอลเท่านั้น  พระเจ้าเลือกคนต่างชาติ  และเลือกคนทุกชาติในการเข้ามารับความรอด  พระองค์ให้เกียรติมนุษย์ทุกคน  ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร..มีรูปร่างหน้าตา  ฐานะชาติตระกูลแบบไหน  พระเจ้าให้โอกาสแล้วก็ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากัน   น้าตุ๊กบอกแล้วว่าสิ่งเดียวที่เป็นบรรทัดฐานของพระเจ้า คือ “ข่าวประเสริฐ”  เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว..คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่นั้นเองที่สำคัญสำหรับพระเจ้า
        กำเนิดของพระเยซูคริสต์
ดู มัทธิว 1:18-20   มารีย์ ”ผู้ที่พระเจ้าเลือก” ให้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น  เดิมได้หมั้นกันแล้วกับโยเซฟ   ย้ำตรงคำว่า“ผู้ที่พระเจ้าเลือก”  หมายความว่า จริงๆพระเจ้าจะเลือกคนอื่นได้มั๊ย..ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้น มารีย์ก็เป็นแค่เครื่องมือหรือภาชนะอันนึงเท่านั้น  ในการที่พระเจ้าจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ  เราต้องอย่าหลงประเด็น  หรือไปให้ความสำคัญผิดคนนะคะ.. 
หมั้นกัน..แต่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน  แล้วปรากฎว่ามารีย์ก็เกิดมีครรภ์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อของมนุษย์   ข้อที่ 19 บอก “โยเซฟเป็นคนมีธรรมะ..” ก็หมายถึงเป็นคนดี  มีใจเมตตา  ก็เลยแค่อยากจะถอนหมั้นกับมารีย์เป็นการลับๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงอายหรือถูกลงโทษ  (ไม่เหมือนสมัยนี้นะ เป็นแฟนกัน..ไม่พอใจจุดไฟเผาเลย) โยเซฟไม่อยากให้เรื่องการถอนหมั้นกับนางมารีย์ถูกแพร่งพรายออกไป  เพราะตามบัญญัติของโมเสส  หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นก่อนแต่งงานจะต้องมีโทษถึงตาย   ข้อที่ 20  บอกว่า “ขณะที่โยเซฟกำลังคิดเรื่องนี้อยู่  ทูตสวรรค์องค์นึงก็มาบอกกับเขาว่า..อย่ากลัวที่จะรับมารีย์เป็นภรรยา  เพราะมารีย์ไม่ได้ล่วงประเวณี..ไม่ได้แอบไปนอนกับใคร  แต่ผู้ที่อยู่ในครรภ์ของมารีย์คือพระเมสสิยาห์ที่เกิดโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  และจะเป็นผู้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป 
ดู มัทธิว 2:1-5  พระเยซูทรงบังเกิดที่ “เบธเลเฮม”  เบธเลเฮม  เป็นเมืองเล็กๆอยู่ห่างจากเยรูซาเล็ม..ลงไปทางใต้ประมาณ 8 กิโล  ข้อนี้ มัทธิวต้องการที่ยืนยันว่าพระเยซูมาจากตระกูลของดาวิด  เพราะเบธเลเฮมนั้นเป็นเขตแดนของเผ่ายูดาห์ (ดาวิด เป็นคนเผ่ายูดาห์ พวกเรารู้นะ..)  ภายหลังมีพวกโหราจารย์มาถามว่า “กุมารผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน”  โหราจารย์เหล่านี้น่าจะมาจากแคว้นเปอร์เชียร์  พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มาประสูตินี้ต้องเป็นกษัติร์ของชาวยิวแน่นอน  เพราะโหราจารย์เหล่านี้มีความรู้เกี่ยวกับพระคำภีร์เดิม  รู้ได้ไง..รู้จากพวกยิวที่ตกไปเป็นเชลยในบาบิโลนและเปอร์เชียร์  นี่แสดงว่า ชาวยิว ต้องเป็นพวกที่เคร่งครัดในความเชื่ออย่างมาก ไปถึงไหนก็พาให้ผู้คนเขารู้จักพระธรรมโทราห์ไปด้วย  (ตามที่บันทึกในหนังสือกดว.24:17 “.ว่าจะมีดาวดวงหนึ่งออกมาจากวงศ์วานของยาโคบ”)  โหราจารย์เหล่านี้จึงอยากจะมาเพื่อนมัสการพระกุมาร   ข้อที่ 3 บอกว่า “ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว..ก็วุ่นวายพระทัยอย่างมาก ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปกับท่านด้วย”  วุ่นวายทำไม..ก็วุ่นวายกลัวจะถูกชิงบัลลังก์  เฮโรดเข้าใจผิดคิดว่าพระเยซูมาประสูติเพื่อเป็นแค่กษัตริย์ของชาวยิวที่จะได้ครองบัลลังก์ของอิสราเอล..เหมือนดาวิด อะไรประมาณนั้น  เขาก็เลยกลัวถูกชิงบัลลังก์
ดู มัทธิว 2:7-10  หลังจากที่วุ่นวายใจอยู่พักนึง..เฮโรดก็ออกอุบายเรียกโหราจารย์เข้ามาพบเป็นการส่วนตัว  แล้วสั่งให้เหล่าโหราจารย์ไปหาพระกุมารให้เจอ..ถ้าเจอแล้วก็ให้รีบส่งข่าวด้วย      เพราะเขาเองก็อยากไปนมัสการพระกุมารเหมือนกัน  แต่จริงๆใช่มั๊ย..ไม่ใช่  เฮโรดเป็นคนเหี้ยมโหดมาก  โหดขนาดฆ่าลูกเมียตัวเองไปแล้วหลายคน   นี่ก็กะว่าถ้าเจอพระกุมารก็จะฆ่าทิ้งเหมือนกัน  เพราะกลัวจะถูกชิงบัลลังก์  ข้อที่ 10 บอกว่า “ดาวดวงนั้นก็นำหน้าโหราจารย์ไปจนหยุดอยู่หน้าที่ประทับของพระกุมารเยซู  เหล่าโหราจารย์ก็ดีใจมาก  รีบเข้าไปเฝ้าพระกุมารในเรือน  เด็กๆสังเกตว่าพระคำข้อนี้บอกว่าพระกุมารประทับอยู่ในเรือน  ก็แสดงว่า ตอนนี้พระกุมารน่าจะมีอายุหลายเดือนหรือ 1ปีแล้ว  เพราะถ้าเป็นตอนแรกเกิดพระองค์ประทับที่ไหน..ในรางหญ้า  ใช่มั๊ยคะ   
จากนั้น เหล่าโหราจารย์ก็นำทองคำ กำยาน และมดยอบ มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ  ทองคำ ที่นำมาถวายเป็นเหรียญทองคำ..แน่นอนต้องมีค่ามาก  กำยาน เป็นผงทำจากยางไม้ชนิดนึง  จะมีกลิ่นหอมเวลาที่นำมาเผาไฟ  และราคาก็แพงมาก  ส่วนมดยอบ  เป็นยางต้นไม้ซึ่งแข็ง  เอามาใช้อบให้มีกลิ่นหอมเช่นกัน  และทั้งสามอย่างนี้เป็นของมีค่าที่เขาใช้เป็นเครื่องบรรณาการกษัตริย์ 
ดู มัทธิว 2:12-14  ข้อนี้บอกว่า “เหล่าโหราจารย์ได้ยินคำเตือนจากพระเจ้าในฝัน  ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด  เพราะเฮโรดจะหลอกถามที่ประทับและตามมาฆ่าพระกุมารเยซู   พวกโหราจารย์เลยหลบเฮโรดกลับไปอีกทางนึง  ข้อที่ 13 บอก..ทูตสวรรค์ได้มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝัน  บอกให้พาพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์  แล้วคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าพระเจ้าจะสั่งให้กลับมา   โยเซฟก็พานางมารีย์กับพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์  จนกระทั่งเฮโรดสิ้นพระชนม์  ในปีที่ 4 ก่อน คศ.  ข้อที่ 15 บอก “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้ว่า `เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์” 
แล้วปัจจุบันนี้ที่อียิปต์ก็ยังมีโบสถ์ที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งที่เชื่อว่าเป็นที่ที่โยเซฟพานางมารีย์และพระกุมารลี้ภัยอยู่  ตอนที่น้าตุ๊กไปอียิปต์ไกด์เขาก็พาไปเที่ยวโบสถ์ที่ว่านี้ด้วย   แล้วที่นั่นก็จะมีการขายของที่ระลึกเป็นแผนที่เส้นทางการลี้ภัยของโยเซฟกับนางมารีย์ที่เรียกว่า “The holy family’s journey in the land of  Egypt” ซึ่งบอกตำแหน่งไว้อย่างชัดเจนมาก
ข้อที่ 19 บอกว่า “หลังจากที่เฮโรดตายแล้ว  พระเจ้าก็ทรงเผยพระวจนะสั่งให้โยเซฟพาครอบครัวกลับมา  แต่เพราะได้ยินว่า อารเคลาอัส ลูกชายของเฮโรดซึ่งโหดเหี้ยมไม่แพ้พ่อได้ครองแคว้นยูเดียแทนพ่อ  โยเซฟเลยไม่แน่ใจ..ว่าถ้าจะกลับมาอยู่ที่เบธเลเฮม แล้วจะปลอดภัยมั๊ยเพราะมันใกล้เมืองหลวงมาก  ในที่สุด โยเซฟเลยตัดสินใจพาพระกุมารไปที่แคว้นกาลิลี  และอาศัยอยู่ในเมืองนาซาเรธ  ข้อที่ 23 บอกว่า “ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า `เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ”
 จากนั้นในบทที่ 3 พระคำภีร์ตัดภาพมากล่าวถึง”ยอห์น” ผู้ให้บัพติศมา  ซึ่งจริงแล้วเรื่องราวของยอห์นก็มีบันทึกซ้ำๆไว้ในพระกิตติคุณทั้ง 5 เล่ม คือ มัทธิว มาระโก ลูกา และในหนังสือยอห์นด้วย  และน้าตุ๊กอยากให้เราเปิดไปดู..
หนังสือ ลูกา 1:11-13  ข้อนี้ บอกว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งจริงๆก็คือ กาเบรียล หรือกาบิเอล เนี่ยนะคะได้มาปรากฎต่อเศคาริยาห์  เศคาริยาห์เป็นปุโรหิตแล้วก็เป็นพ่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา  กาเบรียลบอกว่า  “นางอาลิซาเบธ  ภรรยาของเขาจะตั้งท้องและคลอดบุตรชายคนนึงและจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า”ยอห์น”  เด็กๆสังเกตดู ลักษณะที่กาเบรียลมาเผยพระวจนะครั้งนี้..มันดูคุ้นๆมะ  คุ้นมากๆเพราะคล้ายๆกับตอนที่นางมารีย์ได้รับการเผยพระวจนะจากพระเจ้าเลย  เราข้ามไปดูข้อที่ 28-31 นั่นหมายความว่ายอห์และพระเยซูน่าจะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน  น่าจะห่างกันไม่ถึงปี   และยอห์นก็เป็นผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว  แต่ยังไงก็ตามยอห์นก็เป็นแต่เพียงผู้ที่จะเตรียมทางไว้ให้พระเยซูเท่านั้น   กลับมาข้อที่ 14 บอกว่า “ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือเหล้าเลย และเขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ในครรภ์มารดา“ ก็คือ ยอห์นถูกกำหนดให้เป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด บทบาทของยอห์นชัดเจนมาก..ชัดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่
ดู ลูกา 3:1-3  พระเจ้าทรงกำหนดให้ยอห์นเกิดมาเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์และเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด  และพอโตขึ้นยอห์นใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร  เพื่อรอคอยเวลาของพระเจ้าจนในที่สุดข้อนี้บอกว่า”พระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงยอห์นในถิ่นทุรกันดาร  จากนั้น ยอห์นถึงได้เริ่มต้นออกมารับใช้พระเจ้าด้วยการให้บัพติศมาผู้คนที่ลุ่มน้ำจอร์แดน   ข้อที่ 3 ยอห์นบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว"..คำว่ากลับใจเสียใหม่ ก็คือ จงเปลี่ยนความคิดและท่าทีเสียใหม่..หันจากทางบาปแล้วถ่อมใจลงเชื่อฟังพระเจ้า   เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว..พระผู้ช่วยให้รอดกำลังจะเสด็จมาแล้ว
ข้อที่ 4 บอกว่า “..  ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า  "เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า `จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไปข้อนี้ อ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่กล่าวไว้ใน อสย.40:3 จริงๆอิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในสมัยของกษัตริย์ยูดาห์ (น่าจะเป็นมนัสเสห์นะ)  ซึ่งถ้านับแล้วก็ห่างจากสมัยพระคำภีร์ใหม่ไม่น้อยกว่า 600 ปี  และนี่คือ ความอัศจรรย์ของพระคำภีร์ !  ต่างคน..ต่างเขียน..ต่างที่..ต่างเวลา  แต่เขียนเรื่องเดียวกัน 
“ท่านจงเตรียมมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”' อันนี้ หมายถึง ให้เตรียมทางต้อนรับพระเจ้าที่จะเสด็จมาอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์  ถ้าใครที่เรียนหนังสืออพยพกับน้าตุ๊กน่าจะจำได้ว่า พระเจ้าทรงสำแดงให้เราเห็นตลอดเวลาว่าพระองค์ปรารถนาอย่างมากทีเดียวในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนของพระองค์   ก่อนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ลงมา  พระองค์ก็ใช้พลับพลาในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ท่าทีในการประกาศข่าวประเสริฐ อาทิตย์ที่ 16:12:2012

เวลาที่เราจะพูดเรื่องพระเจ้าเราควรมีท่าทีอย่างไร  อันดับแรกเลย  แน่นอน เราต้องอธิฐานก่อนเสมอ  ไม่ว่าจะต้องพูดแบบได้เตรียมตัว หรือ ไม่ได้เตรียมตัวมาก็ตาม  ถ้าได้เตรียมตัว..แน่นอนเราต้องอธิฐานมา   แต่ถ้าอยู่ดีๆก็ต้องพูดเรื่องพระเจ้าเดี๋ยวนั้นเลย..ก็ไม่เป็นไร  เราก็อธิฐานในใจ..ขอพระเจ้าทรงนำ..เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เขา..แล้วลงท้ายว่า ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์

ดู 2ทิโมธี 2:24-26  “ผู้รับใช้พระเจ้าต้องไม่เป็นคนชวนทะเลาะ แต่ต้องมีใจถ่อมสุภาพ..และอดทนต่อคนทั้งปวง”  เวลาที่เราจะพูดเรื่องพระเจ้า..ท่าทีและวิธีพูดของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  ฝรั่งเขามีสุภาษิตอันนึงบอกว่า “วิธีพูดสำคัญพอๆกับเรื่องที่เราจะพูด”  เรื่องวิธีพูดเนี่ยนะคะ  มันสามารถทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่  แล้วก็สามารถทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้มั๊ย..ได้เหมือนกัน  ถูกมั๊ยคะ
เรารู้อยู่แล้ว..ว่าเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ  ท่าทีของคนที่ได้ยินจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ   1. ได้ยิน แล้วรับเอาความเชื่อไว้  เพราะเห็นเรื่องบนไม้กางเขนเป็นฤทธานุภาพ  กับ 2. ได้ยินแล้วไม่เชื่อ  และมองเห็นไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่  เพราะอะไร..มนุษย์คุ้นเคยกับสิ่งที่โลกหยิบยื่นให้  คุ้นเคยกับคำว่า..ไม่มีของฟรีในโลก  เพราะฉะนั้น ความรอดที่พระเจ้าประทานให้ฟรี  จึงไม่สมเหตุผลในสายตามนุษย์  เพราะฉันยังไม่ได้ออกอาวุธ  ยังไม่ได้ทำหรือให้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน  แล้วอยู่ดีๆจะอนุมัติให้ขึ้นสวรรค์กันฟรีๆ  มันเป็นไปไม่ได้   
เพราะงั้น ถ้าบอกแล้วเขาเชื่อก็ขอบคุณพระเจ้า   เขาเชื่อเพราะเรารึเปล่า..ไม่ใช่ “ข้าพเจ้าปลูก อพอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้ทำให้จำเริญขึ้น”  เราเป็นแค่ทูตของพระคริสต์  ถ้าบอกแล้วเขาเชื่อ  เราก็ได้ชื่อว่าได้มีส่วนในข่าวประเสริฐของพระคริสต์    แต่ถ้าบอกแล้วเขาไม่เชื่อ..ก็ไม่เป็นไร  เราได้ชื่อว่าทำหน้าที่แล้ว..แต่เขาไม่รับ..ก็ผ่านเขาไป..ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ต้องไปโกรธ..ไม่ต้องเถียงหรือชวนทะเลาะ  แต่บางคนไม่ใช่อย่างงั้น..พอประกาศข่าวประเสริฐแล้วเขาไม่เชื่อก็ชวนทะเลาะ  หรือไม่ก็พูดจากดดันจะงัดให้เขาเชื่อให้ได้..ซึ่งมันไม่ถูกต้อง  สิ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจ ก็คือ ความเชื่อมาจากพระเจ้า  เราแค่มีหน้าที่บอกเขา..บอกยังไง  บอกด้วยความรักและสุภาพอ่อนโยน ไม่ต้องกังวลว่าเราจะพูดไม่เก่ง หรือ เป็นคนไม่มีวาทะศิลป์..ไม่เกี่ยว  ถ้าพระเจ้าเปิดปากเรา..เปิดตาเขา  พูดยังไงเขาก็เชื่อ..โอเคมั๊ย
2 โครินธ์ 5:20  ข้อนี้ย้ำอีกครั้งถึงท่าทีของการประกาศข่าวประเสริฐ  บอกว่า “..เราเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราผู้แทนของพระคริสต์จึง”ขอร้อง”ท่านให้คืนดีกันกับพระเจ้า”  พระเจ้าบอกให้เราขอร้องเขา..ไม่ได้บอกให้เราไปบังคับขู่เข็ญ  ชวนทะเลาะหรือไปบีบคอเขา..ให้เชื่อ ภาระใจที่แท้จริงในการประกาศข่าวประเสริฐต้องมาจากความรักและความห่วงใย  เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางรอดเดียว  ใครก็ตามที่ไม่เชื่อในพระองค์ต้องพบกับความพินาศและไม่ใช่พินาศแค่ชั่วคราว  แต่เป็นความพินาศชั่วกัปชั่วกัลป์   เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักใครจริงๆเราจะไม่อยากให้เขาต้องพบจุดจบแบบนั้น  แต่เราจะอยากให้เขาได้รับความรอดเหมือนกับเรา..ใช่มะ  เนี่ย..คือ จุดเริ่มต้นที่ถูกต้องและงดงามที่สุดของการประกาศข่าวประเสริฐ  เพราะต้องมันบ่มเพาะมาจากความรักและความห่วงใยที่แท้จริง  ไม่ใช่มาจากกิเลสหรือเหตุผลความต้องการส่วนตัวของเรา
 แต่ ! เหนือสิ่งอื่นใด  คำพยานที่ดีที่สุดของเรา ก็คือ การดำเนินชีวิตที่ดีงามตามถ้อยคำพระเจ้า
ดู โคโลสี 3:17-20  “..และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยการประพฤติก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า”  ไม่ว่าเราจะทำหรือจะพูดอะไร  จงทำทุกอย่างตามที่พระเยซูสอนหรือทำเป็นแบบอย่าง  เพราะต่อให้เราประกาศเก่ง หรือ พูดเก่ง..ดูมีเหตุผล เอาชนะใจคนได้มากมาย   มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย..ถ้าการดำเนินชีวิตของเราไม่เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า  แล้วเรื่องของการดำเนินชีวิตมันมีรายละเอียดเยอะมาก  แต่ตอนนี้ เรามาดูตามที่หนังสือโคโลสีบันทึกไว้เป็นหลัก  ข้อที่ 18 บอกว่า “..ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน”  คนที่เป็นภรรยาต้องเชื่อฟังสามี  จะมีอะไรถูกใจ..ไม่ถูกใจก็  ”อธิฐาน”  ไม่ใช่ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าสามี..ประชดประชันหรือชวนทะเลาะ  ข้อที่ 19 บอก “..ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง”  สามีต้องรักและดูแลภรรยาไปตลอดชีวิต  อย่ามีใจขมขื่น ก็คือ อย่าหมดรักในตัวภรรยา  อย่าเอาภรรยาของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  อยู่ไปอยู่มาภรรยาจะอ้วนไปหน่อย  ขี้บ่นไปนิด ก็ต้องรัก..เพราะเลือกมาแล้ว  เลือกแล้ว..เลือกเลย  จะมาเคลมคืนทีหลังไม่ได้  เพราะงั้น น้าตุ๊กถึงย้ำนักย้ำหนา..ว่าเวลาจะเลือกดูให้ดี..คิดให้รอบคอบ  ปรึกษาผู้ใหญ่เยอะๆแต่ปรึกษาแล้วต้องเชื่อฟังด้วยนะ  โอกาสเรื่องชีวิตคู่ในทางพระเจ้าเนี่ย..มันมีครั้งเดียวนะคะเด็กๆ  อย่าใจเร็วด่วนได้ มันจะได้..ไม่คุ้มเสีย  อย่าล่วงประเวณี..อย่าชิงสุกก่อนห่าม เพราะเราจะต้องกินผลของความทุกข์ยากไปชั่วชีวิต   ข้อที่ 20 บอก “ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง  เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  แน่นอนลูกต้องเชื่อฟัง..ให้เกียรติพ่อแม่  ไม่ใช่..ไม่พอใจอะไรก็เถียง เดินกระแทกเท้าปึงปัง  หนักหน่อย บางคนก็ชักสีหน้า   ไม่เอานะคะ..อย่าทำ  มันบาป..แล้วใครที่ทำกับพ่อแม่อย่างงี้..คุณก็ต้องกินผลเช่นเดียวกัน    สุดท้าย ส่วนคนที่เป็นลูกจ้างก็ต้องเคารพให้เกียรตินายจ้าง 
ถ้าทำได้ตามนี้  ก็ถือว่าชีวิตเราเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าแล้วในระดับหนึ่ง  เราประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูทางอ้อมแล้ว..ผ่านการดำเนินชีวิตของเราซึ่งเสียงดังกว่าคำพูด  เพราะผู้คนรอบข้างเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจน  อย่างน้อยเขาอาจจะฉุกใจคิด..ว่า เออนะ..ถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วเป็นคนดีแบบนี้   บางทีเขาก็น่าจะมาเชื่อบ้าง  อะไรประมาณนี้ 
    “เงินตรา” กับระบบของโลกและวิถีทางของความเชื่อ
พูดถึงคำว่าเงินแล้ว..มีใครไม่ชอบบ้าง  ชอบทุกคนแหละ ชอบมาก..ชอบน้อย  ออกอาการต่างกัน  เรื่องของเงิน..มีอะไรมากมายหลายอย่างที่น้าตุ๊กอยากจะสอนจนไม่แน่ใจว่าจะสอนได้หมดเท่าที่ตั้งใจรึเปล่า  และแท้จริงแล้ว”เงิน”โดยตัวของมันเอง..ก็ไม่ได้บาปหรือเป็นมลทินอะไร  ของทุกอย่างบนโลกนี้ก็ใช่..ไม่มีอะไรเลยที่เป็นบาปโดยตัวของมันเอง  มีแต่มนุษย์เอาไปใช้ในทางที่ผิด  แล้วก็ถูกล่อลวงให้ทำบาปโดยใช้สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเครื่องมือ    ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการใช้เงินตราเป็นระบบแลกเปลี่ยน  ความหมายที่อยู่แทนคำว่าเงินทอง..สำหรับมนุษย์ก็คือ “เรื่องปากท้อง” ซึ่งเราจะเห็นว่ามันจุดอ่อนไหวที่สุดของมนุษย์มาตั้งแต่ปฐมกาล..ที่อาดามกับเอวาถูกล่อลวงให้ทำบาป ก็เพราะ “เรื่องกิน” อยากกิน..สิ่งที่ไม่ให้กิน  หรือในประวัติศาสตร์พระคำภีร์ที่ผ่านมา..เวลาที่อิสราเอลทำบาป  หลายครั้งพระเจ้าก็ส่งภัยแล้งหรือการกันดารอาหารมาพิพากษาพวกเขา  เพราะพระองค์รู้ดีว่า “เรื่องปากท้อง เป็นจุดอ่อนของมนุษย์”  
ดู ลูกา 16:10-13 “คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย..” นี่เรื่องจริงเลยนะ  หลายคนมองข้ามความสำคัญของการสัตย์ซื่อในเรื่องเล็กๆน้อยๆ  ชอบคิดว่า..ความซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กๆมันไม่สำคัญ  เช่น เวลาเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต  เราหยิบน้ำมา 6 ขวด แต่แคชเชียร์คิดเงินเราแค่ 5 ขวด..คือ เขานับผิด  เด็กๆจะทำยังไง หรือ จะมีท่าทียังไงต่อเหตุการณ์นี้  ความคิด”แว่บแรก” นั่นแหละ..ที่มันบอกความเป็นตัวเรา..ว่าเราเป็นคนยังไง  ใจเราซื่อสัตย์มั๊ย   เวลาที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น  หลายคนจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากจะเอาเงินไปคืนให้กับแคชเชียร์ที่คิดเงินผิด เช่น เออ..มันก็ไม่กี่บาทเอง  หรือ เราไม่ได้โกงนะแต่เขาคิดผิดเอง..ช่วยไม่ได้  หรือ มารู้อีกทีก็ตอนถึงบ้านแล้ว..ขี้เกียจเอาเงินไปคืน  ช่างมัน..เลยตามเลยละกัน  แค่นี้..เขาคงไม่เดือดร้อนหรอก อะไรต่างๆเหล่านี้..ที่มักจะเป็นเหตุให้คนเราไม่ค่อยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กๆ
           น้าตุ๊กมีเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง..เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องของ”ความซื่อสัตย์” 
เรื่องนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ  ที่ทะเลสาป”นิวแฮมป์เชียร์” ทะเลสาปนี้เป็นที่ที่คนในท้องถิ่นนิยมมาตกปลากัน  ส่วนปลาในทะเลสาปก็มีหลายชนิด เช่น ปลาเพิร์ช  ปลาหมอซันฟิช  แล้วก็ปลาแบส bass (ซึ่งก็คือ ปลากระพงน้ำจืด)  แต่เรื่องของเรื่อง เจ้าปลา ”แบส” เนี่ย  เป็นปลาที่ท้องถิ่น..ที่เขาค่อนข้างเข้มงวดในการที่จะสงวนพันธ์ไว้  ก็เลยจัดให้มี”ฤดูกาลตกปลาแบส”  หมายความว่า  ทุกคนสามารถมาตกได้เฉพาะในเวลาที่เขากำหนด  ถ้านอกเวลาที่เขาจัดไว้..คุณก็ตกได้เหมือนกัน  แต่มีข้อแม้ ถ้าตกได้ปลาแบส..ต้องปล่อยมันไป  จะเอากลับบ้าน..ไม่ได้
ทีนี้ มีพ่อลูกคู่นึง มาตกปลาเล่นตอนเย็นของวัน”ก่อน” ถึงเทศกาลตกปลาแบส   คือ พรุ่งนี้ถึงจะเข้าเทศกาล..ที่เอาปลากลับบ้านได้    และเมื่อพ่อลูกคู่นี้มาถึงทะเลสาป..มันก็เย็นมากแล้ว   พ่อก็สอนลูกแขวนเหยื่อ  เสร็จปั๊บ! ลูกก็เหวี่ยงเบ็ดออกไป   ซักครู่ใหญ่ๆ สายเบ็ดก็กระตุกแรงมาก  เด็กคนนั้นรู้ทันทีว่า..มีปลาติด  แล้วก็ต้องตัวใหญ่มากด้วย  พ่อก็มองลูกด้วยสายตาชื่นชม  แล้วพอดึงเบ็ดขึ้นมา  ปรากฎว่า ปลาที่ตกได้..เป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น  แต่มันคือ “ปลาแบส” ซึ่ง..ตอนนี้เขาเอากลับบ้านได้มั๊ย..ไม่ได้  มันยังไม่ใช่วันเทศกาล  ลูกก็มองหน้าพ่อด้วยสายตาที่แบบ..ขอร้องอ่ะ อยากเอากลับบ้าน   พ่อก็มองไปรอบๆทะเลสาป  ปรากฎว่า..ไม่มีใครอยู่เลยซักคน  (เป็นเด็กๆ..ทำไง  ไม่เหลือ กระพงนึ่งมะนาว))  แต่ถึงอย่างงั้น คนเป็นพ่อก็ยังบอกลูกชายว่า “ลูกต้องปล่อยมัน ลงน้ำไป”  ยังไงก็ต้องปล่อยมันไป..แล้วเด็กชายคนนั้นก็ทำตาม   
สามสิบปีผ่านไป  เด็กชายคนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นวิศวกรที่ประสบความสำเร็จมากอยู่ในนิวยอร์ค  และเขาก็ยังพาลูกๆไปตกปลาที่ทะเลสาปแฮมเชียร์..อย่างเดิม  และเคร่งครัดในกฎของท้องถิ่นเหมือนเดิมด้วย 
เด็กๆคิดว่า  ถ้าวันนั้นพ่อเขาเกิดเสียดายปลาที่ตกได้..ไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง  แล้วยอมให้ลูกเอาปลากลับบ้าน  น้าตุ๊กถามว่า วันนี้ เด็กคนนั้นจะสอนลูกๆของเขาให้เป็นคนซื่อสัตย์  เคร่งครัดกับกฎของสังคมได้มั๊ย..ไม่ได้หรอก   เพราะคนที่จะทำอย่างงั้นได้  ต้องถูกสอนมาให้รู้จักปล่อยปลาลงน้ำไป..ทั้งที่ไม่มีใครรู้เห็น
แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรา เด็กๆคิดว่าตัวเองจะยอมปล่อยปลาตัวนั้นลงน้ำไปมั๊ย..ตอบตัวเองในใจ  เรื่องที่น้าตุ๊กเล่าให้ฟังนี้  ประเด็นอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆโดยตรง    แต่มันครอบคลุมเรื่องราวของความซื่อสัตย์ไว้ในทุกกรณี  และที่สำคัญ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของความซื่อสัตย์ที่ทรงพลังที่สุด  เพราะ!!!  “มันเกิดขึ้นในเวลาที่..ไม่มีใครเห็น”    
เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กๆฝึกที่จะซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง  ความรับผิดชอบ  ความมีวินัยในตัวเอง  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า  เพราะสิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เด็กๆเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง..มั่นคงจากภายในและมีคุณภาพ 
มัทธิว 6:33-34  แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน..”  คริสเตียนหลายคนเข้าใจความหมายของข้อนี้ได้..ไม่ครบถ้วน  คำว่าแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระองค์  ไม่ใช่แค่หมายถึง ชั้นมาโบสถ์ทุกอาทิตย์  ถวายสิบลด  แค่นั้นแปลว่า ชั้นแสวงหาและทำตามที่พระเจ้าสอนแล้ว..ไม่ใช่นะคะ  ถามว่าการมาโบสถ์ทุกอาทิตย์  แล้วก็ถวายอย่างสัตย์ซื่อนี้..ดีมั๊ย  ดีและเป็นสิ่งที่เราต้องทำแน่นอน  เพราะพระเจ้าสั่งไว้  แต่พระองค์ไม่ได้สั่งไว้แค่นี้  พระองค์ไม่เคยบอก..มาโสถ์นะ  มาแล้วถวายเงินเพื่อราชกิจแค่นั้นก็พอแล้ว  แค่นั้นเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของเรา  แล้วเราก็จะอวยพรเจ้า..ไม่ใช่  พระเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น  แต่การแสงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระองค์  มันหมายถึง การดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอนไว้   แล้วพระเจ้าสอนไว้ว่าไง..อยู่ใน”พระคำภีร์ทั้งเล่ม” แล้วเรารู้หมดแล้วยัง  ทำไงจะรู้พระคำภีร์..ก็ต้องอธิฐาน  อ่านพระคำภีร์ทุกวัน  มาโบสถ์ทุกอาทิตย์หรือเป็นประจำ  มาแล้วก็นมัสการ..เสร็จก็ฟังเทศน์  เข้าชั้นเรียนพระคำภีร์  มีใจจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์สม่ำเสมอทุกวัน  ทุกเวลา
หลายคนบอก  ก็มาโบสถ์แล้ว  และก็อธิฐานแล้ว  พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย  น้าตุ๊กก็บอก  จริงๆแล้ว ถ้าทำแค่นี้..ยังไม่ใช่ทั้งหมดของการแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าหรอกค่ะ เพราะท่าทีการมาโบสถ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนสักแต่ว่ามา..เวลาฟังเทศน์ไม่หลับ..ก็คุย บางคนไม่ได้มาหาพระเจ้า แต่อยู่บ้านแล้วเหงา..ก็เลยมาหาเพื่อน หรือบางคนคุณพ่อคุณแม่บังคับให้มา..ก็มี นี่ก็เป็นท่าทีที่ต่างกัน..แต่มาโบสถ์เหมือนกัน แล้วเวลาอธิฐาน..เราอธิฐานยังไง สมมติว่าตอนนี้ตกงาน ไม่มีรายได้แต่ค่าใช้จ่ายมากมายรออยู่ คนส่วนใหญ่ก็จะอธิฐานอย่างเข้มข้นเลยนะ..ว่า พระเจ้าช่วยลูกด้วย พระองค์ทำไงก็ได้ให้ลูกมีกิน มีใช้ มีจ่ายค่า 1 2 3 4 อะไรก็ว่าไป..เสร็จแล้วก็บอกว่า ชั้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว เพราะไปโบสถ์แล้ว อธิฐานก็แล้วแต่พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย น้าตุ๊กจะบอกให้..แบบนี้ไม่เรียกว่าแสวงหาแผ่นดินพระเจ้าหรอกค่ะ เค้าเรียกว่าแสวงหาขนมปังคือ หาแต่วิธีที่จะให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ   ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆเราต้องรู้จักพระลักษณะของพระเจ้า เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และตระหนักคิดได้ว่าสารพัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่..ไม่ได้มีความสำคัญเลยเมื่อเทียบกับน้ำพระทัยอันสูงส่งของพระเจ้า    เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อพระองค์..ไม่ใช่ตัวเองหรือเพื่อขนมปัง ถ้าเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ณ.จุดนั้น พระเจ้าจะทรงเหยียดพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้เด็กๆแน่นอน ไม่เว้นแม้สิ่งที่เงินซื้อ..ไม่ได้   
    พบกันใหม่สัปดาห์หน้า  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ