วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

เฉลยแบบทดสอบ หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ อาทิตย์ที่18:9:2011

1.ในสมัยที่แตกออกเป็นสองอาณาจักร ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือและอาณาจักรยูดาห์

ตอบ ข.ยูดาห์มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมอยู่บ้างแต่อิสราเอลไม่มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมเลย ถึงแม้บางครั้งเราจะเห็นว่า..เมื่ออิสราเอลถูกพิพากษา เค้าก็เหมือนจะมีท่าทีสำนึกผิดเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครเลย..ที่จะกลับใจใหม่จริงๆ..ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนเลยของอิสราเอลที่จะละทิ้งพระบาอัล..แล้วนำให้คนกลับมาหาพระเจ้า ตรงนี้ เราเห็นอะไร..พระเจ้าบอกอะไรเราในจุดนี้ ถึงจะเป็นประชากรที่เลือกสรร แต่ถ้ากบฎแล้วไปมีพระอื่นพระเจ้าก็ไม่เอาไว้..อิสราเอลฝ่ายเหนือเลยต้องล่มสลายไปในที่สุด ถึงได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน แต่ถ้าเราไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า..เราก็จะไม่ได้รับความรอด จำไว้ว่า..สำหรับพระเจ้าแล้ว พระบัญญัติที่สำคัญสุด คือ รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ”

2.บุรุษผู้เข้าถึงพระทัยและกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้ามากที่สุด [The man after God’s own heart] (ตามความหมายของนักวิชาการ)หมายถึงใคร

ตอบ ก.ดาวิด

3.จาก 1พกษ.3 เมื่อพระเจ้าให้ขอ..ซาโลมอนขอสิ่งใด

ก.ขอสติปัญญา ซาโลมอนไม่ได้ขออาณาจักรที่รุ่งเรื่อง เงินทองหรือเกียรติยศอะไรทั้งสิ้น แล้วจริงๆ ซาโลมอนก็ไม่ได้ขอสร้างนิเวศน์ด้วย ถ้าเราเรียนอย่างตั้งใจ..เราจะจำได้..ว่าคนที่ขอสร้างคือ “ดาวิด” แต่พระเจ้าไม่อนุญาต ไม่ใช่เพราะการสร้างวิหารเป็นความบาป..แต่พระเจ้ารู้ว่าดาวิดอยากสร้างเพราะประมาทพลับพลา..ว่ามันดูกระจอก พระองค์เลยไม่อนุญาตให้ดาวิดทำ แต่เพื่อให้รู้ว่าการสร้างนิเวศน์นั้นไม่ใช่ความผิด พระเจ้าจึงบัญชาให้ซาโลมอนทำ..ตั้งแต่ตอนที่ซาโลมอนยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป

4.เมื่อซาโลมอนขอสติปัญญา แล้วพระเจ้าให้อะไร

ค.สติปัญญา ความมั่งคั่งและเกียรติยศ ขอถูกใจ..แถมให้ครบเลย

5“..และเมื่อเขาร้องขึ้น พร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่นในการถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าว่า..เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ พระนิเวศน์ของพระเจ้าก็มีเมฆเต็มไปหมด เพราะพระสิริของพระเจ้านั้นเต็มพระนิเวศน์ พระคำภีร์ข้อนี้สำแดงให้เราเห็นถึงความจริงในเรื่องใด

ค.พระเจ้าจะส่งการเจิมลงมาเมื่อเรานมัสการพระองค์ด้วยเสียงเพลงและเครื่องดนตรี

พระคำภีร์หลายบท..หลายตอนบอกให้เรารู้ว่า “ดนตรีกับเสียงเพลงนั้น มีส่วนเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของมนุษย์จริงๆ” ทั้งด้านบวกแล้วก็ด้านลบด้วยนะ อย่างเสียงเพลงที่ไพเราะอ่อนหวานก็สามารถกล่อมเกลาจรรโลงหัวใจให้มีความสุขได้..บางท่วงทำนองก็สามารถกระตุ้นเร้าให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์เละเช่นกัน..ที่เพลงบางประเภทก็อาจไปปลุกด้านมืดในตัวมนุษย์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้ววิทยาการและเทคโนโลยีสมัยนี้ก็ยังยืนยันความจริงเรื่องนี้ให้เราเห็นชัดขึ้นทุกวันๆ อันแรกเลย คือ การร้องเพลงนมัสการของพวกเรานี่แหละ..ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อสุภาพและสมองของมนุษย์อย่างอัศจรรย์ ไม่กี่ปีมานี้ทางการแพทย์ก็เริ่มเอาดนตรีเข้ามามีบทบาทในการช่วยบำบัดรักษาโรคบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่เกี่ยวข้องกับจิตประสาท นอกจากนี้ ก็ยังมีงานวิจัยที่สนับสนุนให้เด็กในครรภ์ฟังเพลงตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ เพื่อไร..เด็กออกมาแล้วจะฉลาด..อารมณ์ดี อะไรต่างๆเหล่านี้ที่มนุษย์ค้นพบ..ก็สนับสนุนถ้อยคำในพระคำภีร์ทั้งสิ้น ค้นพบอะไรมาก็เข้าทางพระเจ้าหมดเลย เพราะไร พระองค์คือผู้วางรากฐานทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่แรก ดังนั้น อะไรที่กำหนดไว้..จะต้องเป็นความจริงที่คงอยู่นิรันดร์

ข้อ ก.บอกแตร ฉาบเป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการ..ไม่เกี่ยว เครื่องดนตรีอะไรก็ได้..ไม่มีอะไรสำคัญกว่าอะไร

ข้อ ข.บอก พระเจ้าจะทรงมีความรักมั่นคงต่อผู้ที่เล่นดนตรีถวาย อันนี้..ก็ไม่ใช่เลย พระเจ้าจะทรงมีความรักมั่นคงกับใคร..ถ้านึกไม่ออกเพลงนมัสการจะเป็นคำตอบเร่งด่วนของเราได้เสมอ..เพลงที่ชื่อได้ยินเสียงของพระเจ้า มีท่อนนึงที่ร้องว่า “พระองค์สัญญาแน่นอน..กับผู้จงรักภักดี สัญญาทุกข้อเกิดผลถ้วนถี่..กับผู้ทำและเชื่อฟัง” เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงมีความรักมั่นคงต่อผู้ที่เชื่อฟังและร้อนรนที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์

6.จาก1พกษ.9:1-9 เมื่อซาโลมอนมอบถวายพระนิเวศน์แด่พระเจ้า พระองค์ทรงตรัสตอบเขา..ใจความว่าอะไร

ค.พระนิเวศน์ที่ซาโลมอนสร้างถวายไม่ได้มีค่ามากกว่าความเชื่อฟัง ของเรา ถ้าเราไม่เชื่อฟัง..พระเจ้าจะทรงตีสอนเราและกระทำให้นิเวศน์นั้นเป็นแค่กองปรักหักพัง “นี่คือ..ใจความที่สำคัญที่สุดในการที่พระเจ้าตรัสกับซาโลมอนในวันนั้น” ..จะถวายอะไร..พระเจ้าก็รับ อยากร้อนรนรับใช้หรือมีภาระใจในพันธกิจขนาดไหน..ก็โอเค แต่!พระเจ้าไม่เคยเห็นอะไรสำคัญกว่าความเชื่อฟังของเรา อันนี้ต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะฉะนั้น มันก็เป็นการดีที่เราจะมาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่โบสถ์ทุกเช้าวันอาทิตย์ ถวายสิบลดอย่างเคร่งครัด ช่วยงานพันธกิจอย่างสม่ำเสมอ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ เราต้องรักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจแล้วก็รักซึ่งกันและกัน ข้อ ก. กับ ข.จึงไม่ใช่คำตอบ เพราะพระเจ้าไม่เคยสัญญา..ว่าจะรักษานิเวศน์หรือวิหารที่เป็นสิ่งปลูกสร้างให้คงอยู่ตลอดไป และพระองค์ก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับโบสถ์ที่หรูหรา..สวยงาม แต่ร่างกายและการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้าต่างหาก..ที่จะเป็นวิหารที่พระองค์พอพระทัย ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วย อิฐ หิน ปูน ทราย

7.จากบริบทเดียวกับข้อ6 ถามว่าข้อใดกล่าวถูกต้อง

แน่นอน คำตอบคือ ก. พระเจ้าไม่ทรงโปรดสิ่งใดมากกว่าความเชื่อฟังของเรา ถ้าไม่เชื่อฟัง..หรือไม่มีความเชื่อ..ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีอะไรลบล้างความบาปได้ ส่วนข้อค.บอกการสร้างพระนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย..ไม่เกี่ยว บอกแล้วว่าอยากถวายอะไรก็ไม่ผิดแต่ทุกอย่างสำคัญรองจากความเชื่อฟังทั้งสิ้น

8.ก็ยังถามย้ำเรื่องเดียวกัน ข้อใดคือเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัยที่สุด

ข.ความเชื่อฟัง

9.ข้อใดไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาดหรือจุดอ่อนของซาโลมอน

ข.พระราชาซาโลมอนสร้างพระนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้า ข้อนี้..อาจจะเป็นจุดอ่อนของดาวิด แต่ไม่ใช่จุดอ่อนของซาโลมอน..เขาทำตามสั่ง จุดอ่อนของซาโลมอนคือข้อ ก.กับ ค. การรับหญิงต่างชาติมาเป็นภรรยา..แถมหลายคนอีกต่างหาก กับการสะสมรถรบ..พลม้า เป็นเรื่องที่พระเจ้าสั่งห้ามแล้วก็มีบันทึกไว้ในพระบัญญัติด้วย

10.จาก 1พกษ.11:1-8 เด็กๆคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ซาโลมอนทำบาป

คำตอบคือ ทั้งการที่เขาไปแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า บวกกับที่ซาโลมอนประมาท..ยอมออมชอมให้ความบาปวันละนิด..วันละหน่อยต่อยอดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดบั้นปลายชีวิตซาโลมอนก็ทำบาปต่อพระเจ้า

11.เมื่อถูกพระเจ้าพิพากษา..ซาโลมอนมีท่าทีอย่างไร

ก.ทั้งไม่กลับใจแล้วยังหาทางฆ่าเยโรโบอัมอีกด้วย ไม่มีพระคำภีร์ตอนไหนบันทึกว่าซาโลมอนสำนึกผิดหรือกลับใจใหม่..เหมือนดาวิด..ไม่มี

12.เราได้เรียนรู้สิ่งใดในการที่ดาวิดกับซาโลมอน..เป็นพ่อลูกกัน

ค.ทั้งความชอบธรรมและไม่ชอบธรรม..ไม่สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด พระคำภีร์หลายบทหลายตอนสำแดงความจริงในเรื่องนี้ชัดเจนมาก อย่างซาอูล เป็นไง..เป็นคนที่แย่มากแต่โยนาธานลูกเขา..กลับมีความเชื่อและแสวงหาพระเจ้าตลอดเวลา แล้วที่พ่อดีลูกไม่ดีก็อย่างเช่น..ซามูเอล ที่รักพระเจ้าจนวันตายแต่พระคำภีร์ก็บันทึกว่าลูกเขาก็ไม่ได้ชอบธรรมเหมือนพ่อ จนคนอิสราเอลเอาเรื่องนี้ไปเป็นข้ออ้างในการร้องขอกษัตริญ์ เพราะฉะนั้น ความรอดหรือความชอบธรรมไม่ใช่มรดกทางสายเลือด พ่อแม่รอด..ลูกไม่รอด..ก็มี หรือพ่อแม่ไม่มีความเชื่อแต่ลูกกลับมาเชื่อพระเจ้าก็เยอะแยะ เพราะฉะนั้น ตัวใคร..ตัวมัน พ่อแม่ครูอาจารย์ทำได้แค่โน้มนำ แต่จะรอดหรือไม่รอด สุดท้ายทุกคนต้องไขว่คว้าและรักษาไว้ด้วยตัวเอง.

13.ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้อิสราเอลสิบเผ่าแยกตัวออกจาอาณาจักรยูดาห์และเจิมตั้งเยโรโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

ค.เรโหโบอัมเชื่อที่ปรึกษาที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน..ไม่ยอมลดหย่อนภาษีให้กับคนอิสราเอล ไม่ใช่เพราะเรโหโบอัมไม่น่าเชื่อถือ แล้วตอนแรกเยโรโบอัมก็ไม่ได้คิดจะกบฎด้วย..เขาหนีจากซาโลมอนไปอยู่ที่อียิปต์แล้ว แต่พอเรโหโบอัมปฎิเสธไม่ยอมลดภาษีให้ประชาชน อิสราเอลสิบเผ่าทางเหนือก็ไปตามเขากลับมา..เป็นผู้นำ

14.จากเรื่องเดียวกันนี้ใน 1พกษ.12:1-15 แสดงให้เราเห็นถึงอิทธิพลของสิ่งใด

ก.อิทธิพลของที่ปรึกษา..เต็มๆเลย เพราะเพิ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนรัชกาลใหม่ๆ เยโรโบอัมและเรโหโบอัมยังไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเป็นพิเศษ คนอิสราเอลกำลังอยู่ในช่วงรอดูการตัดสินใจของเรโหโบอัม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ซึ่งบริบทนี้มีผลมาจาก..ที่ปรึกษาเป๋นสำคัญ

15.อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เยโรโบอัมสร้างรูปวัวทองคำขึ้นมา ให้คนอิสราเอลนมัสการแทนพระเจ้า

ค.เพราะเยโรโบอัมกลัวว่า คนอิสราเอลจะกลับใจไปเข้าข้างยูดาห์ ถ้ายังปล่อยพวกเขาให้กลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม เยโรโบอัมลืมหมด..ว่าที่เขาได้มาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลเนี้ย..ก็เพราะพระเจ้า เพราะฉะนั้น ราชวงศ์ของเขาจะอยู่หรือจะไปก็ขึ้นอยู่กับ..พระเจ้าเหมือนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับสติปัญญาหรือเรี่ยวแรงกำลังของเยโรโบอัม ถ้าพระเจ้าจะรักษาไว้ก็ไม่มีทางที่ใครจะทำลายได้ แต่พอได้เป็นกษัตริย์ปุ๊บ..ก็มองไม่เห็นพระเจ้า อำนาจบารมีมันท่วมท้นจนคิดว่าตัวเอง..แน่! สุดท้าย ก็ทำบาปต่อพระเจ้า..สร้างรูปวัวทองคำขึ้นมาให้คนอิสราเอลกราบไหว้ จะได้ไม่ต้องกลับไปเยรูซาเล็ม เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพียงเพราะเยโรโบอัมยึดติดในอำนาจ..ทำใจไม่ได้ถ้าจะต้องสูญเสียการเป็นกษัตริย์ จุดนั้น คนเราจึงมักเลือกที่จะพึ่งพาสติปัญญาของตัวเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า แล้วสติปัญญาของเยโรโบอัมก็คิดได้แค่นั้น

16.เหตุใดพระเจ้าจึงตีสอนคนอิสราเอลด้วยภัยแล้ง

ข.เพราะอิสราเอลเชื่อว่าพระบาอัลเป็นผู้ควบคุมฝน

17.เราได้ข้อคิดอะไร ในการที่หญิงม่ายยอมแบ่งอาหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้แก่เอลียาห์

คำตอบ คือ ก.คริสเตียนจะถวายเกียรติและวางใจพระเจ้าในทุกสถานการณ์

ข.บอก คริสเตียนจะแบ่งปันในเวลาที่เหมาะสม..จริงๆแล้วคริสเตียนถูกสอนให้รู้จักให้ออกไปตลอดเวลา..แม้ในเวลาที่ยากลำบาก พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราคิดเยอะ เวลาที่จะแบ่งปัน..ไม่ต้องคิดเยอะ..ถ้าให้แล้วไม่เดือดร้อน..ให้ไปเลย

ค. บอก คริสเตียนต้องเป็นตัวของตัวเองเสมอ อันนี้ ค่อนข้างสวนทางกับทางของพระเจ้าเลย เพราะเมื่อเราเชื่อพระเจ้า สิ่งนึงที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราก็คือ เราจะมีอีโก้น้อยลง ความยึดมั่นถือมั่นและตัวตนของเราจะค่อยๆหายไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนว่า เมื่อเรารักใครซักคนมากๆ เราก็พร้อมที่จะเชื่อฟังและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนๆนั้น ฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนจึงค่อยๆเปลี่ยนไป..โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเรารักและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อ"พระเยซูคริสต์"

18.จาก 1พกษ.17:13-16 ข้อใดกล่าวถูกต้อง

คำตอบคือ ข.พระเจ้าคิดไม่เหมือนมนุษย์ แล้วทางของพระองค์ก็ไม่เหมือนทางของโลก มีบางคนตอบ ก.บางครั้งเราต้องใช้สติปัญญาของเราในการทำตามพระบัญชาของพระเจ้า พระบัญชาของพระเจ้าที่เป็นสากลในที่นี้น้าตุ๊กหมายถึง”พระคำภีร์” อันนี้ เราต้องใช้สติปัญญาของเรามาพรูฟพระคำภีร์มั๊ย..ไม่ต้อง ถ้าต้องพรูฟหรือเอาสติปัญญาของเรามาวินิจฉัยพระคำภีร์ แปลว่าเราแน่กว่าพระเจ้า เพราะพระคำภีร์ทุกบททุกตอนทุกตัวอักษรนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า ส่วน ค.บอกว่า ทางของพระเจ้าต้องสอดคล้องกับความคิดของเราเสมอ อันนี้ก็ไม่ใช่ เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด สติปัญญาหรือหนทางของพระเจ้าก็สูงกว่าเราฉันนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าสั่งไว้..ทำเลย แม้ว่าคำสั่งของพระเจ้าจะไม่สอดคล้องกับความคิดเรา

19.ใครคือสาเหตุในการที่พระเจ้าต้องพิพากษาภัยแล้งต่ออิสราเอล

ข.อาหับ อาหับคนเดียว ไม่เกียวกับเอลียาห์เลย เอลียาห์แค่มาประกาศภัยแล้งตามพระบัญชาของพระเจ้า ผู้รับใช้หรือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้เป็นแค่สื่อหรือภาชนะที่นำน้ำพระทัยพระเจ้ามาสำแดงแก่เรา แน่นอน..คนเหล่านี้มีเกียรติเพราะเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ ดังนั้นเราต้องให้เกียรติผู้รับใช้อย่างสูง แต่คริสเตียนต้องไม่เผลอยึดติดหรือโฟกัสที่ผู้รับใช้มากจนเกินไป จริงอยู่ที่พระเจ้าใช้มนุษย์ตามบุคลิกของพวกเขา บางครั้งเราเลยรู้สึกถูกใจผู้รับใช้บางคนเป็นพิเศษ เพราะอาจจะถูกจริตกัน แต่ถ้าถึงขนาดที่ว่า..ถ้าไม่ใช่อาจารย์คนนี้เทศน์แล้ว..ชั้นก็ไม่อยากฟัง..รู้สึกไม่ค่อยศรัทธา อย่างงี้ไม่ใช่แล้ว อันนี้ออกอาการยึดติดกับตัวบุคคลแล้ว ถ้อยคำของเอลียาห์ศักดิ์สิทธ์ก็จริง..เขาเผยพระวจนะอะไรสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นทุกที แต่เราต้องไม่ลืมว่า..เอลียาห์เป็นแค่ภาชนะหรือสื่อ ส่วนผู้ที่ควบคุมและกระทำการทุกอย่าง คือ “พระเจ้า”

20.ทำไมเอลียาห์จึงสามารถไปท้าทายพระบาอัลและปุโรหิตของพระเหล่านั้นได้..อย่างแข็งกร้าว

ข้อนี้ ต้องคิดให้ดีๆ เพราะทั้งสามข้อเป็นคุณสมบัติของเอลียาห์ทั้งหมดเลย แต่ที่น้าตุ๊กเน้น คือ เอลียาห์ทำการนี้แบบ”ท้าทาย” เพราะฉะนั้น คำตอบที่ถูก คือ ข้อ ค.เพราะเอลียาห์ทำตามพระบัญชาของพระเจ้า ถ้าไม่ได้สั่ง..ห้ามทำเหมือนเอลียาห์ อย่าไปท้าทายพระอื่นหรือไปกล่าวโทษความเชื่อของคนอื่น..ก็ไม่ได้ เพราะงั้น ถึงจะเป็นคนของพระเจ้า เป็นผู้รับใช้ หรือมีสิทธิอำนาจเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้..ก็ไปท้าทายหรือกล่าวโทษคนอื่นไม่ได้..ถ้า!พระเจ้าไม่ได้สั่ง แต่พระคำภีร์บริบทนี้ชี้ชัดให้เราเห็น..ว่าที่เอลียาห์ท้าทายก็เพราะพระเจ้าอนุญาตให้เขาทำ

21.ชัยชนะในสงครามของ”ทั้งอิสราเอลและยูดาห์”ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

ตอบ ก.ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า ข้อนี้ ไม่น่าจะตอบผิดกันนะเพราะที่เรียนมาเราจะเห็นว่า..ส่วนใหญ่แล้วอิสราเอลเป็นรองเขาตลอดทั้งจำนวนคนและอาวุธ แต่ทุกครั้งที่ชนะได้ก็เพราะเขาพึ่งพระเจ้า ถ้าไม่พึ่งพระเจ้าต่อให้มีกำลังพลมากมายแค่ไหนก็แพ้เขาอยู่ดี เพราะฉะนั้น เด็กๆไม่ต้องกลัวเลยนะ..ถึงเราจะไม่รวย ไม่เก่ง ไม่มีเส้นก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าเรามีพระเจ้า..เราก็มีทุกอย่างแล้ว

22.ข้อใดกล่าวถึงสถานการณ์ของอิสราเอลฝ่ายเหนือได้อย่างถูกต้อง

ก.ขาดเสถียรภาพ..มีการโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์และฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นจนอาณาจักรล่มสลาย เพราะตั้งแต่ที่เยโรโบอัมนำคนให้ไหว้รูปวัวทองคำแล้ว อิสราเอลไม่เคยพรากจากทางนั้นเลย พวกเขาไหว้รูปวัวทองคำตลอด พวกเขาเลยถูกพระเจ้าพิพากษา..อิสราเอลจึงไม่มีราชวงศ์ที่มั่นคง มีแต่การโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์และฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา

23.ข้อใดกล่าวถึงความสภาพจิตวิญญาณของอิสราเอลและยูดาห์ได้อย่างถูกต้อง

ค.เมื่อถูกพิพากษายูดาห์จะสำนึกผิด และหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เดียวเสมอ ก.และข.ไม่ใช่คำตอบ เพราะอิสราเอลฝ่ายเหนือไหว้รูปวัวทองคำตลอด แล้วก็ไม่เคยละทิ้งหรือกวาดล้างพระบาอัลให้สิ้นซากเลย

24.เอลียาห์ทำอย่างไร พระเจ้าจึงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชาของเขา

ค.อธิฐานแค่ครั้งเดียว ใครตอบผิดแปลว่าขาดเรียน เอลียาห์ไม่ได้ทำอะไรเยอะเลย เขาอธิฐานแค่ครั้งเดียวไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ..พระเจ้าก็ส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชาตามที่เขาขอ ส่วนที่เชือดเนื้อ..เฉือนตัวนั่นใคร..ปุโรหิตพระบาอัล ไม่ใช่เอลียาห์

25.เด็กคิดว่า..ทำไมเอลียาห์จึงถอดใจกับงานรับใช้

ข.เพราะเอลียาห์คาดหวังการฟื้นฟูตามสติปัญญาของตัวเอง พระเจ้าตอบคำอธิฐานของเอลียาห์มั๊ย..ตอบ..เสมอ..ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่หลายครั้งมากที่พระองค์ทำการอัศจรรย์ผ่านเอลียาห์ พระเจ้าส่งไฟลงมาตามที่เอลียาห์ขอ เมื่อเอลียาห์อธิฐานขอให้ฝนตก..ตกมั๊ย พระเจ้าก็ตอบ..ส่งฝนโครมใหญ่ลงมาในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตอนนั้นฝนไม่ตกมาสามปีแล้วในอิสราเอล นอกจากนี้ตอนที่ลูกของหญิงม่ายตาย เอลียาห์ก็ทูลขอชีวิตลูกของเธอต่อพระเจ้า พระเจ้าก็ตอบ..ลูกของหญิงม่ายก็ฟื้น เพราะฉะนั้น ข้อก.จึงไม่ใช่คำตอบแน่นอน เหตุผลเดียวที่เอลียาห์งอนพระเจ้า จนถอดใจกับงานรับใช้ คือ เขาคาดหวัง..ตามสติปัญญาของตัวเอง คิดว่าเมื่อคนอิสราเอลเห็นการอัศจรรย์แล้ว..การฟื้นฟูใหญ่น่าจะต้องเกิดขึ้น ทุกอย่างควรจบอย่างสวยงามได้แล้ว แต่..บังเอิญนั่นไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า..ทางของพระองค์ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องหรือเป็นไปตามที่เราคิด..หวัง.. แต่จุดนั้น เอลียาห์ทำใจไม่ได้เพราะถูกเยเซเบลหมายหัวด้วย..เลยถอดใจไปพักใหญ่

26.เด็กๆคิดว่าใครมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของกษัตริย์อาหับมากที่สุด

คำตอบ คือ มเหสีเยเซเบล..ไม่ใช่พระบาอัล ถ้าอาหับจะกราบไหว้พระบาอัล ก็เพราะเชื่อเมีย..ไม่ใช่เพราะศรัทธาหรือยำเกรงในพระบาอัลจริงๆ..น้าตุ๊กเชื่ออย่างงั้น

27. ข้อใดกล่าวถูกต้อง ในการที่นาโบทโดนหินขว้างจนตาย

ก.นาโบทคือผู้ชอบธรรม..เพราะยืนยันจะรักษาที่ดินของบรรพบุรุษไว้ นาโบททำถูกแล้วที่ไม่ยอมขายที่ดินให้อาหับ เพราะพระเจ้าสั่งไว้แล้วไม่ให้เปลี่ยนมือ..ที่ดินที่พวกเขาจับฉลากได้ตั้งแต่สมัยของโยชูวาคือที่ดินที่พระเจ้าประทานให้..ให้ทำไร ให้เป็นที่อยู่ที่กิน เพราะฉะนั้น เพื่อให้เป็นผลดีที่สุดกับคนอิสราเอล พวกเขาห้ามเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ถ้าเอาไปใช้ในทางที่ผิดมันก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาเหมือน..ที่ดินวังน้ำเขียวที่เป็นเรื่องเป็นราวกันอยู่ตอนนี้ ก็เพราะเอาที่ดินที่รัฐจัดสรรให้ไปใช้เพื่อการเกษตร..ไปทำรีสอร์ทกันหมด คือ เอาไปใช้ผิดประเภทมันก็เลยเกิดปัญหา เพราะฉะนั้น ที่ดินของอิสราเอลต่อให้เอาไปจำนอง..แต่ถ้าปีแห่งการปลดปล่อยมาถึง..ก็ต้องคืนให้เจ้าของเดิม

28.เกี่ยวกับเรื่องสวนองุ่นของนาโบท ข้อใดกล่าวถูกต้อง (ใครคือคนอธรรม)

ค.ทั้งเยเซเบลและอาหับ ถึงเยเซเบลจะเป็นคนวางแผนและจัดการเรื่องทั้งหมด แต่ถามว่า อาหับรู้มั๊ย..ยังไงก็ต้อง”รู้”..แล้วทำไมไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามก็เพราะเห็นดีด้วย อยากได้ของคนอื่นจนตาลาย เลยปล่อยให้เยเซเบลทำตามแผนทุกอย่าง พอสำเร็จ..ก็ดีใจ รีบเข้าไปครอบครองที่ของนาโบทหน้าตาเฉย เพราะฉะนั้น จะโทษเยเซเบลคนเดียว..ไม่ได้ เพราะมันผิดที่อาหับด้วย

29. ทำไมกษัตริย์เยโฮชาฟัทจึงรู้สึกได้ถึงความเทียมเท็จของผู้พยากรณ์ทั้ง 400 คนของอาหับ

ค.เพราะเยโฮชาฟัทติดสนิทกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ เขาถึงรู้สึกได้..ว่าสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะทั้ง400 คนนี้พูด..มันยังไม่ใช่..ไม่น่าเชื่อถือ พวกเราก็เหมือนกัน ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้า ร้อนรนที่จะเรียนรู้จักพระองค์ให้มากๆ เราก็จะแยกแยะได้เหมือนเยโฮชาฟัท ไม่ว่าความเทียมเท็จจะแฝงมากับอะไร..เราก็จะมีวินิจฉัยว่าอันไหนมาจากพระเจ้า..อันไหนไม่ใช่

30.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้เผยพระวจนะแท้ที่มาจากพระเจ้า

ตอบ ค.ดูก่อนเลยว่าสิ่งที่คนๆนั้นพูดมันเกิดขึ้นจริงมั๊ย แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะบางทีสิ่งที่พวกเทียมเท็จพูดไว้มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น นอกจากสิ่งที่พูดไว้ต้องเป็นจริงแล้วผู้เผยพระวจนะแท้ต้องโน้มนำให้คนอยู่ในทางพระเจ้าด้วย ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

หนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่13 (จบ) + แบบทดสอบหนังสือ 1พงศ์กษัติย์

ดู1พกษ.22:29-31 ในที่สุดอาหับกับเยโฮชาฟัทก็ตัดสินใจออกไปรบ..ทั้งที่ลึกๆแล้วเขาเชื่อคำพูดของมีคายาห์ ทำไมถึงรู้ว่าเขาเชื่อ..เพราะข้อนี้ บอกว่า “อาหับปลอมตัวไปทำสงคราม คือ ปกติกษัตริย์ซึ่งเป็นแม่ทัพนั้น..จะแต่งตัวไม่เหมือนใคร แต่ครั้งนี้ อาหับไม่ยอมแต่งชุดนักรบของกษัตริย์..ปล่อยให้เยโฮชาฟัทใส่คนเดียว แต่ปรากฎว่า ข้อที่31 เบนฮาดัดก.ซีเรียได้สั่งลูกน้อง..บอกว่า ไม่ต้องสนใจใคร ตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานกษัตริย์อาหับคนเดียวพอ แล้วจะรู้ได้ไง..ว่าคนไหน ก็ต้องดูที่ชุด..คนไหนใส่ชุดกษัตริย์..ก็ลุยเลย ข้อที่32 บอกว่า ฝ่ายทหารซีเรียมองมาก็เห็น..ใคร.. เห็นเยโฮชาฟัทใส่ชุดนักรบของกษัตริย์อยู่คนเดียว..555 แล้วก็คิดว่าใช่แน่ เลยกรูกันเข้าไปรุมเยโฮชาฟัทกันใหญ่เลย เยโฮชาฟัทก็โวยวายขึ้นมา..พวกทหารซีเรียถึงรู้ว่า..ผิดคน (มุกนี้ หนังสมัยนี้ก็เอามาใช้บ่อยนะ) พวกซีเรียก็เลยหันกลับไม่ตามทำร้ายเยโฮชาฟัท ข้อที่34 บอกว่า “มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงสุ่มไป ถูกกษัตริย์อาหับเข้าระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า "หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว"....ลูกธนูของทหารซีเรียคนนึงเสียบเข้าไปตรงร่องรอยต่อระหว่างเกล็ดของเสื้อเกราะซึ่งเป็นจุดที่เล็กมาก เพราะฉะนั้น โอกาสน้อยมากที่จะไปโดนตรงจุดนั้น..แต่ก็โดน..ทั้งที่ยิงไปส่งๆ ถ้าภาษาอย่างเราๆก็จะบอกว่า..”แม่นเหมือนจับวาง” ซึ่งความจริงไม่ใช่เหมือน..แต่มันถูกจับวางจริงๆ..โดยพระหัตถ์พระเจ้า อาหับก็บาดเจ็บสาหัส..เขาเลยเอาพระองค์ออกไป แต่ในที่สุดก็ไม่รอด

ดู1พกษ.22:37-38 อาหับสิ้นพระชนม์เพราะเสียเลือดมาก ข้อที่35 บอกว่า “..โลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ”..เลือดออกมากจนนองเต็มรถรบไปหมด เมื่อเขาฝังศพแล้ว..ก็เอารถรบไปล้าง ข้อที่38 บอก “ขณะที่เขาล้างรถรบสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ เขาได้ล้างเกราะของพระองค์ ตามพระวจนะของพระเยโฮวาห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัส..” สรุปแล้วอาหับก็มีอันเป็นไป..ตามคำพิพากษาของพระเจ้าตามที่ทรงตรัสไว้ทางเอลียาห์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

ส่วน1พกษ.ตอนท้ายก็ได้กลับมาที่ก.เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์..อีกครั้ง พระคำภีร์บันทึกว่าเยโฮชาฟัทเป็นกษัตริย์ที่ชอบธรรมเช่นเดียวกับอาสา..พ่อของเขา แต่ยังไงก็ตามเยโฮชาฟัทก็ยังไม่สามารถกำจัดระบบของพระบาอัลให้หมดสิ้นไปจากอิสราเอลได้ เพราะยังมีปูชนียสถานสูงหรือสถานที่ที่ใช้ในการกราบไหว้พระบาอัลหลงเหลืออยู่ทั่วไปในอิสราเอล จากนั้นข้อ 51-53 ก็จะเป็นบันทึกเรื่องราวของอาหัสยาห์..ลูกชายของอาหับ ที่สืบทอดราชบัลลังก์อิสราเอลต่อจากพ่อ รวมทั้งสืบทอดความชั่วร้ายในการกราบไหว้พระบาอัลมาจากอาหับกับเยเซเบลด้วย เดี๋ยวเราจะได้เรียนกันต่อไปในหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์.....

บททดสอบ หนังสือ 1 พงศ์กษัตริย์

1.ในสมัยที่แตกออกเป็นสองอาณาจักร ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือและอาณาจักรยูดาห์

ก.อิสราเอลมีกษัตริย์ที่ชอบธรรมอยู่บ้างแต่ยูดาห์ไม่มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมเลย

ข.ยูดาห์มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมอยู่บ้างแต่อิสราเอลไม่มีกษัตริย์ที่ชอบธรรมเลย

ค.ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ต่างมีกษัตริย์ที่มีความชอบธรรมอยู่บ้าง

2.บุรุษผู้เข้าถึงพระทัยและกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้ามากที่สุด [The man after God’s own heart] หมายถึงใคร

ก.ดาวิด ข.ซาโลมอน ค.เอลียาห์

3.จาก 1พกษ.3 เมื่อพระเจ้าให้ขอ..ซาโลมอนขอสิ่งใด

ก.สติปัญญา ข.ขออาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง ค.ขอสร้างพระนิเวศน์ถวายพระเจ้า

4.จาก1 พกษ.3 พระเจ้าทรงประทานสิ่งใดให้แก่ซาโลมอน

ก.สติปัญญา ข.ความมั่งคั่งและเกียรติยศ ค.สติปัญญา ความมั่งคั่งและเกียรติยศ

5. “..และเมื่อเขาร้องขึ้น พร้อมกับแตรและฉาบกับเครื่องดนตรีอย่างอื่นในการถวายสรรเสริญแด่พระเจ้าว่า..เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ พระนิเวศน์ของพระเจ้าก็มีเมฆเต็มไปหมด เพราะพระสิริของพระเจ้านั้นเต็มพระนิเวศน์ 2 พศด.5:13-14 สำแดงให้เราเห็นความจริงในเรื่องใด

ก.แตรและฉาบเป็นสิ่งสำคัญในการนมัสการพระเจ้า

ข.พระเจ้าจะทรงมีความรักมั่นคงต่อผู้ที่เล่นดนตรีถวาย

ค.พระเจ้าจะส่งการเจิมลงมาเมื่อเรานมัสการพระองค์ด้วยเสียงเพลงและเครื่องดนตรี

6.พระดำรัสของพระเจ้าใน1พกษ.9:1-9 มีความหมายตามข้อใด

ก.เพื่อเห็นแก่พระนิเวศน์ที่สวยงามและมีค่าที่ซาโลมอนสร้างถวาย พระองค์จะทรงอยู่กับอิสราเอลตลอดไป

ข.ถ้าอิสราเอลไม่เชื่อฟัง พระองค์จะทรงพิพากษาพวกเขา แต่พระองค์สัญญาว่ารักษาพระนิเวศน์ที่ซาโลมอนสร้างถวายให้คงอยู่ตลอดไป

ค.พระนิเวศน์ที่ซาโลมอนสร้างถวายไม่ได้มีค่ามากกว่า"ความเชื่อฟัง" ของเรา ถ้าไม่เชื่อฟัง..พระเจ้าจะทรงตีสอนเราและกระทำให้นิเวศน์นั้นเป็นแค่ซากปรักหักพัง

7.และจากข้อเดียวกัน (1พกษ.9:1-9) ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก. พระเจ้าไม่ทรงโปรดสิ่งใดมากกว่าความเชื่อฟังของเรา

ข.ถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราต้องสร้างพระนิเวศน์ถวายพระเจ้าเพื่อล้างความบาป

ค.การสร้างพระนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย

8.ข้อใดคือเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัยที่สุด

ก.พระนิเวศน์ที่ซาโลมอนสร้างถวาย

ข.ความเชื่อฟัง

ค.เครื่องดนตรีและเสียงเพลง

9.ข้อใดไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาดหรือจุดอ่อนของซาโลมอน

ก.พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน.

ข.พระราชาซาโลมอนสร้างพระนิเวศน์ถวายแด่พระเจ้า

ค.พระราชาซาโลมอนทรงสะสมรถรบและพลม้า พระองค์ทรงมีรถรบหนึ่งพันสี่ร้อยคัน

10.จาก 1พกษ.11:1-8 เด็กๆคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ซาโลมอนทำบาป

ก.บรรดามเหสีต่างด้าวของพระองค์ทรงหันพระทัยของซาโลมอนให้ไปตามพระอื่น

ข.ความประมาทและการยอมออมชอมต่อความบาป ค. ถูกทั้ง ก และ ข

11.เมื่อถูกพระเจ้าพิพากษา..ซาโลมอนมีท่าทีอย่างไร

ก.ไม่กลับใจแต่กลับหาทางฆ่าเยโรโบอัม

ข.กลับใจใหม่แล้วร้องทูลขอให้พระเจ้ายกโทษ

ค.กลับใจใหม่แต่ยังหาทางฆ่าเยโรโบอัม

12.เราได้เรียนรู้สิ่งใดในการที่ดาวิดกับซาโลมอน..เป็นพ่อลูกกัน

ก.ความชอบธรรม..สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด

ข.ความไม่ชอบธรรม..สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด

ค.ทั้งความชอบธรรมและไม่ชอบธรรม..ไม่สามารถสืบทอดกันทางสายเลือด

13.ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้อิสราเอลสิบเผ่าแยกตัวออกจาอาณาจักรยูดาห์และเจิมตั้งเยโรโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

ก.เรโหโบอัมไม่น่าเชื่อถือเหมือนซาโลมอน

ข.เยโรโบอัมกบฎ..ชิงบัลลังก์จากเรโหโบอัม

ค.เรโหโบอัมเชื่อที่ปรึกษาที่เป็นคนรุ่นเดียวกัน..ไม่ยอมลดหย่อนภาษีให้กับคนอิสราเอล

14.จาก 1พกษ.12:1-15 แสดงให้เราเห็นถึงอิทธิพลของสิ่งใด

ก.อิทธิพลของคนให้คำปรึกษา ข.อิทธิพลของเรโหโบอัม ค.อิทธิพลของเยโรโบอัม

15.ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้เยโรโบอัมสร้างรูปวัวทองคำขึ้นมา ให้คนอิสราเอลนมัสการแทนพระเจ้า (1พกษ.12:25-28)

ก.เพราะพระเจ้าบัญชาให้สร้าง

ข.เพราะประชาชนไม่ยอมกลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม

ค.เพราะเยโรโบอัมกลัวว่า คนอิสราเอลจะกลับใจไปเข้าข้างยูดาห์ ถ้ายังปล่อยพวกเขาให้กลับไปนมัสการพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม

16.จาก 1พกษ.17:1-7 เหตุใดพระเจ้าจึงตีสอนคนอิสราเอลด้วยภัยแล้ง

ก.เพราะอิสราเอลไม่รู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกัน

ข.เพราะอิสราเอลเชื่อว่าพระบาอัลเป็นผู้ควบคุมฝน

ค.เพราะอิสราเอลเชื่อว่าพวกเขาสามารถควบคุมฝนได้ด้วยตัวเอง

17.จาก 1พกษ.บทที่17 เราได้ข้อคิดอะไร ในการที่หญิงม่ายยอมแบ่งอาหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้แก่เอลียาห์

ก.คริสเตียนจะถวายเกียรติและวางใจพระเจ้าในทุกสถานการณ์

ข.คริสเตียนจะแบ่งปันในเวลาที่เหมาะสม

ค.คริสเตียนต้องเป็นตัวของตัวเองเสมอ

18.จาก 1พกษ.17:13-16 ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.บางครั้งเราต้องใช้สติปัญญาของเราในการทำตามพระบัญชาของพระเจ้า

ข.พระเจ้าคิดไม่เหมือนมนุษย์ แล้วทางของพระองค์ก็ไม่เหมือนทางของโลก

ค.ทางของพระเจ้าต้องสอดคล้องกับความคิดของเราเสมอ

19.จาก 1พกษ.18:17 เด็กๆคิดว่าใครคือสาเหตุในที่พระเจ้าต้องพิพากษาภัยแล้งต่ออิสราเอล

ก.เอลียาห์ ข.อาหับ ค.ทั้งอาหับและเอลียาห์

20.ทำไมเอลียาห์จึงสามารถไปท้าทายพระบาอัลและปุโรหิตของพระเหล่านั้นได้..อย่างแข็งกร้าว

ก.เพราะเอลียาห์เป็นคนของพระเจ้า ข.เพราะเอลียาห์มีสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า

ค.เพราะเอลียาห์ทำตามพระบัญชาของพระเจ้า

21.ชัยชนะในสงครามของอิสราเอลตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

ก.ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า

ข.ขึ้นอยู่กับจำนวนคนและอาวุธยุทโธปกรณ์ ค.ถูกทั้ง ก และ ข

22.ข้อใดกล่าวถึงสถานการณ์ของอิสราเอลฝ่ายเหนือได้อย่างถูกต้อง

ก.ขาดเสถียรภาพ..มีการโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์และฆ่าล้างเผ่าพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา

ข.มีเสถียรภาพในช่วงแรก..แต่มีการโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์กันในช่วงก่อนอาณาจักรจะล่มสลาย

ค.ขาดเสถียรภาพ..เพราะถูกรุกราน แต่มีราชวงศ์ที่มั่นคง..ไม่มีการโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์

23.ข้อใดกล่าวถึงความสภาพจิตวิญญาณของอิสราเอลและยูดาห์ได้อย่างถูกต้อง

ก.เมื่อถูกพิพากษาอิสราเอลจะสำนึกผิด..ละทิ้งพระบาอัล และหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เดียวเสมอ

ข.เมื่อถูกพิพากษาทั้งอิสราเอลและยูดาห์จะสำนึกผิด..ละทิ้งพระอื่น และหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เดียวเสมอ

ค.เมื่อถูกพิพากษายูดาห์จะสำนึกผิด และหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เดียวเสมอ

24.เอลียาห์ทำอย่างไร พระเจ้าจึงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชาของเขา (1พกษ.18)

ก.อดอาหารอธิฐาน 7 วัน 7 คืน ข.เชือดเนื้อเฉือนตัวและนุ่งผ้ากระสอบ

ค.อธิฐานแค่ครั้งเดียว

25.เด็กคิดว่า..ทำไมเอลียาห์จึงถอดใจกับงานรับใช้

ก.เพราะพระเจ้าไม่ตอบคำอธิฐานของเอลียาห์

ข.เพราะเอลียาห์คาดหวังการฟื้นฟูตามสติปัญญาของตัวเอง ค.ถูกทั้ง ก และ ข

26.เด็กๆคิดว่าใครมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของกษัตริย์อาหับมากที่สุด

ก.มเหสีเยเซเบล ข.พระบาอัล ค.ปุโรหิตพระบาอัล

27.จาก 1พกษ.21:1-16 ข้อใดกล่าวถูกต้อง ในการที่นาโบทโดนหินขว้างจนตาย

ก.นาโบทคือผู้ชอบธรรม..เพราะยืนยันจะรักษาที่ดินของบรรพบุรุษไว้

ข.นาโบทคือคนอธรรม..เพราะไม่ยอมขายที่ดินให้กษัตริย์

ค.นาโบทคือคนอธรรม..ที่ไม่ยอมรักษาที่ดินของบรรพบุรุษไว้ตามพระบัญญัติของพระเจ้า

28.เกี่ยวกับเรื่องสวนองุ่นของนาโบท ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.มเหสีเยเซเบล คือ คนอธรรม ข.นาโบท คือ คนอธรรม

ค.มเหสีเยเซเบลและกษัตริย์อาหับ คือ คนอธรรม

29.จาก 1พกษ.22:1-12 เด็กๆคิดว่า..ทำไมกษัตริย์เยโฮชาฟัทจึงรู้สึกได้ถึงความเทียมเท็จของผู้พยากรณ์ทั้ง 400 คนของอาหับ

ก.เพราะเยโฮชาฟัทรู้ดีว่าอาหับเป็นคนอธรรม ข.เพราะเยโฮชาฟัทไม่ไว้ใจมเหสีเยเซเบล

ค.เพราะเยโฮชาฟัทรักพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์

30.เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือผู้เผยพระวจนะแท้ที่มาจากพระเจ้า

ก.สิ่งที่เขาเผยพระวจนะไว้จะต้องเกิดขึ้นจริงเสมอ

ข.ต้องเป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้รับการยอมรับจากกษัตริย์และประชาชน

ค.สิ่งที่เขาเผยพระวจนะไว้จะต้องเกิดขึ้นจริงและโน้มนำให้คนดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้า.