วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนังสืออพยพ ครั้งที่ 2


เราจบลงตรงช่วงชีวิตที่พลิกผันที่สุดของโมเสส  เมื่อเขาฆ่าคนอียิป์ตาย  ชีวิตก็พลิกผันไปในชั่วข้ามคืนจากเจ้าชายอียิปต์..กลายเป็นคนเร่ร่อนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง  แต่เราจะเห็นบทสรุปของพระเจ้าว่า.. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโมเสสครั้งนี้ ดียอดเยี่ยมจริงๆ”  เพราะจุดพลิกผันนี้มันเต็มไปด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า     ...ต้องหนีใช่มั้ย..โมเสสเลยได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร..เพราะพระเจ้าเลือกแล้ว..ว่าจะใช้โมเสสให้เป็นคนปลดปล่อยและก็นำยิวหรืออิสราเอลกลับบ้าน..ไปอยู่แผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าเตรียมไว้    แม้ว่าตอนนั้นโมเสสจะไม่รู้ว่าเรื่องแย่ๆเหล่านี้ทำไมต้องเกิดขึ้น..เหมือนพวกเราที่ไม่เข้าใจ..ว่า  หลายครั้งทำไมเรื่องแย่ๆ มันต้องเกิดขึ้นกับเรา  แต่..อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้าไม่รัก..ทุกอย่างจะต้องแย่อยู่อย่างนั้น..ตามสิ่งที่ตามองเห็น..ไม่จริง พระเจ้ามีแผนที่จะใช้ทุกสถานการณ์ที่แย่ๆของเรา..เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เกิดผลดีกับชีวิตเรา.แน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย.2:16-18 /19-21  มาถึงเรื่องราวในแผ่นดินมีเดียน  “มีเดียน” เป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างถิ่นทุรกันดารซีนายกับทะเลทรายอาระเบีย..ฟังดูก็รู้ว่าต้องเป็นดินแดนที่แห้งแล้งมาก  ข้อนี้บอกว่า ปุโรหิตคนมีเดียนมีลูกสาว 7 คน  ปุโรหิตคนนี้คือ เรอูเอลหรือ มีอีกชื่อก็คือ เยโธร”   ในขณะที่โมเสสนั่งอยู่ริมบ่อน้ำ..ลูกๆของเรอูเอลก็มาตักน้ำที่บ่อเพื่อไปเลี้ยงแกะ..และถูกคนเลี้ยงแกะเจ้าอื่น..รังแก  คือ บ่อน้ำตามถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้นจะเป็นของมีค่ามากที่ทุกคนแย่งชิงกัน   เพราะถ้าไม่มีน้ำจะทำอะไรไม่ได้เลยปลูกพืชก็ไม่ได้..เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ รวมถึงมนุษย์จะมีชีวิตอิยู่ก็ไม่ได้ด้วย..ถ้าขาดน้ำ    แล้วทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..บางประเทศแถบตะวันออกกลางและอาฟริกาที่พื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งหรือเป็นทะเลทรายก็ยังคงขาดแคลนน้ำอยู่..ยังใช้การไปตักน้ำจากบ่อเหมือนในพระคำภีร์อยู่   เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ถ้าตื่นขึ้น..เปิดก๊อกปุ๊บ ! น้ำไหลปั๊บ ก็จงก้มศีรษะลงน้อมรำลึกโมทนาพระคุณพระเจ้าบ้างที่ประทานความสุขสบายให้เรานะคะ  แค่นี้มันก็อัศจรรย์มากแล้ว..มันไม่ใช่เรื่องชิลด์ ๆ   ลองดูถ้าวันไหน น้ำไม่ไหล..เดือดร้อนมั้ยคะ..เดือดร้อนมาก ยิ่งกว่าไม่มีไฟอีก   แล้วอย่าคิดว่า..มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มีน้ำ..ไม่มีไฟใช้..มันเป็นไปได้แน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือยุคสุดท้ายที่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้   แต่น้าตุ๊กไม่ได้จะพูดให้เรากลัว   แต่พูดเพื่อให้เด็กๆเอาใจติดยึดกับพระเจ้าให้มากขึ้นกว่าเดิม เอเมนมั้ย       เรามาดูพระคำหนุนใจสำหรับเรื่องนี้กันนืดนึง  เปิดไป..
ดู สดุดี 91:1-4 / 5-8  “พระเจ้าจะทรงช่วยท่านให้พ้นจากกับของพรานนกและจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น..”   เราจะเห็นว่าทุกวันนี้มันมีการล่อลวงมากมาย..ในการที่จะทำให้คนของพระเจ้าทำบาปหรือหลงไปจากทางของพระองค์  แต่พระองค์บอกว่า..พระองค์จะทรงปกเราไว้ด้วยปีกของพระองค์   เราจะวางใจอยู่ใต้ปีกของพระองค์   และ..เราจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไปจากทางของพระเจ้า...(ถ้า เราติดสนิทและยึดพระองค์ไว้ตลอดเวลา..ย้ำ ตลอดเวลา)    ข้อที่ 5 บอกว่า “ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน”  .....สมัยนี้อาจจะไม่มีแล้วลูกธนู  มีแต่ เอ็ม 79  หรือ อาร์ พี จี..ใช่มะ..ที่วันดี คืนดี เราก็จะได้ยินข่าวของการยิงถล่มกันเป็นว่าเล่น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธร้ายแรง..ภัยพิบัติแผ่นดินไหวอะไรต่างๆ  เราก็ไม่ต้องกลัวเพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้าก็เป็นผู้ควบคุมอยู่   ข้อที่ 6 บอกว่า  “หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือความพินาศที่เกิดความหายนะในเที่ยงวัน พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น ...”  ...ไม่ว่าจะเป็นภัยร้ายในรูปแบบไหน  ก็แตะต้องจิตวิญญาณของเราไม่ได้  คำว่า “พันคนจะล้มอยู่ข้างเรา หมื่นคนที่มือขวาของเรา  แต่เราจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..ยังมีความหมายอีกด้วยว่า  ไม่ว่าข่าวสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ดูแล้วน่าตกใจขนาดไหน..เรามองแล้วก็จะเฉยๆ  คือ มองแค่ตา..มันแตะต้องใจเรา..ไม่ได้ ภัยเหล่านั้นจะทำให้เรากลัวไม่ได้เลย   เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมและพระองค์สัญญาว่าเราจะปลอดภัย  ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิต..จิตวิญญาณของเราปลอดภัยแน่นอน    เอเมน)
กลับมาที่ หนังสืออพยพ ข้อที่ 17 บอกว่า โมเสสได้ช่วยลูกๆของเยโธรไม่ให้ถูกรังแก คงจะมีการต่อสู้กัน..ซึ่งคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆคงไม่มีทางสู้โมเสสได้  เพราะอย่าลืมว่าโมเสสโตขึ้นมาในวัง  และได้รับการฝึกฝนเรียนรู้..ศิลปะการต่อสู้มาเป็นอย่างดี  ดังนั้น ก็คงจะเอาชนะคนเลี้ยงแกะหลายคนได้อย่างสบายๆ  (เหมือนพระเอกในหนังเลยเนอะ)   เพราะงั้น เมื่อชนะก็ได้ครอบครองบ่อน้ำซึ่งถือว่ามีค่ามาก..บ่อน้ำคือชีวิต  ดังนั้น ข้อต่อไปเราจะเห็นว่าสุดท้ายเยโธรก็ยกลูกสาวให้แต่งงานกับโมเสสคนนึง คือ นางศิโปราห์”  แล้วทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกัน  ชีวิตในถิ่นทุรกันดารของโมเสสก็เริ่มต้นขึ้นในจุดนั้น 
ดู อพย.2:23-25  เสียงร้องคร่ำครวญถึงความทุกข์ยากของคนยิวดังฟ้องขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงดับฟังเสียงคร่ำครวญของเขา และทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ  หมายความว่า พระเจ้าทรงตรัสถึงการนำชนชาติอิสราเอลกลับมาที่แผ่นดินคานาอันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  เปิดไป..
ดู ปฐก.15:13-16  จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินที่ไม่ใช่ของพวกเขาและจะรับใช้พวกนั้น พวกนั้นจะกดขี่ข่มเหงพวกเขาสี่ร้อยปี..(ก็คือ ในประเทศอียิปต์) ...เราจะพิพากษาประเทศนั้นและต่อมาพวกเขาจะออกมาพร้อมกับทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก... ในชั่วอายุที่สี่พวกเขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”....ข้อนี้ พระเจ้ากำลังตรัสกับอับราฮัมเมื่อครั้งที่เขาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินคานาอัน  น้าตุ๊ก คาดว่าราว 800 กว่าปีก่อนหน้าสมัยโมเสสนี้  หมายความว่า แม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อย..กี่พันปี  พระเจ้าไม่เคยลืมพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ไม่เคยพลาด..ไม่เคยลืมว่าพระองค์พูดอะไรไว้มั่ง  และทุกสิ่งที่พระเจ้าพูดไว้ในพระคัมภีร์มันต้องเกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน   ดังนั้น ที่พระองค์ยืนยันว่าเราจะได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระองค์นิรันดรกาลมันก็ต้องเป็นจริงด้วย เอเมน  และอีกแง่นึง พระสัญญาข้อนี้ที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัม..นานแค่ไหน  กว่าจะเป็นจริง..เกือบพันปี  ดังนั้น จงตระหนักไว้ว่า”การช่วยกู้ของพระเจ้า  อาจจะไม่ได้มาในเวลาที่ทันใจเราเสมอไป  แต่พระองค์ไม่เคยสาย..โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา..ไม่ต้องรอเป็นพันปีหรอก  เรื่องเล็กๆอย่างงี้รอแปบนึง พระเจ้ามาทันเวลาแน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย. 3:1-4   “ฝ่ายโมเสสที่กำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะ..ได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ (ซึ่งมีอีกชื่อ ว่า ภ.ซีนาย)   จากเจ้าชายอียิปต์..มากลายเป็นคนเลี้ยงแกะ  เรื่องอย่างงี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ น้าตุ๊กว่า คิดภาพไม่ออกหรอก..ว่ามันจะรู้สึกรันทดขนาดไหน  แต่ในความรันทดที่พระเจ้าหยิบยื่นให้..สิ่งนึงที่จะเกิดขึ้น คือ  “ความถ่อมใจ”  จุดนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้พร้อมกับงานรับใช้  เพราะความทุกข์ยากและปัญหาเป็นเครื่องมือเดียวที่จะสามารถขัดเกลาให้เราเข้มแข็งได้  ความสุขสบายมีแต่จะทำให้คนเสียนิสัย ขี้เกียจ เหยียดยาว เคยชินกับอะไรๆที่มันได้ดั่งใจตลอดเวลา  จริงมะ ดังนั้น เด็กๆจำไว้ว่าภาวะที่เป็นอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ..ไม่ใช่เวลาที่เรามีความทุกข์หรือปัญหา  แต่เป็นเวลาที่ทุกอย่างมันได้ดั่งใจไปหมด..ต่างหาก..ที่เราต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ      และ ตอนนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้กล้าหาญและเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฟาโรห์..และพร้อมจะเป็นผู้นำคนจำนวนมากในการใช้ชีวิตผ่านถิ่นทุรกันดาร..แต่ตอนนั้นโมเสสยังไม่รู้..   ข้อที่ 2 บอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระเจ้าปรากฎแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่กลางพุ่มไม้  โมเสสเลยแวะเข้าไปดูเพราะคิดว่า..ทำไมต้นไม้ที่มีไฟลุกขนาดนี้มันถึงไม่ไหม้  และเมื่อเดินเข้าไปพระเจ้าก็ตรัสเรียกเขาว่า “โมเสส โมเสส  แล้วโมเสสก็ตอบว่า ข้าพระองค์อยู่นี่” 
ดู อพย. 3:5-6  เมื่อโมเสสขานตอบพระเจ้าแล้ว “พระองค์ทรงบัญชาให้โมเสส”ถอดรองเท้าออก” ..ที่ตรงนั้นเป็นที่บริสุทธิ์..ทำไมถึงบริสุทธิ์เพราะขณะนั้นพระเจ้าทรงสถิตอยู่   ดังนั้น ที่ๆพระเจ้าทรงสถิตอยู่เราต้องให้ความเคารพยำเกรง    ทุกวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน  อยู่ในใจเรา  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสถิตอยู่ในขณะที่เรานมัสการพระองค์ด้วย  แล้วส่วนใหญ่เรานมัสการพระเจ้าที่ไหน..ที่โบสถ์   เพราะฉะนั้น คิดเอาเองละกัน..ว่าขณะที่เรามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าเนี่ย..เรามาด้วยท่าทีแบบไหน..แล้วก็แต่งตัวยังไง   คิดว่ามาหาเพื่อนหรือมาหาพระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  มาแบบชิลด์ๆหลับๆตื่นๆ นุ่งขาสั้น..รองเท้าแตะ  นั่งนมัสการก็ไขว่ห้าง  ล้วงกระเป๋า  หรือเราก้มศรีษะลงด้วยใจถ่อม  อะไรต่างๆเหล่านี้มันจะสำแดงให้เห็นถึงท่าทีในใจ..ว่าเราโฟกัสที่พระเจ้าแค่ไหน  (พวกเราโตแล้ว พูดหลายครั้งแล้ว  ถ้าโตไปกว่านี้ก็จะไม่มีใครเตือนแล้ว  แล้วท่าทีที่ไม่น่าดูต่างๆเหล่านี้ มันก็จะติดตัวเรากลายเป็นหนังสืออะไรไม่รู้..ซึ่งไม่ใช่หนังสือของพระคริสต์)  
ข้อที่ 6 บอกว่า  ”....เมื่อพระเจ้าเรียก..โมเสสขานรับทันที   และพระองค์ก็บอกโมเสสว่า  “ เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” ...ที่พระเจ้าแนะนำพระองค์เองอย่างนั้น  หมายความว่าโมเสสต้องรู้จักพระองค์  โมเสสต้องรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษตัวเอง   น้าตุ๊กเชื่อว่า นางโยเคเบด (แม่แท้ๆของโมเสส)..ต้องสอนโมเสสตั้งแต่เล็กให้รู้จักพระเจ้า  เพราะงั้น นี่คือ บทเรียนสำหรับเรา  ต่อไปเด็กๆมีครอบครัวสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสอนให้ลูกหลานของเรารู้จักพระเจ้า..สอนให้พวกเขาติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เมื่อโตขึ้น..เขาจะไวต่อเสียงเรียก..เสียงเตือนของพระองค์  ไม่ใช่พระเจ้าเตือนแล้ว..เตือนอีก ก็ยังไม่ได้ยิน แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือน้ำพระทัย..อันไหนไม่ใช่ อันนี้ ก็ฝากไว้ด้วย  เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวจนเกินไป  
ดู อพย.3:9-11 บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว  เพราะฉะนั้น จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์   เพื่อนำชนชาติอิสราเอล ออกจากอียิปต์" พอพระเจ้าตรัสอย่างนั้น..โมเสสว่าไง  “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า ซึ่งข้าพระองค์จะไปเฝ้าฟาโรห์และจะสามารถพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ได้”...น้าตุ๊กว่า โมเสสต้องตกใจอย่างแรง  ปฏิเสธพระเจ้าแทบไม่ทัน   
แล้ว..ถ้าพระเจ้าพูดกะเราอย่างนี้  เราจะตอบว่าไร..เลยพระองค์เจ้าข้าเชิญใช้มาเลย  ลูกจะทำตาม..รึเปล่า   ไม่หรอกน้าตุ๊กว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนโมเสสนี่แหละ   ข้อที่ 12 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และนี่จะเป็นหมายสำคัญ คือ ให้เจ้ารู้ว่า เจ้าทั้งหลายจะมาปรนนิบัติพระเจ้าบนภูเขานี้" ....พระเจ้าอุตส่าห์ยืนยันว่าพระองค์จะอยู่ด้วยตลอดเวลา  เพราะงั้น โมเสสไม่ต้องกลัว  แล้วพระองค์ก็ยืนยันล่วงหน้าด้วย..เชื่อเถอะ..ว่าเจ้ากับคนอิสราเอลทั้งหมดจะได้มานมัสการพระองค์ที่ภูเขานี้ คือ ซีนายหรือโฮเรบที่โมเสสกำลังคุยกับพระองค์อยู่ตอนนี้   คือ พูดง่ายๆว่าพระเจ้าบอกผลลัพธ์ล่วงหน้าเลย..ว่าโมเสสจะทำได้สำเร็จ  เพราะพระองค์จะอยู่ด้วย  แต่ถึงอย่างงั้น โมเสสก็ไม่ฟัง ..ยังมีข้ออ้าง
ดู อพย. 3:13-14  เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า `พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน และเขาจะพูดกับข้าพเจ้าว่า `พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร ข้าพระองค์จะกล่าวแก่เขาอย่างไร" ขนาดพระเจ้ายืนยันว่าโมเสสจะชนะเพราะพระองค์ทรงอยู่ด้วย..โมเสสก็ยังมีข้ออ้าง   เพราะคนอิยิปต์จะมีพระมากมาย  แล้วมนุษย์ก็ตั้งชื่อกันไปตามใจชอบ   เพราะงั้น ถ้าคนอิสราเอลถามว่าพระเจ้าที่ใช้โมเสสมามีชื่อว่าอะไร..โมเสสจะตอบพวกเขายัง     ข้อที่ 14  “พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" .....ความหมาย คือ เราก็เป็นเรานี่แหละ..ไม่ต้องมาตั้งชื่อให้  และคำว่า “ยาเวห์” ในภาษาฮีบรู ก็แปลว่า “เราเป็น”  เพราะงั้น รู้ไว้แค่นี้..พระเจ้า คือ พระเจ้า พระองค์ใหญ่จริงและไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือโปรโมทอะไรมากมาย  แต่มนุษย์ชอบมากที่จะใส่คาแร็คเตอร์ให้พระต่างๆตามจินตนาการและความพอใจของตัวเอง เช่น อยากได้ลูก..อยากอายุยืน..อยากรวย..อยากนู้น..อยากนี้ ก็ไปแต่งตั้งพระต่างๆขึ้นมา..เสร็จก็เรียกชื่อใส่คุณสมบัติตามที่ตัวเองต้องการ..แล้วก็เอามากราบไหว้บูชา   ดังนั้น พระเหล่านั้น..ล้วนแล้วแต่เป็นพระที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่พระเจ้า..ไม่ใช่  พระองค์คือผู้สร้าง..ไม่ใช่พระที่มนุษย์จะมาอุปโลกหรือกำหนดให้เป็นอะไร..ไปตามใจชอบ  พระองค์คือผู้ควบคุม..ไม่ใช่มนุษย์ พอเห็นภาพมั้ยคะ 
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ