วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 12

เรามาถึงบทที่ 16 แต่เด็กๆดู ท้ายบทที่ 15 สักนิดนึง ข้อที่ 32-39 เป็นอีกครั้งที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคน 4 พันคน ด้วยขนมปัง 7 ก้อน กับปลาเล็กๆอีก 2-3 ตัว  ที่น้าตุ๊กต้องเกริ่นไว้  เพราะบทต่อไปเราจะได้เห็นภาพนะคะ 
ดู มัทธิว 16:1-4  ณ.เวลานั้น พวกฟาริสีคงมีหน้าที่มาจับผิดพระเยซู  วันๆไม่ทำอะไร..คอยแต่จะมาลองภูมิพระเยซูตลอด  ข้อนี้ก็มาอีกละ..มาขอหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์   เลยโดนพระเยซูตอกกลับไป..”คนชาติชั่ว..คิดคดทรยศต่อพระเจ้าแสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น" 
.ถ้าไม่อยากถูกกล่าวโทษเหมือนพวกฟาริสี  เด็กๆต้องแสวงหาพระเจ้า..แสวงหาน้พระทัยของพระองค์นะคะ ไม่ใช่แสวงหาแต่หมายสำคัญหรืออัศจรรย์เหมือนพวกฟาริสี    ส่วนหมายสำคัญของโยนาห์ที่พระเยซูพูดถึง หมายถึง พระองค์เอง..ที่จะต้องสิ้นพระชนม์ไป 3 วัน แล้วจะกลับฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาใหม่  เหมือนที่โยนาห์ต้องไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน  และสิ่งนี้คือ หมายสำคัญที่สำคัญที่สุดอย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา   เราไม่จำเป็นต้องเรียกหาอัศจรรย์อย่างอื่น  ถ้าจำเป็น..พระเจ้าจะประทานให้เราเอง..อย่าไปโฟกัสกับมัน   แต่คนส่วนใหญ่ชอบ..ชอบการอัศจรรย์  ชอบปาฏิหารย์อะไรก็ตาม..ที่มันจับต้องมองเห็น   เพราะมันตอบสนองเนื้อหนังได้ดี   แต่สิ่งเหล่านี้..ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเยซูคริสต์   และหมายสำคัญบนไม้กางเขนที่พระองค์จะประทานให้..ต้องใช้ ”ความเชื่อ” เท่านั้น    ความเชื่อ คือ อะไร  ในหนังสือฮีบรูบอก “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” ..เพราะ  ถ้าเห็นกันใสๆ คงไม่ต้องใช้ความเชื่อ  (ถูกมั๊ยคะ)    แต่ น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่าเราจะขอหมายสำคัญจากพระเจ้าไม่ได้เลย..ไม่ใช่  แต่เด็กๆต้องจำไว้ว่า ”อัศจรรย์ที่สำคัญที่สุด คือ ความรอด พระเจ้าได้ประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว”  ส่วนอย่างอื่นที่พระองค์ประทานให้ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้เป็นแค่ของแถมเล็กๆน้อยๆ   จะได้หรือไม่ได้..อย่าไปรู้สึกเยอะแยะหรือโฟกัสกับมันให้มากนัก
ดู มัทธิว 16:5-8   หลังจากที่พระเยซูจัดการพวกฟาริสีเสร็จ  พระองค์ก็ลงเรือข้ามฟากไปกับเหล่าสาวก  แล้วพระองค์ก็ออกปากเตือนเหล่าสาวกว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี"  พอได้ยินคำว่า”เชื้อ”  พวกสาวกก็ไปนึกถึงขนมปัง..คิดว่าพระเยซูพูดถึงขนมปังที่พวกเขาลืมเอาติดตัวมา   ข้อที่ พระองค์ตรัสว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย เหตุไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่ได้เอาขนมปังมา  จำไม่ได้หรือ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านได้กินอิ่มกันทุกคน..แล้วยังเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง..12 กระบุง   กับขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น  ก็เก็บที่เหลือได้อีก 7 กระบุง”...แล้วจะกลัวอะไร..กับแค่ไม่มีเสบียง
เด็กๆ เห็นมั๊ยคะ..ว่าการอัศจรรย์ที่ทำให้เห็นจะๆอย่างงี้..ใช่ว่าได้แล้วมนุษย์จะอิ่ม..จะพอ  หรือจะหายกลัว  ไม่หายเลย..ทำให้เห็นกี่ครั้งๆก็ยังไม่เคยจะไว้ใจพระเจ้า   พอเจอปัญหาใหม่เข้าหน่อยก็ตกใจตาหูเหลือกเหมือนเดิม  ทั้งที่พระองค์ก็พาเราผ่านมาแล้วทุกครั้งพระองค์ก็ดูแลเราอย่างดี  อย่างพวกเราทุกวันนี้ก็เหมือนกัน  ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องไร  “เรื่องเงิน..ใช่มั๊ย”  แต่ถ้าคิดดูให้ดี เราจะเห็นว่าพระเจ้าก็เลี้ยงดูเราอย่างดี  กินอิ่ม นอนหลับทุกวัน  แล้วก็ยังมีเหลืออีกหลายกระบุงเหมือนคนอิสราเอลในสมัยนั้น  ต่างกันแค่ที่เหลือหลายกระบุงของเรามันกลายเป็น..เสื้อผ้าสวยๆ..กระเป๋า..รองเท้า..อาหารญี่ปุ่น..มือถือ..ไอแพด..ไอโฟน ไออะไรก็ตาม..มันก็คือของที่เหลือเกินจากความอิ่มบริบูรณ์ของเราทั้งนั้น  แต่พอเจอความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆเราก็ยัง ”กลัว”   ข้อที่ 12 บอกว่า “แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระเยซูไม่ได้พูดถึงขนมปัง แต่ให้ระวังจะติดเชื้อ      ”เชื้อ” ที่หมายถึงความบาปในคำสอนผิดเพี้ยนของพวกฟาริสีกับพวกสะดูสี”..
ดู มัทธิว 16:13-15 / 16-17  เมื่อพระเยซูเสด็จไปที่เมืองซีซารียา  พระองค์ก็ถามเหล่าสาวกว่า “คนที่นี่ เขาคิดว่าพระองค์เป็นใคร”  สาวกก็บอกว่า “บางคนคิดว่าพระองค์เป็นยอห์น  บางคนคิดว่าเป็นเอลียาห์  แล้วบางคนก็คิดว่าเป็นเยเรมีย์หรือไม่ก็เป็นผู้เผยพระวจนะคนนึงของพระเจ้า   พระเยซูฟังแล้วก็ถามเหล่าสาวกกลับไปว่า  “แล้วพวกท่าน คิดว่าเราเป็นใคร”...เปโตรตอบทันทีเลยว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”   พระเยซูฟังแล้วก็บอกเปโตรว่า  “ซีโมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน  แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” คือ ที่เปโตรเชื่อว่าพระองค์เป็นพระตริสต์..เพราะพระเจ้าใส่ความเชื่อให้เขา   และนี่คือ รากฐานที่แท้จริงของความเชื่อ   คือ ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า   หลายครั้ง เรามีหน้าที่ประกาศก็จริง  แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับ “พระเจ้า”  แล้วการดำเนินในทางพระเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้เสมอ  เหมือนที่น้าตุ๊กได้ยกตัวอย่าง เปรียบเที่ยบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นไมโครชิพหรือรหัสลับระหว่างเรากับพระเจ้า   และถ้าเรามีสิ่งนี้แล้ว..ไม่ว่าพระเจ้าบอกอะไร..บอกยังไง..เราก็จะเชื่อและเข้าใจทั้งหมด  ในขณะที่คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่า..ทำไมคริสเตียนถึงมีความเชื่อได้ขนาดนั้น  ก็มันพิสูจน์ไม่ได้  เพราะตาก็ไม่เห็น..หูก็ไม่ได้ยิน   แต่เราเชื่อเพราะพระเจ้าเป็นผู้ใส่ความเชื่ออย่างมั่นใจให้กับเรา  เหมือนที่พระเยซูบอกเปโตร..ว่าผู้ที่ทำให้เปโตรเชื่อแน่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือ พระเจ้าพระบิดา..ไม่ใช่มนุษย์
ดู มัทธิว 16:21-22  ในข้อนี้ พระเยซูทรงเริ่มพูดถึงวาระที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์เปิดเผยแก่เหล่าสาวกว่า “พระองค์ จำเป็นต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม..”..เพื่ออะไร  เพื่อไปรับทุกข์ทรมานหลายประการ.. จนต้องถูกประหารชีวิต..”  เพราะงั้น...พวกสาวกถึงไม่เข้าใจ..ว่าถ้าไปแล้วต้องเจออย่างนี้..อย่างนี้ ไม่มีอะไรดีเลย  แล้วพระองค์จะไปทำไม !  และถ้าเป็นเรา..เราจะไปมั๊ย  ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องเจออะไรบ้าง..??? (พระองค์เจ้าข้า ถ้าจอกนี้เลื่อนได้หรือถึงเลื่อนไม่ได้  ก็ขอทรงเลื่อนไปจากข้าพระองค์เถิด..ใช่มั๊ย 555 แต่ ! พระเยซูไม่ใช่อย่างนั้น พอเปโตร  ท้วงพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เกิดเรื่องอย่างนั้นแก่พระองค์เลย" ..พระเยซูมองหน้าเปโตรแล้วสวนกลับทันทีว่า “อ้ายซาตาน ! จงไปให้พ้น  เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา  เพราะเจ้าคิดอย่างคน  ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”..คิดอย่างคน ก็คือ  เท่าที่พระเยซูบอกมา..มันไม่เห็นมีอะไรดีเลย   จะดีได้ไง..ถ้าต้องไปเยรูซาเล็มแล้วต้องถูกเขากลั่นแกล้งทรมาน..จนตาย”  เออ ถ้าบอกว่าไปแล้ว เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างดี  ปรนนิบัติพัดวี..เตรียมสำรับสุดพิเศษเพื่อพระองค์..หรือเชิญให้นั่งบนบัลลังก์..อะไรต่างๆ ก็ค่อยฟังดูเข้าท่าหน่อย..ในสายตาของเปโตร   “...แต่พระเยซูบอกว่า..ถ้าคิดแบบนี้ มันคือ คิดแบบมนุษย์ เพราะตัดสินทุกอย่างด้วยสิ่งที่ตามองเห็น  ซึ่งมันเป็นทางที่ตรงข้ามกับทางของพระเจ้า   
ดู มัทธิว 16:24-25  ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา”..เอาชนะตนเอง  หมายถึง  “ปฏิเสธตัวเอง”..ทิ้งตัวตน..ทิ้งความคิดสติปัญญา..ความปรารถนา  และรวมถึงอีโก้ทั้งหมดทั้งมวลของตัวเอง   “และรับกางเขนของตนแบกตามเรามา..” มอบถวายให้พระคริสต์เข้าครอบครองทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ  (ทำยาก..แต่ทำได้นะคะ)    
ข้อที่ 25 บอก..”เพราะผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต..”  เนื่องจาก คริสเตียนหรือผู้ที่เชื่อพระเยซูในสมัยนั้นจะถูกข่มเหงอย่างหนัก..คริสเตียนจำนวนมากถูกฆ่าตาย  หลายคนเลยยอมที่จะปฏิเสธพระเยซูเพื่อรักษาชีวิตไว้  นี่คือ ความหมายที่พระเยซูพูดถึงในข้อนี้  “..ใครก็ตามยอมปฏิเสธพระองค์เพื่อเอาชีวิตรอด  คนนั้นจะต้องเสียชีวิตหรือตายฝ่ายวิญญาณ  “..แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด” ..ถึงต้องถูกฆ่าตาย  แต่วิญญาณเขาจะรอด..ได้รับชีวิตนิรันดร์  (ตัวตายจริงแต่วิญญาณไม่ตาย) 
ดู มัทธิว 16:26-28  “..เพราะถ้าเราจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน มันจะมีประโยชน์อะไร..เราจะเอาอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของเรากลับคืนมา  (เอาบ้านไปแลก..แลกได้มั๊ย  เอาเงินไปซื้อ..พระเจ้าขายรึเปล่า  พระเจ้าไม่ขายหรอก)    ข้อที่ 27 บอกว่า “เหตุว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์.. เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่ทุกคนตามการกระทำของตน”....ความรอด ขึ้นอยู่กับพระบุตร คือ ”พระเยซูคริสต์”ท่านั้น  แล้วเราจะได้รู้กันในวันที่พระองค์เสด็จมาพิพากษา..ว่าใครจะ          ”รอด”..หรือ ”ไม่รอด” และได้บำเน็จกันมากน้อยแค่ไหน พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ประทานให้..ตามการกระทำของเรา    ข้อที่ 28 บอกว่า “...เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของท่าน”  ...พวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ คำว่า”ที่นี่” น้าตุ๊กว่า..พระเยซูหมายถึง”แผ่นดินโลก” ทั้งหมด   ดังนั้น ความหมายในข้อนี้ ก็คือ หลายคนที่ไม่เชื่อพระเยซู..เขาอาจจะคิดว่ามนุษย์มีแค่เพียงการ ตายฝ่ายร่างกาย..ไม่มีใครไม่ตาย  ตายแล้วก็จบ..หรืออะไรต่างๆ  แต่ พระเยซูยืนยันว่า นั่นไม่ใช่..ถ้าตายแต่ตัว..แค่นั้น ยังไม่เรียกว่า”รู้รสของความตาย”..นั่นมันยังเรื่องเล็กมาก  เพราะการตายฝ่ายร่างกายมันเป็นแค่”จุดเริ่มต้น” ของนิรันดร์กาล  และในวันที่พระองค์เสด็จมา..คนเหล่านั้นจะได้รู้ซึ้งว่า..ที่ต้องตายจริงๆ คือ “ตายฝ่ายวิญญาณ” นั้น..รสชาดมันเป็นยังไง..มันน่ากลัวขนาดไหน
บทที่ 17  ....ข้อที่ 14 บอกว่า.. มีชายคนนึงมาหาพระเยซู  เพราะลูกของเขาเป็นโรคลมบ้าหมู  ต้องอยู่อย่างทุกข์ยากลำบากเพราะจะเกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันบ่อยๆ   ผู้ชายคนนี้บอกพระเยซูว่า”เขาเคยพาลูกมาหาพวกสาวกของพระองค์แล้ว  แต่ ! สาวกของพระองค์รักษา..ไม่หาย   เรามาดูว่าพระเยซูฟังแล้ว..พระองค์ตอบว่าไง
ดู มัทธิว 17:17-18  “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว..”..ความจริง คือ เราทุกคนอยู่ในยุคที่ขาดความเชื่อ..ยุคที่มนุษย์ยังเชื่อฟังพระเจ้า คือ ยุคก่อนที่อาดามกับเอวาจะทำความบาป  หลังจากนั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป..ก็เป็นยุคที่มนุษย์ขาดความเชื่อในพระเจ้าและหันไปเชื่อ”ตัวเอง” หรือ ไม่ก็เชื่อมนุษย์ด้วยกันเอง  ทั้ง..เชื่อความคิดตัวเอง  เชื่อการตัดสินใจ..ในวิจารณญาณหรือแม้แต่ความสามารถของตัวเอง  ซึ่ง..จุดนี้แหละ ที่ทำให้มนุษย์มักล้มเหลวในกิจการทุกอย่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ล้มเหลวในความเชื่อวางใจที่ควรมีต่อพระเจ้าอย่างเต็มร้อย”  หลายครั้ง ก็เลยทำการอัศจรรย์..ไม่ได้  ไล่ผี..ผีก็ไม่ไป  รักษาคนเจ็บก็ไม่หาย  อธิฐานอะไร..ก็ไม่เกิดผล  ทั้งที่ พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจให้กับเราแล้วในพระนามพระเยซู   แต่ ! ข้อนี้ บอกว่า สาวกของพระองค์ก็ล้มเหลวในการรักษาคนป่วย  และหลายครั้ง เราเองก็ล้มเหลวในการธิฐานเหมือนกัน..ใช่หรือไม่   แล้วมันเพราะอะไร..???   
ดู มัทธิว 17:19-20  ข้อที่ 20 พระเยซูตรัสว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ  ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า `จงเลื่อนจากที่นี่ไป' มันก็จะเลื่อน”...แล้วเราคิดว่าเรามีมั๊ย..ความเชื่อแค่เมล็ดพันธ์ผักกาด  หรือเมล็ดมัสตาร์ด  ถ้านึกไม่ออก.. เม็ดแมงลักก็ได้   ถ้าเรายืนยันว่าเรามีความเชื่อไม่น้อยกว่าเมล็ดพันธ์นั้น   พระเยซูบอก แค่นั้นก็พอแล้ว..ที่จะสามารถทำการใหญ่ได้..จะไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเราเลย   เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่อธิฐานแล้วพระเจ้าไม่ตอบ  ไล่ผี..มันก็ไม่ไป  ขออะไร..ก็ไม่เคยได้  ทั้งที่เราแน่ใจว่าเรามีความเชื่อ..(ไม่น้อยกว่าเมล็ดผักกาด)  แสดงว่า..ต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับ”ท่าทีในใจของเรา”  มันมีกฎเหล็ก 2 ข้อที่เราต้องจำไว้  ในการอธิฐานทูลขอสิ่งใดกับพระเจ้าหรือเมื่อเราจะใช้ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด  คือ...
1.เราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเยซู  (แบบสนิทสนม หรือที่เราเรียกว่า คิดสนิทกับพระองค์)   ไม่ใช่ว่า  ส่วนใหญ่วันทั้งวันและทุกๆวัน.. เราไม่เคยอธิฐานเลย  วันๆมีแต่เรื่องอื่นอยู่ในหัว  วันอาทิตย์แม่บังคับให้มาโบสถ์..ก็มาไปงั้นๆแหละ ไม่ได้เคยอยากจะเรียนรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น  แต่เมื่อวันนึง เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เช่น จะถูกไล่ออกจากงาน  ไม่รู้จะทำไง..จำได้ว่าเขาบอกให้อธิฐาน..ก็เอาเลย  พระเจ้าช่วยลูกด้วย  อย่าให้เขาไล่ออกเลย  หรือไม่ก็ของานใหม่ที่ดีกว่า  เอาให้ได้เงินมากกว่าเดิมเยอะๆ เสร็จแล้วก็..”ในนามพระเยซู”อาเมน..แบบนี้ คิดว่าจะได้มั๊ย..พระเจ้าจะตอบมั๊ย  ตอบค่ะ..ตอบว่า  “ลองตกงาน..อดข้าวไปซักพักก่อน..ดีมั๊ยลูก เผื่อจะได้คิดถึงพ่อให้มากขึ้น..อยากใกล้ชิดพระเจ้าให้มากกว่านี้  หรือ..
อีกกรณีที่หนักกว่า..ในการที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระเยซู คือ ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว แต่! ไม่รับพระเยซู..ปฏิเสธพระองค์  แต่พอเจอสถานการณ์คับขันแล้วไม่มีใครช่วย  พระที่ตัวเองนับถือ..ก็เรียกหาจนหมดแล้ว..แต่ ! ไม่มีใครช่วยได้   นึกได้ว่ายังมีพระเยซู..เห็นเขาเคยบอกว่าช่วยได้ทุกอย่าง  ตอนนั้น..ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ ลองดูหน่อยก็ได้  ลองเรียกให้ช่วยซิ..เผื่อจะช่วยได้  คิดว่าพระเยซูจะช่วยมั๊ย..คนแบบนี้  พระองค์จะบอกว่า “เราไม่รู้จักเจ้าเลย”  เพราะในเวลาที่สบายดี..คุณไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์กับพระเยซู   คุณเล่นเอาพระองค์เก็บไว้ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉิน  (Emergency only) แต่ บังเอิญพระองค์ไม่ได้อยู่แผนกนั้น ..”และ”..ไม่รับเคสฉุกเฉิน !!!  รับแต่สมาชิกถาวรนิรันดร์..ก็เลยไม่ช่วย หรือ ไม่ตอบคำอธิฐานของคนแบบนั้น
กฎเหล็ก ข้อที่ 2 ในการอธิฐานคือ “เราทูลขอด้วยหัวใจที่พึ่งพาในสิทธิอำนาจของพระเจ้า”..ไม่ใช่ เครดิตร์ของตัวเอง..อย่าหลงประเด็นเด็ดขาด อย่างเช่น  ในการอธิฐานให้คนป่วย..เราก็ต้องทูลขอด้วยความเชื่อ..”พระเจ้ารักษาได้แน่นอน” ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ที่จะให้คนๆนั้นหาย..เขาจะหายได้แน่..ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ร้ายแรงแค่ไหน..พระเจ้ารักษาได้  แต่! ถ้าไม่หาย..นั่นก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า..ไม่เกี่ยวกับเรา  แต่ปัญหาก็คือ หลายครั้งเวลาอธิฐาน  บางคนชอบคิดว่า..”ถ้าเรามาอธิฐานให้..แล้วเขาไม่หาย  นี่ เราคงเสียเครดิตร์แย่เลย” น้าตุ๊กถามว่า ถ้าคิดแบบนี้..ตกลงเราคิดว่าใครเป็นคนรักษา..”ตัวเราเอง”..ใช่มั๊ย  เพราะท่าทีของเรา คือ ..ถ้าเขาหาย..เราก็ได้หน้า  ถ้าเขาไม่หาย..เราก็เสียหน้า  แบบนี้เราโฟกัสที่ตัวเอง..เราไม่โฟกัสที่พระเจ้าจริงๆ  เพราะงั้น พระเจ้าไม่ช่วยหรอกค่ะ เพราะเรามีท่าทีในใจที่ไม่ถูกต้อง

ข้อที่ 18 บอกว่า “พระเยซูจึงตรัสสำทับผีนั้น มันก็ออกจากเขา เด็กก็หายเป็นปกติ” ...พระเยซูพูดคำเดียว  ผีก็หนีไปทันที..เด็กคนนั้นก็หายทันที  เด็กๆต้องเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์และสิทธิอำนาจของพระเยซูให้ชัดเจนก่อน  พระคำภีร์ไม่เคยบอกว่าพระเยซูต้องทำพิธีกรรมหรือออกแรงอะไรมากมาย..ในเวลาที่พระองค์จะทำการอัศจรรย์   แต่ทุกครั้งพระองค์แค่ “ตรัส” หรือไม่ก็อธิฐาน..ทุกอย่างก็เกิดขึ้น..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น  พระเยซูแค่”พูด” คำเดียว..ตามภาษาของพระองค์   และเราก็เช่นกัน..ที่ต้องทำเหมือนพระเยซู..ในเวลาอธิฐาน  เราก็พูดภาษาของเรา ถ้าเราเป็นคนไทย..ก็พูดภาษาไทย คนจีน..ก็อธิฐานภาษาจีน พระเจ้าเข้าใจมั๊ย..เข้าใจแน่นอนค่ะ พระองค์ยิ่งใหญ่พอ..ที่จะเข้าใจในทุกภาษา เพราะแท้จริง สิ่งที่หลั่งไหล"จากหัวใจ"ของมนุษย์ต่างหาก..ที่พระเจ้าพอพระทัยที่จะฟัง เราเกิดมาพูดภาษาอะไร..ก็คุยกับพระเจ้าตามภาษาของเรา..ที่เรารู้เรื่อง..ที่เราเข้าใจ ไม่ต้อง..ไปพยายามสรรหาท่องสวดหรืออธิฐานในภาษาที่เราเอง..ก็ฟังไม่รู้เรื่อง  เช่น ถ้าเรารู้แค่ภาษาไทย..ก็ไม่ต้องไปพยายามอธิฐานเป็นภาษาบาลีหรือภาษาอังกฤษ  เพราะส่วนตัวน้าตุ๊กเชื่อว่า..ถ้อยคำที่เราเองยังไม่เข้าใจ..จะออกมาจากใจด้วยความเต็มล้น..มันเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้น ภาษาแปลกๆเท่านั้น  เพราะภาษแปลกๆเป็นสิ่งที่ไหลออกจาก"วิญญาณ"   เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานไว้คู่กับคริสเตียน และภาษาแปลกๆก็ช่วยรักษา เยียวยา ได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ)  อันนี้ ต่อไปถ้าเด็กติดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น  เราก็จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น
     พยกันสัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น