ดู
มัทธิว 18:1-3 สาวกถามพระเยซูว่า
“ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์”
พระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ก็เรียกเด็กเล็กคนหนึ่งมาให้มายืนอยู่ท่ามกล่างสาวก แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “ ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ
ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้เลย”
..ทำไมพระเยซูถึงยกความเชื่อของเด็กเล็กๆขึ้นมาเป็นตัวอย่าง..ในการกลับใจใหม่ของคริสเตียน เราเปิดไป
ดู 1 โครินธ์ 1:
21-23 “โลกไม่สามารถรู้จักพระเจ้าหรือทางของพระองค์ได้ด้วยสติปัญญาของตน
พระองค์จึงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนา..”เรื่องโง่ๆ”..ไม่ต้องคิดเยอะ..ไม่ต้องสมเหตุผลตามสติปัญญามนุษย์ เพราะ ความเชื่อเป็นพระคุณที่มาจากพระเจ้า..พระเจ้าจะเลือกใครพระองค์ก็ใส่ความเชื่อให้กับผู้นั้น ดังนั้น สำหรับคนที่ใช่..ไม่ว่าจะพูดยังไง..พูดเรื่องอะไร..ฟังดูโง่แค่ไหน..เขาก็เชื่ออยู่ดี ในทางตรงกันข้าม ข้อที่ 22 บอกว่า “..ด้วยว่าพวกยิว ขอเห็นหมายสำคัญ..” ....อย่างที่เราเรียนไปคราวที่แล้ว พวกฟาริสีชอบมาหาพระเยซู..บอกถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าหรือเป็นผู้ช่วยให้รอดจริง ก็ขอให้สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้ดูหน่อย ถ้าดูแล้วมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่อลังการพอ หรือดูแล้วขลังพอ..ก็จะเชื่อ ประมาณนั้น เหมือนอะไร..เหมือนคนทั่วไปที่ไม่มีความเชื่อ..ส่วนใหญ่ก็จะมีจุดยืนหรือเงื่อนไขประมาณ..นี้กับพระของเขา
คือ ถ้าจะให้ฉันเชื่อ..ต้องทำให้ฉันรวย..ให้ฉันถูกหวย..ให้ฉันเจริญรุ่งเรือง
1 2 3 4 คือ ต้องแสดงปาฎิหารย์ตามที่ฉันต้องการ ถ้าทำไม่ได้..ฉันก็ไปหาเจ้าอื่น.. พระเยซูบอก..”คนชาติชั่ว คิดคดทรยศต่อพระเจ้า..อย่าหวังเลยว่าเราจะทำอย่างที่เจ้าบอก นอกจากหมายสำคัญบนไม้กางเขนแล้ว..พระองค์จะไม่สำแดงสิ่งใดแก่พวกธรรมาจารย์และฟาริสี..
ข้อที่
22 ยังบอกต่อไปว่า
“..และพวกกรีกเสาะหาปัญญา..” อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอก ในสมัยนั้น “กรีก” จะเป็นพวกตรรกนิยม
คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ จนทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน (อริสโตเติล
พิธากอรัส ที่เด็กๆรู้จักกันดี) เพราะงั้น คนประเภทนี้ เขาจะรับไม่ได้..ที่จะเชื่อว่า “เลือดของคนๆหนึ่งเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้” มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา..ที่พวกเขา
discuss กันมาเป็นร้อยๆปี อันนี้ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า
“เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา
และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจ..ที่คิดว่าตัวเองเก่งสูญสิ้นไป”....ฉลาดแค่ไหนสำหรับมนุษย์ ก็ไม่ใช่มาตรฐานสำหรับพระเจ้า
ดู 1โครินธ์ 1:23-24 “..แต่สำหรับพวกเราผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทย..ยิว..กรีก..หรือชนชาติใดก็ตาม ต่างถือว่า “พระคริสต์” หรือหมายสำคัญบนไม้กางเขนทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า”
เราจะเชื่อเหมือนเด็กๆ แบบที่พระเยซูบอกในข้อนี้ของหนังสือมัทธิว..ว่า
“ใครก็ตามจะเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้
ต้องกลับใจเชื่อเหมือนเด็กเล็กๆ” เพราะเด็กเล็กๆเป็นยังไง..ฉลาดมั๊ย อย่างมากก็ฉลาดแบบเด็กๆ
หรือฉลาดแบบโง่ๆในความคิดของผู้ใหญ่ ทำอะไรก็ไม่เคยคิดให้รอบคอบ..แล้วก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผล แต่เด็กเล็กๆเป็นภาพที่สะท้อนความเชื่อระหว่างเรากับพระเจ้าได้เป็นอย่างดี เพราะ เด็กเล็กๆ..เขาจะเชื่อใจพ่อแม่ “เคยเห็นพ่อแม่ที่ชอบเอาลูกไปไว้ในที่สูงๆ..แล้วบอกให้ลูกโดดลงมา โดยที่พ่อจะอ้าแขนรอรับอยู่ข้างล่างมั๊ยคะ แล้วลูกยอมโดดมั๊ย..เด็กเล็กๆโดดทุกคนแหละ กลัวซะที่ไหน..เพราะเด็กเล็กๆจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแต่เขาจะ”เชื่อใจพ่อแม่”..เชื่อว่าพ่อต้องรับเขาได้แน่ เขาไม่คิดเลยว่า..ถ้าพ่อรับพลาดนะ..อะไรจะเกิดขึ้น เขาไม่คิด..แต่เขาเชื่อใจพ่อแม่สุดๆ
แล้วถ้าเป็นพวกเราล่ะ ตอนนี้..พ่อให้ไปยืนตรงหัวบันได แล้วบอกให้โดดลงมา..เดี๋ยวพ่อรอรับอยู่ข้างล่าง..โดดมั๊ย ไม่โดดหรอก
เพราะเราโตแล้ว..เราจะคิดเยอะ..จะไหวเหรอพ่อ..ไม่ไหวมั้ง..ถ้าพลาดไปก็แย่เลย
และนี่คือ ความหมายที่พระเยซูต้องการจะบอกเราในข้อนี้..ให้เราเชื่อใจพระเจ้าเหมือนที่เด็กเล็กๆเขาเชื่อใจพ่อแม่
แม้บางครั้งมันเหมือนจะยากลำบากหรือดูแล้วเสี่ยงเกินไป ก็ขอให้เชื่อใจ..ว่าพระเจ้าไม่เคยพลาด และพระองค์จะไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอน
กลับมาที่หนังสือมัทธิว...
ดู
มัทธิว 18:4-5 “ ถ้าผู้ใดจะ”ถ่อม” จิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้
ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์”
แต่ ! การจะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆได้..ไม่ง่ายนะคะ เพราะอะไร..จำได้มั๊ย พระเยซูบอกว่าเราอยู่ใน”ยุคที่ขาดความเชื่อ”
เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..แทนที่เราจะรักพระเจ้า..เราก็รักตัวเอง แทนที่เราจะเชื่อฟังพระเจ้า..เราก็เชื่อตัวเอง เพราะงั้น การที่จะเชื่อพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ
เราต้องถอดหัวใจ ความคิด และจิตวิญญาณของเรามอบให้แก่พระเจ้า เราต้อง”ถ่อมใจ” แบบสุดๆ เพราะทางของพระเจ้ามันขัดแย้งกับเนื้อหนัง เราจะรู้สึกว่าเราโตแล้ว..เรามีความคิดของตัวเอง เราถูกหล่อหลอมและครอบงำด้วยค่านิยม สังคม
และประเพณีที่สืบทอดกันมาของเรา หลายครั้ง การเชื่อพระเจ้าแบบเด็กๆก็จะสวนทางหรืออยู่คนละขั้วกับสิ่งที่เราคุ้นชิน....
นอกจากจะเชื่อใจพ่อแม่แล้ว..เด็กเล็กๆยังเชื่อฟังพ่อแม่อีกด้วย
ตอนเล็กๆแม่สอนให้เล่นอะไรบ้าง บอกให้ “ตบมือแปะๆ”..ทำมั๊ย..ทำ “จับปูดำขยำปูนา..” “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ..”...โอโห
ทำท่าตามกันอย่างสนุกสนาน
หรือ..เล่นจ๊ะเอ๋
อย่างนี้..เป็นต้น ถ้าตอนนี้
ให้เราเล่นแบบนั้น เราจะเล่นมั๊ย ไม่เล่นหรอก.. ไม่เห็นสนุก..ปัญญาอ่อนจะตาย
แล้วตอนโยชูวาบุกยึดเมืองเยรีโค..พระเจ้าให้ทำไร เรากลับไปทบทวนดูกันหน่อย จะได้เห็นชัดเจนว่า
ทุกคำสอนของพระเยซูคริสต์..สอดคล้องกับพระคำภีร์เดิมทั้งสิ้น พระองค์ไม่ได้มาเพื่อเลิกล้างธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์...
ดู
โยชูวา 6:2-5 เมืองเยรีโคเป็นเมืองที่เจริญแล้วก็เข้มแข็งที่สุดเมืองนึงในแผ่นดินคานาอัน ในสมัยนั้น เมืองที่เข้มแข็งและตียาก..ก็คือ
เมืองที่อยู่ในที่สูงๆแล้วรอบๆก็เป็นแม่น้ำ อย่างเยรูซาเล็ม..นี่ก็จัดว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิดีมาก หรือ เมืองที่มีกำแพงแข็งแรงใหญ่โตอย่างเยรีโค..นี่ก็ตียากเหมือนกัน เพราะสมัยนั้น มันยังไม่มีอาวุธแรงๆเหมือนสมัยนี้นะ ไม่มีระเบิด
ไม่มีปรมาณู นิวเคลีย์ หรือ อาพีจี
ปืนก็ยังไม่มี..อย่างมากก็มีแค่ดาบ..ธนู หรือหนังสติ๊กกับก้อนหินแบบดาวิด เพราะงั้น
ถ้าเราอยู่ที่สูงแล้วศัตรูจะวิ่งเข้ามา
เราก็กลิ้งหิน..ยิงธนูสกัดไว้
อะไรต่างๆประมาณนี้..ก็อยู่แล้ว
หรือถ้ามีกำแพงใหญ่โตอย่างเยรีโคเนี่ย..ยิ่งไปกันใหญ่เลย..ไม่รู้จะยึดยังไง ต้องวิ่งเข้าไป..ต้องปีนอีกต่างหาก แล้วกำแพงเยรีโคสูงเท่าไหร่..บางช่วงสูง “
8“ เมตร หนา “ 6 “ เมตร เพราะงั้น ชาวเยรีโคก็แค่ขึ้นไปยืนบนกำแพง..แล้วก็รอ ใครแหลมเข้ามาก็ซัดเลย..ยังไงก็เจาะไม่เข้า (ตอนแรกที่ผู้สอดแนมของอิสราเอลไปเห็นกำแพงเมือง..คงจะถอนใจเฮือกใหญ่ อันนี้หรอที่พระเจ้าจะให้เรามาตี 555) เพราะอิสราเอลเป็นใคร เป็นชนชาติที่เล็กน้อยมาก แรกเลยเขาไม่มีชาติด้วย
..ไม่มีประเทศของตัวเอง..เหมือนโรฮิงญา..ที่เราเห็นในข่าวตอนนี้ “ยิว”
หรือ “ฮีบรู” เป็นแค่ทาส..เหมือนกาฝาก..อยู่ในอียิปต์
ถ้าไปอยู่ประเทศอื่นก็..เหมือนอาศัยแผ่นดินเขาอยู่ ได้มาเป็นชนชาติ..มีประเทศของตัวเองก็ตอนที่พระเจ้าปลดปล่อยเขาจากการเป็นทาส แล้วก็แต่งตั้งให้เป็นประเทศอิสราเอล..จัดระเบียบให้ทุกอย่าง ตั้งแต่การสำมะโนประชากร คัดเลือกเกณฑ์ทหาร ตั้งศาลตัดสินคดี อะไรต่างๆที่ทุกประเทศยังทำกันอยู่จนทุกวันนี้ จริงๆแล้ว เลียนแบบมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
แล้วสำหรับกำแพงเยรีโคที่ใหญ่ขนาดนั้น พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลยึดครองด้วยวิธีไหน..เดินวนรอบๆ
7 วัน
วันที่ 7 เดิน 7 รอบ..แล้วโห่พร้อมกัน กำแพงเมืองเยรีโคก็ถล่ม
ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์..พระเจ้าให้ทำไรก็ไม่รู้..ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย ทำอย่างงั้นมันจะพังได้ไง แต่มีนก็พัง
!คนอิสราเอลสามารถยึดครองแผ่นดินนั้นได้สำเร็จ..เพราะความเชื่อ
ถ้าอิสราเอลไม่เชื่อแบบเด็กๆ แต่เห็นสิ่งที่พระบอกให้ทำ..ว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล
..แล้วก็เลือกที่จะทำตามวิธีของตัวเอง ด้วยการวางแผนการรบอะไรต่างๆ เราคิดว่าเขาจะชนะมั๊ย..ไม่มีทาง กระดูกคนละเบอร์เลย กลับมาที่ หนังสือ มัทธิว..
คำอุปมาเกี่ยวกับแกะที่หลงหาย
ดู
มัทธิว 18:10-11 “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง..” หมายถึง อย่าดูถูก..อย่ามองข้าม คนของพระเจ้าหรือผู้เชื่อ..แม้แต่คนเดียว
ไม่ว่ามองด้วยตาฝ่ายโลกแล้ว..คนๆนั้นจะเป็นยังไง เชื่อมานานแค่ไหนก็อาจจะยังเป็นคนพูดมากปากไม่ดี..ขี้อิจฉา หรือแม้จะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน..ชอบยืมตังส์ตลอด
เราก็จะดูถูกเขา..ไม่ได้ พระเยซูบอก “จงระวังให้ดี คนเหล่านี้มีทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ
และพระองค์ก็เสด็จมาเพื่อช่วยคนเหล่านั้น..ที่โลกมองว่าเขาเป็นคนน่าเกลียดเหล่านั้น..ให้รอด” บางคนแอบสงสัยในความรักของพระเจ้า..ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าช่วยคนเลวทำไม
อย่างยิวนี่..เลวมาก เลวจนเขารับไม่ได้เลย แล้วพระเจ้าช่วยยิวทำไม เขาโกรธมาก..โกรธจนบอกจะไม่มาโบสถ์แล้ว น้าตุ๊กก็พยายามหนุนใจเขา บอกว่า”
เหตุผลที่พระองค์เลือกคนที่น่าเกลียดหรือเลือกยิว
เพราะเมื่อเขากลับใจใหม่..กลับมางดงามขึ้น ทุกสิ่งที่หายใจได้ก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแบบสุดๆ เพราะมันเลวมากใช่มั๊ย..เลยไม่คิดว่ามันจะกลับตัวกลับใจได้ขนาดนี้ เหมือนเวลาที่เราเลี้ยงลูก หรือ
เวลาที่ครูสอนเด็กๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าว่าใครคือ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น หรือใครคือ ครูที่มีความสามารถสอนเด็กให้เป็นคนดีได้ ถ้าเรามีแต่ลูกดีๆ หรือ มีแต่ลูกศิษย์ดีๆ ไม่เกเรเลย ดีพร้อมไปหมด..พอโตขึ้นเขาก็เป็นคนดี อันนั้น คงไม่ทำให้”เห็นภาพ” หรือน่าประทับใจเท่าไหร่ ผิดกับพ่อแม่ที่มีลูกหรือครูที่มีศิษย์ ”เลว ชั่วร้าย หาดีไม่ได้เลย” แต่ สามารถเลี้ยงดู ขัดเกลา เปลี่ยนนิสัย
ให้เขากลับมางดงามขึ้น..แบบที่จำรูปเดิมแทบไม่ได้ น้าตุ๊กถามว่า “อันไหน จะเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เลี้ยงมากกว่ากัน”
ก็ต้องคนที่สามารถขัดเกลาคนเลวให้เป็นคนดีได้..ถูกมั๊ยคะ
แล้วพระเจ้าของเราก็เป็นผู้นั้นแหละ..ที่รักคนบาปอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะงั้น เราเองต้องรัก..ให้อภัยทุกคนเหมือนที่พระเจ้าทำ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..กับคนที่มีความเชื่อ
ลองคิดดู..ว่า ถ้าพระเจ้าเลือกรักแค่บางคน..เช่น ยิว
น่าเกลียดมาก..พระเจ้าเลยไม่รัก (สมมติ) ถ้าเป็นอย่างนี้
คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นแน่นอน ยิวก็คงไม่ได้รับความรอด แล้วเราล่ะ..แน่ใจแค่ไหน..ว่าเราดีกว่ายิว แน่ใจมั๊ยว่าเราดีพอที่จะได้รับความรอด..เราแน่ใจไม่ได้เลย วันนี้เราไม่โกหก.. พรุ่งนี้เราก็อาจจะโกหก วันนี้เราไม่โกงเขา แต่ปีหน้า..ยังไม่รู้ เราบอกฉันไม่ล่วงประเวณี..อีกสิบปี..ก็ไม่แน่ ถูกมั๊ยคะ
แต่ ! พระเยซูบอก โอเค เรายอมถูกตรึง..แล้วไถ่บาปทั้งหมดให้เจ้า ทั้งในอดีต..ปัจจุบัน
และที่เจ้าอาจจะทำในอนาคตด้วย..จบมั๊ย จบเลย..สบายเลย เพราะงั้น
ในเมื่อพระเจ้าทำเพื่อเราขนาดนี้
พระองค์ก็ขอแค่ให้เราอย่าตัดสินกันเองและอย่าทำให้พี่น้องของเราสะดุด..จนต้องหลุดจากทางของพระเจ้าไป เพราะข้อที่ 14 บอกว่า “
พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย
ดู
มัทธิว 18:15-17 “..หากว่าพี่น้องผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน
จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น”...ไม่พอใจอะไร..ไปเลย
ไปเคลียร์กับเขาเลย จับเข่าคุยกันสองคน..ไม่ต้องให้คนอื่นรู้..แล้วคุยกับเขาด้วยความถ่อมสุภาพ..ว่าที่เขาทำอย่างงั้นนะ มันไม่ถูก..ไม่ควรยังไง ไม่ใช่..ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย เราก็เอาความขัดแย้งหรือความผิดพลาดของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟังซะงั้น
อย่าทำอย่างนี้นะคะ..พระคำภีร์บอกชัดเจน..ให้เราไปปรับความเข้าใจกับคนๆนั้นสองต่อสองก่อน เพราะเขาอาจไม่ได้ตั้งใจหรือทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ หรือเราเองอาจจะมีส่วนผิดตรงไหน..แต่เราก็ไม่รู้ตัว..เขาก็จะได้พูดออกมา..แล้วก็เคลียร์กัน และถึงเขาจะเป็นฝ่ายผิดจริง..แต่ถ้าเขายังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่ พระคำภีร์บอก
“..เขาก็จะฟังท่าน” แปลว่า เขาจะยอมรับผิดแล้วก็ขอโทษ “..เราก็จะได้พี่น้องคนนี้ของเราคืนมา..ได้เพื่อนของเราคืนมา”
ความสัมพันธ์ทุกอย่างจะเหมือนเดิม เพราะเขาจะเห็นชัดว่าเราบริสุทธิ์ใจ..เราไม่กล่าวโทษ..ไม่เอาเขาไปพูดลับหลัง
อะไรต่างๆ แต่เราเลือกที่จะสมานฉันท์ด้วยความถ่อมใจ
ข้อที่
16 บอกว่า “แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน
จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย..”...ถ้าเราพยายามปรับความเข้าใจกับเขาแล้ว แต่ ! เขาไม่ฟัง..ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด พระคำภีร์บอกก็ให้ไปหาเพื่อนมาซักคน..สองคน เพื่อให้เป็นพยานสองสามปาก..และทุกคำที่ทั้งสองฝ่ายพูดจะเป็นหลักฐานได้
สังเกตดูนะ..พระคำภีร์บอกว่าคนที่เราจะเอาไปเป็นพยาน..ก็แค่คน..สองคนก็พอ ไม่ต้องขนไปทั้งหมู่บ้านหรือทั้งโบสถ์..ไม่ค้อง แล้วที่สำคัญเด็กๆต้องเลือกคนที่มีวินิจฉัยหรือเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนะคะ เพราะที่ปรึกษาก็สำคัญ..
แต่ ! ถ้ามีพยาน 2-3 คนแล้ว..เขาก็ยังไม่ยอมรับผิด
ไม่สำนึก..ไม่ฟังคำตักเตือน ข้อที่
17 บอกว่า “จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร..” ถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน..จะต้องสำนึกแล้ว พระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเขาจะฟ้องผิดในใจ ถึงเขาไม่ยอมรับผิดกับใครแต่เขาจะหนีการฟ้องผิดของพระวิญญาณ..ไม่พ้นแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมจำนน หรือไม่ฟังคำชี้นำของคริสตจักรอีกก็ให้ถือเสียว่า
เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษี..คือ ไม่ใช่พี่น้องของเรา..เลิกคบไปเลย ไม่ต้องทักทาย..ปราศัยด้วย
ดู
มัทธิว 18:21-22 เปโตรถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า
หากพี่น้องของข้าพระองค์กระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง
ถึงเจ็ดครั้งหรือ”..เปโตรคงจะคิดว่า 7 ครั้ง นี่มันก็เยอะแล้วนะ
สำหรับคนที่ทำผิดกับคนอื่นอยู่ตลอด
แล้วคำว่าพี่น้อง..อาจจะหมายถึงคนที่เป็นคริสเตียนด้วยกันก็ได้ หรือจะหมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อยู่ร่วมกับเราด้วย..ก็ได้ และพระเยซูบอกว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น
แต่เจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด” ความหมาย คือ
ต้องยกโทษให้ตลอดไป..ทุกครั้ง
เด็กๆไม่ต้องมานั่งคูณหรือนั่งนับหรอกนะ..ว่า 7 คูณ 7 เท่ากับ49 อะไรต่างๆ
เพราะถ้าจะมีใครซักคนทำผิดกับเรามากมายขนาดนั้น..เราก็นับไม่ถ้วนหรอก นับไป..นับมาก็ลืม งง..เองว่านี่มันครั้งที่ 456 หรือ 465 แล้วก็นับผิด..นับถูก เพราะฉะนั้น
ไม่ต้องไปนับ ให้อภัยไปทุกครั้งง่ายกว่ามั๊ย..ง่ายกว่าเยอะเลย เอเมนมั๊ย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น