วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 10

ดู มัทธิว 13:1-6   พระเยซูทรงเปรียบการตอบสนองต่อข่าวประเสริฐของมนุษย์ไว้เป็นเสมือนดิน  4 ประเภท..เป็นคำอุปมา   ข้อที่ 3 บอกว่า  “ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช..”  ผู้หว่าน ก็คือ พระเยซูคริสต์และรวมถึงผู้ที่ออกไปประกาศเรื่องราวข่าวประเสริฐ     เมล็ดพืช คือ  ข่าวประเสริฐหรือเรื่องราวของอาณาจักรสวรรค์  ส่วนดิน คือ “ใจมนุษย์”  ซึ่งมีหลายแบบ  และแต่ละแบบก็จะตอบสนองต่างกันเมื่อได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐ   ข้อที่ 4 บอกว่า “.. เมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย”   ดินประเภทแรกที่พระเยซูพูดถึงในข้อนี้  คือ ดินตามทาง  หมายถึง คนที่มีใจ”แข็งกระด้าง” เมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว..ไม่เข้าใจอะไรเลย  ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน  เพราะอะไร  พระเยซูบอกชัดเจน..ว่ามารมาขโมยไป   เกี่ยวกับมาร..ตอนนี้ เด็กๆจำไว้แค่ว่า..ความจริง” มาร “ เป็นแค่เครื่องมือของพระเจ้า  และมันวนเวียนอยู่รอบตัวเรา  แต่ เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับมารมากนัก..ตราบใดที่เราติดสนิทกับพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์   แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีใจออกห่างพระเจ้า  มารจะสามารถทำให้เราล้มลงได้อย่างง่ายดาย  (จำไว้แค่นี้ก่อน..)   
ข้อที่ 6 บอกว่า  “บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก..”  ดินชนิดที่สอง  หมายถึง “ใจที่ตื้น”  เหมือนดินที่ปกคลุมอยู่บนพื้นหิน   คนประเภทนี้เมื่อได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้ว  จะรับไว้ทันทีด้วยความตื่นเต้น  แต่ ! จะเชื่ออยู่แค่ชั่วคราว  เพราะ “พื้นหิน” มีเนื้อดินน้อย   และเมื่อดินไม่ลึก  รากก็ไม่มี   พอโดนแดดเผา  คือ เมื่อถูกข่มเหงหรือต้องเผชิญกับปัญหา  ไม่ว่าจะตกงาน  ไม่สมหวังกับความรัก  หรือแม้แต่สะดุดคริสเตียนด้วยกัน  เขาก็จะเลิกเชื่อหรือหลงหายไปอย่างง่ายดาย   เพราะความเชื่อไม่แข็งแรง
ดู มัทธิว 13:7-9  บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย”  ดินชนิดที่ 3 คือ     “ใจที่ถูกเหนี่ยวรั้งหรือถูกยับยั้ง”   จากอะไร..จากหนาม   “หนาม” คือ ความกังวลฝ่ายโลก  การยึดติดกับทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่..ยึดติดกับมนุษย์ด้วยกันเอง  ลักษณะของดินในข้อนี้ หมายถึง ผู้ที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้ว ก็อาจจะเข้าใจนะ..ว่าทางของพระเจ้านั้นดี  แต่คนกลุ่มนี้จะเป็นประเภทที่ยังกังวลฝ่ายโลกอยู่มาก   ทำให้พระวจนะของพระเจ้าไม่เกิดผลในคนประเภทนี้   พระเยซูเปรียบคนประเภทนี้ว่าเป็นดินที่อยู่ในดงหนาม   ซึ่งลักษณะของวัชพืช..มันจะไม่ยับยั้งใครในทันที  หรือยับยั้งในวันเดียว  แต่มันจะค่อยๆแทรกแซง..แย่งอาหาร  และค่อยๆยับยั้งการเติบโตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนอย่างช้าๆ   ค่อยเป็นค่อยไป..แบบให้เราไม่รู้ตัว   ดังนั้น แนวคิดของคนประเภทนี้ ก็จะประมาณว่า “ ตอนนี้ต้องรีบทำ..รีบสะสมไว้ก่อน  เดี๋ยวรวยแล้วหรือแก่แล้ว..ค่อยคิดถึงเรื่องจิตวิญญาณ”...อย่างนี้เป็นต้น
ข้อที่ 8 บอกว่า “..บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง”  ดินชนิดสุดท้าย คือ “ใจที่เปิดรับ”  หมายถึง ผู้ที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้าแล้วมีความเข้าใจและเพราะเป็นดินที่ดีจึงเกิดผล  แต่ เกิดผลไม่เท่ากัน  ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดผล 100 เท่า  พระเยซูบอก..บางคนก็เกิดผล 30 เท่าบ้าง 60 เท่าบ้าง  และบางคนเท่านั้นที่จะเกิดผล 100 เท่า  แต่จะเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร  ที่สำคัญขอให้เกิดผลนะคะ
ดู มัทธิว 13:10-13  ทำไมพระเยซูมักจะพูดเป็นคำอุปมา   ข้อที่ 11 พระองค์ตอบว่า “..เพราะข้อความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้  แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้”  พระเยซูใช้คำอุปมาในการเทศนาเพื่อ “คัดกรองคน”   ถ้าจะพูดให้เด็กๆเข้าใจง่าย  คำอุปมาก็เปรียบเหมือน ”รหัสลับ” ของพระเจ้า  ต้องคนที่พระองค์เลือกหรือ..น้าตุ๊กขอเทียบว่า คนที่มีไมโครชิพของพระองค์เท่านั้น..ที่จะฟังแล้วเก็ท   ข้อที่ 12 บอกว่า “..ผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา”    ใครที่พระเจ้าเปิด....”ตาใจฝ่ายวิญญาณ”ของเขาจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ  พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้เขาเห็นชัดเจนมากขึ้นทุกวันๆ   ส่วนใครที่พระเจ้าปิด...แม้จะมีบางครั้งที่เหมือนจะคิดออก  พระเจ้าก็จะเอาคืนไป..หรือเบี่ยงเบนความสนใจของเขาให้หลุดไปจากทางของพระองค์
เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ”  และน้ำพระทัยพระเจ้าในเรื่องนี้ยังคงเป็นจริงจนทุกวันนี้   แล้วอะไร คือ “ไมโครชิพ” ของพระเจ้าในยุคพระคุณนี้  ???  คำตอบคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์”ของพระเยซูคริสต์   ใครก็ตามที่อยากเข้าใจความลับของอาณาจักรสวรรค์  หรือใครก็ตามที่อยากมีไมโครชิพไว้รับสัญญาณจากพระเจ้า  ทางเดียวก็คือ เขาต้องรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่า”พระเยซู คริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระเขาให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย”..และเมื่อนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ (หรือไมโครชิพ) ของพระเจ้าก็จะฝังอยู่ในวิญญาณจิตของเขาทันที  จากนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะส่งสัญญาณมาในรูปแบบไหน คนที่มีพระวิญญาณก็จะสามารถเข้าใจในสัญญาณและความลับทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสำแดง  (เอเมนมั๊ย)
ข้อที่ 17 พระเยซูบอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้..” ... แม้แต่ศาสดาหรือผู้ที่มุ่งแสวงหาสัจจะธรรมในทุกรูปแบบ..จะมุ่งมั่นทุ่มเทขนาดไหน   พวกเขาเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดง..ได้เหมือนเรา  (และเราทุ่มเทรึยัง  บางคนบอก..ยังเลย ).. แต่เราก็ยังสามารถเห็นในสิ่งที่ศาสดาทั้งหลายมองไม่เห็น  เราเข้าใจในสิ่งที่พวกเขา..ไม่เข้าใจ  
         คำอุปมาเรื่อง”ข้าวสาลีและข้าวละมาน” 
ดู มัทธิว 13:24-26  ข้อนี้ พระเยซูบอกว่า  "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลี
 ..”ผู้หว่าน” คือ พระคริสต์  “นา” คือ โลก  “เมล็ดพืชดี” หรือ “ข้าวสาลี” คือ คนของพระเจ้า  “ศัตรูของผู้หว่าน” ก็คือ มาร   และ “ข้าวละมาน” ก็คือ คนของมาร  ซึ่งข้าวละมานเป็นหญ้าชนิดนึงที่ไม่มีประโยชน์..กินไม่ได้    แต่มันมีลักษณะคล้ายกับข้าวสาลี..คล้ายมากจนบางครั้งแยกกันไม่ออก  และเมื่อถูกหว่านไว้ในนาเดียวกัน  ข้าวทั้งสองชนิดจึงจำเริญขึ้นเหมือนกัน
ข้อที่ 26 บอกว่า “ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย”    ในขณะที่ข้าวดีจำเริญขึ้น   ขณะเดียวกันข้าวละมานที่มารหรือศัตรูแอบมาหว่านไว้.. มันก็จำเริญขึ้นในโลกด้วย   น้าตุ๊กไม่รู้ว่าเด็กๆเคยคิดมั๊ย  แต่ตอนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ น้าตุ๊กเคยแอบคิด..ว่าทำไม  เรายังเห็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า..เขายังมีชีวิตที่ดี   บางทีก็ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นไม่ต่างจากเราหรือมากกว่าเราด้วยซ้ำ    ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้คนเหล่านั้นยังอยู่ดี..มีสุข  ทำไมพระเจ้าไม่จัดการหรือแยกคนพวกนั้นให้กินผลอย่างชัดเจน..ตั้งแต่ตอนนี้   น้าตุ๊กคยแอบคิดอย่างนี้นะ..ยอมรับเลย   แต่ ! พระองค์มีคำตอบที่ชัดเจนและลึกล้ำ ก็คือ คำอุปมาของพระเยซู..
ดู มัทธิว 13:28-30  เมื่อเห็นข้าวละมานเติบโตขึ้นพร้อมกับข้าวสาลี  ผู้รับใช้ก็ถามนายของตนว่า “จะให้พวกเขาไปถอนข้าวละมานทิ้ง..เสียตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือไม่”    แต่นายตอบว่า `อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย”   เพราะทั้งสองอย่างมันอยู่ปะปนรวมกัน  ทั้งผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  และคนของมาร..ก็ถูกหว่านให้อยู่รวมกันจนแยกไม่ออก  และ ถ้าจะถอนข้าวละมานตอนนี้    ดีไม่ดี..ก็จะพลอยกระทบกระเทือนคนของพระเจ้า คือ ทำให้ข้าวสาลีถูกถอนไปด้วย   เพราะฉะนั้น..ยังก่อน    ข้อที่ 30 พระเจ้าบอกว่า “ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว”...ให้ถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมา  แล้วเวลานั้นพระองค์จะจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย..”..เมื่อวันพิพากษามาถึง  ข้าวละมานหรือบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ..ก็จะถูกแยกออกและทิ้งลงบึงไฟนรก ..ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน“  .. แต่ข้าวสาลีนั้นจะถูกเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา” ..ส่วนจิตวิญญาณของธรรมิกชนหรือผู้ที่เชื่อในพระเยซู..ก็จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถาน 
ดู มัทธิว 13:31-32  ข้อนี้ พระเยซูเปรียบเรื่องราวแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือน”เมล็ดพืช”  บางฉบับระบุว่าเป็น”เมล็ดผักกาด”  และในต้นฉบับแปลตรงตัวว่าเป็น”เมล็ดมัสตาร์ด” แต่ทั้งมัสตาร์ดและเมล็ดผักกาด  ต่างก็มีคุณลักษณะที่เหมือนกัน คือ เป็นเมล็ดพืชที่เล็กมากหรือน่าจะเล็กที่สุด ข้อที่ 32 บอกว่า “..เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่ที่สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย”  หมายความว่า  ความเชื่อในพระพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนเมล็ดพันธ์พืชเล็กๆ ที่หว่านลงในจิตวิญญาณของผู้เชื่อ   ที่ถึงแม้เมล็ดจะเล็กมากหรือเล็กที่สุด  แต่ผู้ที่มีเมล็ดพันธ์ของความเชื่อนี้..จะกลับมีจิตวิญญาณที่เติบโตกว่าคนทั้งปวง    “..จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”..คือ สามารถเป็นที่พึ่งหรือเป็นแสงสว่างแก่คนอื่นได้ 
ข้อที่ 33  บอกว่า “พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”   คำว่า  “เชื้อ”ในข้อนี้ คือ ยีสต์ที่ทำให้แป้งขึ้นฟู    เพราะฉะนั้น  คำอุปมาทั้ง 2 ข้อนี้   สำแดงให้เราเห็นว่า .. เรื่องราวของแผ่นดินสวรรค์หรือความเชื่อที่พระเจ้าใส่ลงในจิตใจเรานั้น   แรกเลย พระเจ้าทรงใส่ความเชื่อให้แค่จุดเล็กๆ   แต่แค่จุดเล็กๆที่ใส่ลงในจิตใจของผู้ชอบธรรม  จะสามารถทำให้คนๆนั้นมีความเชื่อที่เติบใหญ่และแข็งแรงได้เสมอ   ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์หรือเชื้อขนมทั้งสองอย่างเล็งถึงการเริ่มต้นที่เริ่มจากเล็กไปหาใหญ่  หรือจากน้อยไปหามาก  นี่คือ ความถูกต้องที่พระเจ้าสำแดงแก่เรา ..ว่าทางของพระองค์หรือแนวทางตามธรรมชาติแล้ว..มันต้องเป็นแบบนี้  สิ่งดีๆจะต้องเริ่มต้นมาจากจุดเล็กๆแล้วค่อยๆเติบโตขึ้น  อะไรก็ตามที่โตเร็วเกินไป..รวบรัด หรือข้ามขั้น  แบบนั้น..มักไม่ใช่ของจริงหรือไม่ใช่ทางของพระเจ้านะคะ 
ดู มัทธิว 13:44-46  ทั้งสองเรื่องนี้มีความหมายเหมือนกัน  จะต่างกันตรงรายละเอียดนิดหน่อย   เรื่องแรก พระเยซูอุปมาว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา  เมื่อมีผู้ใดพบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก   และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ แล้วไปซื้อทุ่งนานั้น”  เด็กๆลองนึกภาพดู..ว่าถ้าอยู่ดีๆ  เราไปเจอหรือไปรู้ว่ามีขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลซ่อนอยู่ในที่แห่งนึง..เราจะทำแบบชายคนนี้มั๊ย  แน่นอน เราคงทำแบบเดียวกันกับเขา  คือ ยอมที่จะขายหรือละทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อเอาไปแลกกับที่ดินผืนนั้น  เพราะเรารู้ว่า..ยังไง ก็คุ้ม  เนื่องจากที่แปลงนั้นมันมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่
เรื่องที่ 2 บอกว่า “..แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น”  เพราะพ่อค้าย่อมรู้ดี..เขาย่อมดูออกว่าสิ่งไหน ที่มีค่าจริงๆ 
อุปมาทั้ง 2 เรื่อง เป็นความจริงที่พระเยซูสำแดงแก่เราเกี่ยวกับ”การตอบสนอง”ของคน.. ในเวลาที่ได้ยินข่าวประเสริฐ   ทั้งสองคนนี้ตอบสนองเหมือนกัน คือ มีความมุ่งมั่นในการที่จะได้ของมีค่านั้นมาครอบครอง  ต่างกันแค่..คนที่พบขุมทรัพย์ในนา  เขาเหมือนจะพบ”โดยบังเอิญ”  อันนี้ ก็หมายถึง คนที่อาจจะไม่ได้ตั้งใจจะแสวงหาพระเจ้าหรือความรอด  แต่อยู่ดีๆ วันนึง พระวจนะของพระเจ้าก็มาเข้าหู..แตะต้องหัวใจเขา   ประมาณว่า “อยู่ดีๆพระเยซูก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า”  (หมายถึง ในหัวใจนะ ไม่ใด้แปลว่า เขาเห็นพระเยซูด้วยตา)     แล้วเขาก็รู้ทันทีว่า “นี่คือ ความจริง  นี่คือ สิ่งมีค่าที่สุด..ที่มนุษย์ทุกคนต้องการ” 
ส่วนพ่อค้า ที่ได้พบไข่มุกเม็ดงาม  อันนี้ หมายถึง มนุษย์ประเภทที่แสวงหาเรื่องฝ่ายวิญญาณ  แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา..ก็ยังไม่เคยเจอของจริง หรือสะเปะสะปะหลงไปผิดทาง  แล้วในที่สุด วันนึงก็ได้มาเจอไข่มุกเม็ดงาม คือ เรื่องราวข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์   และก็ไม่แปลก  ถ้าเขาจะยอมไปขายทุกอย่างมาเพื่อแลกกับไข่มุกเม็ดนี้  เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้า..ก็หมายถึง เป็นบุคคลผู้แสวงหามาสัจจะธรรมมาทั้งชีวิต   ดังนั้น เขาต้องรู้ดีว่า..ไข่มุกนั้นมีค่า..หรือไม่มี  เป็นของจริงหรือของปลอม
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้เจอขุมทรัพย์หรือไข่มุกแล้วยังเดินหนีไป  ไม่ตอบสนองต่อขุมทรัพย์หรือข่าวดีแบบ 2 คนนี้   ในความจริงก็ต้องบอกว่า”โง่น่าดู”  แต่ถามว่าทุกวันนี้..มีมั๊ยคะ  มีเยอะ..อีกหลายล้านคนยังเดินหนีขุมทรัพย์ล้ำค่า  แล้วก็ยอมจมอยู่กับความจน..ฝ่ายวิญญาณต่อไป
   บทที่ 14 มรณะกรรมของยอห์น เดอะ แบบทิสต์
ดู มัทธิว 14:1-3 ข้อนี้ บอกว่า “..เฮโรดได้จับยอห์นล่ามโซ่แล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน”....ฟังดูแค่นี้ เราก็พอเดาได้แล้ว..ว่ามันต้องมีเรื่องการล่วงประเวณีเข้ามาเกี่ยวข้อง   ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่า “เฮโรด คนนี้ คือ เฮโรด อันทิพาส”  เป็น ลูกชายของ เฮโรด มหาราชที่ตามฆ่าพระกุมารเยซู    ส่วนนาง”เฮโรเดียส” จริงๆ เป็นภรรยาของ”ฟิลิป”น้องชายคนละแม่ของเฮโรด   แต่ตอนที่เฮโรด  เดินทางไปกรุงโรม  แล้วแวะเยี่ยมน้องชายคนนี้  เขาก็ได้เจอนางเฮโรเดียส..แล้วก็ชอบ  เลยชวนให้นางคนนี้ทิ้งสามีมาอยู่กับตัว  ปรากฎ นางเฮโรเดียส..ก็เอาด้วย !!!    ข้อที่ 3 บอกว่า “..เฮโรดได้จับยอห์นมาขังไว้  เพราะะยอห์นเคยกล่าวโทษท่านว่า "ท่านไม่มีสิทธิ์รับนาง (เฮโรเดียส) นั้นมาเป็นภรรยา"...มันผิดพระบัญญัติของพระเจ้า   ในความเป็นจริงเฮโรด อยากฆ่ายอห์น ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว  แต่ ! ไม่กล้า  เพราะประชาชนจำนวนมากนับถือยอห์น  แต่นางเฮโรเดียส  ยังไม่ละความพยายามที่จะฆ่ายอห์น  ก็เลยวางแผนที่จะกำจัดยอห์นให้ได้

ดู มัทธิว 14:6-8  แผนการของนางเฮโรเดียส  ก็คือ ใช้ให้ลูกสาวตัวเอง..ซึ่งพระคำภีร์ไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร  แต่ตามประวัติศาสตร์บันทึกว่าเธอชื่อ “ซาโลเม”  เฮโรเดียสใช้ลูกสาวให้เต้นรำในงานวันเกิดของเฮโรด  เพื่อให้เฮโรดประทับใจ..จะได้ตบรางวัล  แล้วรางวัลที่อยากได้ก็คิดไว้แล้ว..ว่าจะขอ“หัวของยอห์น”  เรียกว่า เฮโรเดียส ลงทุนมาก  แล้วก็คงมั่นใจในลีลาและความงามของลูกตัวเองมากอยู่   เพราะ มันไม่เป็นการสมควร..ที่จะเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อ   ที่สำคัญ ผู้หญิงรับจ้างเต้นรำสมัยนั้น..ก็มีเยอะ  แต่เฮโรเดียสลงทุนใช้ลูกตัวเอง ก็แสดงว่า อยากฆ่ายอห์นมากจริงๆ  แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน  ในงานวันเกิดของเฮโรดลูกสาวของเฮโรเดียสก็ทำให้เฮโรดประทับใจมากแล้วก็สัญญาว่าถ้าขออะไร..จะให้ทุกอย่าง  เข้าทางพอดี..ลูกสาวของเฮโรเดียสเลยบอกขอหัวของยอห์น ผู้ให้บัพติศมา..ตามที่เตี๊ยมกันไว้กับแม่  สุดท้าย ยอห์นเลยถูกตัดหัว  ถึงเฮโรดจะกล้าๆกลัวๆในการที่จะสั่งตัดหัวยอห์น   แต่ก็ต้องทำ ..เพราะสัญญาไว้แล้ว..ว่าจะให้ทุกอย่าง  ข้อที่ 12 บอกว่า “ฝ่ายศิษย์ของยอห์นก็มารับเอาศพไปฝังไว้ แล้วก็มาทูลพระเยซูให้ทรงทราบ” 
     หมดเวลาแล้วค่ะ  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น