วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนังสืออพยพ ครั้งที่ 2


เราจบลงตรงช่วงชีวิตที่พลิกผันที่สุดของโมเสส  เมื่อเขาฆ่าคนอียิป์ตาย  ชีวิตก็พลิกผันไปในชั่วข้ามคืนจากเจ้าชายอียิปต์..กลายเป็นคนเร่ร่อนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง  แต่เราจะเห็นบทสรุปของพระเจ้าว่า.. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโมเสสครั้งนี้ ดียอดเยี่ยมจริงๆ”  เพราะจุดพลิกผันนี้มันเต็มไปด้วยพระประสงค์ของพระเจ้า     ...ต้องหนีใช่มั้ย..โมเสสเลยได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร..เพราะพระเจ้าเลือกแล้ว..ว่าจะใช้โมเสสให้เป็นคนปลดปล่อยและก็นำยิวหรืออิสราเอลกลับบ้าน..ไปอยู่แผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าเตรียมไว้    แม้ว่าตอนนั้นโมเสสจะไม่รู้ว่าเรื่องแย่ๆเหล่านี้ทำไมต้องเกิดขึ้น..เหมือนพวกเราที่ไม่เข้าใจ..ว่า  หลายครั้งทำไมเรื่องแย่ๆ มันต้องเกิดขึ้นกับเรา  แต่..อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้าไม่รัก..ทุกอย่างจะต้องแย่อยู่อย่างนั้น..ตามสิ่งที่ตามองเห็น..ไม่จริง พระเจ้ามีแผนที่จะใช้ทุกสถานการณ์ที่แย่ๆของเรา..เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เกิดผลดีกับชีวิตเรา.แน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย.2:16-18 /19-21  มาถึงเรื่องราวในแผ่นดินมีเดียน  “มีเดียน” เป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างถิ่นทุรกันดารซีนายกับทะเลทรายอาระเบีย..ฟังดูก็รู้ว่าต้องเป็นดินแดนที่แห้งแล้งมาก  ข้อนี้บอกว่า ปุโรหิตคนมีเดียนมีลูกสาว 7 คน  ปุโรหิตคนนี้คือ เรอูเอลหรือ มีอีกชื่อก็คือ เยโธร”   ในขณะที่โมเสสนั่งอยู่ริมบ่อน้ำ..ลูกๆของเรอูเอลก็มาตักน้ำที่บ่อเพื่อไปเลี้ยงแกะ..และถูกคนเลี้ยงแกะเจ้าอื่น..รังแก  คือ บ่อน้ำตามถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้นจะเป็นของมีค่ามากที่ทุกคนแย่งชิงกัน   เพราะถ้าไม่มีน้ำจะทำอะไรไม่ได้เลยปลูกพืชก็ไม่ได้..เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ รวมถึงมนุษย์จะมีชีวิตอิยู่ก็ไม่ได้ด้วย..ถ้าขาดน้ำ    แล้วทุกวันนี้ ก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..บางประเทศแถบตะวันออกกลางและอาฟริกาที่พื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งหรือเป็นทะเลทรายก็ยังคงขาดแคลนน้ำอยู่..ยังใช้การไปตักน้ำจากบ่อเหมือนในพระคำภีร์อยู่   เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ถ้าตื่นขึ้น..เปิดก๊อกปุ๊บ ! น้ำไหลปั๊บ ก็จงก้มศีรษะลงน้อมรำลึกโมทนาพระคุณพระเจ้าบ้างที่ประทานความสุขสบายให้เรานะคะ  แค่นี้มันก็อัศจรรย์มากแล้ว..มันไม่ใช่เรื่องชิลด์ ๆ   ลองดูถ้าวันไหน น้ำไม่ไหล..เดือดร้อนมั้ยคะ..เดือดร้อนมาก ยิ่งกว่าไม่มีไฟอีก   แล้วอย่าคิดว่า..มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่มีน้ำ..ไม่มีไฟใช้..มันเป็นไปได้แน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือยุคสุดท้ายที่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้   แต่น้าตุ๊กไม่ได้จะพูดให้เรากลัว   แต่พูดเพื่อให้เด็กๆเอาใจติดยึดกับพระเจ้าให้มากขึ้นกว่าเดิม เอเมนมั้ย       เรามาดูพระคำหนุนใจสำหรับเรื่องนี้กันนืดนึง  เปิดไป..
ดู สดุดี 91:1-4 / 5-8  “พระเจ้าจะทรงช่วยท่านให้พ้นจากกับของพรานนกและจากโรคภัยอย่างร้ายแรงนั้น..”   เราจะเห็นว่าทุกวันนี้มันมีการล่อลวงมากมาย..ในการที่จะทำให้คนของพระเจ้าทำบาปหรือหลงไปจากทางของพระองค์  แต่พระองค์บอกว่า..พระองค์จะทรงปกเราไว้ด้วยปีกของพระองค์   เราจะวางใจอยู่ใต้ปีกของพระองค์   และ..เราจะไม่ถูกล่อลวงให้หลงไปจากทางของพระเจ้า...(ถ้า เราติดสนิทและยึดพระองค์ไว้ตลอดเวลา..ย้ำ ตลอดเวลา)    ข้อที่ 5 บอกว่า “ท่านจะไม่กลัวความสยดสยองในกลางคืน หรือกลัวลูกธนูที่ปลิวไปในกลางวัน”  .....สมัยนี้อาจจะไม่มีแล้วลูกธนู  มีแต่ เอ็ม 79  หรือ อาร์ พี จี..ใช่มะ..ที่วันดี คืนดี เราก็จะได้ยินข่าวของการยิงถล่มกันเป็นว่าเล่น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอาวุธร้ายแรง..ภัยพิบัติแผ่นดินไหวอะไรต่างๆ  เราก็ไม่ต้องกลัวเพราะสิ่งเหล่านี้พระเจ้าก็เป็นผู้ควบคุมอยู่   ข้อที่ 6 บอกว่า  “หรือโรคภัยที่ไล่มาในความมืด หรือความพินาศที่เกิดความหายนะในเที่ยงวัน พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น ...”  ...ไม่ว่าจะเป็นภัยร้ายในรูปแบบไหน  ก็แตะต้องจิตวิญญาณของเราไม่ได้  คำว่า “พันคนจะล้มอยู่ข้างเรา หมื่นคนที่มือขวาของเรา  แต่เราจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..ยังมีความหมายอีกด้วยว่า  ไม่ว่าข่าวสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ดูแล้วน่าตกใจขนาดไหน..เรามองแล้วก็จะเฉยๆ  คือ มองแค่ตา..มันแตะต้องใจเรา..ไม่ได้ ภัยเหล่านั้นจะทำให้เรากลัวไม่ได้เลย   เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมและพระองค์สัญญาว่าเราจะปลอดภัย  ไม่ว่าจะตายหรือมีชีวิต..จิตวิญญาณของเราปลอดภัยแน่นอน    เอเมน)
กลับมาที่ หนังสืออพยพ ข้อที่ 17 บอกว่า โมเสสได้ช่วยลูกๆของเยโธรไม่ให้ถูกรังแก คงจะมีการต่อสู้กัน..ซึ่งคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆคงไม่มีทางสู้โมเสสได้  เพราะอย่าลืมว่าโมเสสโตขึ้นมาในวัง  และได้รับการฝึกฝนเรียนรู้..ศิลปะการต่อสู้มาเป็นอย่างดี  ดังนั้น ก็คงจะเอาชนะคนเลี้ยงแกะหลายคนได้อย่างสบายๆ  (เหมือนพระเอกในหนังเลยเนอะ)   เพราะงั้น เมื่อชนะก็ได้ครอบครองบ่อน้ำซึ่งถือว่ามีค่ามาก..บ่อน้ำคือชีวิต  ดังนั้น ข้อต่อไปเราจะเห็นว่าสุดท้ายเยโธรก็ยกลูกสาวให้แต่งงานกับโมเสสคนนึง คือ นางศิโปราห์”  แล้วทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกัน  ชีวิตในถิ่นทุรกันดารของโมเสสก็เริ่มต้นขึ้นในจุดนั้น 
ดู อพย.2:23-25  เสียงร้องคร่ำครวญถึงความทุกข์ยากของคนยิวดังฟ้องขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงดับฟังเสียงคร่ำครวญของเขา และทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ  หมายความว่า พระเจ้าทรงตรัสถึงการนำชนชาติอิสราเอลกลับมาที่แผ่นดินคานาอันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  เปิดไป..
ดู ปฐก.15:13-16  จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินที่ไม่ใช่ของพวกเขาและจะรับใช้พวกนั้น พวกนั้นจะกดขี่ข่มเหงพวกเขาสี่ร้อยปี..(ก็คือ ในประเทศอียิปต์) ...เราจะพิพากษาประเทศนั้นและต่อมาพวกเขาจะออกมาพร้อมกับทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก... ในชั่วอายุที่สี่พวกเขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”....ข้อนี้ พระเจ้ากำลังตรัสกับอับราฮัมเมื่อครั้งที่เขาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินคานาอัน  น้าตุ๊ก คาดว่าราว 800 กว่าปีก่อนหน้าสมัยโมเสสนี้  หมายความว่า แม้เวลาจะผ่านไปกี่ร้อย..กี่พันปี  พระเจ้าไม่เคยลืมพระสัญญาของพระองค์  พระองค์ไม่เคยพลาด..ไม่เคยลืมว่าพระองค์พูดอะไรไว้มั่ง  และทุกสิ่งที่พระเจ้าพูดไว้ในพระคัมภีร์มันต้องเกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน   ดังนั้น ที่พระองค์ยืนยันว่าเราจะได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระองค์นิรันดรกาลมันก็ต้องเป็นจริงด้วย เอเมน  และอีกแง่นึง พระสัญญาข้อนี้ที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัม..นานแค่ไหน  กว่าจะเป็นจริง..เกือบพันปี  ดังนั้น จงตระหนักไว้ว่า”การช่วยกู้ของพระเจ้า  อาจจะไม่ได้มาในเวลาที่ทันใจเราเสมอไป  แต่พระองค์ไม่เคยสาย..โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา..ไม่ต้องรอเป็นพันปีหรอก  เรื่องเล็กๆอย่างงี้รอแปบนึง พระเจ้ามาทันเวลาแน่นอน  เอเมนมั้ยคะ
ดู อพย. 3:1-4   “ฝ่ายโมเสสที่กำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะ..ได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ (ซึ่งมีอีกชื่อ ว่า ภ.ซีนาย)   จากเจ้าชายอียิปต์..มากลายเป็นคนเลี้ยงแกะ  เรื่องอย่างงี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ น้าตุ๊กว่า คิดภาพไม่ออกหรอก..ว่ามันจะรู้สึกรันทดขนาดไหน  แต่ในความรันทดที่พระเจ้าหยิบยื่นให้..สิ่งนึงที่จะเกิดขึ้น คือ  “ความถ่อมใจ”  จุดนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้พร้อมกับงานรับใช้  เพราะความทุกข์ยากและปัญหาเป็นเครื่องมือเดียวที่จะสามารถขัดเกลาให้เราเข้มแข็งได้  ความสุขสบายมีแต่จะทำให้คนเสียนิสัย ขี้เกียจ เหยียดยาว เคยชินกับอะไรๆที่มันได้ดั่งใจตลอดเวลา  จริงมะ ดังนั้น เด็กๆจำไว้ว่าภาวะที่เป็นอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ..ไม่ใช่เวลาที่เรามีความทุกข์หรือปัญหา  แต่เป็นเวลาที่ทุกอย่างมันได้ดั่งใจไปหมด..ต่างหาก..ที่เราต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ      และ ตอนนี้ พระเจ้ากำลังเตรียมโมเสสให้กล้าหาญและเข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฟาโรห์..และพร้อมจะเป็นผู้นำคนจำนวนมากในการใช้ชีวิตผ่านถิ่นทุรกันดาร..แต่ตอนนั้นโมเสสยังไม่รู้..   ข้อที่ 2 บอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระเจ้าปรากฎแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่กลางพุ่มไม้  โมเสสเลยแวะเข้าไปดูเพราะคิดว่า..ทำไมต้นไม้ที่มีไฟลุกขนาดนี้มันถึงไม่ไหม้  และเมื่อเดินเข้าไปพระเจ้าก็ตรัสเรียกเขาว่า “โมเสส โมเสส  แล้วโมเสสก็ตอบว่า ข้าพระองค์อยู่นี่” 
ดู อพย. 3:5-6  เมื่อโมเสสขานตอบพระเจ้าแล้ว “พระองค์ทรงบัญชาให้โมเสส”ถอดรองเท้าออก” ..ที่ตรงนั้นเป็นที่บริสุทธิ์..ทำไมถึงบริสุทธิ์เพราะขณะนั้นพระเจ้าทรงสถิตอยู่   ดังนั้น ที่ๆพระเจ้าทรงสถิตอยู่เราต้องให้ความเคารพยำเกรง    ทุกวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ที่ไหน  อยู่ในใจเรา  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงสถิตอยู่ในขณะที่เรานมัสการพระองค์ด้วย  แล้วส่วนใหญ่เรานมัสการพระเจ้าที่ไหน..ที่โบสถ์   เพราะฉะนั้น คิดเอาเองละกัน..ว่าขณะที่เรามาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าเนี่ย..เรามาด้วยท่าทีแบบไหน..แล้วก็แต่งตัวยังไง   คิดว่ามาหาเพื่อนหรือมาหาพระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  มาแบบชิลด์ๆหลับๆตื่นๆ นุ่งขาสั้น..รองเท้าแตะ  นั่งนมัสการก็ไขว่ห้าง  ล้วงกระเป๋า  หรือเราก้มศรีษะลงด้วยใจถ่อม  อะไรต่างๆเหล่านี้มันจะสำแดงให้เห็นถึงท่าทีในใจ..ว่าเราโฟกัสที่พระเจ้าแค่ไหน  (พวกเราโตแล้ว พูดหลายครั้งแล้ว  ถ้าโตไปกว่านี้ก็จะไม่มีใครเตือนแล้ว  แล้วท่าทีที่ไม่น่าดูต่างๆเหล่านี้ มันก็จะติดตัวเรากลายเป็นหนังสืออะไรไม่รู้..ซึ่งไม่ใช่หนังสือของพระคริสต์)  
ข้อที่ 6 บอกว่า  ”....เมื่อพระเจ้าเรียก..โมเสสขานรับทันที   และพระองค์ก็บอกโมเสสว่า  “ เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” ...ที่พระเจ้าแนะนำพระองค์เองอย่างนั้น  หมายความว่าโมเสสต้องรู้จักพระองค์  โมเสสต้องรู้จักพระเจ้าของบรรพบุรุษตัวเอง   น้าตุ๊กเชื่อว่า นางโยเคเบด (แม่แท้ๆของโมเสส)..ต้องสอนโมเสสตั้งแต่เล็กให้รู้จักพระเจ้า  เพราะงั้น นี่คือ บทเรียนสำหรับเรา  ต่อไปเด็กๆมีครอบครัวสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสอนให้ลูกหลานของเรารู้จักพระเจ้า..สอนให้พวกเขาติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เมื่อโตขึ้น..เขาจะไวต่อเสียงเรียก..เสียงเตือนของพระองค์  ไม่ใช่พระเจ้าเตือนแล้ว..เตือนอีก ก็ยังไม่ได้ยิน แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือน้ำพระทัย..อันไหนไม่ใช่ อันนี้ ก็ฝากไว้ด้วย  เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัวจนเกินไป  
ดู อพย.3:9-11 บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว  เพราะฉะนั้น จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์   เพื่อนำชนชาติอิสราเอล ออกจากอียิปต์" พอพระเจ้าตรัสอย่างนั้น..โมเสสว่าไง  “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า ซึ่งข้าพระองค์จะไปเฝ้าฟาโรห์และจะสามารถพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ได้”...น้าตุ๊กว่า โมเสสต้องตกใจอย่างแรง  ปฏิเสธพระเจ้าแทบไม่ทัน   
แล้ว..ถ้าพระเจ้าพูดกะเราอย่างนี้  เราจะตอบว่าไร..เลยพระองค์เจ้าข้าเชิญใช้มาเลย  ลูกจะทำตาม..รึเปล่า   ไม่หรอกน้าตุ๊กว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนโมเสสนี่แหละ   ข้อที่ 12 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และนี่จะเป็นหมายสำคัญ คือ ให้เจ้ารู้ว่า เจ้าทั้งหลายจะมาปรนนิบัติพระเจ้าบนภูเขานี้" ....พระเจ้าอุตส่าห์ยืนยันว่าพระองค์จะอยู่ด้วยตลอดเวลา  เพราะงั้น โมเสสไม่ต้องกลัว  แล้วพระองค์ก็ยืนยันล่วงหน้าด้วย..เชื่อเถอะ..ว่าเจ้ากับคนอิสราเอลทั้งหมดจะได้มานมัสการพระองค์ที่ภูเขานี้ คือ ซีนายหรือโฮเรบที่โมเสสกำลังคุยกับพระองค์อยู่ตอนนี้   คือ พูดง่ายๆว่าพระเจ้าบอกผลลัพธ์ล่วงหน้าเลย..ว่าโมเสสจะทำได้สำเร็จ  เพราะพระองค์จะอยู่ด้วย  แต่ถึงอย่างงั้น โมเสสก็ไม่ฟัง ..ยังมีข้ออ้าง
ดู อพย. 3:13-14  เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า `พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน และเขาจะพูดกับข้าพเจ้าว่า `พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร ข้าพระองค์จะกล่าวแก่เขาอย่างไร" ขนาดพระเจ้ายืนยันว่าโมเสสจะชนะเพราะพระองค์ทรงอยู่ด้วย..โมเสสก็ยังมีข้ออ้าง   เพราะคนอิยิปต์จะมีพระมากมาย  แล้วมนุษย์ก็ตั้งชื่อกันไปตามใจชอบ   เพราะงั้น ถ้าคนอิสราเอลถามว่าพระเจ้าที่ใช้โมเสสมามีชื่อว่าอะไร..โมเสสจะตอบพวกเขายัง     ข้อที่ 14  “พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" .....ความหมาย คือ เราก็เป็นเรานี่แหละ..ไม่ต้องมาตั้งชื่อให้  และคำว่า “ยาเวห์” ในภาษาฮีบรู ก็แปลว่า “เราเป็น”  เพราะงั้น รู้ไว้แค่นี้..พระเจ้า คือ พระเจ้า พระองค์ใหญ่จริงและไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือโปรโมทอะไรมากมาย  แต่มนุษย์ชอบมากที่จะใส่คาแร็คเตอร์ให้พระต่างๆตามจินตนาการและความพอใจของตัวเอง เช่น อยากได้ลูก..อยากอายุยืน..อยากรวย..อยากนู้น..อยากนี้ ก็ไปแต่งตั้งพระต่างๆขึ้นมา..เสร็จก็เรียกชื่อใส่คุณสมบัติตามที่ตัวเองต้องการ..แล้วก็เอามากราบไหว้บูชา   ดังนั้น พระเหล่านั้น..ล้วนแล้วแต่เป็นพระที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่พระเจ้า..ไม่ใช่  พระองค์คือผู้สร้าง..ไม่ใช่พระที่มนุษย์จะมาอุปโลกหรือกำหนดให้เป็นอะไร..ไปตามใจชอบ  พระองค์คือผู้ควบคุม..ไม่ใช่มนุษย์ พอเห็นภาพมั้ยคะ 
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ อพยพ ครั้งที่ 1

 ดู อพยพ 1:1-5  เด็กๆควรจะจำได้ว่าเรื่องนี้มันต่อจากหนังสือ”ปฐมกาล”  เรื่องราวของโยเซฟที่ถูกพี่ๆขายไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์  แต่สุดท้ายโยเซฟก็กลับได้ดีเป็นถึงอุปราช    เรื่องของโยเซฟก็เป็นความอัศจรรย์มาก  ถึงจะถูกขายไปเป็นทาส ถูกกลั่นแกล้งสารพัด แต่ อยู่ไปอยู่มาโยเซฟก็ได้เป็นใหญ่  จนในที่สุดเขาก็เอาพี่น้องเขาไปอยู่ด้วย..อย่างสุขสบายในประเทศอียิปต์  ตามที่หนังสืออพยพบันทึกไว้ในข้อนี้    คือ  รูเบน สิเมโอน เลวี และ ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน และ เบนยามิน ดาน และนัฟทาลี กาดและอาเชอร์  รวมโยเซฟด้วย ก็คือ 12 เผ่าของอิสราเอลที่เป็นลูกของ “ยาโคป”  หรือ อิสราเอล นั่นเอง   ข้อที่ 5 บอก “คนทั้งปวงที่เป็นเชื้อสายของยาโคบ..หมายถึงที่อพยพไปอยู่กับโยเซฟในประเทศอียิปต์ขณะนั้น..รวมทั้งสิ้นมีเจ็ดสิบคน” ....แต่เดี๋ยวเราจะเห็นว่า ตอนที่โมเสสพาคนอิสราเอลอพยพออกมา   พวกเขาน่าจะมีมากกว่าล้านคน 
ดู อพยพ 1:7-11  ข้อที่ 7 บอกว่า “ฝ่ายเชื้อสายของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น”...บางฉบับใช้คำว่า “ทวีเป็นประเทศ”  ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ายิวหรือคนอิสราเอล..มันเพิ่มจำนวนขึ้นเร็วและจริง ตรงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ปฐมกาล( 17:2 ) ว่า “...เราจะทวีพงศ์พันธ์ของเจ้าให้มากขึ้นอย่างยิ่ง”  และถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นจริงอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพราะไม่ว่าจะถูกพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์หลายต่อหลายครั้ง..ยิวสูญพันธ์ไปจากโลกมั้ย  ไม่เลย..ทุกวันนี้ยังลอยหน้าอยู่เต็มไปหมด..และก็อยู่ทั่วทุกมุมโลกด้วย   ดังนั้น ตลอดระยะเวลาประมาณ 400 ปี..นับจากที่โยเซฟพาพี่น้องของตัวเข้าไปอยู่ในอียิปต์จนถึงสมัยอพยพ   ยิวที่อยู่ในอียิปต์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลอย่างรวดเร็ว..จนแทบจะเป็นคนส่วนใหญ่ของอียิปต์แล้วก็ว่าได้..ในเวลานั้น   ข้อที่ 8 บอกว่า  “บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ ซึ่งมิได้รู้จักกับโยเซฟ”...เพราะมันคนละสมัยแล้ว  เขาจึงๆไม่รู้สึกปลื้มกับพวกยิวที่เป็นวงศ์วานของโยเซฟแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ..กษัตริย์องค์นี้รู้สึกระแวงด้วย  เพราะคนยิวหรือฮีบรูมันเพิ่มมากขึ้นเยอะเหลือเกิน..จนเต็มแคว้นโกเชนไปหมด  แล้วแคว้นโกเชนนี้ก็ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไนล์ขึ้นไปทางตอนเหนือ..นั่นหมายความว่ามันอยู่ติดกับชายแดนทางเหนือที่ห่างหูห่างตา..ความระแวงก็เลยเกิดขึ้น..  กษัตริย์ก็กังวลว่าถ้าศัตรูบุกมาทางชายแดนแถบนั้นเกิด ยิวไปร่วมมือกับศัตรู  พูดง่ายๆคิดกบฏต่ออียิปต์.. ฟาโรห์ก็อาจจะแพ้และต้องถูกชิงบัลลังก์ไป    เพราะฉะนั้น ตัดปัญหาซะ  ด้วยการกดขี่ยิวหรือฮีบรูไว้..ไม่ให้มีเวลาลืมตาอ้าปาก  ด้วยการให้ไปเป็นทาส  ข้อที่ 11 บอกว่า “เหตุฉะนั้น เขาจึงตั้งนายงานให้เบียดเบียนคนอิสราเอลด้วยงานตรากตรำ  ให้ไปสร้างเมืองเก็บสมบัติของฟาโรห์ คือเมืองปิธม และเมืองราอัมเสส”   
ดู อพยพ 1:12-16   แต่ยิ่งเบียดเบียนคนอิสราเอล  ก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ทุกข์ใจเนื่องด้วยชนชาติอิสราเอล”  ...คนอียิปต์กลุ้มใจกันมากเลย คนยิว มันจัครองประเทศแล้ว  ...เหมือนคริสเตียน  ยิ่งถูกข่มเหง..ถูกล้างผลาญ ก็ยิ่ง “มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน”  (แต่เราเป็นคริสเตียน..อย่าไปทำให้ใครเขากลุ้มใจนะคะ) จากสาวก 12 คน ผ่านไป 2 พันปี  เดี๋ยวนี้มีคนเชื่อพระเยซูมากกว่า 2 พันล้าน   นั่นหมายความว่า “ความทุกข์ยากลำบากและการถูกเบียดเบียน” มันฆ่าเราได้มั้ย..ไม่ได้  มันคือ เครื่องมืออันนึงที่จะฝึกฝนขัดเกลาให้เราเข้มแข็งและอยู่รอดมากขึ้นกว่าเดิม   เหมือนภาษิตอันหนึ่งที่กล่าวไว้ ว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าฉัน  จะทำให้ฉันเข้มแข็งกว่าเดิม”..อันนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง   ดังนั้น น้าตุ๊กเสียใจจริงๆที่ต้องบอกว่า”ความทุกข์ยากและปัญหามันจำเป็นมาก..สำหรับมนุษย์”  เพราะนั่น คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเติบโต..ฉลาด  และเข้มแข็ง  ข้อที่ 13 บอกว่า “..ชาวอียิปต์จึงบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา  เรียกว่างานหนักทุกชนิด..คนอียิปต์เหมาให้คนอิสราเอลทำหมดเลย   แค่นั้นยังไม่พอ  ฟาโรห์ยังสั่งให้หมอตำแย..ฆ่าเด็กชายชาวฮีบรูทุกคน  คือ พอคลอดออกมาถ้าเป็นผู้หญิงก็ปล่อยไป  แต่ถ้าเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้งเลย  เพราะสมัยก่อนเขาไม่นับผู้หญิง..เหมือนผู้หญิงมีค่าเท่ากับศูนย์  (เรื่องราวจะคล้ายๆที่เฮโรดสั่งฆ่าเด็กผู้ชาย ทุกคน  สมัยที่พระเยซูคริสต์เกิด เรื่องราวมันจะเป็นเหมือนภาพซ้อนๆกัน)   ข้อที่ 17 บอกว่า “แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามที่กษัตริย์อียิปต์สั่ง แต่ปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต” ...เห็นมั้ยคะ เหมือนไม่มีทางรอด..แต่ก็รอด  ถ้าเราเป็นของพระเจ้าไม่มีใครแตะต้องเราได้   และพระคำข้อนี้ สอนเราจริงๆ หมอทำคลอดสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งและยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เขาถึง “กล้า”..ที่จะขัดคำสั่งฟาโรห์    ข้อที่ 18  บอกว่า “..เมื่อกษัตริย์ถามนางผดุงครรภ์ว่า เหตุไฉนเจ้าจึงปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต”...นางผดุงครรภ์ตอบว่าไง  “เขามาไม่ทันเพราะหญิงฮีบรูคลอดง่าย..ไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว   คลอดก่อนเขาจะมาถึงทุกที”..เออ เอาสิ แบบนี้ฟาโรห์ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน    แค่ด้วยความต้องการที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือคุมกำเนิดพวกยิวให้ได้..สุดท้าย ฟาโรห์เลยสั่งให้เอาเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนไปทิ้งที่แม่น้ำ    
ดู อพยพ 2:1-5  “มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง  ซึ่งจริงๆคือ “โยเคเบด” กับ “อัมราม” พ่อแม่ของโมเสสนั่นเอง  เป็นชาวเลวี..ก็หมายถึงเป็นชาวยิวหรือฮีบรู  เพราะเลวี คือ ลูกคนหนึ่งของยาโคป..เป็นเผ่าหนึ่งของอิสราเอล  ข้อนี้ บอกว่า “ฝ่ายภรรยาได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเมื่อนางเห็นว่าทารกเป็นเด็กที่มีรูปงาม นางจึงซ่อนทารกไว้ถึงสามเดือน”....จริงๆก็ลูกอ่ะนะ  จะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็ฆ่าไม่ลง   หลังจากซ่อนลูกชายไว้นานถึงสามเดือน..ก็คิดว่าซ่อนต่อไปอีกไม่ได้   ก็เลยสานตะกร้ายาด้วยชันกับยางมะตอยอย่างดี..อันนี้ ต้องเรียกว่า ทำเรือลำเล็กๆดีกว่า  เพราะเรือที่แล่นตาม น.ไนล์ ในอียิปต์สมัยนั้นก็ทำด้วยวัสดุเดียวกันนี้..ไม่รั่ว ไม่ซึม น้ำเข้าไม่ได้  เสร็จก็เอาไปวางที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์   ที่ไปวางตรงกอปรือก็เพราะกอปรือมันจะสูงได้ถึง 16 ฟุต และสามารที่จะพรางตาและปกป้องตะกร้าไม่ให้ลอยไปตามน้ำเวลาที่มีเรือแล่นมา   ข้อที่ 4 บอกว่า “ส่วนพี่สาว ..ซึ่งก็คือ “มีเรียม” นั่นเอง  ก็คอยแอบมองอยู่ไกลๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง  
ดู อยพ. 2:5-8  ข้อที่ 5 บอกว่า “เมื่อธิดาฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ  ก็มองเห็นตะกร้าที่ต้องบอกว่า ”นางโยเคเบดเอาไปเสียบไว้ตรงกอปรือ”..ธิดาฟาโรห์ จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบมา”...น้าตุ๊กว่า อันนี้ไม่บังเอิญ  แม่ของโมเสสคงต้องรู้ว่า ธิดาฟาโรห์จะลงมาอาบน้ำที่ตรงนั่นเป็นประจำ และ เวลาประมาณนั้นด้วย  ถึงได้เอาลูกไปวางไว้ น่าจะตั้งใจให้เขาเห็นนะ   แล้วก็ได้ผลจริง เพราะเมื่อเปิดตะกร้าเจอเด็กน้อยน่ารัก  ลองคิดดู..ถ้าเป็นเราล่ะ  จะเอาไปเลี้ยงมั้ย..ในขณะที่ถ้าเรามีกำลังทุกอย่างพร้อมเหมือนเจ้าหญิงองค์นี้..เราก็คงจะทำอย่างเดียวกัน   
แต่ความจริง ก็คือ การที่จะให้หรือช่วยเหลือใครสักคน   เราไม่ควรรีรอหรืออยู่บนข้อจำกัดว่า “เดี๋ยวรอให้รวยกว่านี้ ..มีเวลามากกว่านี้  หรือพร้อมกว่านี้  เพราะมันอาจจะไม่มีวันนั้นนะคะ  และความจริงคือเราสามารถให้ได้ตลอดเวลา..ในสิ่งที่เรามี  อย่างน้อยให้ความรัก..ความเข้าใจ..รับฟัง..หนุนใจ..ให้กำลังใจ  ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วยเงินทองเสมอไป   ข้อที่ 6 บอกว่า “และเมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางจึงทรงกรุณาทารกนั้น..(กรุณา หมายถึงว่าเห็นแล้วก็รักเลย) และตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู” (เพราะหน้าตามันคงฟ้อง อ่ะนะ)        ...พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม”...พอเห็นสีหน้าสงสารของธิดาฟาโรห์   มีเรียมก็เสียบเข้ามาทันทีแล้วก็ถามแบบชี้ช่องให้ธิดาฟาโรห์หาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็ก   ซึ่งก็ได้ผล..ธิดาฟาโรห์บอกโอเค ! ไปหามาแล้วเดี๋ยวจะให้ค่าจ้าง..ปรากฎมีเรียมก็ไปเรียกแม่มาเลี้ยง (ลูกตัวเอง)..แถม ได้ค่าจ้าง  ถ้าเก็บไว้เลี้ยงเอง..ได้ตังส์มั้ย  มีแต่เสียตังส์  อันนี้ แฮปปี้ดีพร้อมเลย  แล้วเด็กๆจำไว้นะคะ พระเจ้ายังทรงทำการแบบนี้อยู่เสมอ..ในเวลาที่มืดมน  ขอแค่เราจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและกล้าที่จะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัย   เราจะรู้ได้ไงว่าอะไร คือ น้ำพระทัยพระเจ้า..เราก็ต้องอ่านพระคำภีร์..มาเรียนพระคัมภีร์  ฟังเทศน์  อธิฐาน  อยู่ติดกับพระองค์ให้มากที่สุด เอเมนมั้ย    อย่างแม่ของโมเสส  ก็รู้ว่าการฆ่าลูกของตัวเองเป็นสิ่งที่ผิด แต่ถ้าไม่ทำก็อาจต้องโดนฟาโรห์ฆ่า  และความโหดร้ายของฟาโรห์ก็ขึ้นชื่อมาก  แต่เพราะมีความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ทุกอย่าง  เขาถึงทำเรื่องนี้ด้วยความกล้าหาญ  และสุดท้าย พระเจ้าก็เปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี..ไม่ใช่แค่ดีเฉยๆ แต่ ดีซ้ำดีซ้อนแบบที่คาดไม่ถึงด้วย    เพราะไร.. 1 ลูกได้รอดชีวิต   2 เลี้ยงลูกตัวเองแบบได้ตังส์เพราะมีคนจ้าง   3 ความกล้าหาญของโยเคเบดทำให้ได้มีโมเสส “ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งต่อไปจะได้นำชนชาติของพระเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส  ซึ่งอันนี้ ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ที่สุด
ข้อที่ 10 บอกว่า “เมื่อเลี้ยงจนโต..พอรู้เรื่องแล้ว  นางเยโคเบด..ก็ถวายโมเสสคืนให้กับธิดาฟาโรห์  เจ้าหญิงก็ตั้งชื่อให้ว่า “โมเสส”..ซึ่งแปลว่าฉุดขึ้นมาจากน้ำ   เพราะเธอได้ช่วยโมเสสให้รอดตาย..ขึ้นจากแม่น้ำไนล์ 

อพย.2:11-14  วันนึงเมื่อโมเสสโตขึ้น  คำว่าโตขึ้นคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..น่าจะอายุประมาณ 40 ปี  และโมเสสก็รู้ดีว่า..จริงๆแล้วตัวเองไม่ได้เป็นคนอียิปต์..แต่เป็นคนฮีบรู   วันหนึ่งขณะที่เขาออกไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮีบรูพี่น้องชาติเดียวกัน..เขาก็ไปเจอคนอียิปต์กำลังทุบตีคนฮีบรู..ซึ่งคงจะเป็นการลงโทษตามปกติในการควบคุมชาวฮีบรูทำงานให้ได้ตามเป้า  แต่วันนั้น โมเสสทนดูไม่ได้เพราะในใจมันฟ้องอยู่ตลอดว่าคนฮีบรู คือ พี่น้องชาติเดียวกันกับเขา   ข้อที่ 12 บอกว่า พอเห็นชาวฮีบรูถูกทำร้ายโมเสสก็มองซ้ายมองขวา  พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นโมเสสเลยฆ่าคนอียิปต์ตาย”  แล้วก็ซ่อนศพเอาไว้ในทราย   พอวันรุ่งขึ้นโมเสสก็ออกไปอีก ทีนี้เจอคนฮีบรูทะเลาะกันเอง..ด้วยความหวังดีไม่อยากให้พี่น้องตีกันเอง  โมเสสเลยออกปากห้ามคนฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่  โมเสสบอกว่า ท่านทุบตีพี่น้องของตัวเองทำไม”..ตีกันเองทำไม  พี่น้องชาติเดียวกันมันควรจะรักกันสิ   พอได้ยินอย่างงั้นชาวฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่ก็ตอกกลับโมเสสว่า ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้านายมาตัดสินพวกเขา  ประมาณว่า..มายุ่งอะไรด้วย  ท่านอยากจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์ใช่มั้ย  แค่นั้นแหละ..โมเสสตกใจ..  สองคนนี้รู้เรื่องที่เขาฆ่าคนอียิปต์ได้ยังไง..แสดงว่า ป่านนี้คงรู้กันทั่วแล้วมั้งว่าเขาฆ่าคนอียิปต์ตาย  สุดท้าย โมเสสเลยหนี..อยู่ไม่ได้แล้วอียิปต์    และ จากนั้นเป็นต้นมาโมเสสจึงได้ไปอยู่ที่มีเดียน
  พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 20 (จบ)

คราวที่แล้ว เรามาถึงตอนที่พวกปุโรหิตอายัดและยัดเยียดความผิดให้พระเยซู  เสร็จพวกเขาก็นำพระองค์มาหาปีลาต..ที่ต้องพามาหาปีลาตเพราะตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโรม    พวกเขาเลยต้องมาหา“ปีลาต”  เพราะปีลาตเป็นตัวแทนของรัฐบาลโรม  และเมื่ออยู่ ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด   และเขาก็พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เฆี่ยนพอแล้ว..ก็ปล่อยตัวไป   แต่พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม ปีลาตก็บอก วันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส   ลุกา 23:20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย”.. แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้จะยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนก็ตอบว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   ดูต่อ..
ดู มัทธิว 27:26-31   เมื่อผู้นำของพวกยิวยืนยันที่จะปล่อยบารับบัส และกดดันให้ปิลาตสั่งประหารพระเยซู    สุดท้าย ปีลาตก็ต้องยอมจำนน   โดยสั่งให้เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่กางเขน   แต่ก่อนจะถูกตรึง พระองค์ก็ถูกกระทำทารุณมากมายโดยพวกทหารโรม   ข้อนี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก..ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว   เราว่าไปทีละข้อเลยละกัน..เด็กๆก็นึกภาพตาม     พวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์   แล้วก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ..สวมพระเศียรของพระเยซู   แล้วเอาไม้อ้อให้พระองค์ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา  จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้า  พร้อมทั้ง เยาะเย้ยพระองค์ว่า "กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ" แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระเยซู..”...  การกระทำทั้งหมดนี้  ปิลาตไม่ได้สั่ง..พวกทหารทำเองด้วยความคึกคะนอง  ทำเพื่อเยาะเย้ย..  “ เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน”...
ขอให้เด็กๆท่องและก็จำสภาพในเวลานี้ของพระเยซูคริสต์ไว้ให้ดี  พระองค์ถูกกระทำการทารุณอย่างทุกข์ทรมาน   อย่างที่บอก พระองค์เป็นพระเจ้าแต่กลับ “ยอม” ที่จะโดนดูถูกเหยียดหยามโดย “มนุษย์”  มนุษย์ที่แท้จริงแล้ว “ไม่ฉลาดเท่าไหร่..”.หลายคนอาจจะคิดว่าตัวฉลาด  แต่ถ้าเทียบกับพระเจ้าแล้ว..”มนุษย์ไม่สามารถเลย..ช่วยตัวเองก็ไม่ได้.แล้วหลายครั้งก็ยังจะเย่อหยิ่งอีกด้วย !”  แต่พระเยซูยังยอมตายเพื่อช่วยมนุษย์ที่แสนจะเย่อหยิ่ง..ให้ได้รับความรอด   ด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ..ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน  รักทั้งที่มนุษย์สุดแสนจะน่าเกลียด   เพราะงั้น ถ้าเราเข้าใจชัดเจนในจุดนี้  เราจะซาบซึ้งในรักแท้ของพระเจ้า..ที่เรียกว่า “รักแบบอากาเป้” หรือที่บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 13..... แล้วในขณะที่พระเยซูยอมโดนดูถูกเพื่อเรา  ถามตัวเองซิ..เราเคยยอมให้คนอื่นดูถูก (อย่างไม่ตอบโต้)..บ้างมั๊ย   ขณะที่พระเยซูยอมสละชีวิตเพื่อเรา..เราเคยยอมเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างรึเปล่า  ไม่ต้องอะไรมาก บางครอบครัว..พี่น้องกันยังไม่ยอมกันเลย  แม้แต่พ่อแม่ โอเค พ่อแม่ทุกคนรักลูก..ยอมตายแทนลูกได้  แต่ถ้ารู้สึกว่าลูกไม่รัก..หรือรักไม่เท่าที่หวัง..ทนได้มั๊ย..ส่วนใหญ่ก็จะเสียใจ..น้อยใจ..ตีอกชกตัว..ตัดพ้อไปต่างๆนาๆ   เพราะอะไร..เพราะรักแบบคาดหวัง ”มากเกินไป”
ในขณะที่พวกทหารกระทำต่อพระองค์อย่างไม่น่าให้อภัย..พระเยซูก็ยังอธิฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขา..เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป  แต่ถ้าเป็นเรา.. ทำไง..ขอพระเจ้าลงโทษเขา (รึเปล่า)..  หนักๆยิ่งดีมันจะได้สำนึก !! (ใช่มั๊ย)    ถ้าคิดให้ดี..อะไรต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นภาพที่ทำให้เราเห็นรักแท้ของพระเจ้า..ชัดเจนขึ้น  ภาพนี้ทำให้เรารู้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่จะรักมนุษย์อย่างบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู 
ดู มัทธิว 27:33-34  พระเยซูถูกนำมาที่ “กลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ” ..ก็คงจะเป็นที่ที่ใช้ประหารชีวิตคน   เราลองลำดับเหตุการณ์ตามไป..พระเยซูถูกจับตั้งแต่ประมาณ ตี 1 จากนั้นก็ถูกอายัดพระองค์ไว้ให้พวกปุโรหิตไต่สวนคดีทั้งคืน..จนมาถึงปิลาตตอนเช้ามืด  และมาตอนนี้ที่กำลังจะถูกตรึงคือเวลาประมาณ 9 โมงเช้า..ไม่ได้นอน..โดนทรมานทั้งคืน   ข้อที่ 34 บอกว่า “เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย”....พระเยซูไม่เสวยเพราะ“ของขม” ที่เขาใส่ปนมาในน้ำองุ่น มันคือ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวด  เพราะงั้น เมื่อพระเยซูชิมแล้ว..พระองค์เลยไม่รับ  หมายความว่า พระองค์ไม่เอาตัวช่วย  แต่เลือกที่จะแบกรับความทุกข์ทรมานแบบเต็มๆ..เพื่อสยบทุกคำโต้แย้งของมาร   เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา “มาร” จะปิดปากเงียบ..ยอมจำนนกับคนที่พึ่งในพระคุณของพระคริสต์   การไถ่ของผู้ที่เชื่อในการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู..รับรอง “เคลียร์” ไม่มีข้อกังขา  (เอเมนมั๊ยคะ)    
ดู มัทธิว 27:39-42   “ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา  กล่าวว่า "เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด"..   ข้อนี้บอก คนที่เดินผ่านไปมา..เห็นพระเยซูแล้ว..ก็ส่ายหัว  พูดทำนองว่า “ถ้าตัวเองเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง..ช่วยตัวเองให้รอดก่อน ดีมั๊ย !”..ประมาณนั้น   เนี่ยคือ ความโง่ของมนุษย์..โง่ เพราะตัดสินทุกอย่างตามสิ่งที่ตามองเห็น    ข้อที่  42 พวกปุโรหิตพูดอีกว่า เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา”... ลักษณะนิสัยอันนึงที่เป็นผลพวงจากการล้มลงในความบาปของมนุษย์ ก็คือ “ชอบที่จะเป็นผู้ควบคุม”..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควบคุมพระเจ้าหรือแม้แต่พระอื่นๆของเขา (จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)      ดูอย่าง คำพูดของพวกปุโรหิตในข้อนี้.. คือ “..ถ้าเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง  ก็ลงมาจากกางเขนให้ได้เดี๋ยวนี้  และเราจะเชื่อ” ....ความหมายของพวกเขา ก็คือ...“ถ้าจะให้เชื่อ ก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ...1234 อะไรก็ว่าไป  ถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์เรียกทูตสวรรค์มา..ให้ดูเป็นพระเอกหน่อย..แล้วก็ลงมาจากกางเขนซะ..อย่างสง่างาม (เหมือนภาพยนตร์น้ำเน่าทั่วไป)...  แล้วถ้าพระเยซูต้องทำอย่างที่เขาพูด  ถามจริงๆว่า ตกลงใครใหญ่..ใครคือผู้ควบคุม  มนุษย์ คือ ผู้ควบคุม..ใช่มั๊ย  แล้วจะไปรอดรึเปล่า   เพราะถ้าพระเยซูลงจากกางเขน  อะไรจะเกิดขึ้น..โอเค คนพวกนั้นก็คงจะตื่นเต้น..โฮซันนายอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า  แต่ความพอใจอันนั้นของมนุษย์ต้องแลกมาด้วยความพินาศใหญ่หลวงชั่วนิรันดร์..เพราะการไถ่บาปก็จะไม่สำเร็จ...ถูกมั๊ยคะ
และ ทุกวันนี้ คนจำนวนมากก็ยังเป็นเหมือนปุโรหิตพวกนี้  คือ..ประมาณว่าต้องทำให้ฉันรวยก่อน..ฉันถึงจะเชื่อพระเจ้า  ต้องให้ฉัน..ได้ดั่งใจ..ได้งานดีมีชื่อเสียง..มีบ้าน..มีรถ  ถูกรางวัล..อะไรก็ว่าไป ส่วนใหญ่คิดได้แค่นั้น..นิยามคำว่า “ดี” ของคนส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้กับแค่ ”สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้" ...ซึ่งสำหรับพระเจ้ามันคือความมืดบอด  แต่มนุษย์ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองฉลาดเพราะ..ไม่ค่อยจะเผื่อใจว่า..มันอาจมีอะไรอีกมากมายนะในสิ่งที่เขามองไม่เห็น
ดู ยอห์น 19:30-34  เมื่อพระเยซูรับน้ำองุ่น (ที่ไม่ใส่สมุนไพรลดความเจ็บปวด) แล้ว  พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป  รวมเวลาที่พระองค์ถูกตรึงบนกางเขนราว 6 ชม.  เพราะพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า   และสิ้นพระชนม์ตอนบ่าย 3    และ สะบาโตกำลังจะเริ่มแล้วตอน 6 โมงเย็น   ดังนั้น เขาจะปล่อยให้ศพแขวนอยู่อย่างงั้น..ไม่ได้  ต้องเอาลงมาและไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนสะบาโตจะเริ่ม   แต่ปัญหาคือโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูอีกสองคน..ยังไม่ตาย   เขาทำไง..ข้อที่ 32  บอก “พวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์”  ... ที่เขาทุบขาก็เพื่อจะให้น้ำหนักทั้งหมดทิ้งตัวลงมา..ปกติเวลาหายใจมันต้องยกตัวขึ้น   ดังนั้น พอขาหักแล้วก็จะไม่สามารถที่ยันตัวขึ้นมาหายใจได้อีก  ในที่สุด..ก็ขาดใจตาย    พอมาถึงพระเยซูเขาไม่ได้ทุบขาเพราะพระองค์ตายแล้ว..แต่วิธีเช็คของเขา ก็คือ เอาหอกแทงสีข้าง   พอแทงปุ๊บ..เลือดกับน้ำก็พุ่งออกมา  อันนี้แสดงว่าตายแล้ว  เพราะร่างกาย ทุกระบบหยุดทำงาน  ของเหลวทุกอย่างมากองรวมกันไม่มีการสูบฉีด  พอเอาหอกแทงเข้าไป..ของเหลวทุกอย่างก็พุ่งออกมา  เป็นสัญญาณว่าตายแล้ว..แน่นอน 
จากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธียก็นำพระศพของพระเยซูไปฝัง  ในสุสานของเขา..ที่เขาเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  อันนี้ ก็คล้ายๆคนจีนที่ชอบซื้อที่ฝังศพหรือฮวงซุ้ยเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  สรุปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย..พระเยซูมีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีเลยนะ  มีแต่คนเตรียมให้.. ถ้ามองฝ่ายโลก..พระองค์ไม่มีสมบัติของตัวเองเลยบนโลกนี้
ดู มัทธิว 27:62-66  ปรากฎว่า  พวกปุโรหิตยังจำได้..ว่า พระเยซูเคยบอกว่า “อีกสามวันพระองค์จะฟื้นขึ้นมา”  ..ก็เลยไปขอกำลังทหารจากปิลาตให้มาเฝ้าหน้าอุโมงค์หน่อย   เขาไม่คิดหรอกว่าพระเยซูจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ   แต่ เขาคิดว่าที่พระองค์พูดอย่างนั้น..ก็เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกสาวกมาขโมยศพ..จะได้ไปหลอกประชาชนว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมา   ซึ่งพวกปุโรหิตก็กลัวว่ามันจะทำให้ประชาชนสับสนวุ่นวายไม่จบสิ้น ..ก็เลยอยากจะกันไว้ก่อนด้วยการไปขอทหารยามจากปิลาตมาเฝ้าหน้าอุโมงค์      ข้อที่ 65 บอก “ ปิลาตก็อนุญาตให้พวกเขาเอายามไปเฝ้าให้แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ..เพื่อไม่ให้สาวกมาขโมยศพ   ซึ่งจริงๆไม่มีใครมาขโมย..แต่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา   พระคำภีร์บอกว่า ทหารยามก็มาเฝ้าวันเสาร์ทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตกกลางคืนก็ยังไม่มีอะไร  แต่พอเช้าวันอาทิตย์ ..เกิดไรขึ้น  ช่วงนี้ให้เด็กๆเปิดไปดู
ดู ลูกา 24:1-8 ข้อนี้ บอกว่า “เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์”..คือ วันอาทิตย์  เมื่อมารีย์ชาวมักดาลา..มาถวายเครื่องหอมที่อุโมงค์ ..ก็พบว่าทูตสวรรค์ได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วศพของพระเยซูก็หายไป    ถ้าอ่านเผินๆ หลายคนก็จะเข้าใจว่า..ทูตสวรรค์มากลิ้งก้อนหินให้พระเยซูออกมา  แต่จริงๆ..ไม่ใช่นะ  ที่ทูตสวรรค์ต้องมากลิ้งก้อนหิน.. ก็เพื่อให้สาวกเข้าไปดู  ไม่ใช่กลิ้งให้พระเยซูออกมา   เพราะเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระองค์มีร่างที่ใหม่สามารถเดินผ่านทุกอย่างได้   ข้อที่ 5 บอกว่า “.. ชายสองคนนั้น..(ซึ่งก็คือ ทูตสวรรค์) จึงพูดกับเขาว่า "พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า   พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายเมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี..ว่า. บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป  ถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”.....ดูนะ พระเยซูบอกไว้แล้วว่าวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่  ศัตรูของพระองค์คือพวกปุโรหิตยังจำได้เลย..ถึงต้องเกณฑ์ทหารยามไปเฝ้าหน้าอุโมงค์  แต่พวกสาวกกลับจำคำของพระเยซูไม่ได้..ถ้าทูตสวรรค์ไม่มาเตือนความจำ..ก็นึกไม่ออก   
ลูกา 24:13-16  ในตอนท้าย จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสำแดงพระองค์ของพระเยซูแก่เหล่าสาวก..หลังจากที่คืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว  ข้อนี้ บอกว่า “ขณะที่สาวกสองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส  พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้  คุยกันไป..คุยกันมาจนถึงที่หมาย..สาวกก็เชิญให้พระองค์เสวย”  ข้อที่ 30  บอกว่า “ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้ ตาของสาวกสองคนนั้น..ก็หายฟางแล้วก็จำได้..ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา”  จากนั้น  เมื่อสาวกสองคนไปเล่าเรื่องนี้ให้อีกสิบคนฟัง  พระเยซูก็ทรงปรากฏต่ออัครสาวกอีกสิบคน   ข้อที่ 36  “เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูเองทรงยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขและตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”...ประมาณว่า ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่...พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา และยังอยู่กับพวกเราจนทุกวันนี้ด้วย เอเมนมั๊ย
กลับมาที่ มัทธิว 28:16-20  เมื่อเหล่าสาวกไปพบพระเยซูที่แคว้นกาลิลี   สิ่งที่พระองค์สั่งไว้แก่เหล่าสาวกที่ได้พบพระองค์  คือ  เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”  นี่คือ มหาบัญชาสุดท้ายที่พระเยซูสั่งไว้กับเหล่าสาวกและพวกเราด้วย คือ ให้เราประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดผ่านทางการตายบนไม้กางเขน..เป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์..และให้ชนทุกชาติได้รับบัพติศมาในนามของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ..ผ่านทางความเชื่อ..รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ  และถือรักษาสิ่งที่พระองค์สอนไว้ในพระคัมภีร์  สุดท้าย สำคัญมาก พระองค์บอกว่า “พระองค์จะอยู่กับเราจนถึงวันพิพากษา”... สำหรับเรื่องนี้ เท่าที่ดำเนินกับพระเจ้ามา..น้าตุ๊กเชื่อและสำผัสได้จริงๆว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ด้วย..ตลอดเวลา   และน้าตุ๊กก็เชื่อว่า เด็กๆจะสามารถสัมผัสเรื่องนี้ได้เหมือนกัน..ถ้าเราเรียนรู้ที่จะติดสนิทกับพระองค์ 

      หนังสือ มัทธิว ก็จบสมบูรณ์แล้วนะคะ จนกว่าพบกันใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 19

บทที่ 26   “ใกล้ถึงวาระที่พระเยซูคริสต์จะถูกอายัดและตรึงที่กางเขน”
ดู มัทธิว 26:1-2   จากคราวที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูตรัสถึงวันพิพากษาเสร็จ  พระองค์ก็บอกสาวกว่า “อีกสองวันจะถึงวันปัสกา  และ บุตรมนุษย์ ซึ่งหมายถึงพระองค์เอง..จะถูกอายัดไว้และถูกตรึงที่กางเขน ” .....เด็กๆจำวันปัสกาได้มั๊ยคะ ถ้าเรียนหนังสืออพยพ ก็น่าจะจำได้ ปัสกา คือ วันที่พระเจ้าปลดปล่อยิวหรือฮีบรู (นำโดยโมเสส)..ให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส..และพาพวกเขาออกจากอียิปต์ มาสู่คานาอัน..ดินแดนที่พระองค์สัญญาไว้    ปัสกา คือ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีทั้งหมด..ของคนอียิปต์    เพราะ ความดื้อของฟาโรห์..ที่ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไป..ทั้งที่พระองค์ส่งภัยพิบัติมาเตือนแล้วถึง 9  ครั้ง   ให้เราย้อนไปดูหนังสืออพยพ  เพราะ แท้จริงแล้วการปัสกาในวันนั้น คือ หมายสำคัญที่พระเจ้าสำแดงกับเรา..ถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำในหนังสือมัทธิวข้อนี้...
อพยพ 12:5-7 / 23-24    “..ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ ...ในเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา   แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน  เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น   ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน 
... ลูกแกะที่ปราศจากตำหนิ เล็งถึงพระเยซูคริสต์  พระองค์ คือ ผู้เดียวที่ปราศจากตำหนิ  เพราะ พระองค์เกิดจากพระเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากการสมสู่ของมนุษย์   พระเยซูจึงบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อความบาปจากอาดามบรรพบุรุษเหมือนเรา   เลือดแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิ..ที่พระเจ้าให้ทาไว้ที่ประตู จึงเล็งถึง เลือดของพระยซูคริสต์ที่จะหลั่งออกบนไม้กางเขนชำระบาปให้กับมนุษย์..เพื่อจิตวิญญาณของเราจะไม่ตายและได้รับความรอด...ได้รับการผ่านเว้น จากทูตอะไรก็ตาม   ถ้าเราเชื่อในโลหิตของพระเยซู..ก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าวิญญาณของเราให้ตายได้  เหมือนที่ข้อนี้ บอกว่า พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น ไม่ยอมให้ผู้สังหารเข้าไป   เพื่อจะประหารท่าน” .....บาปเวรหรือบ่วงกรรมอะไรก็ตาม..จะไม่สามารถเอาผิดหรืออายัดเราได้อีกเลย..ถ้าเราเชื่อพระเยซู  โลหิตของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันมารชั่วให้กับเรา  เปิดไปดูข้อพระคำที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
ดู 1โครินธ์ 15:55-58   “เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ..” ...”เหล็กใน” แปลง่ายๆก็คือ  พิษสง  หมายความว่า “จริงๆแล้ว  สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์..ไม่ใช่ความตาย  แต่พิษสงหรือสิ่งที่มันออกฤทธิ์..และทำให้มนุษย์”เดือดร้อน” ตอนจะตาย คือ “ความบาป”.. และความบาปออกฤทธิ์เพราะธรรมบัญญัติ”..อย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนว่าธรรมบัญญัติเป็นเหมือนกระจกเงา..ซึ่งส่องแล้วทำให้เราสวยขึ้นหรือดีขึ้น..ไม่ได้  ธรรมบัญญัติก็เหมือนกันที่สามารถทำได้แค่..ชี้ให้เรารู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก  อันไหนดี..อันไหนไม่ดี    เพราะฉะนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว มนุษย์ไม่รู้หรอก..ว่าอันไหน คือ ความบาป
ข้อที่ 57 จึงบอกว่า “จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”....เพราะเราอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหรือเปล่า..เปล่าเลย  น้าตุ๊กย้ำหลายครั้งแล้ว..ว่าเราอยู่ ”ใต้พระคุณ” ของพระเยซูคริสต์  เด็กๆต้องเคลียร์ความหมายตรงนี้ให้ดี   ใครจะอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..ให้เขาอยู่ไป อยากจะตะเกียกตะกายทำความดีด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง..ให้เขาทำไป  แต่เราไม่..เราไม่มีกำลังพอ  เราไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์เหมอนพระเยซูคริสต์ได้..ด้วยการทำเหมือน  แต่เราจะไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ด้วยการ”ทรงสถิต”ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเท่านั้นที่จะประทานพระคุณนั้นแก่เรา  ความรู้ในกฎบัญญัติ..จะกี่ข้อก็ตามมันช่วยให้เราเป็นคนดีพร้อม..ไม่ได้   กฎบัญญัติมีแต่จะตอกย้ำซ้ำเติมว่าเราน่าเกลียดสูง..ต่ำ..ดำ..เตี้ย..ผิดบาปแค่ไหน  เหมือนที่พระคัมภีร์บอก  “..ฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ”... ดังนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว  ความบาปจะออกฤทธิ์..ไม่ได้เลย !  มนุษย์จะไม่รู้จัก..ว่าบาปเป็นยังไง   แต่ที่บาปออกฤทธิ์เต็มขนาดได้  เพราะมีธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกหรือผิด..มัน missing target แค่ไหน   และ สิ่งเดียวในสากลโลกที่จะล้างบาปในใจมนุษย์ได้..ในขณะที่มีธรรมบัญญัติ ก็คือ พระคุณความชอบธรรมที่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์  อย่างเดียวเท่านั้น..ที่จะชำระเราได้ในระดับที่ลึกถึงจิตวิญญาณ
 กลับมาที่หนังสือมัทธิว..  
ดู มัทธิว 26:3-5   ข้อนี้ บอกว่า พวกผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนกลุ่มนึงกำลังวางแผนที่จะฆ่าพระเยซู  นำโดยมหาปุโรหิตของพวกยิวที่ชื่อ “คายาฟาส”   คายาฟาส..มีอีกชื่อว่า โยเซฟ  เขาเป็นมหาปุโรหิตที่ประจำการในช่วงปี คศ.18-36  พระคำภีร์บอกว่าคายาฟาสเป็นคนวางแผนการที่จะดำเนินคดีพระเยซูโดยใช้”อุบาย”   ถ้าต้องใช้อุบาย หมายความว่า..จริงๆแล้วพระเยซูไม่มีความผิด  แต่อยากจะฆ่าพระองค์ให้ได้  ก็เลยต้องวางแผนการยัดเยียดความผิด..ตั้งพยานเท็จ  อะไรต่างๆ เพื่อที่พระเยซูจะได้ต้องโทษถึงประหารชีวิต     ข้อที่ 5 บอกว่า “แต่เขาตกลงกันว่า "ในช่วงเทศกาลอย่าพึ่งทำเลย เดี๋ยวประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”..รอให้ผ่านปัสกาไปก่อน   เพราะ วันเทศกาลประชาชนจะต้องเตรียมเครื่องถวายบูชาฆ่าแกะ..ฆ่าแพะ อะไรต่างๆ มันก็เรื่องเยอะพอแล้ว  และถ้าจะจับกุมพระเยซูวันเทศกาล..เดี๋ยวความวุ่นวายมันจะเพิ่มเป็นสองเท่า เพราะจริงๆเขายังไม่รู้หรอกว่าจะฆ่าพระองค์สำเร็จมั๊ย   มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้..ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า
ดู มัทธิว 26:14-16   “ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ถามว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์ (ซึ่งหมายถึงพระเยซู)..ให้ท่านจับ ท่านทั้งหลายจะข้าพเจ้าเท่าไหร่" ฝ่ายเขาก็ให้เหรียญเงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญ”    
เรื่องยูดาสอายัดพระเยซู..เป็นเรื่องที่คริสเตียนรู้จักดี..เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก    ยูดาส อิสคาริโอท เป็น 1 ใน สาวก 12 คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมากๆ   หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า..ทำไม ยูดาสถึงทำได้ลงคอ   เหตุผลในมุมมองของนักวิชาการบางคน  ก็อธิบายว่า  “ อิสราเอล ..เป็นชนชาติที่มีความเชื่อหรือความรักชาติอย่างเข้มข้น  เขาภูมิใจในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แตะเรื่องอะไรก็ได้..แต่อย่าแตะเรื่องศาสนาหรือความเชื่อนะ..เขายอมตายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว  ถ้าเราสังเกตดู  จะเห็นว่าในอิสราเอลจะมีกลุ่มบุคคลที่ร้อนรนในความเชื่อและรักชาติอย่างสุดขั้วอยู่..เยอะมากในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นโมเสส โยชูวา  ผู้วินิจฉัยทุกคนที่พระเจ้าส่งมาช่วยกู้อิสราเอล  มาจนถึงสมัยพระเยซูคริสต์..ที่อิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของโรม ก็ยังมีคนกลุ่มนึง คือ  “พวกซีล็อต” ที่พยายามจะกบฏต่อโรมหลายต่อหลายครั้ง  แล้วเขาก็เคยทำสำเร็จด้วย..ครั้งนึง  แต่หลังจากนั้น โรมก็ยกทัพมาบดขยี้เผาทำลายเยรูซาเล็ม  จนพวกซีล็อตต้องหนีไปอยู่ที่”ป้อมมาซาดา” ป้อมมาซาดานี่ดังมาก..เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ก็ เพราะเป็นที่ๆ พวกซีล็อตไปจนมุมทหารโรมัน  แต่พวกเขาไม่ยอมตายด้วยน้ำมือคนต่างชาติ     แต่เลือกที่จะตายด้วยมือของคนชาติเดียวกัน   เขาทำไง..ก็ฆ่ากันเอง  คือ พ่อฆ่าลูก..พี่ฆ่าน้อง แล้วเหลือคนสุดท้ายก็ฆ่าตัวเองตาย  นี่คือ ความรักชาติ..รักศักดิ์ศรีอย่างเข้มข้นของยิว   
และพวกซีล็อตที่ว่านี้ก็อยู่ในสมัยของพระเยซูคริสต์..แล้วก็จับตาดูพระเยซูอยู่    แต่..เขารู้สึกผิดหวังที่พระเยซูไม่ฉวยโอกาสกบฏต่อโรม   เขาคิดอยู่อย่างเดียว..ว่าพระเมสสิยาห์จะมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอลให้ได้มีเอกราช..ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของโรม..เหมือนคนที่พระเจ้าส่งมาในสมัยผู้วินิจฉัย  เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ..คิดไม่ถึง  ดังนั้น พวกซีล็อตก็คงไม่ปลื้มพระเยซูเท่าไหร่   เพราะพระองค์ไม่นิยมความรุนแรง..ซึ่งก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง   และยูดาสก็เช่นกัน..ที่อาจจะคิดแบบเดียวกันหรือรู้สึกผิดหวังในองค์พระเยซูด้วยรึเปล่า..ถึงตัดสินใจอายัดพระองค์เพื่อแลกกับเงิน 30 เหรียญ..นี่เป็นอีกมุมมองนึง
ดู มัทธิว 26:17-19  ปัสกาสุดท้ายก่อนวันที่พระเยซูจะถูกตรึงมาถึงแล้วนะคะ   ข้อนี้ สาวกก็มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงปัสกาที่ไหน “  ในมัทธิว บันทึกไว้แค่ว่า “สาวกเหล่านั้นก็กระทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่ง  แต่ในมาระโก..ลูกา  บันทึกไว้ละเอียดกว่านั้น คือ พระเยซูสั่งให้สาวกเข้าไปในเมือง  แล้วบอกว่า..จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป  แล้วเขาจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว  ซึ่งห้องนั้นจะเป็นที่ที่พระองค์ร่วมปัสกากับสาวก  พอสาวกไป..แล้วก็เจอจริงๆ ตามที่พระเยซูบอก   
ข้อที่ 21 พระเยซูได้เป็นพยานว่า ยูดาสจะทรยศพระองค์  เมื่อรับประทานกันอยู่พระองค์จึงตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา  ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์นัก  พากันถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ" (ใช่เขามั๊ย ใช่เขามั๊ย) พระองค์ตรัสตอบว่า (ยอห์น 13:26 )   "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้" และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอท..”...ก็เป็นที่ชัดเจนว่าพระองค์หมายถึง ยูดาส
ดู มัทธิว 26:26-29  หลังจากทานปัสกาเสร็จ  พระเยซูก็เริ่มประกอบพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก  โดยใช้เหล้าองุ่นกับขนมปังไร้เชื้อที่ใช้กันในเทศกาลนั้นแหละ..เป็นองค์ประกอบสำคัญและพระองค์ก็สั่งตั้งแต่ตอนนี้ ..ว่าให้เราทำมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการทนทุกข์ของพระองค์..ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้า   จากนั้น ยูดาสก็ไปหาปุโรหิตเพื่อเตรียมที่จะชี้ตัวพระเยซู  ส่วนพระเยซู..หลังจากปัสกาแล้ว  พระองค์ไปที่..”สวนเกทเสมนี”   สวนเกทเสมนี..เป็นสวนมะกอกเทศตั้งอยู่เชิงเขาทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม  เกทเสมนี..ภาษาฮีบรู แปลว่า “ที่คั้นน้ำมันมะกอก”  ถามว่ายูดาสรู้มั๊ย..ว่าพระองค์จะไปที่นั่น..รู้แน่นอน  เพราะเป็นที่ที่พระเยซูชอบไปอธิฐาน  ข้อที่ 37 บอกว่า พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด”....พระเยซูรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  และพระองค์ต้องการเพื่อน...  แต่ สาวก..ลืมตาไม่ขึ้น  เพราะตอนนั้นน่าจะประมาณตี 1 แล้ว  สาวกก็เลยเอาแต่นอน
ดู มัทธิว 26:39 ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”...มีคนเคยถามน้าตุ๊กว่า ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานอย่างนี้   ปัญหาของเขา คือ คำว่า “ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป.” ...ถ้าเลื่อนไปการไถ่บาปก็ไม่สำเร็จสิ  แล้วทำไมพระเยซูถึงขออย่างนี้  น้าตุ๊กก็อธิบายว่า พระคัมภีร์บันทึกอย่างนี้เพื่อ..ให้เรารู้ว่า “พระเยซูทรงสภาพมนุษย์จริง 100 %”  พระองค์รู้มั๊ยว่า..พระองค์มาจากพระบิดา..รู้  รู้มั๊ยว่า..พระองค์เป็นพระเจ้า..รู้แน่นอน  แต่ในขณะเดียวกันเมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้เราแล้ว  พระองค์ก็ทรงสภาพมนุษย์ 100%   เรารู้เพราะไร..พระองค์หิวเป็น..เจ็บเป็น..รู้จักเหนื่อย..รู้จักกลัว คำอธิฐานของพระองค์ในข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์”กลัวนะ”..กลัวจนเหงื่อเป็นเลือด  นี่คือ พระประสงค์ของพระเจ้าที่บันทึกพระคำข้อนี้ไว้..เพื่อให้เราเข้าใจ..ว่าการไถ่บาปของพระคริสต์ “แฟร์ เพลย์”..บริสุทธิ์ยุติธรรม.. ไม่ใช่บอกมาไถ่บาป..ยอมถูกตรึง..แต่ไม่เจ็บ..ไม่ใช่
 เหมือนเวลาเราดูหนัง..ส่วนใหญ่   พระเอกกับผู้ร้าย..ต่อให้มีอาวุธเลิศ หรู อลังการแค่ไหน..แต่พอฉากสุดท้าย ต้อง..มาต่อยกัน  มือเปล่า.. ปลดอาวุธออกทั้งคู่..เพื่อให้รู้ว่า มันแฟร์นะ..ถ้าพระเอกชนะ..ก็ขาวสะอาด   ในทางเดียวกัน พระเยซูทรงชนะอย่างขาวสะอาด..เราที่เชื่อในการไถ่ของพระองค์ก็”ขาวสะอาด”ไปกับพระองค์ด้วย   (นี่คือ ภาพที่อธิบายได้)
แต่ยังไงก็ตาม ข้อนี้ พระเยซูก็ทรงลงท้ายคำอธิฐานของพระองค์ว่า แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า”....พระองค์แค่ขอ..ด้วยความกลัว..เพราะพระองค์ทรงสภาพมนุษย์  เนื้อหนังจึงทำให้พระองค์กลัว..แต่พระองค์ไม่บาป เพราะยังไง..พระองค์ก็ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระบิดา 
ดู มัทธิว 26:45-47  พระเยซูทรงอธิฐานในสวนเกทเสมนี 3 ครั้ง ..แล้วเวลานั้นก็มาถึง  พระองค์กลับมาบอกสาวกว่า “ตื่นได้แล้ว  จะนอนต่อกันอีกนานมั๊ย  คนที่จะอายัดพระองค์กำลังมาแล้ว  ..พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ  ยูดาส ก็พาคนของปุโรหิตและพวกผู้นำประชาชน..ถือทั้งดาบ..ทั้งตะบอง  เข้ามาจับพระเยซู   โดย ยูดาสให้สัญญาณว่า..ถ้าเขาจุบคนไหน..คนนั้นแหละ คือ พระเยซู  (การจุบ ถือเป็นธรรมเนียมการทักทายด้วยความรักและนับถือของยิว)   ข้อที่ 49 บอก “ขณะนั้น ยูดาสก็ตรงมาหาพระเยซูทูลว่า "สวัสดี พระอาจารย์" แล้วจุบพระองค์  พอยูดาสจุบ ปั๊บ.. คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมตัวพระองค์ไป”....
ข้อที่ 57 บอกว่า “ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังบ้านของ”คายาฟาส”มหาปุโรหิต ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่”....จริงๆคนพวกนี้เขาประชุมกันตั้งแต่ก่อนจะส่งยูดาสไปจับพระเยซูแล้ว...ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุม  เพราะคืนวันปัสกาเป็นวันพฤหัส..วันรุ่งขึ้นก็คือวันศุกร์..  แล้ววันเสาร์ คือ สะบาโต  หมายความว่าถ้าเขาจะฆ่าพระเยซู...เขาต้องทำให้เรียบร้อยภายก่อนวันสะบาโต  (เพราะ วันสะบาโต ห้ามประหารชีวิตคน)  แล้ว จริงๆสะบาโต จะเริ่มนับตั้งแต่ศุกร์เย็นหลังตะวันตกดิน   เพราะฉะนั้น ถ้าจะรีบฆ่าพระเยซู..เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดิน.. พวกเขาถึงพยายามทำทุกอย่างแบบรวบรัด..
 ดู มัทธิว  26:59-63  พวกปุโรหิต กับ สมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาเบิกปรักปรำพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์เสีย”...เมื่อพระเยซูถูกจับมาอยู่ต่อหน้าปุโรหิตและสภา..เขาก็ต้องมีการสอบสวน  และปุโรหิตพวกนี้ก็มีการตั้งพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู   ถ้าต้องตั้งพยานเท็จมาปรักปรำ..มันก็หมายความว่า พระเยซูไม่มีความผิด   แต่ถึงจะตั้งมายังไง..ก็ยังเอาผิดพระองค์ไม่ได้   เพราะถึงจะมีพยานเท็จแต่..ไม่มีหลักฐาน     สุดท้าย คายาฟาสใช้ไม้ตาย...โดยเอาพระบัญญัติมาเป็นเครื่องมือปรักปรำพระเยซู  ข้อที่ 63  บอก “ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า "เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่... ให้พูดออกมาว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่"  พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านว่าถูกแล้ว..” ...คำนี้เอง..ที่ทำให้พระเยซูโดนประหารชีวิต  เพราะยิวถือว่าการอ้างตัว..อย่างนี้ เป็นการลบหลู่พระเจ้า ..และจะต้องโทษถึงตาย   “...และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”...พอพระเยซูพูดจบปุโรหิตฉีกเสื้อผ้า..เป็นสัญญาณว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า 
สุดท้าย สภาก็ลงมติให้พระเยซูรับโทษตาย   จากนั้น ก็นำตัวพระองค์ไปให้ปีลาต..ในตอนที่อยู่ต่อหน้าปีลาต  ให้เด็กๆเปิดไปที่หนังสือลูกา..เพราะบันทึกไว้ชัดเจนกว่า...

ดู ลูกา 23:13-18   ที่พวกปุโรหิตต้องพาพระเยซูมาหาปีลาตก็เพรา..ตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลโรม  ซึ่งตอนนั้น ตัวแทนของรัฐบาลโรมก็คือ ปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่โรมแต่งตั้งไว้  ทีนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด  ที่สำคัญก็คือ ภรรยาของเขาก็บอกให้ปล่อยพระเยซูไปเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี..ชายคนนี้เป็นคนชอบธรรม..เขาไม่มีความผิด   ปีลาตจึง..พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เอาไปเฆี่ยน..แค่นี้พอแล้ว..เฆี่ยนเสร็จก็ปล่อยตัวไป  พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม  ปีลาตก็พยายามอีก..บอกวันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส  ข้อที่ 20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้ต้องการยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนเรียนว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   
    หมดเวลาแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ