บทที่ 26 “ใกล้ถึงวาระที่พระเยซูคริสต์จะถูกอายัดและตรึงที่กางเขน”
ดู มัทธิว 26:1-2 จากคราวที่แล้ว หลังจากที่พระเยซูตรัสถึงวันพิพากษาเสร็จ พระองค์ก็บอกสาวกว่า “อีกสองวันจะถึงวันปัสกา และ บุตรมนุษย์
ซึ่งหมายถึงพระองค์เอง..จะถูกอายัดไว้และถูกตรึงที่กางเขน ” .....เด็กๆจำวันปัสกาได้มั๊ยคะ
ถ้าเรียนหนังสืออพยพ ก็น่าจะจำได้ ปัสกา คือ วันที่พระเจ้าปลดปล่อยิวหรือฮีบรู
(นำโดยโมเสส)..ให้หลุดพ้นจากความเป็นทาส..และพาพวกเขาออกจากอียิปต์
มาสู่คานาอัน..ดินแดนที่พระองค์สัญญาไว้
ปัสกา คือ
คืนที่พระเจ้าส่งทูตมรณะมาประหารบุตรหัวปีทั้งหมด..ของคนอียิปต์ เพราะ ความดื้อของฟาโรห์..ที่ไม่ยอมปล่อยคนของพระเจ้าไป..ทั้งที่พระองค์ส่งภัยพิบัติมาเตือนแล้วถึง
9 ครั้ง ให้เราย้อนไปดูหนังสืออพยพ เพราะ แท้จริงแล้วการปัสกาในวันนั้น คือ
หมายสำคัญที่พระเจ้าสำแดงกับเรา..ถึงสิ่งที่พระเยซูกำลังจะทำในหนังสือมัทธิวข้อนี้...
อพยพ 12:5-7 / 23-24 “..ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ ...ในเย็นวันนั้นให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง
และไม้ข้างบน เพราะพระเยโฮวาห์จะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์
เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบนและที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง
พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน
เพื่อจะประหารท่าน ”
... ลูกแกะที่ปราศจากตำหนิ
เล็งถึงพระเยซูคริสต์ พระองค์ คือ ผู้เดียวที่ปราศจากตำหนิ เพราะ
พระองค์เกิดจากพระเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
ไม่ได้เกิดจากการสมสู่ของมนุษย์
พระเยซูจึงบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อความบาปจากอาดามบรรพบุรุษเหมือนเรา เลือดแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิ..ที่พระเจ้าให้ทาไว้ที่ประตู
จึงเล็งถึง เลือดของพระยซูคริสต์ที่จะหลั่งออกบนไม้กางเขนชำระบาปให้กับมนุษย์..เพื่อจิตวิญญาณของเราจะไม่ตายและได้รับความรอด...ได้รับการผ่านเว้น
จากทูตอะไรก็ตาม ถ้าเราเชื่อในโลหิตของพระเยซู..ก็จะไม่มีใครสามารถฆ่าวิญญาณของเราให้ตายได้ เหมือนที่ข้อนี้ บอกว่า พระเยโฮวาห์จะทรง”ผ่านเว้น”ประตูนั้น ไม่ยอมให้ผู้สังหารเข้าไป เพื่อจะประหารท่าน” .....บาปเวรหรือบ่วงกรรมอะไรก็ตาม..จะไม่สามารถเอาผิดหรืออายัดเราได้อีกเลย..ถ้าเราเชื่อพระเยซู โลหิตของพระองค์ก็จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันมารชั่วให้กับเรา
เปิดไปดูข้อพระคำที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
ดู 1โครินธ์ 15:55-58
“เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป
และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ..” ...”เหล็กใน”
แปลง่ายๆก็คือ พิษสง หมายความว่า “จริงๆแล้ว สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์..ไม่ใช่ความตาย แต่พิษสงหรือสิ่งที่มันออกฤทธิ์..และทำให้มนุษย์”เดือดร้อน”
ตอนจะตาย คือ “ความบาป”..
และความบาปออกฤทธิ์เพราะธรรมบัญญัติ”..อย่างที่น้าตุ๊กเคยสอนว่าธรรมบัญญัติเป็นเหมือนกระจกเงา..ซึ่งส่องแล้วทำให้เราสวยขึ้นหรือดีขึ้น..ไม่ได้
ธรรมบัญญัติก็เหมือนกันที่สามารถทำได้แค่..ชี้ให้เรารู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก อันไหนดี..อันไหนไม่ดี เพราะฉะนั้น
ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว มนุษย์ไม่รู้หรอก..ว่าอันไหน คือ ความบาป
ข้อที่ 57 จึงบอกว่า “จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า
ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”....เพราะเราอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหรือเปล่า..เปล่าเลย น้าตุ๊กย้ำหลายครั้งแล้ว..ว่าเราอยู่ ”ใต้พระคุณ”
ของพระเยซูคริสต์
เด็กๆต้องเคลียร์ความหมายตรงนี้ให้ดี
ใครจะอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..ให้เขาอยู่ไป อยากจะตะเกียกตะกายทำความดีด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง..ให้เขาทำไป แต่เราไม่..เราไม่มีกำลังพอ
เราไม่สามารถครบถ้วนสมบูรณ์เหมอนพระเยซูคริสต์ได้..ด้วยการทำเหมือน แต่เราจะไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ได้ด้วยการ”ทรงสถิต”ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเยซูเท่านั้นที่จะประทานพระคุณนั้นแก่เรา ความรู้ในกฎบัญญัติ..จะกี่ข้อก็ตามมันช่วยให้เราเป็นคนดีพร้อม..ไม่ได้ กฎบัญญัติมีแต่จะตอกย้ำซ้ำเติมว่าเราน่าเกลียดสูง..ต่ำ..ดำ..เตี้ย..ผิดบาปแค่ไหน เหมือนที่พระคัมภีร์บอก “..ฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ”... ดังนั้น ถ้าปราศจากธรรมบัญญัติแล้ว ความบาปจะออกฤทธิ์..ไม่ได้เลย !
มนุษย์จะไม่รู้จัก..ว่าบาปเป็นยังไง
แต่ที่บาปออกฤทธิ์เต็มขนาดได้ เพราะมีธรรมบัญญัติเป็นตัวบ่งชี้ว่าสิ่งที่เราทำมันถูกหรือผิด..มัน missing
target แค่ไหน และ
สิ่งเดียวในสากลโลกที่จะล้างบาปในใจมนุษย์ได้..ในขณะที่มีธรรมบัญญัติ ก็คือ พระคุณความชอบธรรมที่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างเดียวเท่านั้น..ที่จะชำระเราได้ในระดับที่ลึกถึงจิตวิญญาณ
กลับมาที่หนังสือมัทธิว..
ดู มัทธิว 26:3-5 ข้อนี้ บอกว่า
พวกผู้นำศาสนารวมทั้งประชาชนกลุ่มนึงกำลังวางแผนที่จะฆ่าพระเยซู นำโดยมหาปุโรหิตของพวกยิวที่ชื่อ
“คายาฟาส” คายาฟาส..มีอีกชื่อว่า โยเซฟ เขาเป็นมหาปุโรหิตที่ประจำการในช่วงปี คศ.18-36 พระคำภีร์บอกว่าคายาฟาสเป็นคนวางแผนการที่จะดำเนินคดีพระเยซูโดยใช้”อุบาย” ถ้าต้องใช้อุบาย หมายความว่า..จริงๆแล้วพระเยซูไม่มีความผิด แต่อยากจะฆ่าพระองค์ให้ได้ ก็เลยต้องวางแผนการยัดเยียดความผิด..ตั้งพยานเท็จ อะไรต่างๆ เพื่อที่พระเยซูจะได้ต้องโทษถึงประหารชีวิต ข้อที่ 5 บอกว่า “แต่เขาตกลงกันว่า "ในช่วงเทศกาลอย่าพึ่งทำเลย เดี๋ยวประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”..รอให้ผ่านปัสกาไปก่อน เพราะ วันเทศกาลประชาชนจะต้องเตรียมเครื่องถวายบูชาฆ่าแกะ..ฆ่าแพะ
อะไรต่างๆ มันก็เรื่องเยอะพอแล้ว และถ้าจะจับกุมพระเยซูวันเทศกาล..เดี๋ยวความวุ่นวายมันจะเพิ่มเป็นสองเท่า
เพราะจริงๆเขายังไม่รู้หรอกว่าจะฆ่าพระองค์สำเร็จมั๊ย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้..ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า
ดู มัทธิว 26:14-16 “ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ
ยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ถามว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะชี้พระองค์
(ซึ่งหมายถึงพระเยซู)..ให้ท่านจับ ท่านทั้งหลายจะข้าพเจ้าเท่าไหร่"
ฝ่ายเขาก็ให้เหรียญเงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญ”
เรื่องยูดาสอายัดพระเยซู..เป็นเรื่องที่คริสเตียนรู้จักดี..เรียนกันมาตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก ยูดาส
อิสคาริโอท เป็น 1 ใน สาวก 12 คนที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมากๆ หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า..ทำไม
ยูดาสถึงทำได้ลงคอ เหตุผลในมุมมองของนักวิชาการบางคน ก็อธิบายว่า “ อิสราเอล ..เป็นชนชาติที่มีความเชื่อหรือความรักชาติอย่างเข้มข้น เขาภูมิใจในการเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แตะเรื่องอะไรก็ได้..แต่อย่าแตะเรื่องศาสนาหรือความเชื่อนะ..เขายอมตายถวายชีวิตกันเลยทีเดียว ถ้าเราสังเกตดู จะเห็นว่าในอิสราเอลจะมีกลุ่มบุคคลที่ร้อนรนในความเชื่อและรักชาติอย่างสุดขั้วอยู่..เยอะมากในทุกยุคทุกสมัย
ไม่ว่าจะเป็นโมเสส โยชูวา ผู้วินิจฉัยทุกคนที่พระเจ้าส่งมาช่วยกู้อิสราเอล มาจนถึงสมัยพระเยซูคริสต์..ที่อิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของโรม
ก็ยังมีคนกลุ่มนึง คือ “พวกซีล็อต”
ที่พยายามจะกบฏต่อโรมหลายต่อหลายครั้ง
แล้วเขาก็เคยทำสำเร็จด้วย..ครั้งนึง
แต่หลังจากนั้น โรมก็ยกทัพมาบดขยี้เผาทำลายเยรูซาเล็ม จนพวกซีล็อตต้องหนีไปอยู่ที่”ป้อมมาซาดา” ป้อมมาซาดานี่ดังมาก..เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็ เพราะเป็นที่ๆ พวกซีล็อตไปจนมุมทหารโรมัน แต่พวกเขาไม่ยอมตายด้วยน้ำมือคนต่างชาติ
แต่เลือกที่จะตายด้วยมือของคนชาติเดียวกัน เขาทำไง..ก็ฆ่ากันเอง คือ พ่อฆ่าลูก..พี่ฆ่าน้อง
แล้วเหลือคนสุดท้ายก็ฆ่าตัวเองตาย นี่คือ
ความรักชาติ..รักศักดิ์ศรีอย่างเข้มข้นของยิว
และพวกซีล็อตที่ว่านี้ก็อยู่ในสมัยของพระเยซูคริสต์..แล้วก็จับตาดูพระเยซูอยู่ แต่..เขารู้สึกผิดหวังที่พระเยซูไม่ฉวยโอกาสกบฏต่อโรม เขาคิดอยู่อย่างเดียว..ว่าพระเมสสิยาห์จะมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอลให้ได้มีเอกราช..ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของโรม..เหมือนคนที่พระเจ้าส่งมาในสมัยผู้วินิจฉัย
เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ..คิดไม่ถึง ดังนั้น พวกซีล็อตก็คงไม่ปลื้มพระเยซูเท่าไหร่ เพราะพระองค์ไม่นิยมความรุนแรง..ซึ่งก็ทำให้พวกเขาผิดหวัง และยูดาสก็เช่นกัน..ที่อาจจะคิดแบบเดียวกันหรือรู้สึกผิดหวังในองค์พระเยซูด้วยรึเปล่า..ถึงตัดสินใจอายัดพระองค์เพื่อแลกกับเงิน
30
เหรียญ..นี่เป็นอีกมุมมองนึง
ดู มัทธิว 26:17-19 ปัสกาสุดท้ายก่อนวันที่พระเยซูจะถูกตรึงมาถึงแล้วนะคะ ข้อนี้
สาวกก็มาทูลถามพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงปัสกาที่ไหน “ ในมัทธิว บันทึกไว้แค่ว่า “สาวกเหล่านั้นก็กระทำตามที่พระเยซูทรงรับสั่ง
แต่ในมาระโก..ลูกา บันทึกไว้ละเอียดกว่านั้น คือ
พระเยซูสั่งให้สาวกเข้าไปในเมือง แล้วบอกว่า..จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป แล้วเขาจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว
ซึ่งห้องนั้นจะเป็นที่ที่พระองค์ร่วมปัสกากับสาวก พอสาวกไป..แล้วก็เจอจริงๆ ตามที่พระเยซูบอก
ข้อที่ 21 พระเยซูได้เป็นพยานว่า
ยูดาสจะทรยศพระองค์ “ เมื่อรับประทานกันอยู่พระองค์จึงตรัสว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์นัก พากันถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า
คือข้าพระองค์หรือ" (ใช่เขามั๊ย ใช่เขามั๊ย) พระองค์ตรัสตอบว่า (ยอห์น 13:26 ) "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้"
และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอท..”...ก็เป็นที่ชัดเจนว่าพระองค์หมายถึง
ยูดาส
ดู มัทธิว 26:26-29 หลังจากทานปัสกาเสร็จ
พระเยซูก็เริ่มประกอบพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก โดยใช้เหล้าองุ่นกับขนมปังไร้เชื้อที่ใช้กันในเทศกาลนั้นแหละ..เป็นองค์ประกอบสำคัญและพระองค์ก็สั่งตั้งแต่ตอนนี้
..ว่าให้เราทำมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการทนทุกข์ของพระองค์..ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชม.ข้างหน้า จากนั้น
ยูดาสก็ไปหาปุโรหิตเพื่อเตรียมที่จะชี้ตัวพระเยซู
ส่วนพระเยซู..หลังจากปัสกาแล้ว
พระองค์ไปที่..”สวนเกทเสมนี” สวนเกทเสมนี..เป็นสวนมะกอกเทศตั้งอยู่เชิงเขาทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม เกทเสมนี..ภาษาฮีบรู แปลว่า
“ที่คั้นน้ำมันมะกอก” ถามว่ายูดาสรู้มั๊ย..ว่าพระองค์จะไปที่นั่น..รู้แน่นอน เพราะเป็นที่ที่พระเยซูชอบไปอธิฐาน ข้อที่ 37 บอกว่า “พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย
พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
"ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด”....พระเยซูรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
และพระองค์ต้องการเพื่อน... แต่
สาวก..ลืมตาไม่ขึ้น
เพราะตอนนั้นน่าจะประมาณตี 1
แล้ว สาวกก็เลยเอาแต่นอน
ดู มัทธิว 26:39 ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรงซบพระพักตร์ลงถึงดิน
อธิษฐานว่า "โอ พระบิดาของข้าพระองค์
ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี
อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”...มีคนเคยถามน้าตุ๊กว่า ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานอย่างนี้ ปัญหาของเขา คือ คำว่า “ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไป.” ...ถ้าเลื่อนไปการไถ่บาปก็ไม่สำเร็จสิ แล้วทำไมพระเยซูถึงขออย่างนี้
น้าตุ๊กก็อธิบายว่า
พระคัมภีร์บันทึกอย่างนี้เพื่อ..ให้เรารู้ว่า “พระเยซูทรงสภาพมนุษย์จริง 100
%” พระองค์รู้มั๊ยว่า..พระองค์มาจากพระบิดา..รู้ รู้มั๊ยว่า..พระองค์เป็นพระเจ้า..รู้แน่นอน
แต่ในขณะเดียวกันเมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้เราแล้ว พระองค์ก็ทรงสภาพมนุษย์ 100% เรารู้เพราะไร..พระองค์หิวเป็น..เจ็บเป็น..รู้จักเหนื่อย..รู้จักกลัว
คำอธิฐานของพระองค์ในข้อนี้ ทำให้เรารู้ว่าพระองค์”กลัวนะ”..กลัวจนเหงื่อเป็นเลือด นี่คือ
พระประสงค์ของพระเจ้าที่บันทึกพระคำข้อนี้ไว้..เพื่อให้เราเข้าใจ..ว่าการไถ่บาปของพระคริสต์
“แฟร์ เพลย์”..บริสุทธิ์ยุติธรรม..
ไม่ใช่บอกมาไถ่บาป..ยอมถูกตรึง..แต่ไม่เจ็บ..ไม่ใช่
เหมือนเวลาเราดูหนัง..ส่วนใหญ่ พระเอกกับผู้ร้าย..ต่อให้มีอาวุธเลิศ หรู
อลังการแค่ไหน..แต่พอฉากสุดท้าย ต้อง..มาต่อยกัน
มือเปล่า.. ปลดอาวุธออกทั้งคู่..เพื่อให้รู้ว่า
มันแฟร์นะ..ถ้าพระเอกชนะ..ก็ขาวสะอาด ในทางเดียวกัน พระเยซูทรงชนะอย่างขาวสะอาด..เราที่เชื่อในการไถ่ของพระองค์ก็”ขาวสะอาด”ไปกับพระองค์ด้วย (นี่คือ
ภาพที่อธิบายได้)
แต่ยังไงก็ตาม
ข้อนี้ พระเยซูก็ทรงลงท้ายคำอธิฐานของพระองค์ว่า “แต่อย่างไรก็ดี
อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้า”....พระองค์แค่ขอ..ด้วยความกลัว..เพราะพระองค์ทรงสภาพมนุษย์ เนื้อหนังจึงทำให้พระองค์กลัว..แต่พระองค์ไม่บาป
เพราะยังไง..พระองค์ก็ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระบิดา
ดู มัทธิว 26:45-47
พระเยซูทรงอธิฐานในสวนเกทเสมนี 3 ครั้ง
..แล้วเวลานั้นก็มาถึง พระองค์กลับมาบอกสาวกว่า
“ตื่นได้แล้ว จะนอนต่อกันอีกนานมั๊ย คนที่จะอายัดพระองค์กำลังมาแล้ว ..พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาส ก็พาคนของปุโรหิตและพวกผู้นำประชาชน..ถือทั้งดาบ..ทั้งตะบอง เข้ามาจับพระเยซู โดย
ยูดาสให้สัญญาณว่า..ถ้าเขาจุบคนไหน..คนนั้นแหละ คือ พระเยซู (การจุบ
ถือเป็นธรรมเนียมการทักทายด้วยความรักและนับถือของยิว) ข้อที่ 49 บอก “ขณะนั้น ยูดาสก็ตรงมาหาพระเยซูทูลว่า
"สวัสดี พระอาจารย์" แล้วจุบพระองค์ พอยูดาสจุบ ปั๊บ.. คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมตัวพระองค์ไป”....
ข้อที่ 57 บอกว่า “ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปยังบ้านของ”คายาฟาส”มหาปุโรหิต
ที่ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมกันอยู่”....จริงๆคนพวกนี้เขาประชุมกันตั้งแต่ก่อนจะส่งยูดาสไปจับพระเยซูแล้ว...ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุม เพราะคืนวันปัสกาเป็นวันพฤหัส..วันรุ่งขึ้นก็คือวันศุกร์..
แล้ววันเสาร์ คือ สะบาโต หมายความว่าถ้าเขาจะฆ่าพระเยซู...เขาต้องทำให้เรียบร้อยภายก่อนวันสะบาโต (เพราะ วันสะบาโต ห้ามประหารชีวิตคน) แล้ว จริงๆสะบาโต จะเริ่มนับตั้งแต่ศุกร์เย็นหลังตะวันตกดิน เพราะฉะนั้น ถ้าจะรีบฆ่าพระเยซู..เขาต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดิน..
พวกเขาถึงพยายามทำทุกอย่างแบบรวบรัด..
ดู มัทธิว
26:59-63
“พวกปุโรหิต กับ สมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาเบิกปรักปรำพระเยซู
เพื่อจะประหารพระองค์เสีย”...เมื่อพระเยซูถูกจับมาอยู่ต่อหน้าปุโรหิตและสภา..เขาก็ต้องมีการสอบสวน
และปุโรหิตพวกนี้ก็มีการตั้งพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซู
ถ้าต้องตั้งพยานเท็จมาปรักปรำ..มันก็หมายความว่า พระเยซูไม่มีความผิด แต่ถึงจะตั้งมายังไง..ก็ยังเอาผิดพระองค์ไม่ได้ เพราะถึงจะมีพยานเท็จแต่..ไม่มีหลักฐาน สุดท้าย
คายาฟาสใช้ไม้ตาย...โดยเอาพระบัญญัติมาเป็นเครื่องมือปรักปรำพระเยซู ข้อที่
63 บอก “ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า
"เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่... ให้พูดออกมาว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่" พระเยซูตรัสกับเขาว่า
"ท่านว่าถูกแล้ว..” ...คำนี้เอง..ที่ทำให้พระเยซูโดนประหารชีวิต เพราะยิวถือว่าการอ้างตัว..อย่างนี้ เป็นการลบหลู่พระเจ้า
..และจะต้องโทษถึงตาย “...และยิ่งกว่านั้นอีก
เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุภาพ
และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”...พอพระเยซูพูดจบปุโรหิตฉีกเสื้อผ้า..เป็นสัญญาณว่าพระองค์พูดดูหมิ่นพระเจ้า
สุดท้าย สภาก็ลงมติให้พระเยซูรับโทษตาย จากนั้น
ก็นำตัวพระองค์ไปให้ปีลาต..ในตอนที่อยู่ต่อหน้าปีลาต
ให้เด็กๆเปิดไปที่หนังสือลูกา..เพราะบันทึกไว้ชัดเจนกว่า...
ดู ลูกา 23:13-18
ที่พวกปุโรหิตต้องพาพระเยซูมาหาปีลาตก็เพรา..ตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลโรม ซึ่งตอนนั้น ตัวแทนของรัฐบาลโรมก็คือ ปีลาต
ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่โรมแต่งตั้งไว้ ทีนี้
เมื่ออยู่ต่อหน้าปีลาต ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด ที่สำคัญก็คือ
ภรรยาของเขาก็บอกให้ปล่อยพระเยซูไปเพราะเมื่อคืนฝันไม่ดี..ชายคนนี้เป็นคนชอบธรรม..เขาไม่มีความผิด ปีลาตจึง..พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป บอกให้เอาไปเฆี่ยน..แค่นี้พอแล้ว..เฆี่ยนเสร็จก็ปล่อยตัวไป พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม ปีลาตก็พยายามอีก..บอกวันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร เขาบอก..ปล่อยบารับบัส ข้อที่ 20 บอกว่า “ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า
"ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด" ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า
"ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย
เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย” แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้ต้องการยืมมือเขาฆ่าพระเยซู สุดท้าย
ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้
เจ้ารับธุระเอาเองเถิด" บรรดาหมู่ชนเรียนว่า
"ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"
หมดเวลาแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น