วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 16


ดู มัทธิว 22:17-21  อาณาจักรโรมเข้ามายึดครองปาเลสไตน์หรือคานาอันตั้งแต่ ปีที่ 63 ก่อนคศ.   และเกี่ยวกับการถูกยึดครองนี้ คนยิว หรือ อิสราเอล มีทัศนะที่แตกต่างกันออกไป  เช่น  
“พวกเศโลเท” หรือพวกพรรคชาตินิยม..กลุ่มที่มีความร้อนรนในการที่จะฟื้นฟูอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นมาใหม่  จะมีความเห็นว่าอิสราเอลจะต้องต่อสู้กับโรมทุกวิถีทาง  
“พวกฟาริสี” เห็นว่า การอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรโรมเป็นการพิพากษาของพระเจ้า  ซึ่งพวกเขาต้องก้มหน้าก้มตา..ยอมรับไป
ส่วน“พวกสะดูสี” คิดว่า พวกเขาต้องร่วมมือกับอาณาจักรโรมเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชาวยิว    
ซึ่งถ้าเราสังเกตดู..ก็จะเห็นว่า แนวคิดของยิวแต่ละกลุ่ม..ก็มีเหตุผลไปคนละแบบ  แต่แบบไหนที่พระเจ้าพอพระทัย  คำตอบอยู่ที่..ข้อที่ 21  ที่พระเยซูตรัสว่า “..เหตุฉะนั้นของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า"  ที่พระองค์ตอบอย่างนี้  เพราะถ้าพระองค์บอกว่า..”ไม่ต้องจ่าย”.. ก็จะถูกหาว่าเป็นกบฏต่อซีซาร์  และความจริงมันก็มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ของชาวยิวที่จะต้องเสียส่วยให้กับอาณาจักรโรม  แต่ถ้าพระองค์ตอบเฉยๆว่า ”ต้องจ่าย”  ชาวยิวก็จะรับไม่ได้และไม่เข้าใจ  เพราะพวกเขาคิดแค่ว่า พระเมสสิยาห์หรือพระเยซูคริสต์..จะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากอำนาจของโรม..เขาคิดแค่นั้น..พอใจแค่นั้น  เขายังไม่เข้าใจและไม่ได้มองถึงความรอดฝ่ายวิญญาณ 
และ.. พระเยซูทรงแยกเรื่องฝ่ายโลกออกจากเรื่องของฝ่ายวิญญาณ   พระองค์ชี้ให้เห็นว่า.. เรื่องของการอยู่ใต้อำนาจของโรมกับเรื่องของแผ่นดินพระเจ้า..มันคนละส่วนกัน  ความหมายของคำว่า “..ของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”  หมายถึง  ให้เรามีวินิจฉัยแต่ละเรื่องให้ดีและกระทำทุกอย่างตามความเหมาะสม  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายเนื้อหนังหรืออยู่บนโลกใบนี้  หลายอย่างก็ต้องว่ากันไปตามกฎของโลกตามความเหมาะ..เช่น ต้องอยู่ใต้กฎหมาย   แล้วบรรทัดฐานของความเหมาะสมมันอยู่ตรงไหน  ทุกเรื่องมีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เราต้องเอาพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐาน  เพราะงั้น ถ้าอยากเป็นคนมีวินิจฉัย..เราก็ต้องรู้ถ้อยคำพระเจ้า..เราต้องแสวงหาพระองค์
ดู มัทธิว 22:36-40   พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด" พระเยซูตอบว่า "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจ และสุดความคิด...นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่”....ก็เหมือนคราวที่แล้วที่เด็กๆได้อ่านพร้อมกัน ในฉธบ. 6:4 “ โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน”.. แล้วต่อจากข้อนี้ก็ยังมีกฎอีกมากมายที่พระเจ้าสั่งไว้อย่างละเอียดในเฉลยธรรมบัญญัติ    ซึ่งอันนั้นเป็นบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ทางโมเสส  แต่ ! ในยุคพระคุณนี้  พระเยซูย่อแก่นการดำเนินชีวิตของคริสเตียนไว้เหลือแค่ 2 ข้อ..จำง่าย  ซึ่งแน่นอน ข้อแรก ต้องคงไว้อย่างเคร่งครัด คือ “รักพระเจ้าสิ้นสุดจิตใจ”  เด็กๆจำต้องข้อนี้ไว้ให้ดี
ส่วนข้อที่ 2 พระเยซูบอก “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”   ถ้าเราคิดให้ดีจะรู้ว่าข้อนี้เป็น “บรรทัดฐาน” ของกฎทุกข้อที่พระเจ้าตั้ง   หมายความว่า ถ้าเราทำข้อนี้ได้..เราจะไม่ละเมิดข้อไหนเลยในกฎบัญญัติทางโมเสส  เพราะไร..ถ้าเรารักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง..เราก็จะไม่ฆ่าคน..ไม่ขโมย..ไม่โกง..ไม่อิจฉา..ไม่หว่านความแตกร้าว..ถูกมั๊ยคะ  แต่ปัญหาทุกเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะ..เราไม่มีความรัก  หลายครั้งเรารักแต่ตัวเองหรือไม่รักแม้แต่ตัวเองและไม่เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น (ด้วยความรักแบบพระเจ้า)  รักแบบพระเจ้าเป็นยังไง..คำตอบง่ายๆคือ..
 1 โครินธ์ 13:4   คำจำกัดความของคำว่า”ความรักแบบพระเจ้า” หรือที่เรียกว่า รักแบบอากาเป้   สังเกตดูว่า อ.เปาโลขึ้นต้นความหมายของคำว่าความรักด้วยคำว่า”อดทน” และก็จบลงด้วยความ”อดทน”อีกเหมือนกัน   แสดงว่าในเรื่องความรัก”ความอดทน”ต้องสำคัญมาก 
อันแรก อ.เปาโล บอกว่า ความรักต้องอดทนนาน..นานมากๆ  เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอดทนกับคนอิสราเอล ..ตั้งแต่ที่ไถ่พวกเขาออกมา  พระองค์ก็ต้องอดทนนานมาก..พระองค์เตือนแล้วเตือนอีกนับครั้งไม่ถ้วน..กว่าจะลงวินัยพวกเขา  เพราะงั้น เราก็เช่นกัน..ที่ต้องอดทนกับความไม่เอาไหน..ความบกพร่อง..ความผิดพลาด...หรือแม้แต่ความเห็นแก่ตัวของคนอื่น..
อีกลักษณะหนึ่งของความรัก ก็คือ ความรักต้อง”กระทำคุณให้”  คนที่มีความรักแบบพระเจ้าจะคิดแต่เรื่องที่เป็น”คุณ”..”เป็นประโยชน์”.. ต่อคนอื่น  จะไม่คิดร้าย  หรือแม้แต่พูดให้คนอื่นเสียใจ  แต่จะทำสิ่งต่างๆในลักษณะที่ก่อให้เกิดการเสริมสร้าง  สนับสนุนให้เกิดความดีงาม..ความสงบสุข..ความสามัคคี  ถ้ามีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง..แตกแยก..นั่นไม่ใช่แล้ว  วิธีง่ายๆที่จะดูว่าคนๆนั้นมีความรักแบบพระเจ้ามั๊ย ก็คือ คนที่มีรักแท้แบบพระเจ้า..ต้องเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วจะรู้สึก”ปลอดภัย” สบายใจ..ไม่อึดอัด..เช็คง่ายๆแค่นี้เอง
ลักษณะต่อมาเกี่ยวกับความรักที่ อ.เปาโลพูดถึง อีก 8 อย่าง..จะขึ้นต้นด้วยคำว่า”ไม่”  
อันแรก คือ ไม่อิจฉา   อิจฉาคืออะไร..อิจฉาก็คือ เห็นคนอื่นได้สิ่งที่ดีแล้วรู้สึกหงุดหงิด..ขัดใจ..ไม่มีความสุข  เหมือนคนงานในสวนองุ่นที่อิจฉาคนที่ทำงานน้อยกว่า แต่ได้เงินเท่าตัวเอง   หรือ เห็นข้างบ้านซื้อรถใหม่แล้วเรานอนไม่หลับ อย่างนี้เป็นต้น  เพราะคนที่มีความรักต้องรู้สึกยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้สิ่งที่ดี  และข้อนี้..ฝึกได้นะคะ  ง่ายๆก็คือ เด็กๆต้องโฟกัสที่พระเจ้า ..คิดอยู่เสมอว่า “เมื่อเรามีพระเจ้า เราก็มีทุกอย่าง  เพราะงั้น ไม่ว่าใครจะมีอะไร..มันไม่สำคัญอีกแล้ว  เพราะเรามีพระเจ้าและพระองค์ให้เราได้ทุกอย่าง..ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เงิน..ซื้อไม่ได้ ..จบมั๊ย    
ข้อต่อมา คือ ”ไม่อวดตัว” เพราะความรักจะทำให้เรายอมรับผู้อื่น..ไม่ยกตนข่มท่าน..ไม่เกทับกัน  แต่เราจะยอมรับและรักในแบบที่เขาเป็น..ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้เป็น   ความรักจะทำให้เรายอมรับตัวเองด้วยเพราะเมื่อเรายอมรับตัวเอง..การโอ้อวดต่อคนอื่นมันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป..เราจะไม่เรียกร้องให้คนอื่นยอมรับเรา  แล้วก็ไม่พยายามโปรโมทตัวเองเกินจริง..หลายคนที่ยังวิ่งเสาะแสวงหาความเป็นคนสำคัญจากคนอื่นอยู่..นั่นเพราะเขาขาดความรัก  เขาถึงไม่เป็นตัวเอง..
”ไม่หยิ่งผยอง” แต่ ! ความรักจะทำให้เรา ”ถ่อมสุภาพ” ยอมรับในความแตกต่าง..ไม่หงุดหงิด..น้อยใจหรือขัดใจในเวลาที่คนอื่นไม่ให้ความสำคัญ    แต่เราจะยอมรับว่าคนอื่นเขาก็มีสิ่งดีๆในชีวิตของเขา..เราก็มีสิ่งดีๆในชีวิตของเรา  และ เราจะพอใจ..ยอมรับซึ่งกันและกัน..และมองเห็นความแตกต่างที่พระเจ้าสร้างด้วยความชื่นชม..ไม่ใช่ขมขื่น  
ดู โครินธ์ 13:5  “ไม่หยาบคาย”  ความหยาบคาย คือ ความแข็งกระด้าง..ไม่ละเอียดอ่อน..ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น  ถ้าลองไม่คิดถึงคนอื่นแล้ว..จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความรักได้มั๊ย..ไม่ได้หรอก   เพราะคนที่หยาบคาย คือ คนที่ชอบทำร้ายจิตใจหรือเชือดเฉือนคนอื่น..ด้วยทั้งคำพูดและการกระทำ..ซึ่งมันตรงข้ามกับความรักอย่างสิ้นเชิง  
“ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว”  อันนี้สำคัญ ทุกวันนี้ที่ปัญหามันเกิดขึ้นมากมายก็เพราะคนคิดเห็นแก่ตัว  คนประเภทนี้ หัวใจเขาจะเต็มไปด้วยความกลัว..กลัวไม่อิ่ม..กลัวไม่พอ..กลัวเสียหน้า..กลัวเสียเปรียบ..กลัวเสียฟอร์ม..กลัวเสียตังส์..กลัวตาย..กลัวทุกอย่าง  เขาถึงจ้องจะตักตวงทุกอย่างไว้”เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง”.. การแสดงออกของคนประเภทนี้ คือ.. ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาจะดูดซับทุกอย่างจากคนรอบข้าง..โฟกัสที่ตัวเอง  ชอบที่จะกอบโกยไว้ก่อน..ให้ไม่เป็น  ไม่ใช่แค่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง  แต่หลายครั้งคนประเภทนี้ให้อภัยไม่เป็นแล้วก็ให้เกียรติคนไม่เป็นด้วย   เพราะงั้น ถ้าเราเจอคนประเภทนี้ที่ไหน ก็ให้รู้ไว้ว่า..นี่คือ ลักษณะนึงของคนที่ขาดความรัก  วิธีแก้ คือ ต้องเติมเขาด้วยความรักของพระเจ้า 
“ไม่ฉุนเฉียว”  คนที่ฉุนเฉียว คือ คนที่ขาดความอดทน..เมื่อไม่ได้ดั่งใจ   คนที่ฉุนเฉียวไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวนะคะ  แค่ไม่มีความอดทนและจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ไม่ได้อย่างที่ต้องการ..ไม่ทันใจ..ไม่ได้ดั่งใจ..หรือถูกรบกวนจิตใจ  ซึ่งยังไงก็แล้วแต่..มันก็ไม่ใช่ความรัก  เพราะความรักต้อง..    ”อดทน”...แล้วก็นานด้วย
“ไม่ช่างจดจำความผิด” ...แล้วก็แล้วกันไป  อย่าไปขุดคุ้ยความผิดพลาดของเขาขึ้นมา  แต่เท่าที่เจอ..ส่วนใหญ่ ผิดครั้งเดียว..พูดกันอยู่นั่น.. จำกันจนตาย  ชอบที่จะตอกย้ำ..ซ้ำเติม..ผูกมัดให้เขาติดอยู่กับอดีต อะไรต่างๆเหล่านี้..ไม่ใช่ความรัก   ถ้าเรามีความรัก..ต้องให้อภัย  ปลดปล่อยเขาจากความรู้สึกผิด 
ดู โครินธ์ 13:6 -7 “ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด”  เพราะความรักแบบพระเจ้า..จะไม่ทำให้เราตาบอด  ถูก..ก็บอกว่าถูก  ผิด..ก็บอกว่าผิด  เราจะไม่เสแสร้งแกล้งเอาใจ แต่เราจะร้อนใจและอยากช่วยแก้ไขเมื่อคนที่เรารักประพฤติผิด   แก้ไขยังไง..ก็ตักเตือน โน้มนำเขา”ด้วยความรักและถ่อมสุภาพ”  อย่าไปใช้วิธีแบบเกลือจิ้มเกลือ..กระแนะกระแหนหรือประชดประชัน  เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น มันคือ แก้แค้นหรือแก้เผ็ด  และมันจะช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้เลย 
“แต่ ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ”  แน่นอน เมื่อคนอื่นทำสิ่งที่ดีเราก็ต้องสนับสนุนชื่นชม  เสริมสร้างให้กำลังใจ   ไม่ใช่หมั่นไส้หรือดูแคลนว่า..ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย  ฉันทำได้ดีกว่านี้  อันนี้ ก็ไม่ใช่ความรักนะคะ  ข้อที่ 7 บอกว่า “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น..”  แต่ส่วนใหญ่ที่น้าตุ๊กเห็น คือ ทนความผิดของตัวเองได้  แต่เวลาคนอื่นผิด..ฉันทนไม่ได้    อย่าให้เราเป็นแบบนั้น   ข้อต่อไปบอกว่า “..และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ”  อันนี้ สำคัญมากที่เราต้องมีความเข้าใจว่า “ทุกคนมีส่วนดี”..ไม่มีใครที่เลวไปหมดหรือดีไปหมดซะทุกอย่าง   เขาอ่อนแอเรื่องนี้..ก็อย่าไปตัดสินหรือชี้ชันว่า..เขาใช้การไม่ได้หรือไม่มีความเชื่อ..ไม่ใช่  เราไม่อ่อนแอเรื่องนี้..เราก็ต้องอ่อนแอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อย่าสะดุดใครเพราะความผิดของเขาแต่เราต้องเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  หาไปเถอะ..ยังไงก็ต้องเจอ  ข้อดีของทุกคน..ต้องมีแน่
คำจำกัดความสุดท้ายของรักแบบพระเจ้า คือ “..มีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง”...อย่าถอดใจกับใครเพียงแค่เห็นว่าเขาผิดพลาดหรืออ่อนแอ  เพราะพระเจ้ายังไม่เคยสิ้นหวังในมนุษย์..เราเองก็เช่นกันที่ต้องดำเนินตามพระองค์  เราต้องหวังอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยน..เขาจะเติบโต..เขาจะงดงามขึ้น  และอย่าไปเร่งให้ใครเติบโตอย่างรวดเร็วตามใจเรา..เพราะมันเป็นไปไม่ได้  พระเจ้ามีเวลาสำหรับทุกคนเสมอ  พระองค์จึงลงท้ายว่า “..และให้เราทนต่อทุกอย่าง”...แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กๆต้องเข้าใจ คือ ความรักเป็นทั้งของประทานและผลของพระวิญญาณ  เราไม่สามารถผลิตความรักแบบนี้ได้เองนะคะ  แต่เราสามารถรับจากพระเจ้าได้..ด้วยการอธิฐาน..ทูลขอ..ติดสนิทอยู่กับพระองค์  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เติมความรักของพระเจ้าให้เราจนเต็มล้น...เอเมนมั๊ยคะ 
กลับมาที่ มัทธิว 23:1-4  บทนี้ พระเยซูทรงกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสี..ไว้อย่างรู้เช่นเห็นชาติกันเลยทีเดียว   ภายในบทเดียว พระองค์ใช้คำว่า “วิบัติ แก่เจ้า..” ถึง 8 ครั้ง  ปกติที่เรียนกันมา..พระเยซูตรัสครั้งเดียวทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว  เพราะฉะนั้น ณ.จุดนี้ น้าตุ๊กถือว่าน่ากลัวมากข้อที่ 2 พระเยซูตรัสว่า “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส เหตุฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การกระทำของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” .....นั่งบนที่นั่งของโมเสส หมายความว่า ผู้นำศาสนาเหล่านี้เขามีสิทธิอำนาจที่สืบทอดมาจากโมเสสจริง  จึงมีสิทธิที่จะสอนพระบัญญัติได้  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้ประชาชนทำตามพระบัญญัติที่เขาสอน  แต่อย่าทำตามอย่างที่พวกเขาทำ  เพราะพวกเขา..ดีแต่สอน  แต่ตัวเอง..กลับไม่ทำตามบัญญัตินั้น  ยังไง..บ้าง 
ข้อที่ 4 บอกว่า “..ด้วยเขาเอาห่อของหนัก (ซึ่งหมายถึง ภาระหนัก) วางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย”    ทำไมพระบัญญัติถึงกลายเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับทุกคน  ก็เพราะพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีชอบต่อเติมเสริมแต่งเรื่องหยุมหยิมเข้าไป..ให้มันดูเคร่งครัดขึ้น..ทำยากขึ้น  จนกลายเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับมนุษย์   “..ส่วนตัวเขาเอง..แม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย”  (ในฉบับ ประชานิยม ใช้คำว่า “ไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวช่วยยก)  ก็หมายความว่า..นอกจากตัวเองจะไม่เคยทำตามบัญญัติแล้ว..ก็ยังไม่เคยหนุนใจใครเลยด้วย  มีแต่ประณามกระหน่ำซ้ำเติม  แล้วก็จับผิดคนที่ทำไม่ได้   
ดู มัทธิว 23:5-7  พระเยซุทรงชี้ให้เห็นว่า “..การกระทำทุกอย่างของธรรมาจารย์กับฟาริสีนั้น..เป็นการทำเพื่ออวดคนอื่น”....ไม่ว่าจะขยับทำอะไร..ก็จะเน้นแต่เรื่องภายนอก..แล้วก็ทำเพื่ออวดคนอื่น  “..เขาใช้กลักพระบัญญัติอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว”..ในสมัยนั้น คนยิว เขาจะมีกลักพระบัญญัติที่ใช้บรรจุข้อความจากพระคำภีร์..เป็นกล่องเล็กๆ 2 ใบ ผูกติดกับสายหนังแล้วคาดไว้ที่หน้าผาก 1 ใบ กับที่แขนซ้ายอีก 1 ใบ  ทำ..ทำไม  ก็ทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ใน ฉธบ. 6:8 ..ที่บอกว่า  “..จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน”...ยิวก็ทำตามตัวอักษรเลย  เพราะเข้าใจว่าพระเจ้าต้องการให้พวกเขาเอาพระบัญญัติติดไว้กับตัว  ก็เลยทำซื่อๆไปตามนั้น..(ตอนสอนฉธบ.น้าตุ๊กเคยเอาภาพมาให้ดูนะ  ชาวยิวจะคาดกลักที่ว่านี้..ไว้ที่หน้าผากตรงหว่างคิ้วจริงๆ)  และก็อีกเช่นเคยที่พวกธรรมาจารย์..ฟาริสี  จะต้องใช้กล่องที่ใหญ่กว่าคนอื่น.. เพื่ออวดให้ใครๆรู้ว่า “ฉันไม่ธรรมดา..ต้องพิเศษกว่าเสมอ” แล้วการ “สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาวๆ” ก็เหมือนกัน..ทุกสิ่งอย่างเขาก็พยายามทำแต่เปลือกนอก..ทำยังไงก็ได้..ให้คนดูที่เห็นเข้าใจว่าเขาเป็นคนเคร่งศาสนา
ข้อที่ 6 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา”... อันนี้ ก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว  ตามงานเลี้ยง  ถ้าเราสังเกตดู..ก็จะเห็นว่า เจ้าภาพจะมีการจัดโต๊ะพิเศษไว้สำหรับแขก VIP ..ญาติสนิทหรืออะไรก็ตาม  ซึ่งมักจะเป็นตำแหน่งที่อยู่ด้านหน้าหรืออยู่ใกล้เจ้าภาพ   และประเด็น คือ โต๊ะที่ว่านี้ก็จะเป็น”จุดเด่น” ของคนในงาน  ทุกคนที่มาก็จะรู้ว่า “คนที่นั่งในโต๊ะนั้น คือ คนพิเศษหรือคนสำคัญ”  แล้วแบบนี้ พวกฟาริสี..ก็ชอบอีกเหมือนกัน (นึกภาพออกมั๊ยคะ)   หรือในธรรมศาลาพวกผู้นำศาสนายิวก็จะมีที่ประจำตำแหน่งเลย..ซึ่งอาจจะอยู่ในที่สูงกว่าคนอื่น  เขาจะไม่มานั่งรวมๆกับสมาชิกเหมือนผู้นำของเรา  แบบนี้ เขาไม่เอา..เพราะดูไม่ออกว่าใครเป็นคนสำคัญ  ข้อที่ 7 บอกว่า นอกจากจะชอบนั่งในที่ที่มีเกียรติแล้ว  พวกธรรมาจารย์กับฟาริสียัง“..ชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกเขาว่าท่านอาจารย์”..เพราะฟังแล้วดูมีเกียรติ..เป็นที่ยอมรับ..ไปไหนก็มีคนคอยคำนับ.. พูดง่ายๆว่า พวกเขา ชอบมากที่จะเป็นคนสำคัญ....เป็นที่เคารพบูชา..กราบไหว้ได้เลย..ยิ่งดี  ชอบที่จะเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น  ยึดติดในเกียรติยศศักดิ์ศรีคำยกย่อง  แล้วก็เสาะแสวงหาความเป็นคนสำคัญ..จากมนุษย์   สนใจแต่เรื่องเปลือกนอกแต่ไม่เคยสนใจน้ำพระทัยที่แท้จริงของพระเจ้า   
ดู มัทธิว 23:9-10   “..อย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์”... ข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงบิดา..ที่เป็นคุณพ่อผู้ให้กำเนิดเรานะคะ แต่พระเจ้าหมายถึงอย่าไปนับถือพระอื่นหรือนามอื่นๆว่าเป็นบิดา   เรียกเสด็จพ่อ..หรือเจ้าพ่อนู้น นี้ นั้น..อะไรต่างๆ  (นึกออกมั๊ยคะ)  ไม่ได้หมายถึง..พ่อของเราที่เป็นมนุษย์  พ่อของเราก็คือบิดา..เรียกได้  แต่อย่าเรียกนามอื่นใดว่าเป็นพ่อของเรา ..เพราะมันไม่ใช่      ข้อที่ 10 บอกว่า “..อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า “พระครู” ด้วยว่าพระครูของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์.....”  อันนี้ พระเยซูหมายถึง อย่าให้ใครก็ตามที่อยู่ในฐานะผู้นำ...แสวงหาเกียรติยศหรือคำยกย่องจากมนุษย์  เพราะคำว่า “พระครู” มันมีนัยหมายถึง ความศักดิ์สิทธิ์ ..ไม่ใช่ครูธรรมดา   ซึ่งมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่สมควรกับคำนี้  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเรียกผู้นำของเราว่าเป็นครูหรืออาจารย์..ไม่ได้..ไม่ใช่   เรียกได้..แต่ ให้เรียกว่าครูหรือ อาจารย์เฉยๆไม่ต้องมีคำว่า”พระ”   จุดประสงค์ในข้อนี้พระเยซูทรงชี้นำให้เราทุกคนถ่อมใจ..ไม่ยึดติดกับสถานะทางสังคมเหมือนพวกฟาริสี  อันนี้ เราต้องเข้าใจในบริบทด้วย  ไม่งั้น เด็กๆจะงง  อย่างน้าตุ๊กนี้ ใครมาเรียกครูตุ๊ก..ได้มั๊ย..ได้ค่ะเพราะเขาก็เห็นว่าน้าตุ๊กเป็นคนสอนเด็กๆ  แต่มันสำคัญที่น้าตุ๊กนี่แหละ..ที่จะต้องไม่ยึดติด..ให้ทุกคนต้องเรียกฉันว่าครู  ไม่เรียก..ไม่ได้ อันนั้น ไม่ใช่แล้ว   เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 ข้อนี้ พระเยซูไม่ได้สอนให้เรา..ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่น  แต่พระองค์ไม่ต้องการให้ใครเอาสถานะทางสังคมมามาเป็นเครื่องมือแสวงหาเกียรติยศหรือความเป็นคนสำคัญจากมนุษย์ด้วยกัน  เพราะมันไม่มีประโยชน์   ตอนท้ายข้อที่ 8  พระองค์บอกว่า “...และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด”  หมายความว่า จริงๆแล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน..เป็นพี่น้องกัน..ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร..ไม่มีใครดีกว่าใคร  เอเมนมั๊ยคะ

   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น