วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หนังสือ 2 พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่ 7 อาทิตย์ที่12:2:2012

เราเรียนถึงบทที่ 14 ก่อนหน้านี้เราจบลงที่การตายของเอลีชาแล้วก็การเผยวจนะครั้งสุดท้ายของเขา ที่ทำนายว่าก.โยอาชแห่งอิสราเอลจะชนะซีเรีย 3 ครั้ง เพราะเมื่อเอลีชาบอกให้เขาฟาดลูกธนู..เขาก็ฟาดไป 3 ที เพราะไม่รุ้ว่าสิ่งที่เอลีชาให้ทำ..มันหมายความว่าอะไร ซึ่งข้อนี้เป็นบทเรียนสำหรับเราในการที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า คือ ให้เราทำตามอย่างสุดกำลังถึงแม้บางอย่างเราจะไม่เข้าใจว่า..พระเจ้าให้ทำทำไม..แต่จงเชื่อฟังแล้วทำให้เต็มที่

ดู 2พกษ.14:1-2 พระคำภีร์กลับมาที่อาณาจักรยูดาห์อีกครั้ง ข้อนี้เป็นสมัยของก.อามาซิยาห์..ลูกของโยอาชที่รอดตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของอาธาลิยาห์..ย่าแท้ๆของตัวเอง และเมื่ออามาซิยาห์ขึ้นครองยูดาห์ ข้อที่ 3 บอกว่า “พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์” คือ ในช่วงแรกๆเขาเป็นกษัตริย์ที่ดี ข้อที่ 7 บอกว่า “พระองค์ทรงประหารชีวิตคนเอโดมหนึ่งหมื่นคนในหุบเขาเกลือ” เรื่องนี้ มีคำอธิบายที่ชัดเจนกว่าใน 2พศด.25: 5 บอกว่า “พระองค์นับกำลังทหารของยูดาห์แล้ว ปรากฎว่ามีอยู่ 3 แสนคน แต่อามาซิยาห์ยังไม่พอใจ เขาเลยไปจ้างทหารของอิสราเอลมาอีก 1 แสน แต่การที่เขาทำอย่างงี้..พระคำภีร์บอกว่าพระเจ้าไม่พอพระทัย ข้อที่ 8 พระเจ้าเลยใช้ผู้เผยพระวจนะมาบอกอามาซิยาห์ว่า “ถ้าพระองค์คาดหมายว่าโดยวิธีนี้ พระองค์จะเข้มแข็งพอที่จะเข้าสงคราม พระเจ้าจะทรงเหวี่ยงพระองค์ลงต่อหน้าศัตรู เพราะว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ที่จะช่วยไว้หรือทิ้งไปได้" คือ ถ้าคิดว่าทำอย่างงี้แล้วจะชนะ..คิดผิดแล้ว เพราะการที่จะแพ้หรือชนะ..มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นกับว่ายูมีกำลังเท่าไหร่ อามาซิยาห์ได้ยินอย่างงั้นก็ปรากฎว่า..ก็เชื่อฟัง ปล่อยทหารอิสราเอลแสนคนกลับบ้านไป ยอมให้เขาริบเงินมัดจำ..ซึ่งไม่ได้เยอะอะไร แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด..

ดู 2พศด. 25:13 เมื่ออามาซิยาห์เชื่อฟังพระเจ้า..ส่งทหารอิสราเอลกลับบ้านไป พร้อมทั้งยอมให้ริบเงินมัดจำ..ค่าจ้างรบ คงมีการตกลงกันว่าจ่ายก่อนเท่าไหร่..พองานเสร็จแล้วก็รับส่วนที่เหลือไป แต่ส่วนที่เหลือคงจะก้อนใหญ่กว่า..ทหารอิสราเอลก็ไม่พอใจ “กลับตลบเข้าโจมตีหัวเมืองของยูดาห์ ตั้งแต่สะมาเรียถึงเบธโฮโรน และฆ่าประชาชนเสียสามพันคน พร้อมทั้งริบข้าวของของคนยูดาห์ไปด้วย”..กลายเป็นว่ายูดาห์ถูกอิสราเอลตีตลบหลัง ดังนั้น เมื่ออามาซิยาห์เอาชนะคนเอโดมได้แล้ว เขาก็เลยจะมาคิดบัญชีกับอิสราเอล ข้อที่ 17 บอกว่า “แล้วอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงรับคำปรึกษา และทรงใช้ให้ไปเฝ้าโยอาชกษัตริย์ของอิสราเอลทูลว่า "มาเถิด ให้เราทั้งสองมาเผชิญหน้ากัน" ก็คือ...ท้ารบเลย ประมาณว่า อย่าลอบแทงข้างหลัง ออกมารบกันซึ่งๆหน้าเลยดีกว่า ข้อที่ 19 กษัตริย์อิสราเอลตอบกลับมาประมาณว่า.. “อย่าเลย..อย่าคิดว่าชนะเอโดมแล้วจะชนะอิสราเอลได้ ทางที่ดียูดาห์อยู่เฉยๆเถอะ..อย่าหาเรื่องเลย ไม่มีทางชนะหรอก แต่อามาซิยาห์ไม่ยอม..สุดท้ายเลยรบกัน..และปรากฎว่ายูดาห์แพ้ ข้อที่ 24 บอกว่า โยอาชขนเงินทองของมีค่าจากนิเวศน์พระเจ้าในเยรูซาเล็มเอากลับไปไว้ที่สะมาเรียหมดเลย แล้วยังจับคนยูดาห์ไปเป็นตัวประกันด้วย ทีนี้ สาเหตุที่ยูดาห์แพ้ มันมีเหตุผล น้าตุ๊กอยากให้ย้อนไปดู..

2 พศด.25:14-15 คือ ตอนที่อามาซิยาห์รบชนะเอโดม ตอนนั้น อามาซิยาห์พึ่งใคร..พึ่งพระเจ้า พระเจ้าบอกไม่ต้องไปจ้างทหารอิสราเอล..อามาซิยาห์ก็เชื่อ แต่พอชนะแล้ว..กลับไปเอาพระของคนเอโดมมาไหว้ งง..มั๊ย..หลายครั้งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..ว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดของคนเหล่านั้น..ที่พระคำภีร์บันทึกไว้เป็นตัวอย่าง ทั้งที่เห็นกันใสๆว่าพระเจ้าคือผู้เดียวที่ช่วยได้..หลายคนก็ยังหลงเจิ่นไป..แล้วก็ล้มลงในความบาป แต่ไม่เป็นไร..เราไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดก็ได้ ตัวอย่างพวกนี้มีไว้เพื่อให้เรารู้ว่า..“เราต้องติดสนิทกับพระเจ้า ระวังในทุกย่างเท้าของเรา อย่าประมาท..อย่าคิดว่าพอมาเชื่อแล้วจบ ไม่อธิฐาน..ไม่อ่านพระคำภีร์..ไม่แสวงหาพระเจ้า..ไม่ได้ เราจะชิลด์ขนาดนั้น..ไม่ได้..มันอันตรายมาก ข้อที่ 15 บอกว่า ดังนั้น พระเจ้าทรงกริ้วต่ออามาซิยาห์ พระองค์จึงทรงใช้ผู้เผยพระวจนะไปเตือนเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงแสวงหาพระของชนชาติหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถช่วยชนชาติของตนเองให้พ้นจากมือของเจ้าได้"..ก็เห็นๆอยู่ว่าพระเอโดมนี้..ยังช่วยให้คนเอโดมชนะไม่ได้เลย แล้วอามาซิยาห์คิดยังไงถึงไปเอามาพระนั้นกราบไหว้ อามาซิยาห์ฟังแล้วแทนที่จะกลับใจใหม่..เปล่าเลย สั่งผู้เผยพระวจนะให้หยุดพูด..ไม่งั้นจะฆ่าทิ้ง แล้วในที่สุด ตอนไปรบกับอิสราเอลอามาซิยาห์ก็แพ้ ข้อที่ 27 บอกว่า “นับตั้งแต่ที่อามาซิยาห์หันไปจากการติดตามพระเจ้า เขาก็ถูกข้าราชการกบฎและสุดท้ายก็ถูกฆ่าตาย “ ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะตอนแรกอามาซิยาห์เริ่มต้นดี หลายคนก็เริ่มต้นดี แต่ไม่รักษาความเชื่อในการติดตามพระเจ้าให้ถึงที่สุด บทสุดท้ายเลยจบไม่สวย คริสเตียนก็เหมือนกัน เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว..ถ้าไม่ถือรักษาความเชื่อ..สัตย์ซื่อกับพระเจ้าจนลมหายใจสุดท้าย..เราก็จะไม่ได้รับความรอด เปิดไปดูหนังสือโคโลสีในพระคำภีร์ใหม่กันนิดนึงนะคะ..

โคโลสี 1:22-23 “คือถ้าท่านดำรงและตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อ และไม่โยกย้ายไปจากความหวังในข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้ยินแล้ว คือ ระหว่างทางที่ดำเนินกับพระเจ้า เราต้องตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อ ไม่หันไปพึ่งพระอื่นหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่ในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้หลายอย่างมันแยกแยะได้ยาก เด็กๆจำเป็นต้องมีวินิจฉัยอย่างมาก เช่น บอกว่าเชื่อพระเจ้าแต่ยังอยากดูหมอ..ไปหาร่างทรงให้เขาช่วยสะเดาะห์เคราะห์ เสริมดวงอะไรต่างๆ อย่างงี้..ไม่ใช่แล้ว ถามว่าเราทำทานหรือบริจาคช่วยเหลือผู้อื่นได้มั๊ย..ได้ เราสามารถช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนน้ำท่วม หรือใครก็ตามที่เขาทุกข์ยากลำบาก แต่ ! เราต้องไม่เผลอคิดว่าเด็ดขาด..ว่าการทำอย่างงั้น มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือจะช่วยให้เราได้รับความรอด..ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าเราจะช่วยผู้อื่นหรือแบ่งปันให้ใครเราก็ทำเพราะเราเชื่อฟังพระเจ้า..ที่พระองค์บอกให้รักซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องมีวินิจฉัยมากๆต้องแยกแยะให้ออก เด็กๆ ต้องไม่หลงประเด็น (เด็ดขาด)

ดู 2พกษ.14:23-24 พระคำภีร์กลับมาที่อาณาจักรฝ่ายเหนือ คือ อิสราเอลอีกครั้ง ข้อนี้ พูดถึงสมัยของเยโรโบอัม แต่เป็นเยโรโบอัมที่ 2 ไม่ใช่คนแรก..ที่ก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลกับสร้างวัวทองคำนะคะ ข้อที่ 25 บอกว่า เยโรโบอัมคนนี้..เก่งมากสามารถตีเอาหัวเมืองของอิสราเอลกลับคืนมาได้จนอาณาเขตของอิสราเอลกลับมากว้างใหญ่เท่ากับสมัยของก.ดาวิด หมายความว่าในสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 นี้เป็นช่วงที่อิสราเอลเจริญสุดๆ..ที่สุดเลยก็ว่าได้ แล้วก็มีแสนยานุภาพเข้มแข็งมาก ทำให้อิสราเอลมีความเจริญทางฝ่ายโลกหรือด้านวัตถุอย่างเต็มขนาด แต่พระคำภีร์สำแดงให้เห็นว่า ยิ่งความเจริญทางโลกมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสื่อมทางจิตวิญญาณของคนอิสราเอลก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น (แล้วพระเจ้าจะยอมมั๊ย..ไม่มีทาง) ในสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 นี้ พระเจ้าเลยผู้เผยพระวจนะมาหลายคนทั้งอาโมส โฮเชยา แล้วก็รวมถึงโยนาห์..ก็อยู่ในสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 นี้ด้วย เราจะเปิดไปดูรายละเอียดที่บันทึกให้เห็นถึงความเสื่อมถอยทางด้านจิตใจของคนอิสราเอลในสมัยนั้นกันในหนังสือ อาโมส

อาโมส 5:11-12 / 8:4-6 “เพราะเจ้าทั้งหลายเหยียบย่ำคนยากจน และเอาส่วยข้าวสาลีไปเสียจากเขา..” คำเผยพระวจนะของอาโมสในข้อนี้ทำให้เห็นว่าสังคมของอิสราเอลในสมัยนั้น แม้ว่าด้านการเมืองและวัตถุจะเจริญถึงขีดสุดแต่ในทางศีลธรรมของพวกเขาเสื่อมถอยอย่างเต็มขนาด..กลุ่มที่มีเสถียรภาพทางสังคมก็เหยียบย่ำเอาเปรียบคนจน อาโมส 8:5 บอกว่า "เมื่อไรหนอวันขึ้นหนึ่งค่ำจะหมดไป เราจะได้ขายข้าวของเรา เมื่อไรหนอวันสะบาโตจะพ้นไป เราจะได้เอาข้าวสาลีออกขาย เราจะได้กระทำเอฟาห์ให้ย่อมลง..(เอฟาห์ ก็คือ หน่วยการชั่งตวง / ทำให้ย่อมลง..พูดง่ายๆก็คือโกงกิโล) และกระทำเชเขลให้โตขึ้น และหลอกค้าด้วยตาชั่งขี้ฉ้อ คือโกงได้ก็โกงแล้วก็ทำกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้กำไรมากที่สุด ข้อที่ 6 บอกว่า “เพื่อเราจะได้ซื้อคนจนด้วยเงิน และซื้อคนขัดสนด้วยรองเท้าสาน แค่คู่เดียว”..คนจนมีราคาแค่รองเท้าคู่เดียว อันนี้ ก็คือ การกดขึ่แรงงาน เจตนาที่จะจ้างงานด้วยค่าแรงที่ไม่เป็นธรรม เห็นคนจนไม่มีทางเลือกก็กดขี่ให้ค่าแรงเขาถูกๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นภาพความเสื่อมทางจิตวิญญาณของคนอิสราเอลในสมัยนั้น และทั้งที่พระเจ้าเตือนแล้ว..อิสราเอลก็ไม่สนใจเพราะฉะนั้น เมื่อหมดสมัยของเยโรโบอัมแล้ว..เราจะได้เห็นความตกต่ำดำดิ่งอย่างรวดเร็วของอิสราเอล

จากนั้น บทที่ 15 พระคำภีร์ก็กลับมาที่อาณาจักรยูดาห์อีกครั้ง ในสมัยของก.อาซาริยาห์ หรืออีกชื่อก็คือ อุสซียาห์ เรื่องราวของกษัตริย์องค์นี้ในหนังสือพงศาวดารก็มีรายละเอียดชัดเจนกว่า..

ดู 2พศด.26:6-7 อาซาริยาห์หรืออุสซียาห์ครองราชย์ตั้งแต่อายุ 16 ปี แล้วก็ครองอยู่นานถึง 52 ปี..ครองนานมาก พระคำภีร์บอกว่า ในช่วงแรกนั้น อาซาริยาห์เป็นกษัตริย์ที่ดีมากๆเลย (เอาอีกละ ใช้คำว่าช่วงแรกๆอีกละ ตรงเนี้ย เด็กๆต้องเอาเป็นคิดเพื่อระวังย่างเท้าการดำเนินชีวิตของเราให้ดี) ข้อนี้ ระบุว่า เมื่ออาซาริยาห์ขึ้นมาครองยูดาห์ ตอนแรกเขาก็ดำเนินกับพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ..พระเจ้าจึงอวยพรอาซาริยาห์อย่างมากมาย ข้อที่ 6 บอกว่า “อุสซียาห์หรืออาซารียาห์รับพระพรทั้งด้านสงครามและพระราชกิจพระองค์เสด็จออกไปทำสงครามต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย..” แล้วก็ได้รับชัยชนะอย่างมากมาย จนทำให้สามารถยึดเขตแดนตามหัวเมืองกลับมาเป็นของยูดาห์ได้เยอะมาก ทำให้อาณาจักรยูดาห์ในสมัยนั้นเจริญรุ่งเรืองมากพอๆกับอิสราเอลฝ่ายเหนือที่เราเรียนไปในข้อที่แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนนี้ทั้งอิสราเอลกับยูดาห์..แข็งแรงทั้งคู่ ทำให้มีอาณาเขตกว้างใหญ่พอๆกับสมัยของก.ดาวิด นอกจากนั้น อาซาริยาห์ยังสร้างเมืองท่า ป้อมปราการตามหัวเมือง รวมทั้งสร้างอาวุธสงครามอีกมากมายหลายอย่าง แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายอามาซิยาห์ก็บาปที่ไม่น่าทำเลย..

ดู 2 พศด. 26:16-17/18 ข้อที่ 16 บอกว่า “..แต่เมื่ออุสซียาห์ทรงแข็งแรงแล้ว พระองค์ก็มีพระทัยผยองขึ้นจึงทรงกระทำความเสียหาย..” เขาทำอะไร..เขาเข้าไปในห้องบริสุทธิ์ ซึ่งจริงๆแล้วเข้าได้มั๊ย..ไม่ได้เพราะเขาไม่ใช่ปุโรหิต..ต่อให้เป็นกษัตริย์ก็เข้าไม่ได้ นี่เป็นพระบัญญัติที่พระเจ้าสั่งโมเสสไว้เป็นพันปี แต่ด้วยใจที่ผยองขึ้นเพราะชีวิตมันประสบความสำเร็จเยอะเหลือเกิน เลยทำให้อามาซิยาห์กล้าที่จะแหกกฎของพระเจ้า คงคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษเพราะพระเจ้าอวยพรเยอะ..ก็เลยบังอาจจะเข้าไปเผาเครื่องหอมถวายพระเจ้า ข้อที่ 17 บอกว่า “แต่ปุโรหิตได้เข้าไปติดตามพระองค์พร้อมกับปุโรหิตของพระเยโฮวาห์แปดสิบคน.. ปุโรหิตต้องตามกษัตริย์เข้าไปถึง 80 คน..เพื่อที่จะช่วยกันขัดขวางไม่ให้อุสซียาห์ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ข้อที่ 18 บอกว่า “ข้าแต่อุสซียาห์ มิใช่หน้าที่ของพระองค์ที่จะเผาเครื่องหอมถวายแด่พระเยโฮวาห์ แต่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตลูกหลานของอาโรน..” อันนี้ เตือนเลยนะ..ว่าไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์ ถึงจะเป็นกษัตริย์ก็เข้าไม่ได้ พระองค์ปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าโอเคแล้ว แต่จะมาเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชานี่..ไม่ใช่เรื่องแล้ว “..ขอเชิญพระองค์เสด็จออกไปจากสถานบริสุทธิ์นี้ เพราะพระองค์ได้ทรงล่วงเกิน และจะไม่ได้รับเกียรติอันใดจากพระเจ้าเลย" ปุโรหิตก็เตือนขอให้กษัตริย์รีบออกไปจากห้องบริสุทธิ์ แต่อุสซียาห์ไม่ฟัง เนี่ย ! มนุษย์ เมื่อไหร่ที่มีความสำเร็จเยอะๆ ก็มักจะเป็นอย่างนี้ คือ ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น (ขออภัยที่หยาบคายไปนิดแต่คำนี้มันอธิบายได้ชัดเจนสุด) ดังนั้น..หลายครั้งที่พระเจ้าไม่ประทานบางอย่างให้ตามที่เราขอ..ไม่ใช่เพราะพระองค์ให้ไม่ได้หรือไม่พร้อม เด็กๆจำไว้ว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์และพร้อมเสมอ แต่เราเองต่างหากที่ยังไม่พร้อมจะได้สิ่งนั้น

ดู 2 พศด. 26:19-20 “..และเมื่อพระองค์ทรงกริ้วต่อพวกปุโรหิต โรคเรื้อนก็เกิดขึ้นมาที่พระนลาฏต่อหน้าปุโรหิตในพระนิเวศของพระเจ้า” ..เข้ามาทีแรกก็ยังไม่เป็น ทั้งๆที่ก็ผิดกฎแล้ว แล้วถ้าปุโรหิตเตือนแล้วอุสซียาห์ฟังนะ..เขาก็ไม่ต้องเป็นโรคเรื้อน..แต่อุสซียาห์ไม่ฟัง ดังนั้น พอเขาโกรธปุโรหิตปุ๊บ!โรคเรื้อนขึ้นมาทันที ที่ไหน..หน้าผาก ( คือ..ซ่อนไม่ได้เลยเหมือนถูกตราหน้าไว้) พระเจ้าตีสอนอุสซียาห์ทันทีที่เขาไม่ฟังคำเตือนแถมยังโกรธคนของพระเจ้า เพราะปุโรหิตคือตัวแทนของพระเจ้าแล้วสิ่งที่เขาพูด..เขาก็พูดตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเราโกรธปุโรหิตหรือโกรธผู้รับใช้ ก็เท่ากับ เราโกรธพระเจ้า ข้อที่ 20 บอกต่อไปว่า “ และเขาทั้งหลายก็ผลักพระองค์ออกไปจากที่นั่น และพระองค์เองก็ทรงรีบเสด็จออกไป เพราะว่าพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษพระองค์แล้ว ..พอปุโรหิตเห็นโรคเรื้อนขึ้นที่หน้าผากของอุสซียาห์ปุ๊บ ! ผลักเลย..ไม่เกรงใจแล้วเพราะถ้าขืนปล่อยให้อยู่อย่างงั้น..อาจตายได้ จากนั้น ข้อที่ 21 บอกว่า “โยธามโอรสของพระองค์เป็นผู้ดูแลราชสำนักปกครองประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นคือ อุสซียาห์ยังไม่ตายแต่เป็นโรคเรื้อนเลยต้องอยู่แยกออกไปไม่สามารถที่จะออกมาว่าราชการได้อีก ลูกของเขาคือโยธามก็เลยขึ้นครองแทนพ่อ แล้วอุสซียาห์ก็เป็นโรคเรื้อนไปจนวันตาย เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนสำหรับเรา ในเวลาที่พบความสำเร็จหรือพระเจ้าอวยพรเยอะๆก็อย่างเหลิงหรือมีใจที่เย่อหยิ่งผยองขึ้นเหมือนอุสซียาห์ ให้ท่องอยู่เสมอว่ามันไม่ใช่เราที่เก่งหรือสามารถแต่ความสำเร็จทุกอย่างล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้นพระเจ้าให้อยู่ตรงไหน..มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป อย่าไปอยากทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของเราเพราะมันจะเกิดปัญหาแล้วจบไม่สวยเหมือนก.อาซาริยาห์หรืออุสซียาห์นี้

กลับมาที่ 2 พกษ.15:8-9 ข้อมะกี๊เป็นเรื่องของยูดาห์นะคะ ตอนนี้กลับมาที่อิสราเอล (เด็กๆต้องตามเรื่องกลับไปมาให้ทันนิดนึงนะคะ) หลังจากเยโรโบอัมที่ 2 สิ้นพระชนม์ เศคาริยาห์โอรสของเยโรโบอัมขึ้นครองเหนืออิสราเอลแทนพ่อ แต่เศคาริยาห์ครองอิสราเอลสั้นมาก คือ แค่ 6 เดือนก็ถูกฆ่าตาย แล้วเขาก็เป็นรัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์เยฮูที่พระเจ้าบอกไว้..ว่าจะให้ครองแค่ 4 ชั่วอายุคนเท่านั้น ดังนั้น พอเศคาริยาห์ตายก็เป็นอันจบราชวงศ์ของเยฮู แล้วก็จบอย่างรวดเร็ว..สถานการณ์พลิกผันเร็วมากทั้งที่สมัยของเยโรโบอัมที่ 2 นั้นรุ่งเรืองสุดๆ แต่ด้วยความบาปผิดของคนอิสราเอลที่เอาเปรียบคนจนที่เป็นพี่น้องกันเอง..ไม่ฟังคำเตือนของพระเจ้า ทั้งที่พระองค์เตือนหลายครั้ง..ส่งทั้งอาโมสและโฮเชยามาเตือนแต่อิสราเอลก็ไม่ฟัง..ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ มาวันนี้ อิสราเอลกำลังจะถูกพระเจ้าพิพากษา ข้อที่ 10 บอกว่า “..เศคาริยาห์ครองแค่ 6 เดือน ชัลลูมก็กบฎและฆ่าเศคาริยาห์ตาย “ จากนั้น ชัลลูมเองก็ครองได้แค่ เดือนเดียว ก็ถูก ”เมนาเฮม” ฆ่าตาย แล้วในสมัยของเมนาเฮมนี้ก็เริ่มมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้น

ดู 2 พกษ.15:19-20 พระคำภีร์เริ่มกล่าวถึงประเทศ”อัสซีเรีย” ซึ่งแต่เดิมคู่ปรับของอิสราเอลคือ ซีเรีย แต่ตอนนี้ซีเรียถูกอัสซีเรียกลืนไปแล้ว มหาอำนาจที่น่ากลัวในเวลานั้นไม่ใช่ซีเรียอีกต่อไป แต่เป็นอัสซีเรียนี่แหละซึ่งต่อไปจะทำให้อิสราเอลฝ่ายเหนือล่มสลายไปเลย ข้อที่ 19 บอกว่า “ปูล” กษัตริย์ของอัสซีเรียได้ยกทัพมากดดันอิสราเอล เพราะซีเรียก็ถูกอัสซีเรียกลืนไปแล้ว ดังนั้น ประเทศต่อไปที่อัสซีเรียจะเข้ายึดครองก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอิสราเอล เพราะอาณาเขตติดกัน กษัตริย์เมนาเฮมเลยต้องถวายบรรณาการต่ออัสซีเรียเป็นเงิน 1000 ตะลันต์..ซึ่งเยอะมาก เพื่อที่อัสซีเรียจะได้ไม่โจมตีอิสราเอล เพราะอิสราเอลสู้ไม่ได้อยู่แล้วกระดูกคนละเบอร์ แค่ซีเรียอิสราเอลยังสู้ไม่ได้เลย..ที่บางครั้งชนะก็เพราะพระเจ้าช่วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลในตอนนี้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่จะตีสอนพวกเขา เพราะงั้น ยังไงอิสราเอลก็ไม่รอด จากนั้น เมนาเฮมครอบครองอิสราเอลอยู่ 10 ปีก็สวรรคต เสร็จแล้วลูกชายชื่อเปคาหิยาห์ก็ขึ้นครองแทน ข้อที่ 25 บอกว่า เปคาหิยาห์ครองราชย์ได้ 2 ปี ก็ถูกแม่ทัพชื่อ “เปคาห์” กบฎแล้วก็ชิงบัลลังก์ไป คือ ตรงนี้เราเห็นภาพอะไร เราจำเรื่องราวของกษัตริย์ทุกองค์ไม่ได้..ไม่เป็นไร เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น แต่ภาพรวมที่เราเห็นก็คือ อิสราเอลฝ่ายเหนือขาดเสถียรภาพอย่างสิ้นเชิง ประเทศหาความมั่นคงไม่ได้เลย คนนึงขึ้นครองไม่ทันไรก็ถูกอีกคนฆ่าโค่นล้มแย่งชิงบัลลังก์กันอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่เด็กๆต้องเห็น ก็คือ ที่อิสราเอลเป็นอย่างงี้ก็เพราะไม่เชื่อฟัง ที่พระเจ้าเตือน..ไม่สำนึก...ไม่กลับใจ แล้วเดี๋ยวเราจะได้เห็นกันว่าโทษของความไม่เชื่อฟังมันน่ากลัวขนาดไหน

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ