วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 17

เราจบลงที่มัทธิว  23:9-10  พระเยซูบอกเราว่า “..อย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์  และ..อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า “พระครู” ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์.....” จริงๆแล้ว โดยส่วตัวน้าตูกคิดว่า..เหตุผลของพระเจ้า ก็คือ  พระองค์ไม่อยากให้เราไปหลงยกย่องเทิดทูลมหรือฝากความหวังไว้กับมนุษย์ด้วยกัน  เนื่องจาก มันจะทำให้เรา      ”ผิดหวัง” !   เพราะมนุษย์มีความจำกัด..ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็น พ่อเรา  แม่เรา   ลูกเรา  พี่น้อง  คนรัก  หรือแม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้า   ทุกคนเหนื่อยเป็นมั๊ย  ทุกคนเหนื่อยเป็น...หิวเป็น..เจ็บเป็น  รู้จักร้อน..รู้จักหนาว  รู้จักโกรธ  มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆได้พอพอกัน  เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปคาดหวังหรือเรียกหาความสมบูรณ์แบบในคนเหล่านี้  แน่นอนไม่วันใด..วันหนึ่งเขาต้องทำเราผิดหวังหรือเสียใจ..ไม่มากก็น้อย  เคยน้อยใจพ่อแม่มั๊ย..น้าตุ๊กก็เคยน้อยใจลูก  เคยทะเลาะกับแฟนรึเปล่า..เคยอยู่แล้วล่ะ  เคยแอบคิดมั๊ย..ว่า โอโห ! อาจารย์คนนี้เทศน์ทีไร..ง่วงทุกที..เคยแน่นอน  เพราะงั้น ถ้าเราไม่เข้าใจในจุดนี้.. เราต้องเสียใจอีกเยอะ ! “ย้ำ” อีกเยอะ!
ดู สดุดี 95:3-6 / วิวรณ์ 1:8  ในหนังสือ สดุดีบอกว่า “เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่สูงของภูเขาเป็นของพระองค์ด้วย   วิวรณ์ บันทึกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและเป็นอวสาน ผู้ทรงเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด" .......ไม่ใช่แค่มนุษย์..ที่พระเจ้าไม่อยากให้เราไปฝากความหวัง  แต่ไม่ว่าจะเป็นนามอื่นใด..ก็ช่วยเราไม่ได้ “จริง”.. อย่างมากเขาก็ทำได้แค่  ”เป็นตัวอย่าง” บำเพ็ญอะไรก็ว่าไป  แต่ไม่มีใครเลยที่กล้าบอกว่าตัวเอง คือ “ผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดได้” เหมือน”พระเยซู”..ไม่มี 
นอกจากจะไม่อยากให้เราผิดหวังแล้ว..พระเยซูยังอยากให้เรามีใจที่ถ่อมลงด้วย  ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริบทนี้พระองค์ทรงเล็งถึงคนที่เป็นผู้นำทางความเชื่อ..ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล  ครู  นักเทศน์  ผู้ปกครองหรืออะไรก็ไรก็แล้วแต่   จงอย่าเผลอไปยึดติดกับสถานะหรือแสวงหาเกียรติยศหรือคำสรรเสริญจากมนุษย์   แต่ทั้ง 2 ข้อนี้ พระเยซูไม่ได้สอนให้เรา..ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่นนะคะ  แต่พระองค์แค่ไม่ต้องการให้เรายึดติดกับสถานะทางโลก   พระเจ้ารู้ดีว่า “อะไรจะเกิดขึ้น ในเวลาที่มนุษย์พบความสำเร็จเยอะๆ..ได้รับการยอมรับหรือมีคนยกย่องสรรเสริญมากๆ” ..ส่วนใหญ่ก็จะหลงเจิ่นไป  ลืมพระเจ้าแล้วก็ลืมว่าตัวเองเป็นใคร 
ดู มัทธิว 23:11-12  ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลาย”...ทางของพระเจ้ากลับกัน..กับทางของพวกฟาริสีอย่างสิ้นเชิง  พระองค์บอกว่าใครก็ตามที่เป็นใหญ่..มีศักดิ์..มีสิทธิอำนาจ..ในท่ามกลางพี่น้อง  คนนั้นจะต้องปรนนิบัติรับใช้คนอื่น..อย่างในบริบทนี้ พระเยซูพูดถึงพวกผู้นำทางศาสนา  ดังนั้น ใครก็ตามที่มีบทบาทหรือมีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของผู้คน ..เขาเหล่านั้น มีหน้าที่ต้องปรนนิบัติ..รับใช้ พี่น้อง  คนเหล่านั้นต้องยอมเสียสละและยอมทำทุกวิถีทางที่จะให้จิตวิญญาณของทุกคนตั้งมั่นอยู่ในทางของพระเจ้า..ได้รับความรอด..ไม่สะดุดหรือหลงหายไป     คิดง่ายๆ ก็คือ ดู”พระเยซูคริสต์”เป็นตัวอย่าง  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการถ่อมใจลง..ยอมทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา  ทั้งที่พระองค์เป็นพระเจ้า  การที่มายอมมาเกิดเป็นมนุษย์..นี่คือ ภาพที่ทรงถ่อมสุดๆแล้ว    สุดขนาดไหน..มันบรรยายไม่ถูกหรอก  แต่น้าตุ๊กรับรองว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะถ่อมใจได้อย่างพระเยซูคริสต์แน่นอน  เอาง่ายๆ สมมติว่าถ้าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ (เรื่องนี้ ก็เคยสอนไปแล้ว)..ถ้าเราเป็นลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ  แล้วคุณพ่อก็อยากให้เรารับช่วงกิจการต่อ..ก็เลยอยากให้เราได้ฝึกงานทุกขั้นตอน  โดยเริ่มจากให้ไปเป็นภารโรงหรือเด็กชงกาแฟใน”บริษัทของตัวเอง”ก่อน   น้าตุ๊กว่า..แค่นี้หลายคนก็รับไม่ได้แล้ว   เพราะไร..นี่ฉันเป็นลูกเจ้าของนะ..เป็นถึงลูก M.D. หรือ CEO ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลย..ใช่มะ  แต่ ! พระเยซูคริสต์..พระองค์ไม่ได้เป็นแค่” CEO ! “  พระองค์เป็นพระเจ้า !!!...มันคนละเรื่องเลยนะ   แต่พระองค์ก็ทรงเต็มใจที่จะลดตัวลงมาเกิดเป็นมนุษย์...ในโลกที่”พ่อของพระองค์เป็นเจ้าของกิจาร”...เพื่อ ! ช่วยเราทุกคนให้รอด  แล้วพระองค์มาแบบไหน..มาเกิดในวังที่ทำด้วยทองรึเปล่า..มีข้าราชบริพารรองมือรองเท้าพระองค์มั๊ย..ไม่ใช่เลย   ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือ ไม่มีแม้แต่ที่จะรองพระบาท   ต่ำสุดกว่าที่เราต้องไปเป็นภารโรงซะอีก   แล้วตลอดพระชนม์ชีพของพระเยซู..พระองค์ก็มีแต่รับใช้ผู้คน..ทั้งรักษาโรค..บรรเทาความอดอยาก  เทศนาสั่งสอน..ล้างเท้าให้สาวก   นี่แหละ ! คือ ภาพของ ความหมายในข้อนี้  “ผู้ใดที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลาย”  
ดู มัทธิว 23:13  “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี.. ด้วยว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้”....”เพราะ”พระเยซู คือ ประตูแห่งสวรรค์  พระเยซูเป็นทางเดียวที่จะนำมนุษย์ไปสู่สวรรค์ได้แต่ทุกวันนี้ “ยิว” ก็ยังไม่เชื่อพระเยซู  เพราะอะไร..ก็ถูกพวกผู้นำฝ่ายวิญญาณ..อย่างธรรมาจารย์..ฟาริสีชี้นำให้เดินทางผิด   คนพวกนี้ห่วงแต่จะกอดตำแหน่งไว้..ใครจะใหญ่กว่าฉัน..ไม่ได้   เพราะจริงๆแล้วตำแหน่งผู้นำฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล..ก็นับว่ามีเกียรติ..น่าภูมิใจมาก    แต่ธรรมาจาร.ย์..ฟาริสีไม่แค่ภูมิใจ..เขายึดติดเลย   ยึดติดแล้วก็ฉกฉวยโอกาสของความเป็นผู้นำหาประโยชน์ใส่ตัว   การเอาภาระไปเพิ่มให้ประชาชนโดยการเพิ่มรายละเอียดเข้าไปพระบัญญัติเพื่อให้ทำยากขึ้นเนี่ย !  น้าตุ๊กว่า..มันเป็นแท็กซติคอย่างหนึ่งนะ  ในการที่จะผูกมัดประชานไว้  ใส่ภาระให้เยอะๆ ทำยากๆจะได้ไม่ว่างไปยุ่งเรื่องอื่น   
แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่งพระเยซูก็เสด็จมาและมาในสภาพมนุษย์ธรรมดาๆคนนึง   ลองนึกภาพดูว่า ธรรมาจารย์กับฟาริสีจะยอมรับพระเยซูง่ายๆมั๊ยล่ะ..ไม่มีทางหรอก   ไม่ใช่แค่..ไม่ยอมรับ แต่ทั้งจิก..ทั้งกัด..ขัดขวาง..สารพัด จนสุดท้าย ก็เอาพระองค์ไปฆ่าเลย  นี่คือ การพยายามปิดประตูสวรรค์ที่ตัวเองไม่ยอมเข้าไป  แล้วพอคนอื่นจะเข้า..ก็ขัดขวางเขาไว้..ด้วยการตามฆ่าล้างผลาญข่มเหงทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์   (เคลียร์มั๊ยคะ)
ดู มัทธิว 23:15  “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า” .....อีกอย่างที่ธรรมาจารย์กับฟาริสีชอบทำ ก็คือ เที่ยวไปชวนให้คนต่างชาติมาเป็นยิว..มาเชื่อพระเจ้าของอิสราเอล  ด้วยการเข้าสุนัติกับถวายเครื่องบูชาในวิหารที่เยรูซาเล็ม  คือ เน้นแต่พิธีการภายนอกแค่ 2 อย่างนี้  ก็สามารถมาเป็นยิวได้แล้ว  ซึ่งอันนี้ก็ต่างจากทางของพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะพระเยซูเน้นเรื่องการ”รับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ”  การเข้าสุนัติหรือการต้องไปถึงเยรูซาเล็ม..ไม่จำเป็นเลยสำหรับยุคพระคุณของพระเยซู  เพราะถ้าต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงที่ใดที่หนึ่ง..แล้วถึงจะได้รับความรอด  ความรอดแบบนั้นก็เป็นความรอดที่ไม่แฟร์  ถ้าบอกว่าต้องไปเหยียบเยรูซาเล็มหรือนครนั้น..นครนี้ให้ได้  หรือต้องไปขึ้นเขาอะไรก็ตาม???แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์..นั่นไม่ใช่แล้ว..สำหรับพระเจ้า  ทางแบบนั้นไม่ใช่ของจริงค่ะ  เพราะถ้าเป็นของจริง..ทางนั้นต้องเปิดกว้างสำหรับทุกคน)    ข้อที่ 15 บอกต่อไปว่า“...เมื่อเขามาเชื่อแล้ว  เจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า” คือ นำเขาไปผิดทาง  คำว่า “ลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า”  หมายความว่า  ต้องรับโทษมากกว่าเป็นสองเท่า  ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น..เพราะคนที่เชื่อฟังหรือว่าถูกสอนโดยพวกธรรมาจารย์และฟาริสี..จะกลายเป็นคนที่มีความร้อนรนและเอาจริงเอาจังอย่างมากต่อคำสอนเหล่านั้น    ตัวอย่างเช่น อ.เปาโล   ก่อนที่จะมาเป็นคริสเตียน”เปาโล” เป็น 1 ในขุนนางของพวกยิว..ที่ถูกสอนให้ร้อนรนอย่างแรงในการที่จะฆ่ากวาดล้างคริสเตียนเพราะเขาเชื่อตามผู้นำ..ว่าคริสเตียนหรือคนที่เชื่อพระเยซูคือผู้ที่ “กบฏ”ต่อพระเจ้า   และเปาโลนับว่าเป็นหัวหอกสำคัญในการฆ่าล้างผลาญคนที่เชื่อในพระเยซู   ด้วยความเคารพ..นรกมั๊ยล่ะ   นรกสองเท่าจริงๆ เพราะพวกธรรมาจารย์..ฟาริสีก็ดีแต่สอน..ให้ใครต่อใครร้อนรน..เสร็จก็ยืมมือเขาไปฆ่าคน   แต่ตัวเองไม่ต้องออกแรงไง..แค่นั่งเสี้ยมอยู่ข้างหลังเฉย ๆ ใครลงมือก็เอานรกไปสองเท่า..ถูกต้องแล้ว 
ดู มัทธิว 23:23-24  “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย..”...สะระแหน่  ผักชี  ยี่หร่า  เป็นการเปรียบเปรยถึง  “ของเล็กๆน้อยๆ”..ที่พวกฟาริสีสอนให้ชาวบ้านต้องเอามาถวายอย่างเคร่งครัด   ดอกผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในครัวเรือน..ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน  ต้องถวายให้ครบ..ห้ามตกหล่น    เพราะไร..เอาตรงๆมั๊ย  เพราะมันคือส่วนที่พวกเขา จะได้ ด้วย   เพราะฉะนั้น ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว  อันนี้ คือ เขาฉวยโอกาสใช้บัญญัติของพระเจ้าเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ใส่ตัว  เพราะบัญญัติทางโมเสสระบุว่า..ปุโรหิตมีส่วนแบ่งในของถวาย   เพราะฉะนั้น ถ้าปุโรหิตหรือผู้นำแขนงใดก็ตามไม่ตั้งมั่นอยู่บนความชอบธรรมจริงๆ..ก็จะเป็นเหมือนพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีนี่..ที่พระเยซูกล่าวโทษ...”  ว่า..ดีแต่เน้นเรื่องการถวาย  ส่วนหลักสำคัญของบัญญัติและความเชื่อ..พวกเขากลับไม่สนใจ” 
ข้อที่ 24 บอกว่า “ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป”  นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบ  คือ สมัยนั้นชาวยิวเขาก็จะมีการกรองน้ำก่อนที่จะดื่ม  แต่จะลูกน้ำหรืออูฐ..ก็เป็นมลทินและกินไม่ได้ทั้งคู่   แต่ถ้าต้องเลือก..กลืนลูกน้ำดีกว่ามั๊ย  (ผิดเล็กๆน้อยๆที่ภายนอก  ดีกว่าผิดที่ใจ) อูฐทั้งตัวกินเข้าไปได้ไง..โดยที่ไม่ติดคอ  แต่พวกฟาริสี..กลืนได้ค่ะ  ทำได้ทุกอย่าง..ขอแค่ให้ตัวเองได้ประโยชน์  เขาไม่สนใจหรอกว่าเรื่องไหนสำคัญกว่ากัน  เขาไม่สนใจจริงๆว่า..ประชาชนจะรักพระเจ้ามั๊ย..ท่าทีในใจถูกต้องหรือเปล่า  ขอแค่ถวายสิบลดให้ครบถ้วน..ชั้นพอใจแล้ว..คุณผ่าน 
ดู มัทธิว 23:25-26 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส” ....เพราะถ้าเราล้างถ้วยชามแค่ภายนอก  แต่อาหารที่ใส่ลงไปในชาม..มันสกปรก  ถามว่าเราจะได้กินของสะอาดมั๊ย..ก็ไม่สะอาดอยู่ดี   ข้อที่ 26  บอกว่า “โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระ”สิ่งที่อยู่ภายในถ้วยชาม”เสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย”   ฉบับที่เด็กๆอ่าน อาจจะใช้คำว่าว่า “จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน...”  ก็ไม่เป็นไรนะคะ  เพราะ ไม่ว่าจะป็น”สิ่งที่อยู่ในชาม” หรือ “ถ้วยชามด้านใน”  ก็ต้องชำระให้สะอาดทั้งนั้น..เราถึงจะได้กินของที่สะอาด  “.. แล้วข้างนอกจะได้สะอาดด้วย”  แน่นอน เพราะ you are what you eat  เคยได้ยินมั๊ยคะ  เราเป็นแบบที่เรากิน  อันนี้ คือ  เรื่องจริงทั้งทางร่างกายและฝ่ายวิญญาณด้วย  มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดูผ่องใส..ในขณะที่เราชอบกินของไม่มีประโยชน์  กินแต่แป้ง..น้ำตาล..ไขมัน..เนื้อ..นม..เนย  แล้วรูปร่างหน้าตาเราจะดูสดใสสุขภาพดี..มันเป็นไปไม่ได้   ส่วนฝ่ายวิญญาณ ก็ต้องดูว่า..วันๆเราเสพอะไร  ถ้าเราเสพแต่เรื่องฝ่ายโลก  ดูแต่ข่าวความขัดแย้ง   วุ่นวายแต่เรื่องนินทาชาวบ้าน   ฟังแต่เพลงโกรธแค้นที่ถูกแย่งแฟน (ถ้าชั้นไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องไม่ได้ อะไรประมาณนี้)  หรือเสพแต่คำสอนเทียมเท็จ  ถ้าเป็นอย่างนี้..ไม่นานวิญญาณเราก็จะป่วยและก็ตายไปในที่สุด 
ข้อที่ 27-28   พระเยซูก็ทรงกล่าวโทษธรรมาจารย์และฟาริสีในความหมายเดียวกัน  ข้อที่ 27 บอกว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด”  ส่วนข้อ 28 บอกว่า “เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกนั้นปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า”  พระเยซูคริสต์ชี้ให้เราเห็นว่า “เจตนาและท่าทีภายใน”สำคัญกว่าสิ่งที่ฉาบไว้แค่ภายนอก....เอเมนมั๊ยคะ
มาถึงบทที่ 24   เรามาดูหมายสำคัญของยุคสุดท้ายที่พระเยซูบอกไว้กันสักนิด
ดู มัทธิว 24:3-6  สาวกถามพระเยซูว่า “..สิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และวาระสุดท้ายของโลกนี้"  พระเยซูตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง   ด้วยว่าจะมีหลายคนมา  ต่างอ้างนามของเรา กล่าวว่า `เราเป็นพระคริสต์' เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป”   หมายสำคัญแรกของยุคสุดท้าย คือ จะมีพระคริสต์เทียมเท็จเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก   พระเยซูเตือนเราว่าอย่าหลงเชื่อไปง่ายๆ     หมายสำคัญข้อต่อไป คือ  “ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงคราม”..ทุกวันนี้  ข่าวเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก  ก็เริ่มแล้ว..และก็หนาหูขึ้นทุกวัน  “เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน”  อันนี้ เล็งถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศด้วย   เพราะงั้น อย่าแปลกใจที่เราจะเห็นข่าวความขัดแย้งเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายทุกวันนี้  เพราะทั้งสิ้น คือ หมายสำคัญของสงครามที่พระเยซูบอกไว้ แล้วทั้งสิ้น
ดู มัทธิว 24:7-8   ข้อที่ 7  “..ทั้งจะเกิดกันดารอาหาร..”... ทุกวันนี้ ก็เริ่มแล้ว  ภาวะข้าวยากหมากแพง   บางคนก็กระทบมาก  บางคนก็กระทบน้อย  และอาจยังไม่มีผลกระทบกับบางคน   แต่มันจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ และมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ   
“.และโรคระบาดอย่างร้ายแรง..”  ถ้าสังเกตดู เราก็จะเห็นว่า  ทุกวันนี้  ก็มีเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ๆที่รุนแรงและรักษาไม่หายเกิดขึ้นเยอะแยะ   ไม่ว่าจะเป็นโรคซาส์ หรือหวัดมรณะ    ไข้หวัดนก..หวัด 2009    อะไรต่างๆเหล่านี้  ล้วนแต่เป็นเชื้อใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วก็ยังไม่มียารักษาหรือป้องกันที่ได้ผล 100 %   แต่ต่อให้มนุษย์คิดค้นยารักษาได้     น้าตุ๊กก็เชื่อว่า  มันก็จะมีเชื้อใหม่ๆแปลกๆเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ   เพราะนี่คือ ระยะแรก ของ “ยุคสุดท้าย”
นอกจาก สงคราม  การกันดารอาหาร  และโรคระบาดแล้ว   หมายสำคัญอีกอันของยุคสุดท้ายก็คือ “...แผ่นดินไหวในที่ต่างๆทั่วโลก”  เยอะมั๊ยคะ..ทุกวันนี้  ไหวกันทุกวัน..ถ้าเราดูข่าว  ตอนนี้แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวันจริงๆ   แต่ ! ไม่ต้องตกใจ  เด็กๆดูท้ายข้อที่ พระเยซูบอกว่า “..ระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง  ข้อที่ 8 บอกว่า “เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก” ...หมายสำคัญทั้งหมดนี้ เป็นแค่ขั้นแรกหรือการเริ่มต้นของยุคสุดท้าย..เพิ่งจะอินโทรเฉยๆ ยังไม่ได้บรรเลงเต็มที่..ยังไม่เต็มวง   และ เพราะอะไร ทำไมต้องเกิดขึ้น...ไม่รู้ค่ะ 555  แต่คงอธิบายได้ว่ามัน คือ อารมณ์เดียวกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนการคลอดลูก  นึกภาพออกมั๊ยคะ  คือ  เจ็บเจียนตายก่อน  ผลของความชื่นชมยินดีจึงจะคลอดออกมา  ประมาณอย่างนั้น 

       ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น