วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 13

ดู มัทธิว 18:1-3  สาวกถามพระเยซูว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”  พระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ก็เรียกเด็กเล็กคนหนึ่งมาให้มายืนอยู่ท่ามกล่างสาวก  แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “ ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้เลย” ..ทำไมพระเยซูถึงยกความเชื่อของเด็กเล็กๆขึ้นมาเป็นตัวอย่าง..ในการกลับใจใหม่ของคริสเตียน  เราเปิดไป               
ดู 1 โครินธ์ 1: 21-23  “โลกไม่สามารถรู้จักพระเจ้าหรือทางของพระองค์ได้ด้วยสติปัญญาของตน พระองค์จึงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนา..”เรื่องโง่ๆ”..ไม่ต้องคิดเยอะ..ไม่ต้องสมเหตุผลตามสติปัญญามนุษย์    เพราะ ความเชื่อเป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า..พระเจ้าจะเลือกใครพระองค์ก็ใส่ความเชื่อให้กับผู้นั้น  ดังนั้น สำหรับคนที่ใช่..ไม่ว่าจะพูดยังไง..พูดเรื่องอะไร..ฟังดูโง่แค่ไหน..เขาก็เชื่ออยู่ดี  ในทางตรงกันข้าม ข้อที่ 22 บอกว่า “..ด้วยว่าพวกยิว  ขอเห็นหมายสำคัญ..” ....อย่างที่เราเรียนไปคราวที่แล้ว  พวกฟาริสีชอบมาหาพระเยซู..บอกถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าหรือเป็นผู้ช่วยให้รอดจริง  ก็ขอให้สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้ดูหน่อย  ถ้าดูแล้วมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่อลังการพอ  หรือดูแล้วขลังพอ..ก็จะเชื่อ ประมาณนั้น  เหมือนอะไร..เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีความเชื่อ..ส่วนใหญ่ก็จะมีจุดยืนหรือเงื่อนไขประมาณ..นี้กับพระของเขา คือ  ถ้าจะให้ฉันเชื่อ..ต้องทำให้ฉันรวย..ให้ฉันถูกหวย..ให้ฉันเจริญรุ่งเรือง 1 2 3 4  คือ  ต้องแสดงปาฎิหารย์ตามที่ฉันต้องการ  ถ้าทำไม่ได้..ฉันก็ไปหาเจ้าอื่น..  พระเยซูบอก..”คนชาติชั่ว คิดคดทรยศต่อพระเจ้า..อย่าหวังเลยว่าเราจะทำอย่างที่เจ้าบอก  นอกจากหมายสำคัญบนไม้กางเขนแล้ว..พระองค์จะไม่สำแดงสิ่งใดแก่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี..
ข้อที่ 22 ยังบอกต่อไปว่า “..และพวกกรีกเสาะหาปัญญา..”   อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอก  ในสมัยนั้น “กรีก” จะเป็นพวกตรรกนิยม คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล  ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ  จนทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน  (อริสโตเติล  พิธากอรัส  ที่เด็กๆรู้จักกันดี)   เพราะงั้น คนประเภทนี้  เขาจะรับไม่ได้..ที่จะเชื่อว่า เลือดของคนๆหนึ่งเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้มันเป็นไปไม่ได้  เพราะมันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา..ที่พวกเขา discuss กันมาเป็นร้อยๆปี   อันนี้ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจ..ที่คิดว่าตัวเองเก่งสูญสิ้นไป”....ฉลาดแค่ไหนสำหรับมนุษย์  ก็ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับพระเจ้า
ดู 1โครินธ์ 1:23-24  “..แต่สำหรับพวกเราผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น  ไม่ว่าจะเป็นคนไทย..ยิว..กรีก..หรือชนชาติใดก็ตาม   ต่างถือว่า “พระคริสต์” หรือหมายสำคัญบนไม้กางเขนทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า”   เราจะเชื่อเหมือนเด็กๆ  แบบที่พระเยซูบอกในข้อนี้ของหนังสือมัทธิว..ว่า “ใครก็ตามจะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้  ต้องกลับใจเชื่อเหมือนเด็กเล็กๆ”   เพราะเด็กเล็กๆเป็นยังไง..ฉลาดมั๊ย  อย่างมากก็ฉลาดแบบเด็กๆ หรือฉลาดแบบโง่ๆในความคิดของผู้ใหญ่  ทำอะไรก็ไม่เคยคิดให้รอบคอบ..แล้วก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผล   แต่เด็กเล็กๆเป็นภาพที่สะท้อนความเชื่อระหว่างเรากับพระเจ้าได้เป็นอย่างดี   เพราะ เด็กเล็กๆ..เขาจะเชื่อใจพ่อแม่   “เคยเห็นพ่อแม่ที่ชอบเอาลูกไปไว้ในที่สูงๆ..แล้วบอกให้ลูกโดดลงมา  โดยที่พ่อจะอ้าแขนรอรับอยู่ข้างล่างมั๊ยคะ  แล้วลูกยอมโดดมั๊ย..เด็กเล็กๆโดดทุกคนแหละ  กลัวซะที่ไหน..เพราะเด็กเล็กๆจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแต่เขาจะ”เชื่อใจพ่อแม่”..เชื่อว่าพ่อต้องรับเขาได้แน่  เขาไม่คิดเลยว่า..ถ้าพ่อรับพลาดนะ..อะไรจะเกิดขึ้น  เขาไม่คิด..แต่เขาเชื่อใจพ่อแม่สุดๆ   
แล้วถ้าเป็นพวกเราล่ะ  ตอนนี้..พ่อให้ไปยืนตรงหัวบันได  แล้วบอกให้โดดลงมา..เดี๋ยวพ่อรอรับอยู่ข้างล่าง..โดดมั๊ย  ไม่โดดหรอก  เพราะเราโตแล้ว..เราจะคิดเยอะ..จะไหวเหรอพ่อ..ไม่ไหวมั้ง..ถ้าพลาดไปก็แย่เลย   และนี่คือ ความหมายที่พระเยซูต้องการจะบอกเราในข้อนี้..ให้เราเชื่อใจพระเจ้าเหมือนที่เด็กเล็กๆเขาเชื่อใจพ่อแม่   แม้บางครั้งมันเหมือนจะยากลำบากหรือดูแล้วเสี่ยงเกินไป  ก็ขอให้เชื่อใจ..ว่าพระเจ้าไม่เคยพลาด  และพระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอน  กลับมาที่หนังสือมัทธิว...
ดู มัทธิว 18:4-5   “ ถ้าผู้ใดจะ”ถ่อม” จิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์”   แต่ ! การจะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆได้..ไม่ง่ายนะคะ  เพราะอะไร..จำได้มั๊ย พระเยซูบอกว่าเราอยู่ใน”ยุคที่ขาดความเชื่อ” เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..แทนที่เราจะรักพระเจ้า..เราก็รักตัวเอง  แทนที่เราจะเชื่อฟังพระเจ้า..เราก็เชื่อตัวเอง  เพราะงั้น การที่จะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ เราต้องถอดหัวใจ ความคิด และจิตวิญญาณของเรามอบให้แก่พระเจ้า  เราต้อง”ถ่อมใจ” แบบสุดๆ  เพราะทางของพระเจ้ามันขัดแย้งกับเนื้อหนัง  เราจะรู้สึกว่าเราโตแล้ว..เรามีความคิดของตัวเอง  เราถูกหล่อหลอมและครอบงำด้วยค่านิยม  สังคม  และประเพณีที่สืบทอดกันมาของเรา   หลายครั้ง การเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆก็จะสวนทางหรืออยู่คนละขั้วกับสิ่งที่เราคุ้นชิน....
นอกจากจะเชื่อใจพ่อแม่แล้ว..เด็กเล็กๆยังเชื่อฟังพ่อแม่อีกด้วย  ตอนเล็กๆแม่สอนให้เล่นอะไรบ้าง  บอกให้ “ตบมือแปะๆ”..ทำมั๊ย..ทำ   “จับปูดำขยำปูนา..”  “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ..”...โอโห ทำท่าตามกันอย่างสนุกสนาน  หรือ..เล่นจ๊ะเอ๋  อย่างนี้..เป็นต้น  ถ้าตอนนี้ ให้เราเล่นแบบนั้น  เราจะเล่นมั๊ย  ไม่เล่นหรอก.. ไม่เห็นสนุก..ปัญญาอ่อนจะตาย    
แล้วตอนโยชูวาบุกยึดเมืองเยรีโค..พระเจ้าให้ทำไร  เรากลับไปทบทวนดูกันหน่อย  จะได้เห็นชัดเจนว่า ทุกคำสอนของพระเยซูคริสต์..สอดคล้องกับพระคำภีร์เดิมทั้งสิ้น  พระองค์ไม่ได้มาเพื่อเลิกล้างธรรมบัญญัติ  แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์...
ดู โยชูวา 6:2-5  เมืองเยรีโคเป็นเมืองที่เจริญแล้วก็เข้มแข็งที่สุดเมืองนึงในแผ่นดินคานาอัน  ในสมัยนั้น เมืองที่เข้มแข็งและตียาก..ก็คือ เมืองที่อยู่ในที่สูงๆแล้วรอบๆก็เป็นแม่น้ำ อย่างเยรูซาเล็ม..นี่ก็จัดว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิดีมาก  หรือ เมืองที่มีกำแพงแข็งแรงใหญ่โตอย่างเยรีโค..นี่ก็ตียากเหมือนกัน  เพราะสมัยนั้น มันยังไม่มีอาวุธแรงๆเหมือนสมัยนี้นะ  ไม่มีระเบิด  ไม่มีปรมาณู  นิวเคลีย์  หรือ อาพีจี  ปืนก็ยังไม่มี..อย่างมากก็มีแค่ดาบ..ธนู หรือหนังสติ๊กกับก้อนหินแบบดาวิด   เพราะงั้น  ถ้าเราอยู่ที่สูงแล้วศัตรูจะวิ่งเข้ามา  เราก็กลิ้งหิน..ยิงธนูสกัดไว้  อะไรต่างๆประมาณนี้..ก็อยู่แล้ว  หรือถ้ามีกำแพงใหญ่โตอย่างเยรีโคเนี่ย..ยิ่งไปกันใหญ่เลย..ไม่รู้จะยึดยังไง   ต้องวิ่งเข้าไป..ต้องปีนอีกต่างหาก  แล้วกำแพงเยรีโคสูงเท่าไหร่..บางช่วงสูง “ 8“ เมตร  หนา “ 6 “ เมตร  เพราะงั้น ชาวเยรีโคก็แค่ขึ้นไปยืนบนกำแพง..แล้วก็รอ   ใครแหลมเข้ามาก็ซัดเลย..ยังไงก็เจาะไม่เข้า    (ตอนแรกที่ผู้สอดแนมของอิสราเอลไปเห็นกำแพงเมือง..คงจะถอนใจเฮือกใหญ่  อันนี้หรอที่พระเจ้าจะให้เรามาตี 555)   เพราะอิสราเอลเป็นใคร  เป็นชนชาติที่เล็กน้อยมาก   แรกเลยเขาไม่มีชาติด้วย ..ไม่มีประเทศของตัวเอง..เหมือนโรฮิงญา..ที่เราเห็นในข่าวตอนนี้   “ยิว” หรือ “ฮีบรู”  เป็นแค่ทาส..เหมือนกาฝาก..อยู่ในอียิปต์  ถ้าไปอยู่ประเทศอื่นก็..เหมือนอาศัยแผ่นดินเขาอยู่   ได้มาเป็นชนชาติ..มีประเทศของตัวเองก็ตอนที่พระเจ้าปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาส  แล้วก็แต่งตั้งให้เป็นประเทศอิสราเอล..จัดระเบียบให้ทุกอย่าง  ตั้งแต่การสำมะโนประชากร   คัดเลือกเกณฑ์ทหาร  ตั้งศาลตัดสินคดี  อะไรต่างๆที่ทุกประเทศยังทำกันอยู่จนทุกวันนี้  จริงๆแล้ว เลียนแบบมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
แล้วสำหรับกำแพงเยรีโคที่ใหญ่ขนาดนั้น  พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลยึดครองด้วยวิธีไหน..เดินวนรอบๆ 7 วัน วันที่ 7 เดิน 7 รอบ..แล้วโห่พร้อมกัน  กำแพงเมืองเยรีโคก็ถล่ม  ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์..พระเจ้าให้ทำไรก็ไม่รู้..ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย  ทำอย่างงั้นมันจะพังได้ไง  แต่มีนก็พัง  !คนอิสราเอลสามารถยึดครองแผ่นดินนั้นได้สำเร็จ..เพราะความเชื่อ  ถ้าอิสราเอลไม่เชื่อแบบเด็กๆ แต่เห็นสิ่งที่พระบอกให้ทำ..ว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล ..แล้วก็เลือกที่จะทำตามวิธีของตัวเอง ด้วยการวางแผนการรบอะไรต่างๆ   เราคิดว่าเขาจะชนะมั๊ย..ไม่มีทาง  กระดูกคนละเบอร์เลย  กลับมาที่ หนังสือ มัทธิว..
คำอุปมาเกี่ยวกับแกะที่หลงหาย 
ดู มัทธิว 18:10-11  “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง..”   หมายถึง อย่าดูถูก..อย่ามองข้าม  คนของพระเจ้าหรือผู้เชื่อ..แม้แต่คนเดียว   ไม่ว่ามองด้วยตาฝ่ายโลกแล้ว..คนๆนั้นจะเป็นยังไง   เชื่อมานานแค่ไหนก็อาจจะยังเป็นคนพูดมากปากไม่ดี..ขี้อิจฉา  หรือแม้จะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน..ชอบยืมตังส์ตลอด   เราก็จะดูถูกเขา..ไม่ได้  พระเยซูบอก “จงระวังให้ดี  คนเหล่านี้มีทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ   และพระองค์ก็เสด็จมาเพื่อช่วยคนเหล่านั้น..ที่โลกมองว่าเขาเป็นคนน่าเกลียดเหล่านั้น..ให้รอด”  บางคนแอบสงสัยในความรักของพระเจ้า..ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าช่วยคนเลวทำไม  อย่างยิวนี่..เลวมาก  เลวจนเขารับไม่ได้เลย  แล้วพระเจ้าช่วยยิวทำไม  เขาโกรธมาก..โกรธจนบอกจะไม่มาโบสถ์แล้ว  น้าตุ๊กก็พยายามหนุนใจเขา  บอกว่า”  เหตุผลที่พระองค์เลือกคนที่น่าเกลียดหรือเลือกยิว เพราะเมื่อเขากลับใจใหม่..กลับมางดงามขึ้น  ทุกสิ่งที่หายใจได้ก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแบบสุดๆ  เพราะมันเลวมากใช่มั๊ย..เลยไม่คิดว่ามันจะกลับตัวกลับใจได้ขนาดนี้  เหมือนเวลาที่เราเลี้ยงลูก หรือ เวลาที่ครูสอนเด็กๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าว่าใครคือ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น หรือใครคือ ครูที่มีความสามารถสอนเด็กให้เป็นคนดีได้  ถ้าเรามีแต่ลูกดีๆ  หรือ มีแต่ลูกศิษย์ดีๆ ไม่เกเรเลย  ดีพร้อมไปหมด..พอโตขึ้นเขาก็เป็นคนดี  อันนั้น คงไม่ทำให้เห็นภาพหรือน่าประทับใจเท่าไหร่  ผิดกับพ่อแม่ที่มีลูกหรือครูที่มีศิษย์ เลว ชั่วร้าย หาดีไม่ได้เลยแต่ สามารถเลี้ยงดู ขัดเกลา เปลี่ยนนิสัย ให้เขากลับมางดงามขึ้น..แบบที่จำรูปเดิมแทบไม่ได้ น้าตุ๊กถามว่า  “อันไหน จะเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เลี้ยงมากกว่ากัน”  ก็ต้องคนที่สามารถขัดเกลาคนเลวให้เป็นคนดีได้..ถูกมั๊ยคะ  แล้วพระเจ้าของเราก็เป็นผู้นั้นแหละ..ที่รักคนบาปอย่างไม่มีเงื่อนไข  เพราะงั้น เราเองต้องรัก..ให้อภัยทุกคนเหมือนที่พระเจ้าทำ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..กับคนที่มีความเชื่อ  
ลองคิดดู..ว่า ถ้าพระเจ้าเลือกรักแค่บางคน..เช่น  ยิว น่าเกลียดมาก..พระเจ้าเลยไม่รัก (สมมติ)  ถ้าเป็นอย่างนี้ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นแน่นอน ยิวก็คงไม่ได้รับความรอด  แล้วเราล่ะ..แน่ใจแค่ไหน..ว่าเราดีกว่ายิว   แน่ใจมั๊ยว่าเราดีพอที่จะได้รับความรอด..เราแน่ใจไม่ได้เลย  วันนี้เราไม่โกหก..  พรุ่งนี้เราก็อาจจะโกหก  วันนี้เราไม่โกงเขา แต่ปีหน้า..ยังไม่รู้  เราบอกฉันไม่ล่วงประเวณี..อีกสิบปี..ก็ไม่แน่  ถูกมั๊ยคะ   แต่ ! พระเยซูบอก โอเค เรายอมถูกตรึง..แล้วไถ่บาปทั้งหมดให้เจ้า ทั้งในอดีต..ปัจจุบัน และที่เจ้าอาจจะทำในอนาคตด้วย..จบมั๊ย จบเลย..สบายเลย   เพราะงั้น ในเมื่อพระเจ้าทำเพื่อเราขนาดนี้  พระองค์ก็ขอแค่ให้เราอย่าตัดสินกันเองและอย่าทำให้พี่น้องของเราสะดุด..จนต้องหลุดจากทางของพระเจ้าไป  เพราะข้อที่ 14 บอกว่า “ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย 
ดู มัทธิว 18:15-17  “..หากว่าพี่น้องผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น”...ไม่พอใจอะไร..ไปเลย ไปเคลียร์กับเขาเลย  จับเข่าคุยกันสองคน..ไม่ต้องให้คนอื่นรู้..แล้วคุยกับเขาด้วยความถ่อมสุภาพ..ว่าที่เขาทำอย่างงั้นนะ  มันไม่ถูก..ไม่ควรยังไง    ไม่ใช่..ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย  เราก็เอาความขัดแย้งหรือความผิดพลาดของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟังซะงั้น อย่าทำอย่างนี้นะคะ..พระคำภีร์บอกชัดเจน..ให้เราไปปรับความเข้าใจกับคนๆนั้นสองต่อสองก่อน   เพราะเขาอาจไม่ได้ตั้งใจหรือทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้  หรือเราเองอาจจะมีส่วนผิดตรงไหน..แต่เราก็ไม่รู้ตัว..เขาก็จะได้พูดออกมา..แล้วก็เคลียร์กัน  และถึงเขาจะเป็นฝ่ายผิดจริง..แต่ถ้าเขายังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่     พระคำภีร์บอก “..เขาก็จะฟังท่าน” แปลว่า เขาจะยอมรับผิดแล้วก็ขอโทษ  “..เราก็จะได้พี่น้องคนนี้ของเราคืนมา..ได้เพื่อนของเราคืนมา” ความสัมพันธ์ทุกอย่างจะเหมือนเดิม  เพราะเขาจะเห็นชัดว่าเราบริสุทธิ์ใจ..เราไม่กล่าวโทษ..ไม่เอาเขาไปพูดลับหลัง อะไรต่างๆ   แต่เราเลือกที่จะสมานฉันท์ด้วยความถ่อมใจ
ข้อที่ 16 บอกว่า “แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย..”...ถ้าเราพยายามปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว  แต่ ! เขาไม่ฟัง..ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด  พระคำภีร์บอกก็ให้ไปหาเพื่อนมาซักคน..สองคน  เพื่อให้เป็นพยานสองสามปาก..และทุกคำที่ทั้งสองฝ่ายพูดจะเป็นหลักฐานได้   สังเกตดูนะ..พระคำภีร์บอกว่าคนที่เราจะเอาไปเป็นพยาน..ก็แค่คน..สองคนก็พอ  ไม่ต้องขนไปทั้งหมู่บ้านหรือทั้งโบสถ์..ไม่ค้อง  แล้วที่สำคัญเด็กๆต้องเลือกคนที่มีวินิจฉัยหรือเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนะคะ  เพราะที่ปรึกษาก็สำคัญ..
แต่ ! ถ้ามีพยาน 2-3 คนแล้ว..เขาก็ยังไม่ยอมรับผิด  ไม่สำนึก..ไม่ฟังคำตักเตือน  ข้อที่ 17 บอกว่า “จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร..”  ถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน..จะต้องสำนึกแล้ว   พระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเขาจะฟ้องผิดในใจ  ถึงเขาไม่ยอมรับผิดกับใครแต่เขาจะหนีการฟ้องผิดของพระวิญญาณ..ไม่พ้นแน่นอน   เพราะฉะนั้น ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมจำนน  หรือไม่ฟังคำชี้นำของคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษี..คือ ไม่ใช่พี่น้องของเรา..เลิกคบไปเลย  ไม่ต้องทักทาย..ปราศัยด้วย
ดู มัทธิว 18:21-22  เปโตรถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์กระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ”..เปโตรคงจะคิดว่า 7 ครั้ง นี่มันก็เยอะแล้วนะ  สำหรับคนที่ทำผิดกับคนอื่นอยู่ตลอด   แล้วคำว่าพี่น้อง..อาจจะหมายถึงคนที่เป็นคริสเตียนด้วยกันก็ได้  หรือจะหมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อยู่ร่วมกับเราด้วย..ก็ได้   และพระเยซูบอกว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด”  ความหมาย คือ ต้องยกโทษให้ตลอดไป..ทุกครั้ง  เด็กๆไม่ต้องมานั่งคูณหรือนั่งนับหรอกนะ..ว่า 7 คูณ 7 เท่ากับ49  อะไรต่างๆ  เพราะถ้าจะมีใครซักคนทำผิดกับเรามากมายขนาดนั้น..เราก็นับไม่ถ้วนหรอก  นับไป..นับมาก็ลืม  งง..เองว่านี่มันครั้งที่ 456 หรือ 465 แล้วก็นับผิด..นับถูก  เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องไปนับ ให้อภัยไปทุกครั้งง่ายกว่ามั๊ย..ง่ายกว่าเยอะเลย  เอเมนมั๊ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น