คราวที่แล้วเรามาถึงราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงทำที่แคว้นกาลิลี รวมถึงการเทศนาบนภูเขา ซึ่งมีคำสอนที่เป็นคำอุปมามากมายที่เด็กๆควรจะเรียนรู้
ดูต่อ
มัทธิว 5:13 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก..” พระเยซูเปรียบเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์..เป็นสาวกของพระองค์ว่า”เป็นเกลือ” หมายความว่าไง..”เกลือ” นอกจากจะให้รสเค็ม..เพิ่มรสชาดให้อาหารแล้ว
มนุษย์ยังใช้เกลือในการ”ป้องกันความเปื่อยเน่า” เพราะงั้นคำตรัสของพระเยซูในข้อนี้จึงหมายถึงคนของพระเจ้า
คือพวกเรานี่แหละ..จะต้องเป็นดำเนินชีวิตเป็นเกลือของแผ่นดินโลก ไม่ต้องทั้งโลกเพราะเราคงไม่มีกำลังขนาดนั้น เอาแค่อยู่ตรงไหน..เราต้องเป็นตัวอย่างและยืนหยัดที่จะป้องกันคนรอบข้างให้รอดพ้นจากความพินาศหรือความเปื่อยเน่าต่างๆที่โลกหยิบยื่นให้ เราอาจจะไม่มีเพาว์เวอร์พอที่จะไปกวาดล้างความบาปหรือแม้แต่สิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นกับสังคม
แต่อย่างน้อยที่สุดในวงแคบกับผู้คนรอบข้าง..เราต้องไม่สนับสนุนความผิดบาปและจะต้องดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างให้ผู้คนรอบข้างนะคะ
พระเยซูบอกว่า
“..ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็ม
จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้
แล้วนั่นก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร
มีแต่จะทิ้งเสียให้คนเหยียบย่ำ” ถ้าเกลือไม่เค็ม..มันจะเป็นเกลือมะ ไม่เป็นหรอก..ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ เหมือนคนของพระเจ้า..ถ้าเราไม่ยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอน หรือไม่สนใจกับสิ่งที่พระเจ้าให้ทำ เราก็จะเป็นเหมือนเกลือที่หมดรสเค็มไม่สามารถปกป้องคนรอบข้าง..หรือแม้แต่ตัวเองให้พ้นจากความเปื่อยเน่า ไม่ต้องพูดถึงคนรอบข้าง..แค่ดูแลตัวเองก็ยังไม่ได้เลย
สุดท้ายเกลือก็จะเป็นเหมือนธุลีดินที่ไม่มีค่า..ไม่มีศักดิ์ศรีมีแต่จะเป็นที่เหยียดหยามของผู้คนอย่างที่พระเยซูบอก
ดู
มัทธิว 5:14-16 “..เราทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” ก่อนหน้าที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป พระเจ้าทรงเป็นความสว่างของโลก พออาดามกับเอวาทำบาป..มนุษย์ก็ถูกตัดขาดจากพระเจ้า
ความสว่างก็หายไป..โลกจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดบอด
กระทั่งยุคพระคุณมาถึง..พระเยซูคริสต์มาไถ่เรา ด้วยโลหิตของพระองค์ที่ทำให้เราบริสุทธิ์ บริสุทธิ์แค่ไหน..บริสุทธิ์มากขนาดที่เราจะสามารถกลับมาสัมผัสและมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีกครั้ง
พระเยซูบอก
“ไม่มีใครจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง
หรือเอาอะไรมาครอบไว้ แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน”
ลองนึกถึงความเป็นจริงก็ได้ว่า..โดยทั่วไปทำไมเขาต้องจุดตะเกียง ก็เพราะมัน ”มืด”
แล้วมีใครมั๊ยที่จุดแล้วเอาถังไปครอบหรือเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น..ไม่มี
จุดแล้วก็ต้องวางไว้ในที่ที่ส่องสว่างได้มากที่สุด..ถูกมั๊ยคะ เพราะงั้น พระเยซูถึงเปรียบเราทุกคนว่าเป็นเหมือนตะเกียงที่ถูกจุดให้สว่างขึ้นอีกครั้งนึง..เพื่อส่องสว่าง..เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนรอบด้าน..คนที่อยู่ใกล้ๆหรือคนที่อยู่ข้างๆ เขาจะได้มองเห็นทาง..ไม่เดินหลงทางหรือเดินเตะนู่นเตะนี่..สะดุดไปเรื่อยเพราะมองทางไม่เห็น เราต้องเป็นความสว่าง..ต้องบอกข่าวดี และเป็นตัวอย่างให้เขาเดินอย่างปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ “..เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่เราทำ
เขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า”
ดู
มัทธิว 5:17-18 “..อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติ
แต่พระเยซูสอนพระบัญญัติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องลึกซึ้ง ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์หรือฟาริสีในสมัยนั้น..ที่หลงประเด็นไป
สักว่าทำแต่ภายนอก..อาจจะถือกฎกติกาเคร่งครัดตามตัวอักษรแต่ไม่ได้ทำด้วยใจ..ไม่ได้ทำด้วยความรัก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะความรักเป็นน้ำพระทัยสูงสุดของพระเจ้า
ที่เราได้มีพระเยซู..ได้กลับคืนดีกับพระองค์เพราะอะไร..เพราะความรักของพระองค์
ข้อที่
30 พระเยซูจึงบอกว่า
“..ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี
เราจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์” ..แต่ที่พระองค์พูดอย่างงี้
ไม่ได้แปลว่าพระบัญญัติไม่ดีหรือไม่สำคัญ
แต่ทุกอย่างต้องทำด้วย”หัวใจและด้วยความรัก”
ข้อที่
17 พระเยซูถึงบอกว่า
“..พระองค์ไม่ได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” เพราะตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า”มนุษย์มักล้มเหลวในการทำตามสัญญา พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูมา เพื่อทำแทนเรา..เพื่อที่เราจะได้สมบูรณ์พร้อมตามมาตรฐานของพระเจ้า”
เด็กๆจำไว้นะคะ..ว่ากฎบัญญัติทุกอย่างเป็นเหมือนกระจกเงา ที่ส่องแล้วทำให้เรารู้ว่า..”ตัวเองสวยงาม..น่าเกลียด..มีตำหนิ
หรือข้อบกพร่องบกพร่องตรงไหน
แต่กระจกเงาทำให้เราดูดีขึ้น..สวยขึ้น..หรือแก้ไขข้อบกพร่องของเรา..ไม่ได้ กฎบัญญัติก็เช่นเดียวกัน..ที่มีไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐาน..ให้เราเห็นความบาปของตัวเอง
ให้เรารู้ว่าเราผิดตรงไหน หรือส่วนไหนที่เราดีแล้ว..ทำถูกแล้ว เราก็จะได้รู้ว่าเออ..อันนี้ ทำดีแล้วนะ..ให้รักษาไว้..ก็แค่นั้น
ดู
มัทธิว 5:21-22 “..ในพระคัมภีร์เดิมเราทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวไว้กับคนโบราณ..(คนโบราณ
หมายถึง บรรพบุรุษของพวกยิวตั้งแต่สมัยโมเสส)
พระบัญญัติกล่าวไว้ว่า `อย่าฆ่าคน' ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่ ! พระเยซูบอก“..ผู้ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่มีเหตุ
ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน” พระเยซูกำลังขยายความพระบัญญัติข้อนี้
..ในแง่มุมจากท่าทีภายใน
พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถือว่าการฆ่าคนหรือการทำบาปภายนอก..เป็นบาปที่ใหญ่มาก
(มันเห็นกันจะๆ) เพราะงั้น ถ้าเขาไม่ฆ่าคนซะอย่าง..ก็คงนับได้ว่าเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ ใครก็ตามที่ถึงแม้จะไม่ฆ่าคน แต่ไม่มีใจรักในพี่น้องของตน..ก็ต้องถูกพิพากษา
คือ รับโทษตายเหมือนกัน แล้วก็หนักกว่าเพราะเป็นการตายฝ่ายวิญญาณด้วย
ข้อที่
22 พระเยซูบอกต่อไปว่า“..ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า
`อ้ายบ้า'
ผู้นั้นต้องถูกนำไปพิพากษาลงโทษ
และผู้ใดจะว่า `อ้ายโง่' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก”..คำว่าอ้ายโง่ กับ
อ้ายบ้า ในสมัยนั้นมันมีความหมายไปในทางสบประมาท..ดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งใครก็ตามที่ว่าคนอื่นแบบนี้ได้
ต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งเอาการ แล้วน้าตุ๊กจะบอกให้นะ..ว่าในทางพระเจ้า
ความบาปที่พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยที่สุด..ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น แต่เป็น”ความเย่อหยิ่ง” นี่แหละ เพราะความเย่อหยิ่งมันส่อถึงท่าทีในใจที่ไม่มีความรัก
แล้วที่เราต้องจำ คือ พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีภายในมากกว่าสิ่งที่ฉาบอยู่ภายนอก พระองค์จึงทรงกล่าวโทษคนที่ดูถูกคนอื่น..ว่าต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน..
ดู มัทธิว 5:23-24
...
“เหตุฉะนั้น
ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า ท่านมีเหตุขัดเคืองใจใคร ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา
แล้วกลับไปคืนดีกับพี่น้องคนนั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” ..เห็นมะ..ข้อนี้
คอนเฟริ์มอีก พระเยซูทรงใส่ใจในรายละเอียดของท่าทีภายในจิตใจมากกว่าการกระทำภายนอก
เราอาจจะคิดว่าการทะเลาะกับเพื่อนมันเป็นเรื่องเล็กน้อย..ไม่น่าจะผิดจะบาปอะไร..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะเด็กๆ น้าตุ๊กเคยสอนหลายครั้งแล้วว่าความบาปไม่ใช่เรื่อง”เซอร์ไพรส์”
แต่มันจะก่อร่างสร้างขึ้นทีละน้อย
บ่มเพาะจากจุดเล็กๆจนเติบโตเป็นบาปที่ใหญ่โตลุกลามขยายเป็นวงกว้าง ดังนั้น พระเจ้าจึงสอนให้เรารีบไปเคลียร์ความขัดแย้งทุกอย่างกับพี่น้องเสียก่อน เพราะสำหรับพระเจ้า..ความรักสำคัญที่สุด ถ้ายังไม่รัก..ไม่ให้อภัยพี่น้อง..ไม่แก้ไขท่าทีภายใน เครื่องบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกมันก็ช่วยเราไม่ได้ และถ้าไม่ยอมไปเคลียร์ แปลว่า..”เราเย่อหยิ่ง”
ในเรื่องนี้
คนทั่วไป..เป็นกันเยอะ ชอบจัง..เน้นแต่พิธีกรรมหรือแก้ไขกันแต่เพียงภายนอก อย่างพ่อแม่หลายๆคนที่ลูกเกเรหรือทะเลาะกับลูกบ่อย..ก็จะชอบเอาลูกไปรดน้ำอะไรบางอย่าง
หรือไปเข้าคอร์สทำสมาธิอะไรต่างๆ
แล้วหวังจะให้ความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้น
น้าตุ๊กไม่ได้บอกว่าการมีสมาธิไม่ดี..ไม่ใช่ แต่มันไม่ตอบโจทย์หรอก เพราะคุณยังไม่ได้เคลียร์ปัญหาในหัวใจ..(ของลูก)
และไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนหรือกับใคร..เราต้องทำแบบที่พระเยซูสอน
คือ นั่งลงแล้วคุยกันอย่าง ”ถ่อมใจ”
บางทีเหตุผลก็ยังไม่สำคัญเท่ากับ”การถ่อมใจ” อะไรที่เราผิด..ต้องสำนึกและขอโทษ อย่ามาอีโก้แบบชั้นเป็นใคร..เธอเป็นใคร
ชั้นเป็นแม่..หรือชั้นแก่กว่า แกต้องมาง้อชั้น..”อย่า ! ” อย่าทำ
ดู
มัทธิว 5:25-26 ข้อนี้ก็อยากสอนมาก ถึงตอนนี้..เรื่องอย่างงี้
อาจจะยังดูห่างไกลกับเด็กๆ
แต่น้าตุ๊กเชื่อว่า..บางทีโตขึ้นไปเด็กๆอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมัน พระเยซูบอก
”..จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว” คำว่า”คู่ความ”
หมายถึง ทุกคนที่เราเข้าไปมีกรณีพิพาทย์กับด้วย..ไม่ว่าจะเรื่องอะไร..โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อาจจะแค่พูดจากระทบกระทั่ง..หรือเหยียบเท้ากัน เรื่องใหญ่หน่อยก็ตัวอย่างเช่น
เรื่องหนี้สินเงินทองหรือขับรถไปเฉี่ยวชนกัน อะไรต่างๆเหล่านี้..ใช่หมด พระเจ้าสั่งว่า..”จงปรองดอง”
ปรองดองแปลว่า”พยายามทำให้ทุกอย่างสงบ..อย่ามีปัญหา..อย่าใช้อารมณ์”
ยกตัวอย่าง
เรื่องรถชนก่อน..ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด พอชนปุ๊บ!ทำไง..(บางคนลงไปว่าเขาเลย..”ขับรถยังไงเนี่ย...จะรีบไปตายรึไง ถ้าอีกฝ่ายใจร้อนก็ยิงกันตายไปเลย..สมัยนี้”
จริงมั๊ยคะ) คือ ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด จำไว้..พอชนปุ๊บ! ให้ลงไปขอโทษนะคร๊าบ
เป็นอะไรมั๊ยครับ
แล้วถ้ามีประกันก็ว่ากันไป ยังไงก็ให้พูดจาแบบถ่อมใจปรองดองกับเขาไว้..ตามที่พระเยซูสอน
อีกเรื่องที่อยากจะยกตัวอย่าง
ก็คือ เวลาที่“เป็นหนี้เขา” ในชีวิตความเป็นจริง “ปกติ”แล้ว..ไม่มีใครอยากเป็นหนี้ (ที่ไม่ปกติเราไม่พูดถึง)
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอีกเหมือนกัน
..ที่วันนึงเราอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะที่”เป็นหนี้” ..และถ้าเราเป็นหนี้เขา..พระเยซูบอก
“จงปรองดองกับคู่กรณี”...ทำไง เป็นหนี้เขา จำไว้ !..ถ้ามีเงิน”ต้องใช้หนี้ก่อน”ไม่ใช่เอาไปใช้ฟุ่มเฟือยก่อน น้าตุ๊กเห็นมาเยอะมาก ยังเป็นหนี้อยู่ แต่พอมีเงินแทนที่จะใช้หนี้..เปล่า เอาไปซื้อรถ..ซื้อมือถือ..นู้นนี้นั้น แต่ ! ไม่ใช้หนี้ หรือไม่ก็ใช้แค่บางส่วน..แบบนี้อย่าทำ เพราะลองคิดดู
ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้เราจะรู้สึกยังไง..ที่ลูกหนี้ทำแบบนี้
ที่นี้
ถ้ากรณี..เป็นหนี้ แล้วยังไม่มีเงินใช้เขา เราควรทำไง..ก็ไม่ได้หลุดคอนเซ็ปต์ของพระเยซูเลย “จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว..” ..ต้องรีบไปเลย..ไปหาเจ้าหนี้ขอผ่อนผัน..ขอความเมตตา ไปหาเขาก่อน..อย่ารอให้เขาเป็นฝ่ายมาหาเรา อย่าทำเฉย
หายหน้า..หายตา ปิดมือถือติดต่อไม่ได้..ไม่เอานะคะ..อย่าทำ เพราะมันจะ”บันดาลโทสะ”ให้กับคนที่เป็นเจ้าหนี้
ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีจะรู้ว่า..ปัญหาหนี้สินที่ถึงขั้นต้องฟ้องร้องขึ้นศาลหรือแม้แต่ฆ่ากันตายไปเลยเนี่ย
ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นเพราะเจ้าหนี้เขา”บันดาลโทสะ” ก็คือ
ลูกหนี้มันทำให้โมโห..โทรไปไม่รับ..บ่ายเบี่ยงเจตนาไม่ดี
หรือบางทีก็พูดจาหาเรื่อง..หาเรื่องจะไม่ใช้หนี้ เขาก็เลยต้อง..”..อายัดเราไว้กับผู้พิพากษา
แล้วคราวนี้ล่ะ..เราต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที..ตามที่พระคำภีร์บอกไว้ ไม่มีก็ต้องไปหามา เดือดร้อนญาติโกโหติกา เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น..เขาก็จะขังเราไว้ในเรือนจำ”..แบบที่พระเยซูบอกเลย
จำไว้นะคะเด็กๆ
ไม่มีเจ้าหนี้คนไหนหรอก..ที่ลูกหนี้มาขอเคลียร์ด้วยเจตนาดี..ตั้งใจดีแล้วเขาจะไม่อลุ่มอล่วยให้ ยิ่งเรามีพระเจ้าด้วยแล้ว..ไม่ต้องกลัว
ถ้าเราเจตนาดีซะอย่าง..เจ้าหนี้ต้องให้โอกาสเราแน่นอน
ดู
มัทธิว 5:27-28 นี่ก็เป็นอีกข้อที่บันทึกไว้ในพระบัญญัติทางโมเสส
พระเยซูบอก..พวกเราคงเคยได้ยินแต่คำสอนที่บอกว่า“..อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า
ผู้ใดมองผู้หญิง (สมัยนี้น่าจะรวมถึงผู้หญิงที่มองผู้ชายด้วย) ด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ก็ถือว่าล่วงประเวณีแล้ว” ข้อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามาตรฐานของพระเจ้า
คือ “แค่คิดก็ผิดแล้ว” ชาวยิวโบราณหรือแม้แต่คนทั่วไป อาจจะถือว่า..ถ้าแค่มองแล้วแอบคิด..คงไม่ผิดอะไร ก็ยังไม่ได้ลงมือทำ แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ “เพราะ
แค่คุณคิดก็ถือว่าทำบาปแล้ว” พระองค์ถึงต้องมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อแบกรับ..สิ่งที่เกินกว่ากำลังของเรา พระองค์รู้ดีว่าไม่มีใครเลย..ที่จะไม่เคย”คิดชั่ว” แล้วก็ทำตามกฎได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะมาตรฐานของพระเจ้าสูงมาก..แค่คิดก็ไม่ได้..คิดไม่ดีก็บาปแล้ว (ทีนี้ เห็นภาพรึยังว่าเราต้องการพระเยซูมากแค่ไหน..)
ดู
มัทธิว 5:29-30 “..ถ้าตาขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้ง..” หรือ “ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด
จงตัดมันทิ้งไป”....ฟังดูรุนแรงน่ากลัวมาก
แต่ความหมายในข้อนี้ จริงๆน้าตุ๊กคิดว่า..พระเยซูทรงตั้งใจจะบอกเราว่า
“อย่ายอมออมชอมให้กับความบาป” แล้วถ้าเราจะหลีกเลี่ยงการทำบาป บางครั้ง เราต้องยอมตัดบางสิ่งในชีวิตทิ้งไป
เช่น ตัดความสัมพันธ์กับบางคน ถ้าอยู่ใกล้ใครแล้วใจคอยแต่จะล่วงประเวณี..ก็อย่าไปใกล้เขา
ถ้าอยู่ใกล้เพื่อนคนไหนหรือกลุ่มไหนแล้วคอยแต่จะพากันเที่ยวกลางคืน..ก็ต้องเลิกคบไป
(ตัดทิ้งไป) หรือะไรก็ตามที่มันเป็นตัวฉุดรั้งให้เรา..ห่างจากพระเจ้า..ไม่อยู่ในทางของพระองค์..เราต้องตัดมันทิ้งไป อย่าเอาตัวเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง..สถานการณ์ที่เสี่ยงหรือเอื้อต่อการทำบาป นี่คือ ความหมาย..ที่พระเยซูบอกเราในข้อนี้ เพราะการเสียอวัยวะไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ
การยอมข่มใจตัดบางอย่างออกไปจากชีวิต..มันก็ดีกว่าที่ทั้งตัวของเราต้องถูกทิ้งลงนรกไป เพราะทำบาปต่อพระเจ้า
ดู
มัทธิว 5:31-32 ...ในบัญญัติเดิมของโมเสส มีบันทึกเกี่ยวกับการหย่าร้าง ที่เหมือนจะอนุญาตให้หย่ากันได้ แต่ต้องทำหนังสือให้เรียบร้อย..ประมาณนั้น แต่พระเยซูบอก “ผู้ใดจะหย่าภรรยา
เพราะเหตุอื่นนอกจากการมีชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นล่วงประเวณี และถ้าใครจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา
ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีด้วย”....พระเยซูไม่ได้ค้านหรือขัดแย้งกับพระบัญญัตินะคะ
พระองค์แค่ไม่อยากให้ใครเอากฎข้อนี้มาอ้าง..เพื่อที่จะหย่าร้างกันตามสบาย นึกอยากจะแต่ง..ก็แต่ง นึกอยากจะหย่า..ก็หย่า..ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อภาพรวม
ทุกสังคมตลอดจนชาติบ้านเมืองจะมั่นคงหรือไม่..ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวเป็นหลัก ถ้าแค่ทำหนังสือแล้วก็หย่ากันได้..
ความอดทนซึ่งกันและกันจะอยู่ตรงไหน.. คนของพระเจ้าจะต่างกับคนอื่นยังไง..จะเรียกว่าเป็นแสงสว่างมั๊ย ในเมื่อสถาบันครอบครัวที่ได้ชื่อว่าสำคัญที่สุด..คุณยังล้มเหลว พระเยซูถึงตรัสชัดเจนว่าพระองค์ไม่สนับสนุนให้ใครหย่าร้างกัน ตอนเลือก..ไม่เลือกให้ดีก็ต้องกินผลไป..ยังไงคริสเตียนก็ต้องอดทนและเปลี่ยนแปลง
ดู มัทธิว 5:34-37 “..อย่าปฏิญาณเลย ไม่ว่าจะอ้างถึงสวรรค์หรือจะอ้างถึงแผ่นดินโลกก็ดี อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน
เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแค่นี้ก็พอแล้ว” คือ ในสมัยพระคำภีร์เนี่ย..คนอิสราเอลรู้สึกว่าการสาบานโดยออกพระนามพระเจ้า..จะทำให้คำพูดมีน้ำหนักขึ้น แต่พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีในใจ พระองค์สอนว่า “เราต้องพูดความจริงเสมอ”
โดยไม่ต้องสาบาน เพราะในยุคพระคุณนี้ตัวเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะพูดหรือทำอะไรพระวิญญาณที่สถิตกับเราทรงเป็นพยานอยู่แล้ว เพราะงั้น ไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างดิน..อ้างฟ้า ให้มันเยอะแยะเหมือนคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาชอบทำกัน..”การไปสาบานต่อหน้านามไหนๆ
เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ”..ไม่จำเป็นสำหรับคริสเตียน เพราะเรามีพระวิญญาณอยู่ด้วย เครดิตร์แค่นั้นมากพอแล้ว
ดู มัทธิว 5:38-40 ในบัญญัติของโมเสสบอก “ตาแทนตา และฟันแทนฟัน”..กฎพวกนี้
จริงๆแล้วค่อนข้างจำเป็นนะคะในสมัยของโมเสส เพราะผู้คนยังค่อนข้างป่าเถื่อน คำว่า”ตาแทนตา
ฟันแทนฟัน” ในบริบทนี้ เล็งถึงการพิพากษาคดีแบบยุติธรรม
ซึ่งเป็นหลักเกฎฑ์ของกฎหมายที่พระเจ้าให้ไว้ทางโมเสส เพื่อจำกัดขอบเขตไม่ให้มนุษย์แก้แค้นกัน..เกินกว่าที่ถูกกระทำ
แต่พระเยซูสอนเราว่า “อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวา..ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย” ..ไหวมั๊ย
ต้องไหวนะ หรือ “ใครฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ก็ให้เสื้อคลุมแก่เขา..แถมไปด้วยเลย”....
ความหมายในข้อนี้ คือ ไม่ใช่แค่..ไม่ให้แก้แค้น
แต่ต้องยกโทษให้เขาด้วย
เพราะถ้าไม่ยกโทษให้จะมีใจแถมเสื้อคลุมให้เขามั๊ยล่ะ น้าตุ๊กว่าคำสอนของพระเยซูในข้อนี้..เป็นแท็กซ์ติก
ของพระองค์ในการที่จะละลายความโกรธหรือความแข็งกระด้างในหัวใจของมนุษย์..ด้วยการสั่งให้เรา..ให้ออกไป เพราะการให้เป็นผลของความรัก โดยเฉพอย่างยิ่ง”การให้อภัย” จริงอยู่
ที่บางครั้งเราอาจจะให้โดยที่ไม่รักก็ได้
แต่ยังไงก็ตาม “การให้” ก็มีอานุภาพในการที่จะหลอมหัวใจมนุษย์ให้อ่อนโยนลงได้..ไม่ว่าจะให้อะไรก็ตาม ดังนั้น การยื่นแก้มอีกข้างให้ตบหรือการแถมเสื้อคลุมให้เขา..ในบริบทนี้จึงเล็งถึงการ”ให้อภัย” เราอาจจะไม่สามารถแถมอย่างงี้หรือทำอย่างงี้ในสถานการณ์จริง แต่ขอให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่พระเยซูพยายามบอกเรานะคะ
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ