วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือ 1ซามูเอล ครั้งที่ 11 อาทิตย์ที่ 25:4:2010

บทที่ 17 ดาวิดฆ่าโกลิอัท
ดู 1ซมอ.17:1-3 หลังจากที่โยนาธานไล่ตีพวกฟิลิสเตียจนกระจายไปตอนนั้น เราคงจำได้..ว่าอิสราเอลกวาดล้างพวกฟิลิสเตียได้ไม่หมด พูดจริงๆแล้วการที่ซาอูลไม่ยอมให้ทหารกินข้าวก็มีส่วนมากที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา..การไล่ตามพวกฟิลิสตียก็เลยต้องจบลงก่อนเวลา
มาครั้งนี้พวกฟิลิสเตียก็เลยยกทัพมา..ตั้งใจจะแก้แค้นคนอิสราเอลเพื่อกู้ศักดิ์ศรีคืน.. เพราะคราวที่แล้วอิสราเอลก็เล่นเอาพวกฟิลิสเตีย”เสียรูป”ไปเหมือนกัน
ดู1ซมอ.17:4-7 / 10-11 ข้อนี้บอกว่า..มีชายคนนึงชื่อโกลิอัท เป็นยอดทหารของคนฟิลิสเตีย..ออกมายืนขู่คำราม ข่มขวัญคนอิสราเอล ท้าทายให้ส่งคนออกมาดวลกับเขา.. ข้อที่ 11บอกว่า ซาอูลกับคนอิสราเอลก็กลัวโกลิอัทมากก เพราะไร..พระคำภีร์บอกว่า..โกลิอัทสูงถึงหกศอกคืบ คือประมาณ “เกือบสิบฟุต” แถมยังมีแอ๊กเซสเซอรรี่เพียบ ทั้งหมวก..เสื้อเกราะ..สนับแข้งทอง แล้วยังมีหอกด้วย และทั้งหมดนี้ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ แต่ละอันหนักหลายร้อยหลายพันเชเขล (ฟุล ออฟชั่น) คนอิสราเอลมองแล้วก็ขนลุก..เลยยังไม่มีใครกล้ารับคำท้า
ดู1ซมอ.17:14-16 “ดาวิดเป็นบุตรคนสุดท้อง เขาเทียวไปเทียวมาระหว่างกองทัพของซาอูลกับบ้านที่เลี้ยงแกะของพ่อ..” ลักษณะที่พระคำภีร์พูดถึงดาวิด..ต่างจากโกลิอัทอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการบรรยายถึงยศฐาบรรดาศักดิ์หรืออาวุธที่น่าเกรงขามของดาวิด พระคำภีร์เพียงแต่พูดถึงครอบครัวของเขา..ที่อ่านแล้วน้าตุ๊กได้กลิ่นอายของชาวนาชาวไร่ ไม่ใช่บรรยากาศในรั้วในวังและพระคำภีร์ก็บอกเราว่าดาวิดเป็นลูกคนเล็ก(อีกต่างหาก) แค่นั้น....
จุดนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าย้ำกับเราอีกครั้งนึง..ว่าพระองค์มองไม่เหมือนที่มนุษย์มอง แล้วถ้าพระองค์เลือกใครแล้ว “เขาไม่ต้องมีอะไรเลยก็ได้” เหมือนดาวิด..ที่เดี๋ยวจะปราบโกลิอัทได้ด้วยอาวุธกระจอกๆ (จริงๆแล้วแทบจะมือเปล่าเลยด้วยซ้ำ)
ดู1ซมอ.17:17-18 เจสซีสั่งให้ดาวิดเอาอาหารไปส่งให้พี่ชาย..ที่ประจำการอยู่ในสนามรบ แต่หลักๆแล้วคือ..เจสซีอยากรู้ข่าวพี่ๆของดาวิด..ว่ายังสบายดีมั๊ย และประเด็นหลักของข้อนี้ก็ยังคงชี้ให้เราเห็นภาพลัษณ์ที่ต่าง..ระหว่างดาวิดกับโกลิอัทอยู่ คือในขณะที่โกลิอัทมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงยอดทหารของฟิลิสเตีย..มีการฝึกฝนมาอย่างดี แล้วดาวิดเป็นใคร..เด็กส่งข้าวหรือเด็กส่งเสบียง..หน้าที่หลักๆก็เลี้ยงแกะ สลับกะไปดีดพิณให้ซาอูลฟัง เพราะฉะนั้น..ถ้ามองฝ่ายโลกแล้ว”ดาวิดไม่ใช่คนสำคัญอะไร”
แต่ถึงยังไง..พระคำตอนนี้ก็ยังทำให้น้าตุ๊กเห็นถึงความโดดเด่นบางอย่างของดาวิด..เรื่องอะไร..”ความเชื่อฟังไง” เรารู้ว่าดาวิดต้องเป็นคนว่าง่าย ใช้ง่าย เชื่อฟัง..พ่อบอกให้ทำอะไรก็ทำ..เพราะจากประสบการณ์ตัวเองแล้ว..ถ้าลูกคนไหนใช้ยากก็จะไม่อยากใช้ แล้วอย่างระยะทางที่ดาวิดต้องไปหาพี่ๆเนี่ย..ก็ไกลอยู่..ซัก 6-7กิโลได้มั้ง แต่ดาวิดไม่บ่นซักคำ มันทำให้เราเห็นว่า..ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้..พระเจ้าจึงพอพระทัยและเลือกใช้ดาวิด ตรงจุดนี้พระองค์ยังทำให้เรารู้อีกว่า..”คนที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้ ต้องเป็นคนที่เชื่อฟังพ่อแม่ด้วย” เพราะพระเจ้าทรงสะท้อนความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ในแบบเดียวกับที่ลูกพึงมีต่อพ่อแม่” เพราะฉะนั้น..มันเป็นไปไม่ได้เลย..ที่เราจะเชื่อและกระทำตามพระเจ้าอย่างสุดใจ ในขณะที่ยังดื้อดึง..หรือมองไม่เห็นหัวพ่อแม่ (นี่เรื่องจริง) แต่โอเค..ถ้าคุณยืนยันว่าคุณรักพระเจ้า ในขณะที่ยังไม่ลงรอยกับพ่อแม่..ก็ไม่เป็นไร จงยึดมั่นความรักที่มีต่อพระเจ้าเอาไว้ แล้วหันกลับไปนับหนึ่ง..กับพ่อแม่หรือกับครอบครัวก่อนจะดีกว่า
ดู1ซมอ.17:20-21/25-27 ข้อนี้ย้ำชัดเจนอีกครั้งนึง..ว่าดาวิดตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะเอาอาหารไปส่งให้พี่ๆที่อยู่ในสนามรบตาม”ที่พ่อสั่ง” พอไปถึงเขตแนวรบ..ดาวิดก็เข้าไปทักพี่ชาย พอดีกะที่..โกลิอัทก็ออกมาข่มขวัญท้าให้คนอิสราเอลมาสู้กับเขา แล้วดาวิดก็เห็นทหารอิสราเอลตกใจ..หนีกันกระจาย..รวมทั้งพี่ชายของเขาด้วย ข้อที่25 บอกว่า..ดาวิดได้ยินคนอิสราเอลพูดว่า ก.ซาอูลจะมอบรางวัลอย่างงามให้ใครก็ตามที่ฆ่าโกลิอัทได้ สิ่งที่ดาวิดได้ยินทำให้เขางงมาก ถึงกะต้องถามซ้ำอีกครั้งนึง..ว่าถ้าใครฆ่าโกลิอัทได้..ซาอูลจะให้อะไรนะ
ตรงนี้..เด็กๆอย่าเข้าใจผิด..ว่าดาวิดกำลังตาโตกับรางวัลของซาอูล ที่เขาถามซ้ำเพราะดาวิดคิดว่า..เฮ้ย รางวัลมากมายขนาดนี้ใครได้ยินก็น่าจะอยากได้ แล้วดาวิดก็มองว่าการฆ่าโกลิอัทอ่ะ..ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยซะอีก..เพราะไร
ก็ฟิลิสเตียคนนี้..มันสาปแช่งพระเจ้า เพราะงั้นพระองค์ไม่เอามันไว้แน่ ขอแค่กล้าออกไป..ใครก็ได้ ต้องชนะอยู่แล้ว แล้วทำไม..ไม่มีใครกล้าซักคน ดาวิดไม่เข้าใจจริงๆถึงได้ถามซ้ำแล้วซ้ำอีก
ดู1ซมอ.17:28-30 พอ”เอลีอับ” พี่ชายคนโต เห็นดาวิดพูดเรื่องโกลิอัทกับทหารคนอื่น ก็โกรธ.(จะโกรธทำไมเนี่ย) เขาหาว่าดาวิดคิดชั่ว หน้าที่ตัวเองมีไม่ทำ..ทะเยอทะยาน..อยากจะมารู้เรื่องในสนามรบ ดาวิดเลยบอกว่า..เขายังไม่ได้ทำไรเลยนะ แค่ถามคำเดียวเอง ที่มานี่ก็พ่อใช้มา..เอาข้าวมาให้เอ็งอ่ะแหละ แล้วเขาก็ไม่ได้ทิ้งงานด้วยเพราะฝูงแกะก็มีคนดูแทน
ดู1ซมอ.17:31-33 เราจะเห็นว่า..ดาวิดไม่ได้ท้อถอยกับคำเหยียดหยามของเอลีอับ (พี่ชายคนโต) แต่กลับยืนยันตามความเชื่อของตัวเอง..ว่าใครๆก็สามารถปราบโกลิอัทได้ แต่ในเมื่อไม่มีใครกล้าทำ ดาวิดก็เลยอาสาที่จะทำเอง
พอซาอูลรู้ข่าวก็ให้คนมาตามดาวิด ดาวิดบอกซาอูลว่า..”อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย..” คือดาวิดพูดลักษณะให้กำลังใจ ทุกๆคนรวมทั้งซาอูลด้วย..ว่าอย่ากลัวลิอัทเลย เดี๋ยวเขาจะจัดการให้ แต่ซาอูลก็เตือนดาวิดว่า..”เจ้าสู้โกลิอัทไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นทหารที่ชำนาญการรบ ส่วนดาวิดอ่ะ..ยังเด็กแล้วก็ขาดประสบการณ์” คือ ซาอูลก็พูดอย่างถนอมน้ำใจ ไม่ได้ติว่าดาวิดตัวเล็ก..ดูแล้วเทียบโกลิอัทไม่ได้ แต่ซาอูลพูดอย่างมีน้ำใจ
ดู1ซมอ.17:34-36 ดาวิดไม่เปลี่ยนใจ..ยืนยันขอไปสู้กับโกลิอัท เขาอธิบายให้ซาอูลฟังว่าเขาเคยดูแลแกะให้พ่อ..เวลาที่สิงโตหรือหมีมาเอาแกะไป เขาก็จะไล่ตาม..ไปเอาลูกแกะกลับมา ดาวิดยังยืนยันด้วยว่า..เขาเคยฆ่าสัตว์ร้ายพวกนั้นมาแล้ว ไม่ใช่ตัวเดียว..หลายตัว (เพราะในฉบับภาษาอังกฤษ จะเป็นพหูพจน์) ข้อที่36 ดาวิดบอกว่า..”ฟิลิสเตียผู้มิได้เข้าสุนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์ร้ายตัวนึง..”
ดาวิดต่างจากคนอื่น เพราะเขา”มีความเชื่อ” และความเชื่อก็ทำให้ดาวิดมองสถานการณ์นี้..เป็นเหมือนเรื่องปกติที่เขาเจอในชีวิตประจำวันตอนเลี้ยงแกะ ไม่ใช่เรื่องแปลกใม่หรือน่าตกใจ เพราะไร..
โกลิอัทแข็งแรง ฆ่าคนได้ใช่มะ สิงโตกับหมีก็เหมือนกัน...
แล้วโกลิอัทก็ยังปากเสีย ดูหมิ่นพระเจ้า แล้ววันๆก็เอาแต่ขู่คนอิสราเอล..เหมือนสิงโตกับหมีที่เจอทีไรมันต้องคำรามใส่ทุกที แต่ทั้งหมดนี้..ดาวิดก็เคยฆ่ามาหมดละ เพราะพระเจ้าช่วยเขา (ดาวิดเชื่อ) เพราะฉะนั้น ในสายตาของดาวิด..โกลิอัทก็เหมือนสัตว์ร้ายตัวนึงเท่านั้นเอง...แล้วทำไมเขาต้องกลัวด้วย
ดู1ซมอ.17:38-40 ในที่สุดซาอูลก็โอเค..ยอมให้ดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท แต่ที่น่าสังเกตุก็คือ..ข้อที่38 บอกว่า..ซาอูลลงทุนเอาชุดนักรบของตัวเองให้ดาวิดใส่ อะไรจะใจดีขนาดนั้น ..เพราะเครื่องทรงของกษัตริย์..มันไม่ใช่จะผลัดกันใส่ได้ง่ายๆ หรือซาอูลคิดอะไรในใจ..มองไกลๆคนจะคิดว่าเขาออกไปสู้เองรึเปล่า (อันนี้ก็ไม่รู้นะ) แต่พอดาวิดใส่แล้ว..ก็อึดอัด เพราะไม่ชินกะชุดนักรบ..เลยถอดออก แล้วเลือกที่จะไปสู้กับโกลิอัทด้วยอาวุธบ้านๆที่เขาถนัด ข้อที่40 บอกว่า..เขาหยิบหินห้าก้อนใส่ย่าม ในมือถือสลิง..แล้วก็ตรงไปหาโกลิอัทเลย...
ดู1ซมอ.17:41-43 โกลิอัทคงช็อคเล็กๆ..ตอนที่เห็นหน้าคู่ต่อสู้ พอหายงงก็เริ่มใช้ไม้เดิม..คือพูดจาดูถูกข่มขวัญดาวิด เพราะพระคำภีร์บอกว่า “ดาวิดเป็นคนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู..” คงใกล้เคียงกะบอยแบรนด์เกาหลีสมัยนี้.. ข้อที่43 โกลิอัทพูดว่า..”เห็นข้าเป็นหมารึไง ถึงได้ถือไม้เท้ามา..” เพราะไร..เวลาที่เราจะไล่หมา ก็จะถือไม้อันนึงไว้คอยไล่มัน โกลิอัทคงรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าที่อิสราเอลส่ง”บอยแบรนด์มาสู้กะเขา” อย่างงี้มันดูถูกกันชัดๆ โกลิอัทก็เลยด่าดาวิดเป็นการใหญ่..
ดู1ซมอ.17:44-46 โกลิอัทโกรธจัด..ที่เห็นอิสราเอลส่งเด็กเมื่อวานซืนออกไปสู้กับเขา..ก็เลยขู่ว่าจะฆ่าดาวิด..แล้วเอาศพไปเป็นอาหารนกกับสัตว์ในทุ่งนา คิดว่าดาวิดจะกลัวมะ..ไม่เลย เขาบอกโกลิอัทว่า.youอาจจะมีอาวุธครบมือ..แต่เขาจะสู้ในนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอล..แล้วคอยดู..วันเนี้ยเขาจะตัดหัวโกลิอัท..แล้วคนที่จะต้องเป็นอาหารของนกกับสัตว์ป่า ก็คือพวกฟิลิสเตีย..ไม่ใช่เขา
คำพูดของดาวิดทำให้ทุกคนเห็นว่า..การสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เขาทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า แล้วชัยชนะก็มาจากพระองค์ โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ เพราะข้อที่46 ดาวิดบอกว่า.. ”เพื่อทั้งภิภพจะได้รู้ว่า มีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล” แต่น้าตุ๊กขอแปลว่า..เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่า มีพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่สูงสุด..
ดู1ซมอ.17:48-49 พอโกลิอัทเริ่มเคลื่อนไหว ดาวิดก็วิ่งเข้าใส่เลย..ไม่รอให้เขามาถึงตัว วิ่งไปก็หยิบหินออกมาก้อนนึงใส่สลิง แล้วยิงไปที่หัวของโกลิอัท ถึงอาวุธจะไม่ได้หรูหราอลังการ..เพราะมันเป็นแค่หนังสติ๊ก ดูแล้วก็ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ (ไม่เหมือนพวกที่ยิงอาพีจี) แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้โลกต้องตะลึง เพราะมันฝังเข้าไปในกะโหลก ตัดจุดตาย..ไม่พลาดเพราะฉะนั้น เราอย่าไปคิดว่าการช่วยกู้ของพระเจ้า จะต้องมาพร้อมกับวิธีที่อัศจรรย์พันลึก หรือต้องมีอะไรที่มันเหนือธรรมชาติ..ดูหลอนๆแรงๆ..ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าสามารถใช้วิธีง่ายๆได้เสมอ..ในการช่วยคนของพระองค์
อย่างดาวิดเนี่ย..พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้ เขาถึงรู้จักใช้ความแม่นยำกับความเร็วเอาชนะความแข็งแกร่งของโกลิอัท ซึ่งถ้าเขาเชื่อซาอูล..ใส่ชุดเกราะเต็มยศออกไปสู้..ก็คงจะรุกฆาตไม่ได้เร็วขนาดนี้ หรืออาจจะแพ้ไปเลยก็ได้
ดู1ซมอ.17:50-52 พอโกลิอัทล้มลงดาวิดก็รีบวิ่งเข้าไปตัดหัวโกลิอัท แค่นั้นแหละคนฟิลิสเตียก็วงแตก เพราะไร..ยอดทหารของเขาตายซะแล้ว พระคำภีร์บอกว่า..วันนั้นคนอิสราเอลไล่ฆ่าพวกฟิลิสเตีย ไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน ศพของพวกฟิลิสเตียตายเกลื่อนตั้งแต่สนามรบไปจนถึงประตูเมือง
นี่คืออัศจรรย์ของพระเจ้าแห่งอิสราเอล..เพราะจริงๆแล้วอิสราเอลไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย เหมือนพวกเราที่ไม่มีวันจะสู้กับความบาปได้เลย เด็กๆเห็นมะ..ว่าสองเรื่องนี้มันภาพเดียวกัน แล้วพระเจ้าก็ส่งดาวิดมาช่วยอิสราเอล เหมือนที่ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา ด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายประมาณกัน เรามีหน้าที่แค่ต้อง”เชื่อ”ในพระองค์..เท่านั้นเอง

บทที่18 ความสัมพันธ์ระหว่างโยนาธาน กับ ดาวิด
ดู1ซมอ.18:1-4 “จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใครกับจิตใจของดาวิด..” เพราะอะไร..พระคำภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ชัดเจน แต่ส่วนตัวแล้ว..น้าตุ๊กคิดว่าโยนาธานคงสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่มีความเชื่อของดาวิด..เพราะโยนาธานเองก็มีพระเจ้าอยู่เต็มขนาดเหมือนกัน..มันก็เลยจูนกันติด (อย่างไม่ต้องมีเหตุผลทางโลก) มันเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ คนที่มีพระเจ้าด้วยกันถึงจะสัมผัสได้ แล้วจริงๆเด็กๆก็น่าที่จะต้องเคยมีประสบการณ์อย่างงี้..บ้างเหมือนกัน ตัวอย่างง่ายๆก็เช่น บางทีเราอาจจะรู้สึกผูกพันกับเพื่อนที่โบสถ์มากกว่าญาติบางคนซะอีก..รู้สึกรัก..รู้สึกเป็นห่วงอย่างไม่มีเหตุผล ก็เพราะเราเป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ จิตวิญญาณมันเลยสื่อถึงกัน..ผูกพันกัน เหมือนดาวิดกับโยนาธาน (อย่าไปคิดเลอะเทอะเรื่องรักผิดประเภทนะ..เพราะบางคนอ่านแล้วรู้สึกว่าแหม..ทำไมรักกันดื่มด่ำขนาดนั้น น้าตุ๊กจะบอกให้..ว่าจริงๆแล้ว คริสเตียนควรจะรักกันอย่างจริงใจ เพราะเรารักแบบพระเจ้า เพราะฉะนั้น..ไอ้เรื่องรักผิดประเภทอ่ะ.ไม่ใช่แน่นอน) ข้อที่ 3 บอกว่า..”โยนาธานรักดาวิด อย่างกับรักชีวิตของตัวเอง” ที่เขาเรียกว่า”เพื่อนตายไง” ข้อที่4 ยังบอกด้วยว่า..โยนาธานถอดเสื้อคลุมของตัวเองให้ดาวิดไปพร้อมทั้งเครื่องประดับแล้วก็อาวุธของเขาด้วย..ทำอย่างงี้แปลว่าไร
ก็แปลว่าโยนาธานรู้แล้วว่า..ดาวิดคือคนที่พระเจ้าเลือกให้เป็นกษัตริย์คนต่อไป เพราะเสื้อคลุมเป็นสัญญลักษณ์ของสิทธิอำนาจ ทั้งเสื้อคลุมของโยเซฟ เสื้อคลุมของอาโรนที่ส่งต่อให้เอเลอาร์ซาร์ เสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ทิ้งลงบนตัวเอลีชา ทั้งหมดนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน..คือเป็นสัญญลักษญ์ของการส่งต่อสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า
ยังมีบันทึกชื่ออัคคาเดียน..ที่เขียนเรื่องราวในศตวรรษที่13 เกี่ยวกับกษัตริย์ที่หย่าร้างกับภรรยา..ว่าถ้ามกุฎราชกุมารเลือกที่จะอยู่กับแม่..ก็ต้องสละราชบัลลังก์ แล้วก็ต้องแสดงสัญญลักษณ์ของการสละตำแหน่งโดยการทิ้งเสื้อคลุมไว้ที่บัลลังก์ด้วย เพราะฉะนั้น การที่โยนาธานมอบเสื้อคลุมให้ดาวิด ก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็น..ว่าเขายินดีเปิดทางให้กับคนที่พระเจ้าเลือก(ด้วยความเต็มใจ) เห็นมะ..โยนาธานสำแดงความเชื่อฟังอีกละ..เพราะอย่างเงี้ยะ เขาถึงสัมผัสดาวิดได้..รู้สึกถูกใจ เพราะดาวิดก็มีพระเจ้าเต็มขนาดเหมือนกัน
น้าตุ๊กขอฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ จนกว่าจะพบกันใหม่
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่10 อาทิตย์ที่ 18:4:2010

ดู1ซมอ.15:13-15 ข้อนี้บอกว่า..ซามูเอลไปหาซาอูล พอซาอูลเห็นหน้าซามูเอล..คำแรกที่พูดคือ..เขาทำตามที่พระเจ้าสั่งเรียบร้อยแล้วนะ คือที่พระเจ้าให้กวาดล้างคนอามาเลขอ่ะ.. ตอนเนี้ย..จัดการเรียบร้อยแล้ว ซามูเอลเลยย้อนถามไปว่า..เรียบร้อยจริงๆเหรอ ถ้างั้นเสียงแกะ เสียงวัวที่ชั้นได้ยินอยู่เนี่ย..มันหมายความว่าไง ซาอูลบอก..อ๋อ..ที่เก็บไว้เนี่ย..มันเนื้อเกรดa..ทั้งนั้นเลยนะ จะเอาไว้ถวายบูชาพระเจ้าไง ที่เหลือนอกนั้นก็ฆ่าทิ้งหมดแล้ว
ดู1ซมอ.15:19-21 ซามูเอลตัดพ้อกับซาอูลว่า..ทำไมท่านถึงไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าซักทีนะ.. “..ยังจะเม้มทรัพย์สินของศัตรูที่พระเจ้าสั่งให้ทำลายไว้อีก” แต่ซาอูลก็ยังปากแข็ง ตอบกลับซามูเอลว่า..นี่เขาก็ทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสั่งแล้วนะ ฆ่าชาวอามาเลขจนหมด แล้วก็คุมตัวอากักมานี่ไง “แล้วที่พวกทหารเก็บของดีๆไว้ เพราะตั้งใจจะเอามาถวายพระเจ้านะ” (นี่..เอาพระเจ้ามาอ้างซะด้วย)
แต่ยังไงทุกคนก็รู้..ว่าที่ซาอูลทำเนี่ย..ผิดเพราะไม่เชื่อฟัง พระเจ้าสั่งให้ฆ่าทำลายทั้งหมด แต่ซาอูลเห็นเนื้อเกรดเอแล้วเสียดายฆ่าไม่ลง ทั้งๆที่ถ้าฆ่าทิ้งทั้งหมดก็ถือเป็นการถวายบูชาเหมือนกัน..แต่พวกเขาจะอดกิน ซาอูลเลยเลือกที่จะเก็บของดีๆไว้ แล้วอ้างว่าจะเอามาถวายพระเจ้า เพราะนี่คือวิธีที่จะทำให้เขาและประชาชนมีโอกาสที่จะได้กินเนื้อพวกนั้น แล้วจุดนี้ซามูเอลก็ดูออก..
ดู1ซมอ.15:22-23 “พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องบูชา เท่ากับการความเชื่อฟังหรือ” ความหมายของซามูเอลคือ โอเค..การทำพิธีกรรมตามกฎบัญญัติให้ถูกต้องครบถ้วน..ก็เป็นสิ่งดีที่สมควรทำ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น คือ “ความเชื่อฟัง”
“..ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา..” เพราะการเชื่อฟังพระเจ้านับเป็นรูปแบบของการถวายบูชาที่สูงสุดและสำคัญสุดแล้ว แต่ซาอูลกลับคิดว่า..พิธีกรรมสำคัญกว่าความเชื่อฟัง เด็กๆจำไว้..ว่าพระเจ้าไม่เคยโปรดเครื่องบูชาใดๆมากกว่าความเชื่อฟังของมนุษย์ เพราะยังไงพิธีกรรมต่างๆก็เป็นแค่การแสดงออกทางภายนอก..แต่จิตใจที่เชื่อฟังมันซ่อนอยู่ข้างใน...พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ชันสูตรใจมนุษย์..พระองค์มองที่หัวใจ ไม่เหมือนพระอื่นที่คนไม่เชื่อพระเจ้าเขากราบไหว้กัน เวลามีปัญหาก็จะแก้ไขกันด้วยพิธีกรรมที่แสดงออกทางภายนอก (ซะเป็นส่วนใหญ่) ไม่ค่อยแก้กันที่ใจ ดวงไม่ดีก็สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ไปไหว้นั่นไหว้นี่แล้วก็หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น..
ข้อที่ 23 บอกว่า..“เพราะการกบฎเป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ยาม และความดื้อดึง ก็เป็นบาปเหมือนการไหว้รูปเคารพ..” ซามูเอลกำลังบอกว่า..ความไม่เชื่อฟังของซาอูลเนี่ย มันร้ายแรงพอๆกับบาปที่คนต่างชาติทำ แต่คนต่างชาติเขาทำเพราะไม่รู้..เขาไม่รู้จักพระเจ้า..ไม่รู้กฎบัญญัติของพระองค์ ก็เลยหันไปกราบไหว้รูปเคารพ..พึ่งพาการถือฤกษ์ยาม ตามประสามนุษย์ที่มีความบาปอยู่ในสายเลือด จิตวิญญาณถึงทุรนทุรายแสวงหา..อะไรก็ได้ที่จะมาช่วยปลดเปลื้อง..ความบาปทุกข์ แต่ซาอูลอ่ะ..เป็นคนของพระเจ้า..รู้จักคำสอนของพระองค์ เคยสัมผัสการทรงสถิตของพระวิญญาณ.. แต่ยังทำบาปเหมือนคนที่ไม่มีพระเจ้า..ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร..นี่มันแย่กว่าพวกต่างชาติซะอีก แล้วซามูเอลก็ย้ำกับซาอูลอีกครั้งว่า..พระเจ้าได้ถอดท่านออกจากการเป็นกษัตริย์แล้ว (เพราะทำบาปร้ายแรงซ้ำซาก)
ดู1ซมอ.15:24-26 พอซามูเอลยืนยันคำพิพากษา สุดท้ายซาอูลก็ยอมรับผิดแต่ยังอุตส่าห์ป้ายความผิดไปที่ประชาชนชน เพราะข้อที่24 บอกว่า”..เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวประชาชนและยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย” ....โทษคนอื่นจนได้..อ้างว่าถูกประชาชนกดดันให้ทำ ใครจะเชื่อ..คนอย่างซาอูลเนี่ยนะ จะฟังเสียงใคร.. แต่ถึงจะทำเพราะถูกกดดันก็ผิดอยู่ดี..เพราะรู้อยู่ว่ามันเป็นบาปต่อพระเจ้า..ยังไงก็ทำไม่ได้ สุดท้ายซาอูลก็วิงวอนซามูเอลให้ยกโทษให้และกลับไปนมัสการพระเจ้าพร้อมกัน คงอยากจะถวายเครื่องบูชาเพื่อลบความผิดอ่ะ ประชาชนจะได้เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี.. เพราะถ้าซามูเอลไม่มาถวายบูชาด้วย คนก็จะสงสัย..ว่าเขาต้องทำอะไรผิด
ดู1ซมอ.15:30-31 “..บัดนี้ขอท่านให้เกียรติข้าพเจ้าต่อหน้าพวกผู้ใหญ่และประชาชน..” ซาอูลออกปากพูดกับซามูเอลตรงเลย..ว่าให้ช่วยไว้หน้ากันหน่อยนะ..เดี๋ยวคนอิสราเอลจะเสื่อมศรัทธาชั้น ถ้าyouไม่ไปด้วย ซามูเอลก็เลยโอเค..เห็นแก่หน้าซาอูล ยอมกลับไปนมัสการพระเจ้าด้วยกัน
ดู 1ซมอ.15:32-33 หลังจากนมัสการพระเจ้าแล้ว ซามูเอลก็บอกให้เอาตัวก.อากักที่ซาอูลไว้ชีวิตออกมา อากักก็หน้าระรื่นออกมาเพราะคิดว่าตัวเองรอดตายแล้ว.. รู้สึกปลอดภัยภายใต้การควบคุมของซาอูล ข้อที่33 ..แล้วซามูเอลพูดกับอากักว่า..ดาบของท่านกระทำให้ผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรเหมือนพวกเขาฉันนั้น” ว่าแล้วก็ฟันอากักออกเป็นท่อนๆต่อหน้าพระเจ้าที่กิลกาล
ซามูเอลจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้าด้วยตัวเอง จะมัวรอซาอูลไม่ได้แล้ว..เพราะคนอามาเลขทุกคนต้องตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ที่เป็นผู้นำให้ประชาชนทำชั่ว จากนั้นซามูเอลกับซาอูลก็ต่างคนต่างไป ข้อที่35 บอกว่า..ซามูเอลเสียใจมากกก.. แล้วก็ไม่มาเจอซาอูลอีกเลยจนตาย
บทที่16 ดาวิดถูกเจิมให้เป็นกษัตริย์
ดู1ซมอ.16:1 พระเจ้าถามซามูเอลว่า”เจ้าจะทุกข์ใจกับเรื่องซาอูลอีกนานแค่ไหน” พระสุรเสียงของพระเจ้าดูจะดุอยู่กลายๆ เพราะพระองค์เห็นว่าซามูเอลไม่ยอมหายเศร้าซักที ทั้งๆที่พระเจ้าก็ถอดซาอูลออกจากการเป็นกษัตริย์แล้ว มันก็ถึงเวลาที่ซามูเอลจะต้องยอมรับให้ได้ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป (The show must go on) ..พระองค์ถึงบอกให้ซามูเอลเติมน้ำมันเขาสัตว์ให้เต็ม เพราะได้เวลาที่ต้องไปเจิมกษัตริย์องค์ใหม่แล้ว ซามูเอลต้องไปหาเจสซี ชาวเบธเลเฮม......
ดู1ซมอ.16:2-3 ซามูเอลตอบพระเจ้าว่า..ถ้าซาอูลรู้เรื่องการเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่..ต้องมาฆ่าเขาทิ้งแน่ จริงๆที่ซามูเอลกลัวก็มีเหตุผลนะ เพราะเราก็เห็นกันไปแล้ว..ว่าซาอูลค่อนข้างจะโหดเหี้ยม เขาฆ่าคนอามาเลขจนหมดเกลี้ยง (เหลือไว้แค่อากัก) แล้วก็ยังอยากจะฆ่าแม้แต่ลูกชายตัวเอง แล้วซามูเอลเป็นใคร..เพราะฉะนั้น แน่นอน..ถ้าเขารู้ว่าซามูเอลกำลังจะเจิมกษัตริย์องค์ใหม่แล้ว..รับรองโดนแน่ แต่พระเจ้ามีทางออกให้ซามูเอล พระองค์บอกให้เขาเอาวัวไปด้วยตัวนึง แล้วบอกกับชาวบ้านว่า..จะมาถวายบูชาพระเจ้า และพระองค์ก็สั่งว่าให้เชิญเจสซี ชาวบ้านเมืองเบธเลเฮมมาร่วมพิธีด้วย แล้วพระเจ้าจะสำแดงเองว่าพระองค์เลือกใคร
ดู1ซมอ.16:4-5 พอซามูเอลมาถึงเมืองเบธเลเฮม ชาวเมืองก็วงแตกทันที พระคำภีร์บอกว่า..พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้น ตกใจจนหน้าซีด..แล้วถามซามูเอลว่า”ท่านมาอย่างสันติหรือ (ไม่ได้เอาเรื่องเดือดร้อนมาให้ใช่มั๊ย)” ทำไมถึงถามย่างงั้น..เพราะตอนนี้ซามูเอลเหมือนอยู่คนละฝ่ายกับซาอูล แล้วชาวบ้านก็ไม่อยากมีปัญหากับซาอูลด้วย เพราะรู้อยู่ว่าเขานิสัยยังไง
ซามูเอลตอบว่าไง เขาบอกชาวบ้านว่า..เขามาถวายสัตวบูชาตามปกติ แล้วก็เชิญเจสซีกับลูกๆให้มาร่วมพิธีด้วยกัน
ดู1ซมอ.16:6-7 ข้อนี้บอกว่า..พอซามูเอลเห็น “เอลีอับ” เขาก็คิดว่า..ใช่เลย พระเจ้าคงจะเลือกคนนี้แน่ๆ เพราะไร..เอลีอับเป็นลูกคนโต แล้วมรดกหรือการเป็นหัวหน้าก็มักจะส่งผ่านมาที่บุตรหัวปี..อันนี้เป็นค่านิยมของสมัยนั้น (แล้วยังสมัยนี้ด้วยมั้ง)..ใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะเลือก”ลูกคนสุดท้อง” และอีกอย่างที่ซามูเอลเห็นก็คือ เอลีอับ รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม เหมือนใคร..(เหมือนซาอูล) แล้วพระเจ้าก็บอกซามูเอลว่า..อย่ามองคนที่ภายนอก พระองค์ไม่ได้เลือกจากรูปร่างหน้าตา..แต่ดูที่จิตใจ หลังจากนั้นเจสซีก็ให้ลูกทั้งเจ็ดคนให้เข้ามาหาซามูเอล แต่พระเจ้าไม่เลือกใครเลย ซามูเอลก็งง..ว่าเอ๊ะ!ทำไมพระเจ้าไม่เลือกซักคนล่ะ เขาเลยถามเจสซีว่า..ยังมีคนอื่นอีกมั๊ย..(แปลว่าไม่มีใครนึกถึงดาวิดเลย) เพราะเขายังเด็ก..ผู้ใหญ่ก็มัวแต่ใช้ให้ไปเลี้ยงแกะ พอซามูเอลถามขึ้นมา..เจสซีถึงนึกได้..ว่า..ยังมีดาวิดอีกคน..
ดู1ซมอ.16:12-13 เจสซีให้คนไปตามดาวิดมา ข้อนี้บอกว่า..ดาวิดเป็นคนผิวแดงๆ หน้าตาสวย และรูปร่างงาม แปลว่า..รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่เป็นรองใคร เพียงแต่ยังเด็กอยู่แล้วก็ไม่ใช่ลูกคนโตเท่านั้นเอง พอเขามายืนตรงหน้าซามูเอลพระเจ้าบอก ”คนนี้แหละ..ที่พระองค์เลือก” ซามูเอลก็ยืนขึ้นและเจิมดาวิดด้วยน้ำมัน
ข้อที่13บอกว่า..พระวิญญาณก็สวมทับดาวิดอย่างเต็มขนาดตั้งแต่วันนั้น ส่วนซามูเอลก็กลับไปบ้านที่รามาห์ เพราะภาระกิจก็สำเร็จแล้ว
ดาวิดถูกเลือกไปรับใช้ซาอูล
ดู1ซมอ.16:14-16 พระวิญญาณของพระเจ้าที่เคยสถิตกับซาอูล ก็พรากไปสถิตกับดาวิดแทน ซาอูลต้องทุกข์ทรมานกับการถูกสิงโดยวิญญาณชั่วจากพระเจ้า..เขาจะรู้สึกเหมือนถูกสาปแล้วก็มีพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม (เหมือนสติวิปลาส) แต่สำหรับข้าราชบริพารของซาอูล วิญญาณชั่วก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาเคยเจอกันอยู่แล้ว ถึงได้รู้วิธีที่จะช่วยรักษาได้ พวกเขาเชื่อว่าเสียงเพลงสามารถกล่อมประสาทซาอูลให้สงบลงได้ ในข้อที่16พวกเขาได้เสนอให้ซาอูลหาคนดีดพิณฝีมือดี มาช่วยเยียวยาความทุกข์ทรมาน..จากการถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง น่าสนใจมาก..ทำไมเสียงพิณถึงช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานฝ่ายวิญญาณได้..เพราะดูเหมือนดนตรีจะมีส่วนเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของมนุษย์
เด็กๆย้อนไปดู1ซมอ.10:5 เราสังเกตเห็น..ว่าบรรดาผู้เผยพระวจนะที่ซาอูลพบและเข้าไปร่วมเผยพระวจนะด้วย..ในตอนนั้น เดินลงจากสถานสูงพร้อมด้วยพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ และพิณเขาคู่ คือทุกคนลงมาพร้อม..”เครื่องดนตรี” เพราะฉะนั้น ดนตรีต้องมีส่วนเชื่อมโยงอย่างมากกับจิตวิญญาณของมนุษย์ และต้องช่วยบรรเทาอาการวิปริตผิดเพี้ยนของซาอูลได้จริงๆ มาถึงตรงนี้ขอคริสเตียนทั้งหลายจงก้มศีรษะลงของคุณพระเจ้าผู้เืที่ยงแท้ของเรา เพราะพระองค์ทรงสอนให้เรานมัสการพระองค์ด้วยเสียงดนตรี..ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่า..วิธีการนี้สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณและเชื่อมโยงเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้
ดู1ซมอ.16:19-21 ซาอูลเห็นด้วยกับความคิดของข้าราชบริพาร..เลยให้คนไปตามดาวิดมารับใช้ เจสซีก็ส่งดาวิดไปพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการนิดหน่อย จากจุดนั้นก็ทำให้ดาวิดขยับเข้าไปใกล้กษัตริย์ เริ่มต้นด้วยงานรับใช้ซาอูล และข้อที่27บอกว่า..ซาอูลก็รักดาวิดมาก..เหมือนลูกเลยก็ว่าได้ แล้วก็เลื่อนให้ดาวิดเป็นคนถือเครื่องอาวุธ..ซึ่งตำแหน่งนี้ถือว่าใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวที่สุด ข้อที่23บอกว่า..ทุกครั้งที่วิญญาณชั่วของพระเจ้ามาสิงซาอูล ดาวิดก็จะหยิบพิณขึ้นมาเล่นถวาย ซาอูลก็จะหาย..รู้สึกสบายแล้วก็ชุ่มชื่นขึ้น เนี่ย..อัศจรรย์ของเสียงดนตรี....
วันนี้หมดเวลาแล้ว..น้าตุ๊กฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ
จนกว่าจะพบกันใหม่ ...พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่ 9 อาทิตย์ที่ 11:4:2010

ดู1ซมอ.14:24-27 ข้อนี้พระคำภีร์กำลังพูดถึงคำสาบานที่ไม่สร้างสรรค์ของซาอูลทำไมถึงบอกว่าไม่สร้างสรรค์..เพราะซาอูลบังคับทหารอิสราเอลให้สาบานว่าจะไม่กินอะไรเลยจนกว่าจะค่ำ..ทหารที่กำลังสู้รบอย่างเข้มข้น เด็กๆคิดดู..ว่าคำบนบานอันนี้มันสมเหตุผลมั๊ย เออ..ถ้าเราจะอดอาหาร..เพื่ออธิฐานอย่างเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ว่าไปอย่าง เพราะมันก็ไม่ได้ฝืนธรรมชาติของร่างกายซักเท่าไหร่..อย่างมากก็นั่งหลับเพราะอ่อนแรง แต่ซาอูลดันไปสั่งทหารอิสราเอลที่กำลังรบจนเหงื่อท่วม..ให้อดอาหารจนกว่าจะค่ำ??
ข้อที่25 บอกว่า..พอคนอิสราเอลตามพวกฟิลิสเตียเข้าไปในป่า..เจออะไร น้ำผึ้งไหลย้อยอยู่เต็มไปหมด แล้วกินได้มะ..ไม่ได้ เดี๋ยวผิดคำสาบานที่ซาอูลบนไว้กับพระเจ้า
ข้อที่27 บอกต่อไปว่า..แต่โยนาธานไม่รู้เรื่องคำสาบาน เลยกวาดน้ำผึ้งใส่ปากซะเลย แล้วเป็นไง..พระคำภีร์บอกว่า..”ตาของเขาก็แจ่มใสขึ้นทันที” เพราะความหวานของน้ำผึ้งเป็นพลังงานประเภทที่ร่างกายสามารถดูดซึมเอาไปใช้ได้ทันที โยนาธานถึงรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดู1ซมอ.14:29-30 โยนาธานไม่รู้เรื่องคำสาบานของพ่อเพราะไร..ก็มัวแต่ไปสู้กับพวกฟิลิสเตีย ใจก็คิดแต่อยากจะกู้ชาติอย่างเดียว เลยไม่ทันได้อยู่ฟังคำบนบานของซาอูล..(ที่เกิดจะเฮี้ยนลุกขึ้นมาตั้งสัตย์ปฎิญาณตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน)..อยู่ตั้งนานอะไรก็ไม่ทำ พอลูกชายจุดกระแสขึ้นมาซาอูลก็เกิดจะฮึดขึ้นมามั่ง การบนบานไม่ให้ทหารกินข้าวเนี่ย..ซาอูลอาจจะอ้างว่าไม่อยากให้เสียเวลา..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอก ยังไงทุกคนก็ดูออก..ว่าซาอูลตั้งกฎคำสาบานอย่างงี้ทำไม..เขารู้สึกเสียหน้าไง..เพราะตอนนี้มันชัดเจนแล้ว..ว่าโยนาธานคือคนที่จุดประกายความสำเร็จนี้ให้อิสราเอล..ไม่ใช่เขา ซาอูลเลยต้องการที่จะ ”สำแดงจุดยืนอะไรซักอย่าง..เพื่อกู้หน้าตัวเอง” แต่ด้วยความสิ้นคิด..จุดยืนของเขาเลยสำแดงออกมาด้วยการบังคับไม่ให้ทหารกินข้าว..(เน้น..ทหารที่กำลังต้องใช้พลังงานอย่างมากในสนามรบ)
แต่โอเค..การหยุดกินอาหารก็คงทำให้เสียเวลาเหมือนกัน ถ้าต้องมานั่งเตรียมกันเหมือนมื้อปกติ..แต่ดูอาหารที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้สิ ข้อที่ 25 บอกว่าพอคนอิสราเอลไล่ตามฟิลิสเตียเข้าไปในป่า..มีอะไร..น้ำผึ้งไหลย้อยอยู่เต็มไปหมด..มันต้องเสียเวลาเตรียมซะที่ไหน..โยนาธานคงใช้เวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ..ตอนที่เขากวาดน้ำผึ้งเข้าปากอ่ะ สมัยนั้นไม่มีหรอกฟาสต์ฟูด..แต่อาหารจานด่วนที่พระเจ้าเตรียมให้ก็วิเศษสุดแล้ว..หยิบใส่ปากก็สดชื่นเลย
ข้อที่29 โยนาธานถึงบอกว่า..”บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก..เพราะขนาดเขาได้กินน้ำผึงแค่นิดเดียว..ก็ยังรู้สึกสดชื่นเลย แล้วคิดดูถ้าทหารได้กินเต็มที่..จะดีแค่ไหน
ดู1ซมอ.14:31-33 คนอิสราเอลไล่ตามพวกฟิลิสเตียไปถึงอัยยาโลน จากมิคมาชถึงอัยยาโลนก็ประมาณ 40 กิโล ทหารไม่ได้พักเลยแล้วก็ไม่ได้กินอะไรด้วย พอไปเจอแกะกับวัวที่ศัตรูทิ้งไว้ ก็เลยฆ่ากินกันอย่างไม่ถูกต้อง..คือกินพร้อมเลือด ซึ่งมันผิดกฎของพระเจ้าในสมัยนั้น แล้วทั้งหมดนี้ก็เพราะความไม่ค่อยฉลาดของซาอูล
แต่พอมีคนไปบอกเรื่องนี้กับซาอูล ไม่ใช่แค่ไม่สำนึกนะ..ว่าเป็นความผิดของตัวเอง ยังมีหน้าไปโทษทหารที่หิวจนตาลายอีก..ว่าทรยศพระเจ้า น้าตุ๊กขอยืนยันว่าทหารไม่ผิด..เพราะพระเจ้าไม่เคยโปรดให้มนุษย์ต้องทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติจนเกินกำลัง เพราะฉะนั้น เด็กๆจำไว้ได้เลยว่า..ถ้าพฤติกรรมไหนหรือความเชื่อไหน..ที่ดูแล้วมันวิปริต ผิดธรรมชาติมากๆ อันนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน..เพราะอัศจรรย์เป็นของพระองค์..หมายความว่า ถ้าพระเจ้าจะให้มีอัศจรรย์หรือให้มีเรื่องพิเศษที่เกินกำลังมนุษย์เกิดขึ้น..พระองค์จะกำหนดเอง ไม่ใช่มาจากสติปัญญาอันโง่งมของมนุษย์ พระองค์อาจสำแดงผ่านมนุษย์แต่ไม่ใช่ลักษณะอย่างซาอูล..ที่พูดเอง..เออเอง เพราะอันนี้พระเจ้าไม่ได้คอนเฟิร์ม
ดู1ซมอ.14:34-35 ซาอูลแก้ไขสถานการณ์..การกินผิดประเภท ที่ผิดกฎบัญญัติของทหารด้วยการสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้า และข้อที่ 35 บอกว่า..อันนี้เป็นแท่นแรกที่ซาอูลสร้างถวายพระเจ้า แล้วก็สร้างเพื่อไถ่บาปให้ทหารอิสราเอล..ที่ทำผิด(เพราะความสิ้นคิดของตัวเอง) ยังไงมันก็คนละอารมณ์กับแท่นบูชาของอับราอัม อิสอัค ยาโคบ โยชูวา แล้วก็ซามูเอล เพราะทุกคนที่พูดมา..เขาสร้างเพื่อระลึกถึงพระคุณพระเจ้า ไม่เหมือนซาอูลที่สร้างเป็นแท่นแรก..เพื่อลดความเสียหายที่ทหารทำบาป นี่ถ้าไม่กลัวความผิดเขาจะสร้างมั๊ยเนี่ย???
ดู1ซมอ.14:37-38 พอมื้ออาหารที่ผิดบาปกับการสร้างแท่นบูชาผ่านไปแล้ว ซาอูลก็อยากไปโจมตีพวกฟิลิสเตียต่อ แต่พวกปุโรหิตอยากให้เขาปรึกษาพระเจ้าก่อน..ซาอูลก็เลยโอเคให้ปุโรหิตถามพระเจ้าตามวิธีของสมัยนั้น..แต่พระเจ้าไม่ตอบ พอพระเจ้าไม่ตอบปุ๊บ..ซาอูลสรุปทันที..ต้องมีคนทำผิด พูดจริงๆเลยนะ..ถ้าเป็นน้าตุ๊กๆจะคิดว่า..เอ๊ะ!หรือชั้นขอผิด..พูดอะไรผิดที่ไม่ใช่น้ำพระทัย แล้วก็จะอยู่เฉยๆรอก่อน..ว่าพระเจ้าจะว่าไง (อันนี้ไม่ได้บอกว่าตัวเองดีนะ..แต่ธรรมชาติของเราเป็นอย่างงี้จริงๆ) ส่วนซาอูลไม่เคยสงสัยตัวเอง..ไม่เคยรอ แต่จะตัดสินทันทีและชี้ความผิดไปที่คนอื่นเสมอ
ดู1ซมอ.14:39 แล้วข้อนี้ซาอูลก็พูดว่า “แม้ความผิดอยู่ที่โยนาธาน..” แปลว่าไร สงสัยโยนาธานไง..นี่ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยนะ..จะเจาะจงคนผิดได้ไง แล้วyou เป็นกษัตริย์นะ..จริงๆแล้วมามั่วอย่างงี้ไม่ได้ แต่ต่อให้โยนาธานผิดจริง..แล้วรู้ยังว่าเขาทำไรผิด..ยังไม่รู้..แต่คาดโทษเขาถึงตายไปแล้ว..เพราะในข้อที่39 ซาอูลพูดว่า..”ถ้าโยนาธานทำผิด..เขาต้องตาย..” พระคำภีร์บอกต่อไปว่า “ไม่มีใครเออ..ออ กับซาอูลซักคน ทุกคนเงียบกริบ” เพราะไม่เห็นด้วยที่เขาเพ่งเล็งลูกตัวเองขนาดนั้น
ดู1ซมอ.14:40-42 แล้วซาอูลก็ขอให้พระเจ้าสำแดงตัวคนผิดโดยการจับฉลาก ซาอูลแบ่งอิสราเอลออกเป็นสองฝ่าย คือประชาชน..ฝ่ายนึง แล้วอีกฝ่ายนึง คือ เขากับโยนาธาน ครั้งแรกจับถูกเขากับโยนาธาน..ประชาชนรอดไป พอครั้งที่สองจับได้..โยนาธาน เพราะปฏิญาณไว้ยังไงก็ต้องเป็นตามนั้น ไม่ว่าจะพูดไปด้วยความโง่แค่ไหน..มนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่สาบานไว้กับพระเจ้าเสมอ ซึ่งในกรณีนี้..ถ้าซาอูลรักลูก เขาต้องเจ็บปวดแน่นอน..
เด็กๆคงจำได้..เหมือนเยฟธาห์ ที่บนว่า..ถ้าเขารบชนะ จะสังเวยชีวิตคนที่ออกจากบ้านมารับเขาเป็นคนแรก ซึ่งกลายเป็น..ลูกสาวตัวเอง เยฟธาห์เลยต้องเสียลูก..เพราะการสาบานที่ขาดซึ่งวุฒิภาวะ แล้วเขาก็เจ็บปวดมาก
พระเยซูก็เคยสอนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือมัทธิว เด็กๆเปิดไปดูมธ.5:34-37
พระเยซูบอกว่า..อย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลกก็อย่าทำ แล้วก็อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตนด้วย (เอาหัวเป็นประกันเลย อะไรประมาณเนี้ย) เพราะมนุษย์จะทำให้ผมตัวเองขาวหรือดำไปซักเส้นนึงก็ยังไม่ได้ (บางคนบอกย้อมได้..อันนั้นไม่เกี่ยว..เพราะใช้ตัวช่วย) แต่ความหมายของพระเยซูก็คือ..มนุษย์ไม่ได้มีฤทธิ์อำนาจอะไร..ที่จะเอามาค้ำประกันในคำสาบานของตัวเองได้เลย แล้วก็ไม่ได้ฉลาดรอบคอบมากมายอะไร ช่วยตัวเองก็ยังไม่ได้ ถ้าขืนสาบานอะไรโง่ๆออกไป..แล้วทำไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมานั่งรับผลแห่งความปากพล่อยของตัวเอง เพียงแต่ผลที่ซาอูลได้รับเนี่ย..มันไปเข้าทางเขาพอดี ดูเหมือนอยากจะกำจัดลูกตัวเองอยู่แล้ว เพราะรู้สึกจะทำอะไรเกินหน้าเกินตาพ่อ “แต่ด้วยความสัตย์ซื่อเที่ยงธรรมของพระเจ้า”..ยังไงโยนาธานก็คือผู้ที่ต้องโดนฉลาก เพราะเขาทำผิดในสิ่งที่ซาอูลสาบานไว้กับพระเจ้าจริงๆ (ถึงจะโดยไม่รู้เรื่องและไม่ตั้งใจก็ตาม) แต่กฎก็คือกฎ..พระเจ้าไม่เคยต้องเปลี่ยนกฎของพระองค์เพื่อใคร ถ้าพระองค์จะทรงกู้ผู้ใดไว้ ก็จะสำแดงได้ด้วยทางอื่นเสมอ..ไม่เคยต้องเปลี่ยนกฎ! (oh!my god,how smart you are...) นี่คือความยิ่งใหญ่และสง่างามแบบสุดๆ
ดังนั้น..พระเยซูถึงสอนว่า “ถ้าอันไหนจริงก็ว่าจริง อันไหนไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่ พูดแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องสาบานหรือรายละเอียดเยอะ ถ้าพูดมากไป..นั่นก็มาจากความชั่ว เพราะอะไร..ก็เพราะคนที่คิดชั่วหรือโกหกจะพูดสั้นไม่ค่อยได้..เพราะกลัวคนไม่เชื่อ เขาเลยต้องเป็นประเภทที่ชอบชักแม่น้ำทั้งห้ามาบรรยาย จะสั้นๆนิ่งๆไม่เป็น..(ลองสังเกตดูสิ..ว่าจริงมะ)
ดู1ซมอ.14:43-45 พอโยนาธานโดนฉลาก ซาอูลถามเลย”เจ้าไปทำไรมา” อ้าว..ก่อนหน้านี้คาดโทษตายเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ นึกว่ารู้แล้วซะอีก..ว่าเขาไปทำอะไรมา ส่วนโยนาธานก็สารภาพทันที..ว่าเขากินน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้มา..กินโดยที่ไม่รู้ว่าพ่อสั่งห้าม แล้วโยนาธานก็บอกเลย”เขายอมตาย” โยนาธานไม่แก้ตัวซักคำ ฝ่ายซาอูลก็ไม่รอช้า..ยืนยันทันที. ”โยนาธานเจ้าต้องตาย” (นี่ถ้าน้าตุ๊กเป็นโยนาธานนะ..จะถามซาอูลว่า..นี่แกมีอะไรในใจกะชั้นป่าวเนี่ย)
แต่ในที่สุดประชาชนก็หมดความอดทน หลังจากที่ปิกปากเงียบมานาน ข้อที่25บอกว่า..พวกเขาออกปากคัดค้านซาอูล เพราะไม่เห็นด้วย..ที่โยนาธานต้องรับโทษถึงตาย ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ..ว่าโยนาธานคือคนที่”ลุกขึ้น”ทำให้อิสราเอลได้ชนะ..แล้วทำผิดแค่นี้ต้องถึงตายเลยเหรอ ประชาชนที่ทนดูซาอูลเล่นละครอยู่นาน มาตอนนี้..ทนไม่ไหวแล้ว พวกเขายอมออกหน้าเพื่อรักษาชีวิตโยนาธาน ซาอูลก็เลยอดฆ่าลูกตัวเอง การรบกับฟิลิสเตียก็เลยต้องครึ่งๆกลางๆอีก..ความผิดใครไม่สำคัญ มันสำคัญตรงที่เรียนเรื่องนี้แล้วเราได้อะไรมั๊ย
มาถึงบทส่งท้ายที่พูดถึงความสำเร็จของซาอูล
ดู1ซมอ.14:49-52 พระคำช่วงนี้บอกเล่าถึงวงศ์วานของก.ซาอูล ทั้งพ่อ..ลูก..มเหสีรวมทั้งทหารคนสำคัญที่มีบทบาทในสมัยของเขา ข้อที่53 พระคำภีร์ยืนยัน..ตลอดสมัยของก.ซาอูลเขาทำสงครามกับพวกฟิลิสเตียบ่อยมาก แล้วยังสงครามกับคนอัมโมน (ที่เราเรียนกันไปแล้ว) และเดี๋ยวตอนหน้าก็จะเป็นสงครามกับคนอามาเลข พระคำตอนนี้กำลังชี้ให้เราเห็นอะไร..ยังไงซาอูลก็ต้องมีข้อดี ถ้าพระเจ้าเลือกใครแล้ว..คนนั้นต้องมีจุดที่พระองค์ใช้ได้ อย่างซาอูลอาจจะขาดคุณธรรม..ไม่มั่นคงในความเชื่อ แต่ความโผงผาง ดุเดือด เลือดพล่านของเขา..มันอาจจะเป็นประโยชน์ในสนามรบก็ได้ แล้วพระเจ้าก็ทรงใช้เขาเพราะจุดนี้
เพราะฉะนั้น ความผิดพลาดหรือความผิดบาปของซาอูลกับอีกหลายๆคนในพระคำภีร์..ไม่ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อให้เราเกลียดชังเขานะ แต่พระเจ้าบันทึกไว้เพื่อสอนและเตือนเรา..จะได้ไม่หลงผิดในแบบเดียวกัน เพราะจริงๆแล้ว เรื่องอย่างงี้”มันเกิดได้กับทุกคน” ถ้าเราไม่ระวัง
บทที่15 ความไม่เชื่อฟังและคำบัญชาถอดถอนก.ซาอูล(อีกครั้ง)
ดู1ซมอ.15:1-3 ข้อนี้เป็นคำสั่งจากพระเจ้า..ให้ซาอูลกวาดล้างชาวอามาเลขให้สิ้นซาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ..ที่พระเจ้าสั่งให้ทำลายคนชาตินี้แต่พระองค์ทรงบัญชาหลายครั้ง มีบันทึกไว้ทั้งในสมัยอพยพ กันดารวิถี แล้วก็เฉลยธรรมบัญญัติด้วย
หลายคนคงสงสัย..ว่าทำไมดูโหดร้ายจัง เพราะในข้อที่3 บอกว่า..”จงฆ่าเสียทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ทารก รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย” ที่ต้องสั่งให้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ขนาดนี้เพราะชนชาตินี้ชั่วร้ายมาก และความโหดเหี้ยมถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น หมายความว่า คนรุ่นหลังๆโตขึ้นมาก็ชั่วร้ายหรือชั่วกว่าบรรพบุรุษซะอีก และตัวอย่างความร้ายกาจของคนอามาเลขคือ..
ดู1ซมอ.15:33 อากัก ก็คือ กษัตริย์ของคนอามาเลข ข้อนี้ซามูเอลพูดชัดเจน..ว่าชาวอามาเลขชอบทำให้ผู้หญิงไร้บุตร แปลว่าอะไร..ชอบฆ่าผู้เยาว์ไง อาจจะโดยเหตุผลทางความเชื่อ เช่น เอาเด็กมาเซ่นสังเวย หรือ แม้แต่ฆ่าโดยไม่มีเหตุผล มันก็ชั่วร้ายทั้งนั้น
แล้วสัตว์เลี้ยงล่ะ..ทำไมต้องฆ่า นักวิชาการบางคนสรุปว่า “มีโรคระบาดร้ายแรงในหมู่ชาวอามาเลข” ที่แพร่ไปถึงพวกสัตว์ด้วย..ซึ่งอาจจะเป็นกามโรค เพราะมันมีหลักฐานการตายด้วยโรคพวกนี้จริงๆในสมัยคานาอัน ก็เลยต้องฆ่าทุกอย่างที่หายใจได้ ส่วนของใช้ก็มีทั้งให้เอาไปลวกไฟแล้วใช้ได้ไปจนถึงต้องเผาทำลาย..อันนี้ก็แล้วแต่พระเจ้าสั่ง
ดู1ซมอ.15:7-9 เรื่องนี้เราเคยเรียนไปครั้งนึงแล้ว(ถ้าจำได้นะ) ข้อนี้บอกว่า..ซาอูลเอาชนะคนอามาเลขได้..แล้วก็ฆ่าประชาชนตายหมด แต่ในข้อที่9 บอกว่า..ซาอูลได้ไว้ชีวิตก.อากัก และสัตว์ที่ดีที่สุด มีแกะ โคตัวอ้วนพี คือเก็บแต่ของดีๆเอาไว้
ซาอูลทำถูกหรือผิด..เพราะพระเจ้าสั่งว่า “จงฆ่าเสียทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก แล้วก็สัตว์เลี้ยงด้วย” ถ้าซาอูลไว้ชีวิตเด็กๆ..เราคงพอเข้าใจได้..ว่าเขาคงเป็นคนมีเมตตาถึงฆ่าเด็กไม่ลง แต่ซาอูลไม่มีปัญหาที่จะฆ่าผู้หญิงหรือเด็ก เพราะข้อที่8 บอกว่า..ซาอูลฆ่าจนเรียบไม่มีเหลือ แต่เว้นอากักไว้ ซาอูลไว้ชีวิตอากักทำไม....
เพราะสมัยนั้น การมีกษัตริย์ที่แพ้สงครามมาร่วมโต๊ะเสวยด้วย..ถือเป็นการประกาศศักดาอย่างหนึ่งของผู้ชนะ..จะฆ่าก็ไม่ฆ่าเก็บเอามาร่วมโต๊ะอาหารให้อึดอัดเล่นซะงั้น ดังนั้น..นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ซาอูลเก็บก.อากักเอาไว้ก็ได้ เพื่อประกาศชัยชนะของตัวเอง..เหมือนหัวเก้ง หัวกวางที่นายพรานโชว์ไว้ตามฝาผนัง ใครไปใครมาจะได้รู้ว่าข้าเก่ง..
ดู1ซมอ.15:10-11 ไม่บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินพระเจ้าตรัสว่า”พระองค์เสียใจ”แต่ข้อนี้บอกชัดๆ..ถึงพระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงซามูเอล “เราเสียใจแล้วที่ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์” ฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้าง น้าตุ๊กฟังแล้วสะเทือนใจ (อย่างแรง) บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร..แต่พออ่านประโยคต่อไปถึงเข้าใจเพราะพระคำภีร์บอกว่า..”ซามูเอลก็โกรธเหมือนกัน เขาอธิฐานกับพระเจ้าคืนยันรุ่ง” อารมณ์ร่วมที่ตรงกันอย่างงี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับพระเจ้า คริสเตียนทุกคนน่าจะมี..ซามูเอลก็มี และเมื่อพระเจ้าทรงหัวเราะหรือเสียพระทัย..เราผู้ซึ่งมีจิตวิญญาณเชื่อมโยงกับพระองค์..ก็จะมีอารมณ์ร่วมไปกับพระองค์ด้วย พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เรากับซามูเอลและอีกหลายๆคนในพระคำภีร์เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ อารมณ์ที่ตรงกันมันจึงเกิดขึ้นผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของเรา
จิตวิญญาณที่ผูกพันลึกซึ้งกับพระเจ้า..เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ทุกคนต้องสัมผัสเอง รูปแบบอาจจะแตกต่างกัน แต่ส่งผลที่เหมือนกันแน่นอน..คือเราจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าและในพี่น้องของเราด้วย ขอให้เด็กๆติดสนิทกับพระเจ้าเสมอ แล้วพระองค์จะทรงสำแดงความรักและความผูกพันให้เราได้ประจักษ์อย่างแน่นอน
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

หนังสือ1ซามูเอล ครั้งที่8 อาทิตย์ที่4:4:2010

บททบทวน
ประเด็นหลักในบทที่ 1-8 ก็คือ อิสราเอลต้องการกษัตริย์..พระเจ้าก็ทรงจัดให้ตามที่พวกเขาร้องขอ และซาอูลคือคนที่พระเจ้าเลือก..ตามรายละเอียดในบทที่ 9-10 พอมาถึงบทที่ 11 นาหาชคนอัมโมนก็มาข่มขู่คนอิสราเอล ทำให้ซาอูลที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วยโกรธมาก..เขาส่งข่าวในเชิงบังคับไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล ว่าถ้าใครไม่ออกมาช่วยพี่น้อง..วัวของคนบ้านนั้นจะถูกสับเป็นท่อน การนั้นก็ส่งผลให้คนอิสราเอลออกมารวมตัวกันเยอะมาก และในที่สุดภายใต้การนำทัพของซาอูล..อิสราเอลก็ชนะพวกอัมโมน ประชาชนก็แห่กันยกย่องซาอูล เป็นการใหญ่ จนในบทที่ 12 ซามูเอลต้องเตือนสติคนอิสราเอล..ว่าอย่าหลงมองภาพกษัตริย์สวยหรูจนเกินจริง เพราะแท้จริงแล้วคือพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยกอบกู้อุ้มชูอิสราเอลรวมทั้งพวกเราด้วย..มาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่มนุษย์คนไหนทั้งนั้น พอมาถึงบทที่ 13 ดูเหมือนว่าซาอูลก็เริ่มที่จะแสดงบทบาทด้านลบออกมาหลายอย่าง ทำให้สถานการณ์ของเขากับคนอิสราเอลดูแย่ลงมาก แล้วผลจากการที่โยนาธานบุกไปโจมตีกองกำลังของฟิลิสเตียก็ทำให้พวกฟิลิสเตียโกรธมาก..พวกเขายกกองทัพขนาดใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา..ตั้งใจว่าจะบดขยี้อิสราเอลให้แหลกลาญ
อีกครั้งที่ซาอูลเรียกพี่น้องให้มาร่วมรบ..แต่ครั้งนี้มีคนอาสาน้อยมาก แล้วในจำนวนที่น้อยอยู่แล้วเนี่ย..พอเห็นกองทัพขนาดยักษ์ของฟิลิสเตียก็แตกหนีกระจัดกระจายไป ซาอูลหมดความอดทนเพราะรู้สึกว่านี่มันคับขันมาก ซามูเอลมัวทำอะไรอยู่..ถึงไม่มาถวายบูชาพระเจ้าซักที..จะรบก็รบไม่ได้ ซาอูลก็เลยคิดว่า..เนี่ยคือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นก็น่าจะมองข้ามหรือละเลยกฎบางอย่างไปบ้างนะ เพราะมันสุดวิสัยจริงๆ..(คิดอย่างงี้ถูกมั๊ยคะเด็กๆ) เด็กๆจำไว้เลย..ว่าเราไม่สามารถเอาความทุกข์ยากมาอ้าง..แล้วก็ถือโอกาสละเมิดกฎบางข้อของพระเจ้าไป เหมือนอย่างซาอูลที่ไม่อดทนรอให้ถึงที่สุด แต่เลือกที่จะเผาเครื่องบูชาเองโดยไม่เคารพกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ การกระทำครั้งนี้ของเขาสำแดงให้เห็นอะไรมั่ง
ข้อแรกก็คือ ซาอูลขาดสำนึกที่ลึกซึ้งในสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้กระทำ ไม่รู้ขอบเขตหน้าที่ของตัวเอง ขึ้นชื่อว่ากษัตริย์..ถึงจะมีสิทธิอำนาจมาก แต่กษัตริย์ของอิสราเอลต้องอยู่ใต้กฎบัญญัติของพระเจ้าเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และยังต้องฟังคำปรึกษาของปุโรหิตด้วย เพราะฉะนั้น การที่ซาอูลทำอย่างงี้มันทำให้เห็นว่า ซาอูลขาดจิตสำนึกในงานที่พระเจ้ามอบหมายให้
และอีกข้อนึงก็คือซาอูลไม่มั่นคงในความเชื่อ อันนี้ชัดเจน เพราะถ้าเขามีความเชื่อที่มั่นคง เขาก็จะไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์ที่คับขัน จนขาดสติแล้วเผลอทำอะไรโง่ๆอย่างงี้
แต่ถึงจะโง่หรือร้ายกาจแค่ไหน ตลอดมาในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลก็สำแดงให้เราเห็นแล้ว..ว่าหลายครั้งมากที่พระเจ้าใช้ ”คนที่อ่อนแอและโง่เขลา” จนทำให้คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดต้องตกตะลึงไปตามๆกัน คราวที่แล้วเราจบลงในบทที่13:14 ตรงที่ซามูเอลตำหนิว่าซาอูลโง่มากที่ทำอย่างงี้ แล้วก็ประกาศว่าราชวงศ์ของท่านจะต้องจบลงแค่นี้ เพราะพระเจ้าได้เลือกคนที่จะมาเป็นกษัตริย์แทนซาอูลแล้ว ซามูเอลบอกด้วยว่ากษัตริย์คนใหม่นี้จะเป็นผู้ที่พระเจ้าชอบพระทัยมาก เพราะเขาจะกระทำตามพระทัยของพระเจ้าจนถึงที่สุด
ดู1ซมอ.13:17-19 คำว่ากองปล้นของพวกฟิลิสเตียหมายถึง”กองกำลังพิเศษ” มีหน้าที่ปล้น ฆ่า เผาทำลาย ถ้าปล่อยให้พวกนี้ปล้นไปเรื่อยๆอิสราเอลก็ถึงการพินาศ ข้อที่19 บอกว่า “คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอลก็ไม่มี..” เพราะตอนนั้นยุคเหล็กเข้ามาถึงพวกฟิลิสเตียแล้ว แต่คนฟิลิสเตียไม่ยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีเรื่องเหล็กให้กับคนอิสราเอล กลัวว่าพวกฮีบรูจะผลิตอาวุธเป็นแล้วจะกลืนยาก สมัยนั้นฟิลิสเตียเลยเป็นต่ออิสราเอลเพราะมีทั้งดาบเหล็ก หอกเหล็ก รวมถึงล้อรถม้าก็ทำด้วยเหล็ก เพราะฉะนั้นดูแล้วความเจริญมันก็ห่างกันหลายขุมอยู่
ดู1ซมอ.13:20-23 “อิสราเอลทุกคนต้องไปฟิลิสเตียเพื่อลับผาล ขวาน และจอบ” เพราะพวกเขาซื้อเครื่องมือทางการเกษตรมาจากฟิลิสเตีย แล้วเวลาจะซ่อมบำรุงเครื่องมือพวกนี้ก็ต้องกลับไปให้พวกฟิลิสเตียทำในราคาครั้งละหนึ่งพิม
ข้อที่22บอกว่า “ทหารของอิสราเอลก็เลยไม่มีอาวุธเหล็ก แต่ซาอูลกับโยนาธานมี” ก็ธรรมดาเนอะของหายาก แต่ที่สำคัญมีแล้วทำประโยชน์อะไรรึเปล่า
ดู1ซมอ.14:1-2 อิสราเอลกำลังอยู่ในภาวะคับขัน..ขาดทั้งกำลังและอาวุธ แต่ดูเหมือนซาอูลจะยังใจเย็นมัวนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นทับทิม แล้วขณะที่ซาอูลนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้..โยนาธานลูกชายของเขากลับเป็นฝ่ายวางแผนที่จะไปจัดการกับพวกฟิลิสเตีย โดยที่ไม่บอกให้พ่อรู้..เพราะอะไร โยนาธานคงรู้ดีอ่ะ..ว่าพ่อคิดยังไง เขารู้ว่าพ่อไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกฟิลิสเตีย แต่โยนาธานคิดไม่เหมือนพ่อ..เขาไม่ต้องการให้พวกฟิลิสเตียมาสร้างปัญหาให้อิสราเอลอีกต่อไป เด็กๆดูดีๆ..พระคำภีร์ตอนนี้ พยายามชี้ให้เราเห็นความแตกต่างอย่างมากของพ่อกับลูก
ดู1ซมอ.14:6 โยนาธานไม่ใช่แค่ไม่นิ่งดูดาย แต่สิ่งที่เขาพูดกับทหารถือเครื่องอาวุธเนี่ย..มันสำแดงให้เห็นถึงความเชื่อที่หนักแน่น แล้วก็มีจุดยืนที่แน่นอนด้วย โยนาธานพูดว่า”ให้เราข้ามไปยังกองทหารของคนที่ไม่ได้เข้าสุนัต..” คนที่ไม่ได้เข้าสุนัต จริงๆแล้วก็คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล แต่ในที่นี้หมายถึงพวกฟิลิสเตีย แล้วความหมายของโยนาธานก็คือ..คนพวกนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระเจ้าเหมือนอิสราเอล เพราะฉะนั้น..ชั้นไม่กลัว โยนาธานยังพูดต่อไปว่า..”บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะไม่มีอะไรขวางพระเจ้าได้ถ้าพระองค์จะช่วย..แล้วคนมากคนน้อยก็ไม่เกี่ยว” คำพูดนี้แหละที่ทำให้เรารู้จักโยนาธานมากขึ้น..ว่าเขามีจิตสำนึกของความเชื่อขนาดไหน แล้วจิตสำนึกของความเชื่อแบบโยนาธานเกิดขึ้นได้ยังไง มันเกิดขึ้นเพราะ..โยนาธานรู้จักที่จะเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจากประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เหมือนพวกเรา..ที่จะต้องเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจาก..พระคำภีร์ จิตสำนึกของความเชื่อมันถึงจะเกิดขึ้นได้
ดู1ซมอ.14:8-10 คำพูดของโยนาธานในข้อนี้ยังทำให้เรารู้ว่า..โยนาธานรู้จักพระเจ้า เขารู้พระลักษณะของพระองค์ และยังรู้อีกด้วยว่า..พระเจ้าไม่ได้ประสงค์ให้คนของพระองค์ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่น นอกจากจะมีจิตสำนึกของความเชื่อแล้ว โยนาธานยังรู้จักแสวงหาหมายสำคัญจากพระเจ้าอีกด้วย เพราะข้อที่ 9-10 โยนาธานบอกว่า..เขาจะไปแสดงตัวให้พวกฟิลิสเตียเห็น แล้วถ้าพวกนั้นลงมาไล่เขา..เขาก็จะไม่ขึ้นไปสู้ ถือว่าพระเจ้าไม่เปิดประตู แต่ถ้าพวกฟิลิสเตียพูดจาท้าทายให้เขาขึ้นไปหา (แน่จริงก็เข้ามาสิ..อะไรประมาณเนี้ย) โยนาธานก็จะลุยเลย และจะถือว่าสิ่งนี้เป็นสัญญาณจากพระเจ้าให้รบได้ แล้วโยนาธานก็มั่นใจว่าเขาจะชนะเพราะพระเจ้าอนุญาตแล้ว
ดู1ซมอ.14:11-12 พอโยนาธานตกลงเรื่องหมายสำคัญกับพวกทหารแล้ว เขาก็ปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อให้พวกฟิลิสเตียเห็น พอพวกฟิลิสเตียเห็นโยนาธานกับทหารนำร่อง..ก็คิดว่าเป็นคนอิสราเอลที่หลบซ่อนอยู่ตามซอกตามรู ก็เลยร้องเรียกบอกว่า..มานี่ดิ บอกไรให้ (อ้าว เข้าทาง) โยนาธานกับพวกรับทันทีว่านี่เป็นหมายสำคัญจากพระเจ้า..(ไฟเขียว) เขาต้องชนะแน่นอนเพราะพระเจ้าส่งสัญญาณตอบมา
ดู1ซมอ.14:13-15 จริงๆแล้วก็ไม่เข้าใจ..ว่าพวกฟิลิสเตียจะเรียกโยนาธานขึ้นไปทำไม เพราะตัวเองก็อยู่ที่สูง ถ้าจะฆ่าโยนาธานก็ง่ายนิดเดียว แต่น้าตุ๊กคิดเองนะว่า..เขาคงตั้งใจจะเรียกโยนาธานกับผู้ช่วยขึ้นไปทำอะไรขำๆให้ดู..เอาเป็นตัวตลกอะไรประมาณเนี้ย เพราะเราเคยเห็นหลายครั้งว่าคนสมัยนั้น พอจับตัวประกันได้ก็ชอบเอามาเป็นตัวตลก อย่างแซมสันที่ถูกพาออกมาเล่นตลกให้พวกฟิลิสเตียดูในวาระสุดท้ายของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่..พระเยซูคริสต์ของเรา ตอนที่ทหารโรมันจับพระองค์ไว้ก่อนจะเอาไปตรึงกางเขน พวกเขาก็เห็นพระองค์เป็นตัวตลก แล้วก็พากันเยาะเย้ยอย่างสนุกสนาน น้าตุ๊กเลย(อุปทาน)เห็นภาพนี้ในแบบเดียวกัน เพราะพวกฟิลิสเตียคงคิดว่า..แค่อิสราเอลขี้กลัวสองคนคงไม่มีปัญหามั้ง แต่ปรากฎว่า..พอโยนาธานคลานขึ้นไปได้ เขาก็ใช้ดาบฟันคนฟิลิสเตียไม่ยั้ง ที่รอดจากดาบโยนาธาน..ก็ถูกทหารที่ตามมาข้างหลังเก็บเรียบ ใช้เวลาไม่นานพวกดูต้นทางของฟิลิสเตียก็ตายเกลี้ยง นี่คือผลของความเชื่อ โยนาธานถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการเชื่อวางใจ พระเจ้าก็ให้เกียรติโยนาธานด้วยชัยชนะ (ที่เกินกำลังของมนุษย์) และในข้อที่ 15 ก็บอกว่า..พระเจ้าทรงทำให้แผ่นดินไหว จนกองทหารของพวกฟิลิสเตียเกิดความวุ่นวาย (ดูต่อไปว่าเกิดไรขึ้น)
ดู1ซมอ.14:16 นักวิชาการพูดถึงการเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนั้นว่า การไหวแต่ละครั้งเนี่ย..พื้นโลกจะม้วนขึ้นในแนวตั้งประมาณ 2 นิ้วแล้วก็ถี่ประมาณ 240 ครั้งต่อนาที มันก็เลยทำให้แผ่นดินม้วนไปมาเหมือนคลื่นในทะเล ทีนี้พวกฟิลิสเตียมีดาบอ่ะ..ภาพที่เห็นก็เลยเหมือนพวกเขาฟันกันเองเพราะต่างคนต่างล้ม “พระคำภีร์บอกว่ามันเป็นความกลัวที่พระเจ้าส่งลงมา”
ยามของซาอูลที่เห็นเหตุการณ์..ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แผ่นดินไหว แผ่นดินเคลื่อน แผ่นดินเลื่อนหรือแผ่นดินแยกเขาไม่รู้ เราก็ไม่รู้ แต่โอเค..ไม่ว่ารายละเอียดมันจะตามนี้เลยมั๊ย..ก็ไม่เป็นไร เพราะผลลัพธ์เหมือนกัน..คือพวกฟิลิสเตียตายไปเยอะมากด้วยฝีมือของพวกเดียวกัน โดยที่อิสราเอลยังไม่ทันต้องทำอะไรเลย
ดู1ซมอ.14:17 พอเกิดความวุ่นวายในหมู่พวกฟิลิสเตียขึ้น อย่างแรกที่ซาอูลทำ คืออะไร..สั่งให้นับกำลังคน..แล้วดูว่าใครหายไป ทำไมซาอูลไม่นึกถึงพระเจ้าล่ะ..เพราะเวลาที่มีเรื่องไม่ธรรมดา(หรือแม้แต่เรื่องธรรมดาๆก็ตาม)เกิดขึ้น ..คริสเตียนทุกคนก็จะนึกถึงพระเจ้าเป็นอย่างแรก..(ไม่ใช่เหรอ) แต่ทำไมซาอูลสงสัยมนุษย์ และดูเหมือนจะไปติดใจโยนาธานมากกว่า และที่สำคัญพอเช็คดูก็ปรากฎว่าคนที่หายไปก็คือ..โยนาธานกับทหารคนสนิท(จริงๆซะด้วย) แต่ซาอูลคงไม่แปลกใจ เขาคงรู้สึกว่า..เอ๊ะทำไม ไอ้ลูกคนนี้มันอยู่ไม่สุขซะที คราวก่อนก็ทีนึงละ..โยนาธานก็ไปตีเขาที่เกบาห์จนพวกฟิลิสเตียโกรธ..ถึงได้ยกขโยงกันมาก่อกวนอยู่เนี่ย มาครั้งนี้..พอเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นโยนาธานอีกที่หายไป..
ที่เรามองภาพซาอูลอย่างงี้..เพราะดูเหมือนเขาจะชอบนั่งเล่น หลบแดดอยู่ใต้ต้นทับทิมมากกว่า เหมือนคริสเตียนบางคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นทำอะไรบางอย่าง..ที่พระเจ้าอยากให้ทำ เช่นเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความคิด ก็ไม่มีใครอยากทำเพราะมันจะยากแล้วก็ไม่สนุก เพราะฉะนั้น..ถึงสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำมันจะเป็นผลดีกับเราขนาดไหน ก็จะมีหลายคนที่เป็นเหมือนซาอูล คือ ไม่อยากขยับ..เพราะนั่งเล่นใต้ต้นไม้มันสบายกว่าเยอะ (นอนตากแอร์อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว) ชั้นอยู่ของชั้นอย่างงี้ดีแล้ว..จะให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไรให้มันขัดใจตัวเองนักหนา เด็กๆคิดอย่างงี้ไม่ได้..ถึงมันจะยากแต่ถ้าพระเจ้าบอกให้ทำ..ก็ต้องทำ แล้วชีวิตของเราจะดีขึ้นแน่นอน
ดู1ซมอ.14:18-20 ซาอูลบอกอาหิยาห์ให้เอาหีบพันธสัญญาออกมา อาหิยาห์คือ..ปุโรหิต ที่อยู่กับเขาในตอนนั้น..เพราะซามูเอลก็ทิ้งเขาไปแล้ว ซาอูลให้เอาหีบออกมาทำไม เพราะต้องการจะแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ความวุ่นวายในหมู่พวกฟิลิสเตียดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พอซาอูลเพ่งดูชัดๆเขาก็เห็นว่าพวกฟิลิสเตียกำลังตั้งตัวไม่ติด เลยคิดว่า..ถ้าฉวยโอกาสลงมือตอนนี้ต้องชนะแน่ เพราะฉะนั้นในข้อที่19 ซาอูลถึงสั่งปุโรหิตว่า..”หดมือไว้ก่อน” แปลว่าไรเนี่ย..เปลี่ยนใจไม่ถามพระเจ้าไง พอเห็นสถานการณ์เข้าท่าก็ชะล่าใจ ไม่สนแล้วว่าพระเจ้าจะว่าไง เพราะเห็นใสๆว่า..โจมตีตอนนี้ชนะแน่ ว่าแล้วก็..บุกไปเลย (เนี่ย..นิสัย) แล้วก็ชนะซะด้วย..แต่!ไม่ใช่เพราะซาอูลตัดสินใจถูกที่ไม่ถามพระเจ้า แต่เพราะพระเจ้าจะให้เกียรติโยนาธานอยู่แล้วตั้งแต่แรก ที่เขามีความเชื่ออย่างกล้าหาญ นี่ต่างหาก คือ เหตุผลที่อิสราเอลได้ชนะในวันนั้น พระคำตอนนี้น่าสนใจมาก..
เพราะมันทำให้เราเข้าใจ..ถึงทุกวันนี้ ถ้าบางครั้งจะมีบางคน..ที่ดูแล้วทำไม่ถูกจริงๆแต่ทำไมยังเอาพระเจ้ามาอ้างได้..ก็ให้นึกถึงcaseนี้เป็นตัวอย่าง เพราะรูปแบบของสถานการณ์ก็คงประมาณกัน..ที่พระเจ้าเมตตาจะให้เกียรติโยนาธาน เลยบันดาลให้อิสราเอลชนะ ซาอูลก็ต้องพลอยชนะไปด้วย..มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่ง ทำถูก พระเจ้าเข้าข้าง เพราะสถานการณ์มันพาให้คิดไปอย่างงั้น แต่คนประเภทนี้จะหลงผิดได้ไม่นาน(ถ้าเขาเป็นของพระเจ้าจริงๆนะ)พระเจ้าก็จะไม่ปล่อยให้หลงเจิ่นไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าดีใจ เพราะยังมีโอกาสที่จะกลับใจใหม่ได้..เวลาหมดแล้วค่ะ
สุขสันต์วันอีสเตอร์ค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ