วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 19

บทที่ 26   “ใกล้ถึงวาระที่พระเยซูคริสต์จะถูกอายัดและตรึงที่กางเขน”
ดู มัทธิว 26:1-2   จากคราวที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูตรัสถึงวันพิพากษาเสร็จ  พระองค์ก็บอกสาวกว่า “อีกสองวันจะถึงวันปัสกา  และ บุตรมนุษย์ ซึ่งหมายถึงพระองค์เอง..จะถูกอายัดไว้และถูกตรึงที่กางเขน ” .....เด็กๆจำวันปัสกาได้มั๊ยคะ ถ้าเรียนหนังสืออพยพ ก็น่าจะจำได้ ปัสกา คือ วันที่พระเจ้าปลดปล่อยิวหรือฮีบรู (นำโดยโมเสส)..ให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส..และพาพวกเขาออกจากอียิปต์ มาสู่คานาอัน..ดินแดนที่พระองค์สัญญาไว้    ปัสกา คือ คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีทั้งหมด..ของคนอียิปต์    เพราะ ความดื้อของฟาโรห์..ที่ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไป..ทั้งที่พระองค์ส่งภัยพิบัติมาเตือนแล้วถึง 9  ครั้ง   ให้เราย้อนไปดูหนังสืออพยพ  เพราะ แท้จริงแล้วการปัสกาในวันนั้น คือ หมายสำคัญที่พระเจ้าสำแดงกับเรา..ถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำในหนังสือมัทธิวข้อนี้...
อพยพ 12:5-7 / 23-24    “..ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ ...ในเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา   แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน  เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น   ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน เพื่อจะประหารท่าน 
... ลูกแกะที่ปราศจากตำหนิ เล็งถึงพระเยซูคริสต์  พระองค์ คือ ผู้เดียวที่ปราศจากตำหนิ  เพราะ พระองค์เกิดจากพระเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากการสมสู่ของมนุษย์   พระเยซูจึงบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อความบาปจากอาดามบรรพบุรุษเหมือนเรา   เลือดแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิ..ที่พระเจ้าให้ทาไว้ที่ประตู จึงเล็งถึง เลือดของพระยซูคริสต์ที่จะหลั่งออกบนไม้กางเขนชำระบาปให้กับมนุษย์..เพื่อจิตวิญญาณของเราจะไม่ตายและได้รับความรอด...ได้รับการผ่านเว้น จากทูตอะไรก็ตาม   ถ้าเราเชื่อในโลหิตของพระเยซู..ก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าวิญญาณของเราให้ตายได้  เหมือนที่ข้อนี้ บอกว่า พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น ไม่ยอมให้ผู้สังหารเข้าไป   เพื่อจะประหารท่าน” .....บาปเวรหรือบ่วงกรรมอะไรก็ตาม..จะไม่สามารถเอาผิดหรืออายัดเราได้อีกเลย..ถ้าเราเชื่อพระเยซู  โลหิตของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันมารชั่วให้กับเรา  เปิดไปดูข้อพระคำที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
ดู 1โครินธ์ 15:55-58   “เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ..” ...”เหล็กใน” แปลง่ายๆก็คือ  พิษสง  หมายความว่า “จริงๆแล้ว  สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์..ไม่ใช่ความตาย  แต่พิษสงหรือสิ่งที่มันออกฤทธิ์..และทำให้มนุษย์”เดือดร้อน” ตอนจะตาย คือ “ความบาป”.. และความบาปออกฤทธิ์เพราะธรรมบัญญัติ”..อย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนว่าธรรมบัญญัติเป็นเหมือนกระจกเงา..ซึ่งส่องแล้วทำให้เราสวยขึ้นหรือดีขึ้น..ไม่ได้  ธรรมบัญญัติก็เหมือนกันที่สามารถทำได้แค่..ชี้ให้เรารู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก  อันไหนดี..อันไหนไม่ดี    เพราะฉะนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว มนุษย์ไม่รู้หรอก..ว่าอันไหน คือ ความบาป
ข้อที่ 57 จึงบอกว่า “จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”....เพราะเราอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหรือเปล่า..เปล่าเลย  น้าตุ๊กย้ำหลายครั้งแล้ว..ว่าเราอยู่ ”ใต้พระคุณ” ของพระเยซูคริสต์  เด็กๆต้องเคลียร์ความหมายตรงนี้ให้ดี   ใครจะอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..ให้เขาอยู่ไป อยากจะตะเกียกตะกายทำความดีด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง..ให้เขาทำไป  แต่เราไม่..เราไม่มีกำลังพอ  เราไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์เหมอนพระเยซูคริสต์ได้..ด้วยการทำเหมือน  แต่เราจะไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ด้วยการ”ทรงสถิต”ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเท่านั้นที่จะประทานพระคุณนั้นแก่เรา  ความรู้ในกฎบัญญัติ..จะกี่ข้อก็ตามมันช่วยให้เราเป็นคนดีพร้อม..ไม่ได้   กฎบัญญัติมีแต่จะตอกย้ำซ้ำเติมว่าเราน่าเกลียดสูง..ต่ำ..ดำ..เตี้ย..ผิดบาปแค่ไหน  เหมือนที่พระคัมภีร์บอก  “..ฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ”... ดังนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว  ความบาปจะออกฤทธิ์..ไม่ได้เลย !  มนุษย์จะไม่รู้จัก..ว่าบาปเป็นยังไง   แต่ที่บาปออกฤทธิ์เต็มขนาดได้  เพราะมีธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกหรือผิด..มัน missing target แค่ไหน   และ สิ่งเดียวในสากลโลกที่จะล้างบาปในใจมนุษย์ได้..ในขณะที่มีธรรมบัญญัติ ก็คือ พระคุณความชอบธรรมที่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์  อย่างเดียวเท่านั้น..ที่จะชำระเราได้ในระดับที่ลึกถึงจิตวิญญาณ
 กลับมาที่หนังสือมัทธิว..  
ดู มัทธิว 26:3-5   ข้อนี้ บอกว่า พวกผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนกลุ่มนึงกำลังวางแผนที่จะฆ่าพระเยซู  นำโดยมหาปุโรหิตของพวกยิวที่ชื่อ “คายาฟาส”   คายาฟาส..มีอีกชื่อว่า โยเซฟ  เขาเป็นมหาปุโรหิตที่ประจำการในช่วงปี คศ.18-36  พระคำภีร์บอกว่าคายาฟาสเป็นคนวางแผนการที่จะดำเนินคดีพระเยซูโดยใช้”อุบาย”   ถ้าต้องใช้อุบาย หมายความว่า..จริงๆแล้วพระเยซูไม่มีความผิด  แต่อยากจะฆ่าพระองค์ให้ได้  ก็เลยต้องวางแผนการยัดเยียดความผิด..ตั้งพยานเท็จ  อะไรต่างๆ เพื่อที่พระเยซูจะได้ต้องโทษถึงประหารชีวิต     ข้อที่ 5 บอกว่า “แต่เขาตกลงกันว่า "ในช่วงเทศกาลอย่าพึ่งทำเลย เดี๋ยวประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”..รอให้ผ่านปัสกาไปก่อน   เพราะ วันเทศกาลประชาชนจะต้องเตรียมเครื่องถวายบูชาฆ่าแกะ..ฆ่าแพะ อะไรต่างๆ มันก็เรื่องเยอะพอแล้ว  และถ้าจะจับกุมพระเยซูวันเทศกาล..เดี๋ยวความวุ่นวายมันจะเพิ่มเป็นสองเท่า เพราะจริงๆเขายังไม่รู้หรอกว่าจะฆ่าพระองค์สำเร็จมั๊ย   มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้..ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า
ดู มัทธิว 26:14-16   “ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ถามว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์ (ซึ่งหมายถึงพระเยซู)..ให้ท่านจับ ท่านทั้งหลายจะข้าพเจ้าเท่าไหร่" ฝ่ายเขาก็ให้เหรียญเงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญ”    
เรื่องยูดาสอายัดพระเยซู..เป็นเรื่องที่คริสเตียนรู้จักดี..เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก    ยูดาส อิสคาริโอท เป็น 1 ใน สาวก 12 คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมากๆ   หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า..ทำไม ยูดาสถึงทำได้ลงคอ   เหตุผลในมุมมองของนักวิชาการบางคน  ก็อธิบายว่า  “ อิสราเอล ..เป็นชนชาติที่มีความเชื่อหรือความรักชาติอย่างเข้มข้น  เขาภูมิใจในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  แตะเรื่องอะไรก็ได้..แต่อย่าแตะเรื่องศาสนาหรือความเชื่อนะ..เขายอมตายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว  ถ้าเราสังเกตดู  จะเห็นว่าในอิสราเอลจะมีกลุ่มบุคคลที่ร้อนรนในความเชื่อและรักชาติอย่างสุดขั้วอยู่..เยอะมากในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นโมเสส โยชูวา  ผู้วินิจฉัยทุกคนที่พระเจ้าส่งมาช่วยกู้อิสราเอล  มาจนถึงสมัยพระเยซูคริสต์..ที่อิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของโรม ก็ยังมีคนกลุ่มนึง คือ  “พวกซีล็อต” ที่พยายามจะกบฏต่อโรมหลายต่อหลายครั้ง  แล้วเขาก็เคยทำสำเร็จด้วย..ครั้งนึง  แต่หลังจากนั้น โรมก็ยกทัพมาบดขยี้เผาทำลายเยรูซาเล็ม  จนพวกซีล็อตต้องหนีไปอยู่ที่”ป้อมมาซาดา” ป้อมมาซาดานี่ดังมาก..เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก  ก็ เพราะเป็นที่ๆ พวกซีล็อตไปจนมุมทหารโรมัน  แต่พวกเขาไม่ยอมตายด้วยน้ำมือคนต่างชาติ     แต่เลือกที่จะตายด้วยมือของคนชาติเดียวกัน   เขาทำไง..ก็ฆ่ากันเอง  คือ พ่อฆ่าลูก..พี่ฆ่าน้อง แล้วเหลือคนสุดท้ายก็ฆ่าตัวเองตาย  นี่คือ ความรักชาติ..รักศักดิ์ศรีอย่างเข้มข้นของยิว   
และพวกซีล็อตที่ว่านี้ก็อยู่ในสมัยของพระเยซูคริสต์..แล้วก็จับตาดูพระเยซูอยู่    แต่..เขารู้สึกผิดหวังที่พระเยซูไม่ฉวยโอกาสกบฏต่อโรม   เขาคิดอยู่อย่างเดียว..ว่าพระเมสสิยาห์จะมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอลให้ได้มีเอกราช..ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของโรม..เหมือนคนที่พระเจ้าส่งมาในสมัยผู้วินิจฉัย  เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ..คิดไม่ถึง  ดังนั้น พวกซีล็อตก็คงไม่ปลื้มพระเยซูเท่าไหร่   เพราะพระองค์ไม่นิยมความรุนแรง..ซึ่งก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง   และยูดาสก็เช่นกัน..ที่อาจจะคิดแบบเดียวกันหรือรู้สึกผิดหวังในองค์พระเยซูด้วยรึเปล่า..ถึงตัดสินใจอายัดพระองค์เพื่อแลกกับเงิน 30 เหรียญ..นี่เป็นอีกมุมมองนึง
ดู มัทธิว 26:17-19  ปัสกาสุดท้ายก่อนวันที่พระเยซูจะถูกตรึงมาถึงแล้วนะคะ   ข้อนี้ สาวกก็มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงปัสกาที่ไหน “  ในมัทธิว บันทึกไว้แค่ว่า “สาวกเหล่านั้นก็กระทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่ง  แต่ในมาระโก..ลูกา  บันทึกไว้ละเอียดกว่านั้น คือ พระเยซูสั่งให้สาวกเข้าไปในเมือง  แล้วบอกว่า..จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป  แล้วเขาจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว  ซึ่งห้องนั้นจะเป็นที่ที่พระองค์ร่วมปัสกากับสาวก  พอสาวกไป..แล้วก็เจอจริงๆ ตามที่พระเยซูบอก   
ข้อที่ 21 พระเยซูได้เป็นพยานว่า ยูดาสจะทรยศพระองค์  เมื่อรับประทานกันอยู่พระองค์จึงตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา  ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์นัก  พากันถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ" (ใช่เขามั๊ย ใช่เขามั๊ย) พระองค์ตรัสตอบว่า (ยอห์น 13:26 )   "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้" และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอท..”...ก็เป็นที่ชัดเจนว่าพระองค์หมายถึง ยูดาส
ดู มัทธิว 26:26-29  หลังจากทานปัสกาเสร็จ  พระเยซูก็เริ่มประกอบพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก  โดยใช้เหล้าองุ่นกับขนมปังไร้เชื้อที่ใช้กันในเทศกาลนั้นแหละ..เป็นองค์ประกอบสำคัญและพระองค์ก็สั่งตั้งแต่ตอนนี้ ..ว่าให้เราทำมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการทนทุกข์ของพระองค์..ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้า   จากนั้น ยูดาสก็ไปหาปุโรหิตเพื่อเตรียมที่จะชี้ตัวพระเยซู  ส่วนพระเยซู..หลังจากปัสกาแล้ว  พระองค์ไปที่..”สวนเกทเสมนี”   สวนเกทเสมนี..เป็นสวนมะกอกเทศตั้งอยู่เชิงเขาทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม  เกทเสมนี..ภาษาฮีบรู แปลว่า “ที่คั้นน้ำมันมะกอก”  ถามว่ายูดาสรู้มั๊ย..ว่าพระองค์จะไปที่นั่น..รู้แน่นอน  เพราะเป็นที่ที่พระเยซูชอบไปอธิฐาน  ข้อที่ 37 บอกว่า พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด”....พระเยซูรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  และพระองค์ต้องการเพื่อน...  แต่ สาวก..ลืมตาไม่ขึ้น  เพราะตอนนั้นน่าจะประมาณตี 1 แล้ว  สาวกก็เลยเอาแต่นอน
ดู มัทธิว 26:39 ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”...มีคนเคยถามน้าตุ๊กว่า ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานอย่างนี้   ปัญหาของเขา คือ คำว่า “ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป.” ...ถ้าเลื่อนไปการไถ่บาปก็ไม่สำเร็จสิ  แล้วทำไมพระเยซูถึงขออย่างนี้  น้าตุ๊กก็อธิบายว่า พระคัมภีร์บันทึกอย่างนี้เพื่อ..ให้เรารู้ว่า “พระเยซูทรงสภาพมนุษย์จริง 100 %”  พระองค์รู้มั๊ยว่า..พระองค์มาจากพระบิดา..รู้  รู้มั๊ยว่า..พระองค์เป็นพระเจ้า..รู้แน่นอน  แต่ในขณะเดียวกันเมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้เราแล้ว  พระองค์ก็ทรงสภาพมนุษย์ 100%   เรารู้เพราะไร..พระองค์หิวเป็น..เจ็บเป็น..รู้จักเหนื่อย..รู้จักกลัว คำอธิฐานของพระองค์ในข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์”กลัวนะ”..กลัวจนเหงื่อเป็นเลือด  นี่คือ พระประสงค์ของพระเจ้าที่บันทึกพระคำข้อนี้ไว้..เพื่อให้เราเข้าใจ..ว่าการไถ่บาปของพระคริสต์ “แฟร์ เพลย์”..บริสุทธิ์ยุติธรรม.. ไม่ใช่บอกมาไถ่บาป..ยอมถูกตรึง..แต่ไม่เจ็บ..ไม่ใช่
 เหมือนเวลาเราดูหนัง..ส่วนใหญ่   พระเอกกับผู้ร้าย..ต่อให้มีอาวุธเลิศ หรู อลังการแค่ไหน..แต่พอฉากสุดท้าย ต้อง..มาต่อยกัน  มือเปล่า.. ปลดอาวุธออกทั้งคู่..เพื่อให้รู้ว่า มันแฟร์นะ..ถ้าพระเอกชนะ..ก็ขาวสะอาด   ในทางเดียวกัน พระเยซูทรงชนะอย่างขาวสะอาด..เราที่เชื่อในการไถ่ของพระองค์ก็”ขาวสะอาด”ไปกับพระองค์ด้วย   (นี่คือ ภาพที่อธิบายได้)
แต่ยังไงก็ตาม ข้อนี้ พระเยซูก็ทรงลงท้ายคำอธิฐานของพระองค์ว่า แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า”....พระองค์แค่ขอ..ด้วยความกลัว..เพราะพระองค์ทรงสภาพมนุษย์  เนื้อหนังจึงทำให้พระองค์กลัว..แต่พระองค์ไม่บาป เพราะยังไง..พระองค์ก็ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระบิดา 
ดู มัทธิว 26:45-47  พระเยซูทรงอธิฐานในสวนเกทเสมนี 3 ครั้ง ..แล้วเวลานั้นก็มาถึง  พระองค์กลับมาบอกสาวกว่า “ตื่นได้แล้ว  จะนอนต่อกันอีกนานมั๊ย  คนที่จะอายัดพระองค์กำลังมาแล้ว  ..พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ  ยูดาส ก็พาคนของปุโรหิตและพวกผู้นำประชาชน..ถือทั้งดาบ..ทั้งตะบอง  เข้ามาจับพระเยซู   โดย ยูดาสให้สัญญาณว่า..ถ้าเขาจุบคนไหน..คนนั้นแหละ คือ พระเยซู  (การจุบ ถือเป็นธรรมเนียมการทักทายด้วยความรักและนับถือของยิว)   ข้อที่ 49 บอก “ขณะนั้น ยูดาสก็ตรงมาหาพระเยซูทูลว่า "สวัสดี พระอาจารย์" แล้วจุบพระองค์  พอยูดาสจุบ ปั๊บ.. คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมตัวพระองค์ไป”....
ข้อที่ 57 บอกว่า “ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังบ้านของ”คายาฟาส”มหาปุโรหิต ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่”....จริงๆคนพวกนี้เขาประชุมกันตั้งแต่ก่อนจะส่งยูดาสไปจับพระเยซูแล้ว...ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุม  เพราะคืนวันปัสกาเป็นวันพฤหัส..วันรุ่งขึ้นก็คือวันศุกร์..  แล้ววันเสาร์ คือ สะบาโต  หมายความว่าถ้าเขาจะฆ่าพระเยซู...เขาต้องทำให้เรียบร้อยภายก่อนวันสะบาโต  (เพราะ วันสะบาโต ห้ามประหารชีวิตคน)  แล้ว จริงๆสะบาโต จะเริ่มนับตั้งแต่ศุกร์เย็นหลังตะวันตกดิน   เพราะฉะนั้น ถ้าจะรีบฆ่าพระเยซู..เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดิน.. พวกเขาถึงพยายามทำทุกอย่างแบบรวบรัด..
 ดู มัทธิว  26:59-63  พวกปุโรหิต กับ สมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาเบิกปรักปรำพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์เสีย”...เมื่อพระเยซูถูกจับมาอยู่ต่อหน้าปุโรหิตและสภา..เขาก็ต้องมีการสอบสวน  และปุโรหิตพวกนี้ก็มีการตั้งพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู   ถ้าต้องตั้งพยานเท็จมาปรักปรำ..มันก็หมายความว่า พระเยซูไม่มีความผิด   แต่ถึงจะตั้งมายังไง..ก็ยังเอาผิดพระองค์ไม่ได้   เพราะถึงจะมีพยานเท็จแต่..ไม่มีหลักฐาน     สุดท้าย คายาฟาสใช้ไม้ตาย...โดยเอาพระบัญญัติมาเป็นเครื่องมือปรักปรำพระเยซู  ข้อที่ 63  บอก “ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า "เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่... ให้พูดออกมาว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่"  พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ท่านว่าถูกแล้ว..” ...คำนี้เอง..ที่ทำให้พระเยซูโดนประหารชีวิต  เพราะยิวถือว่าการอ้างตัว..อย่างนี้ เป็นการลบหลู่พระเจ้า ..และจะต้องโทษถึงตาย   “...และยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”...พอพระเยซูพูดจบปุโรหิตฉีกเสื้อผ้า..เป็นสัญญาณว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า 
สุดท้าย สภาก็ลงมติให้พระเยซูรับโทษตาย   จากนั้น ก็นำตัวพระองค์ไปให้ปีลาต..ในตอนที่อยู่ต่อหน้าปีลาต  ให้เด็กๆเปิดไปที่หนังสือลูกา..เพราะบันทึกไว้ชัดเจนกว่า...

ดู ลูกา 23:13-18   ที่พวกปุโรหิตต้องพาพระเยซูมาหาปีลาตก็เพรา..ตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลโรม  ซึ่งตอนนั้น ตัวแทนของรัฐบาลโรมก็คือ ปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่โรมแต่งตั้งไว้  ทีนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด  ที่สำคัญก็คือ ภรรยาของเขาก็บอกให้ปล่อยพระเยซูไปเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี..ชายคนนี้เป็นคนชอบธรรม..เขาไม่มีความผิด   ปีลาตจึง..พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เอาไปเฆี่ยน..แค่นี้พอแล้ว..เฆี่ยนเสร็จก็ปล่อยตัวไป  พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม  ปีลาตก็พยายามอีก..บอกวันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส  ข้อที่ 20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้ต้องการยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนเรียนว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   
    หมดเวลาแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น