เราจบลงที่มัทธิว 23:9-10 พระเยซูบอกเราว่า
“..อย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว
คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์ และ..อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า
“พระครู” ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์.....” จริงๆแล้ว โดยส่วตัวน้าตูกคิดว่า..เหตุผลของพระเจ้า
ก็คือ พระองค์ไม่อยากให้เราไปหลงยกย่องเทิดทูลมหรือฝากความหวังไว้กับมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจาก มันจะทำให้เรา ”ผิดหวัง” ! เพราะมนุษย์มีความจำกัด..ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็น
พ่อเรา แม่เรา ลูกเรา
พี่น้อง คนรัก หรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า ทุกคนเหนื่อยเป็นมั๊ย ทุกคนเหนื่อยเป็น...หิวเป็น..เจ็บเป็น รู้จักร้อน..รู้จักหนาว รู้จักโกรธ
มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆได้พอพอกัน
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปคาดหวังหรือเรียกหาความสมบูรณ์แบบในคนเหล่านี้ แน่นอนไม่วันใด..วันหนึ่งเขาต้องทำเราผิดหวังหรือเสียใจ..ไม่มากก็น้อย เคยน้อยใจพ่อแม่มั๊ย..น้าตุ๊กก็เคยน้อยใจลูก เคยทะเลาะกับแฟนรึเปล่า..เคยอยู่แล้วล่ะ เคยแอบคิดมั๊ย..ว่า โอโห ! อาจารย์คนนี้เทศน์ทีไร..ง่วงทุกที..เคยแน่นอน เพราะงั้น ถ้าเราไม่เข้าใจในจุดนี้..
เราต้องเสียใจอีกเยอะ ! “ย้ำ” อีกเยอะ!
ดู สดุดี 95:3-6 / วิวรณ์ 1:8 ในหนังสือ สดุดีบอกว่า “เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง
และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ที่สูงของภูเขาเป็นของพระองค์ด้วย วิวรณ์
บันทึกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า
"เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและเป็นอวสาน ผู้ทรงเป็นอยู่เดี๋ยวนี้
ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด" .......ไม่ใช่แค่มนุษย์..ที่พระเจ้าไม่อยากให้เราไปฝากความหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นนามอื่นใด..ก็ช่วยเราไม่ได้
“จริง”.. อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ ”เป็นตัวอย่าง”
บำเพ็ญอะไรก็ว่าไป
แต่ไม่มีใครเลยที่กล้าบอกว่าตัวเอง คือ “ผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดได้”
เหมือน”พระเยซู”..ไม่มี
นอกจากจะไม่อยากให้เราผิดหวังแล้ว..พระเยซูยังอยากให้เรามีใจที่ถ่อมลงด้วย ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริบทนี้พระองค์ทรงเล็งถึงคนที่เป็นผู้นำทางความเชื่อ..ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล ครู นักเทศน์ ผู้ปกครองหรืออะไรก็ไรก็แล้วแต่ จงอย่าเผลอไปยึดติดกับสถานะหรือแสวงหาเกียรติยศหรือคำสรรเสริญจากมนุษย์ แต่ทั้ง 2
ข้อนี้ พระเยซูไม่ได้สอนให้เรา..ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่นนะคะ แต่พระองค์แค่ไม่ต้องการให้เรายึดติดกับสถานะทางโลก พระเจ้ารู้ดีว่า “อะไรจะเกิดขึ้น
ในเวลาที่มนุษย์พบความสำเร็จเยอะๆ..ได้รับการยอมรับหรือมีคนยกย่องสรรเสริญมากๆ” ..ส่วนใหญ่ก็จะหลงเจิ่นไป ลืมพระเจ้าแล้วก็ลืมว่าตัวเองเป็นใคร
ดู มัทธิว 23:11-12
“ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลาย”...ทางของพระเจ้ากลับกัน..กับทางของพวกฟาริสีอย่างสิ้นเชิง
พระองค์บอกว่าใครก็ตามที่เป็นใหญ่..มีศักดิ์..มีสิทธิอำนาจ..ในท่ามกลางพี่น้อง คนนั้นจะต้องปรนนิบัติรับใช้คนอื่น..อย่างในบริบทนี้ พระเยซูพูดถึงพวกผู้นำทางศาสนา ดังนั้น ใครก็ตามที่มีบทบาทหรือมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของผู้คน
..เขาเหล่านั้น มีหน้าที่ต้องปรนนิบัติ..รับใช้ พี่น้อง คนเหล่านั้นต้องยอมเสียสละและยอมทำทุกวิถีทางที่จะให้จิตวิญญาณของทุกคนตั้งมั่นอยู่ในทางของพระเจ้า..ได้รับความรอด..ไม่สะดุดหรือหลงหายไป คิดง่ายๆ ก็คือ ดู”พระเยซูคริสต์”เป็นตัวอย่าง พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการถ่อมใจลง..ยอมทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา ทั้งที่พระองค์เป็นพระเจ้า การที่มายอมมาเกิดเป็นมนุษย์..นี่คือ ภาพที่ทรงถ่อมสุดๆแล้ว สุดขนาดไหน..มันบรรยายไม่ถูกหรอก แต่น้าตุ๊กรับรองว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะถ่อมใจได้อย่างพระเยซูคริสต์แน่นอน เอาง่ายๆ
สมมติว่าถ้าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ (เรื่องนี้
ก็เคยสอนไปแล้ว)..ถ้าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ แล้วคุณพ่อก็อยากให้เรารับช่วงกิจการต่อ..ก็เลยอยากให้เราได้ฝึกงานทุกขั้นตอน
โดยเริ่มจากให้ไปเป็นภารโรงหรือเด็กชงกาแฟใน”บริษัทของตัวเอง”ก่อน น้าตุ๊กว่า..แค่นี้หลายคนก็รับไม่ได้แล้ว เพราะไร..นี่ฉันเป็นลูกเจ้าของนะ..เป็นถึงลูก M.D.
หรือ CEO ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลย..ใช่มะ แต่
! พระเยซูคริสต์..พระองค์ไม่ได้เป็นแค่”
CEO ! “ พระองค์เป็นพระเจ้า
!!!...มันคนละเรื่องเลยนะ
แต่พระองค์ก็ทรงเต็มใจที่จะลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์...ในโลกที่”พ่อของพระองค์เป็นเจ้าของกิจาร”...เพื่อ !
ช่วยเราทุกคนให้รอด แล้วพระองค์มาแบบไหน..มาเกิดในวังที่ทำด้วยทองรึเปล่า..มีข้าราชบริพารรองมือรองเท้าพระองค์มั๊ย..ไม่ใช่เลย ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือ
ไม่มีแม้แต่ที่จะรองพระบาท ต่ำสุดกว่าที่เราต้องไปเป็นภารโรงซะอีก
แล้วตลอดพระชนม์ชีพของพระเยซู..พระองค์ก็มีแต่รับใช้ผู้คน..ทั้งรักษาโรค..บรรเทาความอดอยาก เทศนาสั่งสอน..ล้างเท้าให้สาวก นี่แหละ !
คือ ภาพของ ความหมายในข้อนี้
“ผู้ใดที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน
ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลาย”
ดู มัทธิว 23:13 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี.. ด้วยว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรสวรรค์ไว้จากมนุษย์
เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้”....”เพราะ”พระเยซู
คือ ประตูแห่งสวรรค์ พระเยซูเป็นทางเดียวที่จะนำมนุษย์ไปสู่สวรรค์ได้แต่ทุกวันนี้
“ยิว” ก็ยังไม่เชื่อพระเยซู
เพราะอะไร..ก็ถูกพวกผู้นำฝ่ายวิญญาณ..อย่างธรรมาจารย์..ฟาริสีชี้นำให้เดินทางผิด คนพวกนี้ห่วงแต่จะกอดตำแหน่งไว้..ใครจะใหญ่กว่าฉัน..ไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วตำแหน่งผู้นำฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล..ก็นับว่ามีเกียรติ..น่าภูมิใจมาก แต่ธรรมาจาร.ย์..ฟาริสีไม่แค่ภูมิใจ..เขายึดติดเลย ยึดติดแล้วก็ฉกฉวยโอกาสของความเป็นผู้นำหาประโยชน์ใส่ตัว
การเอาภาระไปเพิ่มให้ประชาชนโดยการเพิ่มรายละเอียดเข้าไปพระบัญญัติเพื่อให้ทำยากขึ้นเนี่ย ! น้าตุ๊กว่า..มันเป็นแท็กซติคอย่างหนึ่งนะ ในการที่จะผูกมัดประชานไว้ ใส่ภาระให้เยอะๆ ทำยากๆจะได้ไม่ว่างไปยุ่งเรื่องอื่น
แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งพระเยซูก็เสด็จมาและมาในสภาพมนุษย์ธรรมดาๆคนนึง ลองนึกภาพดูว่า ธรรมาจารย์กับฟาริสีจะยอมรับพระเยซูง่ายๆมั๊ยล่ะ..ไม่มีทางหรอก ไม่ใช่แค่..ไม่ยอมรับ
แต่ทั้งจิก..ทั้งกัด..ขัดขวาง..สารพัด จนสุดท้าย ก็เอาพระองค์ไปฆ่าเลย นี่คือ
การพยายามปิดประตูสวรรค์ที่ตัวเองไม่ยอมเข้าไป
แล้วพอคนอื่นจะเข้า..ก็ขัดขวางเขาไว้..ด้วยการตามฆ่าล้างผลาญข่มเหงทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์
(เคลียร์มั๊ยคะ)
ดู มัทธิว 23:15 “วิบัติแก่เจ้า
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด
ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต
เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า” .....อีกอย่างที่ธรรมาจารย์กับฟาริสีชอบทำ
ก็คือ เที่ยวไปชวนให้คนต่างชาติมาเป็นยิว..มาเชื่อพระเจ้าของอิสราเอล ด้วยการเข้าสุนัติกับถวายเครื่องบูชาในวิหารที่เยรูซาเล็ม
คือ เน้นแต่พิธีการภายนอกแค่ 2 อย่างนี้
ก็สามารถมาเป็นยิวได้แล้ว
ซึ่งอันนี้ก็ต่างจากทางของพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะพระเยซูเน้นเรื่องการ”รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ” การเข้าสุนัติหรือการต้องไปถึงเยรูซาเล็ม..ไม่จำเป็นเลยสำหรับยุคพระคุณของพระเยซู
เพราะถ้าต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงที่ใดที่หนึ่ง..แล้วถึงจะได้รับความรอด ความรอดแบบนั้นก็เป็นความรอดที่ไม่แฟร์ ถ้าบอกว่าต้องไปเหยียบเยรูซาเล็มหรือนครนั้น..นครนี้ให้ได้ หรือต้องไปขึ้นเขาอะไรก็ตาม???แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์..นั่นไม่ใช่แล้ว..สำหรับพระเจ้า ทางแบบนั้นไม่ใช่ของจริงค่ะ เพราะถ้าเป็นของจริง..ทางนั้นต้องเปิดกว้างสำหรับทุกคน) ข้อที่ 15 บอกต่อไปว่า“...เมื่อเขามาเชื่อแล้ว เจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า”
คือ นำเขาไปผิดทาง คำว่า
“ลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า” หมายความว่า
ต้องรับโทษมากกว่าเป็นสองเท่า
ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น..เพราะคนที่เชื่อฟังหรือว่าถูกสอนโดยพวกธรรมาจารย์และฟาริสี..จะกลายเป็นคนที่มีความร้อนรนและเอาจริงเอาจังอย่างมากต่อคำสอนเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น อ.เปาโล ก่อนที่จะมาเป็นคริสเตียน”เปาโล” เป็น 1 ในขุนนางของพวกยิว..ที่ถูกสอนให้ร้อนรนอย่างแรงในการที่จะฆ่ากวาดล้างคริสเตียนเพราะเขาเชื่อตามผู้นำ..ว่าคริสเตียนหรือคนที่เชื่อพระเยซูคือผู้ที่
“กบฏ”ต่อพระเจ้า และเปาโลนับว่าเป็นหัวหอกสำคัญในการฆ่าล้างผลาญคนที่เชื่อในพระเยซู ด้วยความเคารพ..นรกมั๊ยล่ะ นรกสองเท่าจริงๆ
เพราะพวกธรรมาจารย์..ฟาริสีก็ดีแต่สอน..ให้ใครต่อใครร้อนรน..เสร็จก็ยืมมือเขาไปฆ่าคน แต่ตัวเองไม่ต้องออกแรงไง..แค่นั่งเสี้ยมอยู่ข้างหลังเฉย
ๆ ใครลงมือก็เอานรกไปสองเท่า..ถูกต้องแล้ว
ดู มัทธิว 23:23-24 “วิบัติแก่เจ้า
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ผักชี
ยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติ คือการพิพากษา
ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย..”...สะระแหน่ ผักชี
ยี่หร่า เป็นการเปรียบเปรยถึง
“ของเล็กๆน้อยๆ”..ที่พวกฟาริสีสอนให้ชาวบ้านต้องเอามาถวายอย่างเคร่งครัด ดอกผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครัวเรือน..ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ต้องถวายให้ครบ..ห้ามตกหล่น เพราะไร..เอาตรงๆมั๊ย เพราะมันคือส่วนที่พวกเขา จะได้ ด้วย เพราะฉะนั้น ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว อันนี้ คือ เขาฉวยโอกาสใช้บัญญัติของพระเจ้าเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ใส่ตัว เพราะบัญญัติทางโมเสสระบุว่า..ปุโรหิตมีส่วนแบ่งในของถวาย เพราะฉะนั้น ถ้าปุโรหิตหรือผู้นำแขนงใดก็ตามไม่ตั้งมั่นอยู่บนความชอบธรรมจริงๆ..ก็จะเป็นเหมือนพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีนี่..ที่พระเยซูกล่าวโทษ...” ว่า..ดีแต่เน้นเรื่องการถวาย ส่วนหลักสำคัญของบัญญัติและความเชื่อ..พวกเขากลับไม่สนใจ”
ข้อที่ 24 บอกว่า “ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบ คือ สมัยนั้นชาวยิวเขาก็จะมีการกรองน้ำก่อนที่จะดื่ม แต่จะลูกน้ำหรืออูฐ..ก็เป็นมลทินและกินไม่ได้ทั้งคู่ แต่ถ้าต้องเลือก..กลืนลูกน้ำดีกว่ามั๊ย (ผิดเล็กๆน้อยๆที่ภายนอก ดีกว่าผิดที่ใจ) อูฐทั้งตัวกินเข้าไปได้ไง..โดยที่ไม่ติดคอ แต่พวกฟาริสี..กลืนได้ค่ะ ทำได้ทุกอย่าง..ขอแค่ให้ตัวเองได้ประโยชน์ เขาไม่สนใจหรอกว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน เขาไม่สนใจจริงๆว่า..ประชาชนจะรักพระเจ้ามั๊ย..ท่าทีในใจถูกต้องหรือเปล่า ขอแค่ถวายสิบลดให้ครบถ้วน..ชั้นพอใจแล้ว..คุณผ่าน
ดู มัทธิว 23:25-26 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก
ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส” ....เพราะถ้าเราล้างถ้วยชามแค่ภายนอก แต่อาหารที่ใส่ลงไปในชาม..มันสกปรก ถามว่าเราจะได้กินของสะอาดมั๊ย..ก็ไม่สะอาดอยู่ดี ข้อที่ 26 บอกว่า “โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระ”สิ่งที่อยู่ภายในถ้วยชาม”เสียก่อน
เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย” ฉบับที่เด็กๆอ่าน อาจจะใช้คำว่าว่า
“จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน...”
ก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะ ไม่ว่าจะป็น”สิ่งที่อยู่ในชาม”
หรือ “ถ้วยชามด้านใน” ก็ต้องชำระให้สะอาดทั้งนั้น..เราถึงจะได้กินของที่สะอาด “.. แล้วข้างนอกจะได้สะอาดด้วย” แน่นอน เพราะ you are what you
eat เคยได้ยินมั๊ยคะ เราเป็นแบบที่เรากิน อันนี้ คือ เรื่องจริงทั้งทางร่างกายและฝ่ายวิญญาณด้วย มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดูผ่องใส..ในขณะที่เราชอบกินของไม่มีประโยชน์ กินแต่แป้ง..น้ำตาล..ไขมัน..เนื้อ..นม..เนย แล้วรูปร่างหน้าตาเราจะดูสดใสสุขภาพดี..มันเป็นไปไม่ได้ ส่วนฝ่ายวิญญาณ
ก็ต้องดูว่า..วันๆเราเสพอะไร ถ้าเราเสพแต่เรื่องฝ่ายโลก ดูแต่ข่าวความขัดแย้ง วุ่นวายแต่เรื่องนินทาชาวบ้าน ฟังแต่เพลงโกรธแค้นที่ถูกแย่งแฟน
(ถ้าชั้นไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องไม่ได้ อะไรประมาณนี้) หรือเสพแต่คำสอนเทียมเท็จ ถ้าเป็นอย่างนี้..ไม่นานวิญญาณเราก็จะป่วยและก็ตายไปในที่สุด
ข้อที่ 27-28 พระเยซูก็ทรงกล่าวโทษธรรมาจารย์และฟาริสีในความหมายเดียวกัน ข้อที่ 27 บอกว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ
แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด” ส่วนข้อ 28
บอกว่า “เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกนั้นปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม
แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า” พระเยซูคริสต์ชี้ให้เราเห็นว่า
“เจตนาและท่าทีภายใน”สำคัญกว่าสิ่งที่ฉาบไว้แค่ภายนอก....เอเมนมั๊ยคะ
มาถึงบทที่ 24 เรามาดูหมายสำคัญของยุคสุดท้ายที่พระเยซูบอกไว้กันสักนิด
ดู มัทธิว 24:3-6 สาวกถามพระเยซูว่า “..สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา
และวาระสุดท้ายของโลกนี้" พระเยซูตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป”
หมายสำคัญแรกของยุคสุดท้าย คือ
จะมีพระคริสต์เทียมเท็จเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
พระเยซูเตือนเราว่าอย่าหลงเชื่อไปง่ายๆ หมายสำคัญข้อต่อไป คือ “ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงคราม”..ทุกวันนี้
ข่าวเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ก็เริ่มแล้ว..และก็หนาหูขึ้นทุกวัน
“เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน” อันนี้
เล็งถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศด้วย เพราะงั้น
อย่าแปลกใจที่เราจะเห็นข่าวความขัดแย้งเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายทุกวันนี้ เพราะทั้งสิ้น คือ หมายสำคัญของสงครามที่พระเยซูบอกไว้
แล้วทั้งสิ้น
ดู มัทธิว 24:7-8 ข้อที่ 7 “..ทั้งจะเกิดกันดารอาหาร..”... ทุกวันนี้ ก็เริ่มแล้ว ภาวะข้าวยากหมากแพง บางคนก็กระทบมาก บางคนก็กระทบน้อย และอาจยังไม่มีผลกระทบกับบางคน แต่มันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ และมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“.และโรคระบาดอย่างร้ายแรง..”
ถ้าสังเกตดู เราก็จะเห็นว่า
ทุกวันนี้ ก็มีเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ๆที่รุนแรงและรักษาไม่หายเกิดขึ้นเยอะแยะ
ไม่ว่าจะเป็นโรคซาส์ หรือหวัดมรณะ ไข้หวัดนก..หวัด 2009 อะไรต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเชื้อใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วก็ยังไม่มียารักษาหรือป้องกันที่ได้ผล
100 % แต่ต่อให้มนุษย์คิดค้นยารักษาได้ น้าตุ๊กก็เชื่อว่า
มันก็จะมีเชื้อใหม่ๆแปลกๆเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะนี่คือ ระยะแรก ของ “ยุคสุดท้าย”
นอกจาก
สงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาดแล้ว หมายสำคัญอีกอันของยุคสุดท้ายก็คือ “...แผ่นดินไหวในที่ต่างๆทั่วโลก” เยอะมั๊ยคะ..ทุกวันนี้ ไหวกันทุกวัน..ถ้าเราดูข่าว ตอนนี้แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวันจริงๆ แต่ !
ไม่ต้องตกใจ เด็กๆดูท้ายข้อที่
6 พระเยซูบอกว่า “..ระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง ข้อที่ 8 บอกว่า “เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก” ...หมายสำคัญทั้งหมดนี้
เป็นแค่ขั้นแรกหรือการเริ่มต้นของยุคสุดท้าย..เพิ่งจะอินโทรเฉยๆ ยังไม่ได้บรรเลงเต็มที่..ยังไม่เต็มวง และ เพราะอะไร ทำไมต้องเกิดขึ้น...ไม่รู้ค่ะ 555 แต่คงอธิบายได้ว่ามัน คือ อารมณ์เดียวกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนการคลอดลูก นึกภาพออกมั๊ยคะ คือ เจ็บเจียนตายก่อน ผลของความชื่นชมยินดีจึงจะคลอดออกมา ประมาณอย่างนั้น
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น