วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 11

      พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารประชาชน 5000 คน
ดู มัทธิว 14:15-16   ข้อที่ 14 บอกว่า “เมื่อพระเยซูเห็นประชาชนที่ศรัทธาในพระองค์ติดตามพระองค์มา  พระองค์ก็ทรงสงสารคนเหล่านั้น ..จึงได้รักษาคนป่วยให้หาย”  ความหมายฝ่ายวิญญาณของข้อนี้ ก็คือ มนุษย์ทุกคนป่วยฝ่ายวิญญาณเพราะติดเชื้อบาป   และพระเยซูก็ทรงสงสารพวกเราทุกคน..พระองค์มองเห็นจิตวิญญาณที่ไม่หลุดพ้นจากความบาปและความตายของมนุษย์    พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์..มาตายแทน..เพื่อที่เราทุกคนจะได้รับความรอด    ข้อที่ 15  บอกว่า “ครั้นเวลาเย็นสาวกของพระองค์มาทูลว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้ก็เย็นมากแล้ว ขอพระองค์ให้ประชาชนต่างคนต่างไปซื้ออาหารกินกันเองตามหมู่บ้าน”    แต่ พระเยซูบอกว่า..”ไม่ต้อง   พวกท่านจงเลี้ยงคนเหล่านั้น”  สาวกฟังแล้วก็งง..เพราะพวกเขามีแค่ขนมปัง 5 ก้อน  กับปลา 2 ตัว   แล้วจะไปเลี้ยงคนมากมายขนาดนั้นได้ยังไง  กินเองก็ยังไม่รู้จะพอรึเปล่าเลย    เมื่อสาวกพูดอย่างนั้น  พระเยซูตอบว่า...
ดู มัทธิว 14:18-20   “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด  แล้วพระองค์ก็สั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลง  เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว..ก็ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ โมทนาพระคุณ และหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก เหล่าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง” ...ปรากฎว่าทั้งกว่า 5000 คนนั้นได้กินอิ่มกันทั่วหน้า   แถมยังมีเหลือเก็บไว้ได้อีก 12 กระบุงเต็มๆ    มันเป็นไปได้ยังไง..แต่มันก็เป็นไปแล้ว  และยังคงเป็นอยู่จนทุกวันนี้     
ลองพิจารณาดูดีๆว่า พระคำข้อนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเรา   ข้อนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันกับเราว่า  “การดำเนินชีวิตของคริสเตียน   ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตามองเห็น”  เพราะถ้าเราเชื่อตามสิ่งที่ตามองเห็น   ปลา 2 ตัว กับ ขนมปัง 5 ก้อน..มันจะสามารถเลี้ยงคนหลายพันให้อิ่มกันอย่างทั่วหน้าได้มั๊ย..ไม่มีทาง   และถึงแม้ ทุกวันนี้ผ่านมาแล้ว 2 พันกว่าปี  พระเยซูก็ยังเลี้ยงดูผู้คนของพระองค์แบบนี้อยู่   การอัศจรรย์ในลักษณะเดียวกันนี้ยังคงเกิดขึ้นกับคริสเตียน  ต่างกันที่รูปแบบ..ที่เปลี่ยนไปตามเวลา   ถึงพระเยซูจะไม่ได้อยู่เสกอาหารให้เราเห็นจะๆแบบหน้าต่อหน้า   แต่พระองค์ก็มีวิธีที่จะส่งความช่วยเหลือให้เราในแบบคาดไม่ถึง..เสมอ  เช่น  บางคนอาจจะตกงาน..ในกระเป๋าแทบไม่มีเงินเลย   จิตใจก็อ่อนระอาหมดเรี่ยวหมดแรง   แต่อยู่ดีๆก็มีคนมาเลี้ยงข้าว  หรือเอาเงินมาให้  หรือไม่ก็จะต้องมีผู้ให้การช่วยเหลือ..แบบไม่คาดฝัน..อะไรต่างๆประมาณนี้   มันเป็นไปได้ทั้งหมด   แต่ ! สิ่งนึงที่เราต้องจำไว้ ก็คือ เราต้องไม่ไปจำกัดวิธีการของพระเจ้าด้วยสติปัญญาของเรา   เพราะพระองค์มีวิธีการมากมายเกินกว่าที่สติปัญญาของเราจะคาดคิด   และทุกอย่างเป็นไปได้เสมอสำหรับพระองค์  เอเมนมั๊ย
ดู มัทธิว 14:26-29  พระเยซูทรงเดินอยู่บนทะเล  แต่ เมื่อเหล่าสาวกเห็นก็ตกใจกลัว..นึกว่าผี ! เพราะตอนนั้น ดึกมากแล้ว ประมาณตี 3 ตี 4 พระเยซูก็บอกว่า..”ไม่ต้องตกใจ  เป็นพระองค์เอง”   เปโตรเลยบอกว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” ....ฟังดูตอนนี้ เหมือนจะมีความเชื่อมากนะ..เปโตร  เพราะคำขอของเขา  มันสำแดงว่า..เขาเชื่อว่า พระเยซูทำได้ทุกอย่าง   ข้อที่ 29  พระเยซูตอบเปโตรว่า “มาเถิด”   ..มาเลย  ประมาณนั้น   เปโตรก็เอาเลย..จัดแจงลงจากเรือแล้วเดินบนน้ำไปหาพระเยซู..แล้วก็เดินได้จริงๆ   ข้อที่ 30 บอกว่า “แต่เมื่อเปโตรเห็นลมพัดแรงก็  ”กลัว”.. เด็กๆจำไว้เลยนะคะ  เมื่อไรที่มีคำว่า     ”กลัว” แปลว่าเราไม่เชื่อใจพระเจ้า   ถ้าเรามีความเชื่อ..เราต้อง“ไม่กลัว” เพราะเราจะแน่ใจว่าพระองค์เอาอยู่..   เพราะงั้น ถ้า”กลัว” มันจะแปลได้อีกอย่างว่าเรา..”ไม่ไว้ใจ..ไม่เชื่อว่าพระเจ้าควบคุมแล้วก็จัดการได้ทุกอย่าง”   ตอนแรกเปโตรเดินบนน้ำได้เพราะเขามีความเชื่อ..ว่าพระเยซูทำได้ทุกอย่าง  แต่พอเจอลมพัดแรงเข้าหน่อย  เขาก็กลัว..แล้วก็จมลง   เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากจมเหมือนเปโตร..ก็จงเชื่อให้ตลอดลอดฝั่ง  จะเจอปัญหาหรือความทุกข์ยาก..ก็ต้องหนักแน่นไว้ในความเชื่อ..ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่  พระองค์ดูแลเราได้แน่นอน   อย่าเป็นคนประเภทที่ฝนตก  ฟ้าร้อง  น้ำท่วมนิดหน่อยก็ตกใจกลัวหรือเอาแต่บ่น..อารมณ์เสียใส่คนรอบข้าง..ไม่เอานะคะ  เพราะถ้าเป็นยังงั้นแปลว่าเราไม่มีความเชื่อ   
ดู มัทธิว 14:30-32    และขณะที่เปโตรกำลังจะจมก็ร้องว่า "พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย"  ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสกับเขาว่า "โอ คนมีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม”...สงสัยทำไม   (หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจชัดเจน..ว่าทำไม ความสงสัยมันสร้างปัญหาให้เราได้ขนาดไหน )   
..หลายปีก่อนตอนที่สอนเรื่อง”ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด” พระคำภีร์บอกว่าให้เราสวมความรอดเป็นหมวกเหล็กโดยไม่ต้องสงสัย   น้าตุ๊ก ก็ยกตัวอย่างหนังเรื่องนึง..ที่ทำให้เด็กๆเห็นภาพความเสียหายที่เกิดจากความสงสัย..ได้อย่างชัดเจน  ” Saving Private Ryan “ ฉากส่วนใหญ่ของเรื่องนี้จะอยู่ในสนามรบ ทหารทุกคนจะแต่งเครื่องแบบเต็มยศพร้อมทั้ง “สวมหมวกเหล็ก” เพื่อป้องกันศีรษะให้ปลอดภัยจากกระสุนของฝ่ายตรงข้าม หนังเรื่องนี้เปิดฉากขึ้นด้วยการยิงถล่มกันของทั้งสองฝ่าย มีทหารมากมายตายและบาดเจ็บ ส่วนฉากที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือ ในช่วงที่ทหารทั้งสองฝ่ายยิงใส่กันอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ภาพก็จับไปที่ทหารคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ แต่เพราะเขาสวมหมวกเหล็กป้องกันอยู่..เลยทำให้กระสุนแฉลบออกไป กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าไปในศีรษะของเขาได้  แต่ทหารคนนี้คงรู้สึกว่าตัวเองถูกยิงที่ศีรษะและไม่แน่ใจว่า เข้าหรือไม่เข้า ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดหมวกออก” แล้วเอามือลูบไปทั่วศีรษะเพื่อสำรวจหารอยกระสุน (ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่มี) ในขณะที่ หมวกถูกเปิดขึ้นด้วยความสงสัย ของเจ้าตัว ทันใดนั้น ก็มีกระสุนอีกนัดของฝ่ายตรงข้ามที่วิ่งเข้ามาเจาะทะลุศีรษะของเขา.....อีกที และครั้งนี้...ไม่พลาดและไม่มีหมวกเหล็ก..ตายคาที่   ดูฉากนี้แล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ..เอ็งจะ สงสัยทำไม”  ใส่หมวกไว้ก็ดีอยู่แล้ว 
...เหมือนเปโตร  เดินบนน้ำด้วยความเชื่อมันก็ดีอยู่แล้ว..จะสงสัยทำไม   ถึงพายุจะพัดแรงแค่ไหน  ถ้าพระเยซูอยู่ด้วย..จะกลัวอะไร    ข้อที่ 31 บอกว่า “พอเปโตรกำลังจะจม  เขาก็ร้องเรียกพระเยซูให้ช่วย  พระองค์ก็ดึงเขาขึ้นมาบนเรือ..ลมก็สงบลง  
ดู มัทธิว 15:10-12   ในบริบทก่อนหน้านี้  พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีได้มากล่าวโทษพระเยซู..หาว่าพวกสาวกไม่ยอมล้างมือก่อนกินข้าว ..คือ มาหาเรื่องจับผิดเกี่ยวกับคำสอนของพระองค์เหมือนเดิม   พระเยซูก็ตอบกลับไป..ในการที่พวกเขาชอบบิดเบือนพระบัญญัติข้อสำคัญๆ    แล้วก็เอาแต่เคร่งครัดในข้อเล็กๆน้อยๆที่เป็นแต่เรื่องเปลือกนอก  หรือไม่ก็เป็นประเพณีที่ตั้งกันขึ้นมาเอง     จากนั้น ในข้อนี้ พระองค์ก็สอนประชาชนว่า  “..มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”  ...สิ่งที่เข้าไปในปาก  คือ อะไรคะ..ก็อาหารทุกอย่างที่เรากินเข้าไป  พระเยซูบอกว่า..ไม่มีอะไรเลยที่กินแล้วจะสามารถทำให้เราเป็นมลทินได้    แต่การที่คนเราจะเป็นมลทินนั้น...มันเป็นเรื่องของจิตใจ การกินการอยู่ที่เป็นรูปแบบภายนอก..มันเป็นเรื่องที่รองลงมา  แต่ฟังอย่างนี้แล้วไม่ได้หมายความว่า ..โอโห ! ต่อไปนี้ ฉันจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า..ไม่ได้นะคะ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าก็ล้อมเราไว้..จะกินอะไรก็ต้องนึกถึงสุขภาพด้วยเป็นสำคัญ    เพราะร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า..และเรามีหน้าที่ต้องดูแลวิหารนี้ให้ดี  และอย่าเลือกเอาถ้อยคำมาใช้หรือมาอ้างเพื่อทำตามใจตัวเองนะคะ
ดูต่อ มัทธิว  15:15-18  “..สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป”...มันมาทำให้ใครเดือดร้อนได้มั๊ย..ไม่ได้  อย่างมากมันก็แค่ทำให้คนๆนั้น ”เสียสุขภาพ”   แต่สิ่งที่เรากินมันไปทำร้ายคนอื่น..ไม่ได้   ข้อที่ 18  พระเยซูตรัสต่อไปว่า “..แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ  สิ่งนั้นแหละที่สามารถทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”  ..สิ่งที่ออกจากปากเราก็คือ “คำพูด” และ พระเยซูยืนยันว่าคำพูดของคนเราจะออกมาจากใจ    เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบพูดเรื่อยเปื่อย  พูดส่อเสียด กระแนะกระแหนคนอื่นจนเป็นนิสัย   แล้วก็อ้างว่า..พูดเล่นๆ..ไม่ได้คิดอะไร”  ต่อไปนี้ก็ขอให้รู้ไว้ว่า  นั่นเป็นการสำแดงธาตุแท้ที่อยู่ในหัวใจ  เพราะคำพูดแบบนั้นจริงๆแล้ว..มันต่อตรงมาจากใจ  โดยไม่ได้ถูกกลั่นกรองด้วยสมอง  จริงอย่างที่เขาอ้างว่า.."ไม่ได้คิดอะไร!!!" ดังนั้น น้าตุ๊กแนะนำว่า คิดก่อนเถอะค่ะ คิดให้เยอะๆ  ก่อนที่จะให้อะไรๆ..มันหลุดออกมาจากปากเรา   เพราะพระเจ้าบอกว่า “คำพูดซึ่งไม่เป็นสาระทุกคำเราต้องรับผิดชอบ”  และทุกคำพูดที่ไม่ดีหรือไม่สร้างารรค์..มันจะฟ้องความเป็นมลทินและหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ของเรา     ข้อที่ 19  บอกว่า “..ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท  นั้น..ล้วนเป็นสิ่งที่ที่ออกมาจากใจมนุษย์ทั้งสิ้น”   

ดู มัทธิว 15:22-24 / 25-28  หญิงชาวคานาอันคนนึง  มาขอให้พระเยซูช่วย..เพราะลูกสาวถูกผีสิง  แสดงว่า พระกิตติคุณของพระเยซูในขณะนั้น..เริ่มแผ่ขยายออกไป    ข้อที่ 22 บอก..หญิงคนนี้เป็นชาวคานาอัน  หมายความว่า เป็นต่างชาติ..ไม่ใช่อิสราเอล   และทีแรก พระเยซูก็เหมือนจะไม่สนใจผู้หญิงคนนี้นะ    พระองค์ตรัสว่า  “เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล    ข้อที่ 26  พระเยซูยังพูดอีกว่า “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร" ..เราคงจำได้ว่าพระเยซูเคยสอนคำอุปมาข้อนึงที่บอกว่า  “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร”    สุนัข หรือ สุกร ที่พระเยซูพูดถึง คือ คนที่ไม่เห็นค่าของข่าวประเสริฐ      คำพูดนี้ของพระเยซู อาจเป็นการลองใจ..ทดสอบดูว่าเธอมีความเชื่อจริงๆมั๊ย   และ ก็ เป็นที่น่าชื่นใจ  เพราะข้อที่ 27 เธอทูลตอบพระเยซูว่า “จริงพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน”  ผู้หญิงคนนี้..ยอม...ยอมรับว่าตัวเองเป็นสุนัข..เป็นคนไม่สำคัญ..เป็นสิ่งไม่มีค่า..และอาจอยู่นอกสายตาของพระเจ้า  แต่ ! ยังไง เธอก็ยังยืนยันจะเฝ้ารอขอเศษเสี้ยวในพระกรุณาของพระเจ้า ..สุดยอดมั๊ย    พระเยซูได้ยินอย่างงั้น..พระองค์ประทับใจมาก “โอ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด"  ลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติทันที 
  พบกันหม่สัปดาห์หน้านะคะ  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น