วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 9


ดู มัทธิว 10:34-35 “..พระคริสต์ทรงอยู่เหนือบิดาหรือมารดา”..ถ้าใครมีพ่อแม่ที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็จะรู้ว่า..เขาจะรับไม่ค่อยได้สำหรับถ้อยคำในข้อนี้ที่พระเยซูบอก  เพราะ เขาจะไม่มีวันเข้าใจ..เขาจะรู้สึกว่ามาสอนอย่างนี้ได้ยังไง     ประโยคต่อไปยิ่งแล้วใหญ่เลย “..อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา”.......จำให้ดีนะคะเด็กๆ ในบริบทนี้ หมายถึงในเรื่องจิตวิญญาณและความเชื่อนะคะ  อย่าเอาไปตีความผิดบริบท..ผิดความหมาย  พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่า เมื่อพระองค์เสด็จมา..มนุษย์จะถูกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย  พระองค์มาเพื่อ”คัดกรอง”คนของพระเจ้าและแยกคนเหล่านั้นออกจาก..คนที่ไม่ใช่..หรือคนที่ไม่ได้ถูกเลือก    ข้อที่ 36 บอกว่า “..ผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน”....เพราะเวลาพระเจ้าเลือก..บางทีพระองค์ไม่ได้เลือกยกตระกูลหรือเลือกทั้งครอบครัว  ในบ้านนึงเนี่ย..บางทีคนนี้ใช่..คนนั้นไม่ใช่  เลือกคนนี้..ไม่เลือกคนนั้น  อะไรต่างๆเหล่านี้ คือ ความหมายของคำว่า ”ศัตรู และ ความหมางใจ” ..ทำไมต้องหมางใจและเป็นศัตรู  เพราะคนที่ไม่ใช่..ก็จะไม่เชื่อและมองข่าวประเสริฐเป็นเรื่องโง่และรับไม่ได้..สุดท้ายในครอบครัวเลยต้องทะเลาะกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวที่”ลูกเชื่อ” แต่ “พ่อแม่ไม่เชื่อ” แทบทุกคนที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความเชื่อ  มักจะได้ยินประโยคที่ว่า “บรรพบุรุษก็เป็นพุทธกันมาแต่ไหน แต่ไร ทำไมน๊า..ยายคนนี้ถึงแหกคอก !!! (ประมาณนี้)และข้อที่ 37 บอกว่า “ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา”...คือเมื่อถูกครอบครัวต่อต้านหนักเข้า..เริ่มทนไม่ได้   พ่อแม่ก็จะตัดเป็นตัดตาย..ถ้าจะยังเชื่อพระเยซู  ญาติพี่น้องก็พูดจาส่อเสียดเหยียดหยามอยู่ทุกวัน   สุดท้ายทนความกดดันที่ครอบครัวหยิบยื่นให้..ไม่ได้  ก็เลิกดีกว่า..เลิกเชื่อพระเยซูดีกว่า..เชื่อแล้วครอบครัวมีปัญหา  พระเยซูบอก “ใครที่เลือกอย่างนั้น ผู้นั้นก็ไม่สมกับพระองค์” ....เชิญไปได้เลย
ดู มัทธิว 10:38-39  “..ผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา”  สาวกของพระคริสต์หรือคริสเตียน..ต้องยอมรับความทุกข์ยากเหมือนที่พระเยซูรับ  เพราะเราต้อง”ต่าง”และ”สวนกระแส”กับคนของโลก    เพื่อให้โลกเห็นว่า “ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน  เราก็จะยังเป็นแสงสว่างได้อยู่ดี” เพราะมันเป็นการง่าย ถ้าเรายังกินอิ่ม นอนสบาย ได้อยู่ห้องแอร์ แล้วเราจะบอกว่า "ฉันจะไม่ลักขโมย ไม่โกง ไม่เอาเปรียบ ไม่กล่าวโทษ ไม่บ่น หรือทำบาป"  เพราะ”ภาวะสุขสบายมันไม่สามารถพิสูจน์คนได้” เพราะงั้น ถ้าเราสามารถสว่างได้เฉพาะเวลาที่มีความสุขสบาย..อันนั้นมันไม่ทำให้เราต่างจากคนอื่น  ดังนั้น บางครั้ง เราจึงต้องดำเนินอยู่ในความทุกข์ยากบ้าง   พระเยซูบอกให้เราแบกกางเขนของเราตามพระองค์ไป  นั่นหมายความว่า พระองค์ดำเนินแบบไหน..เราจำเป็นต้องทำตามเพื่อที่เราจะได้มีศักดิ์ศรีสมกับความรอดที่พระองค์เตรียมให้  ข้อที่ 42 บอกว่า”...ผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยดื่ม เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้”    ความหมายของพระเยซูในข้อนี้ ก็คือ ใครก็ตามที่ทำดีกับคนของพระเจ้า  แม้จะเป็นแค่น้ำใจเล็กๆน้อย..พระเจ้าสัญญา..ว่าจะอวยพรผู้นั้น  
ดู มัทธิว 11:16-17  พระเยซูทรงเปรียบคนในยุคพระคุณว่า “..เหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องบอกเพื่อนว่า..ฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ  ฉันได้พิลาปร่ำไห้แก่พวกเธอ และพวกเธอมิได้คร่ำครวญ”  คือ ไม่ยินดี..ยินร้ายกับอะไร  บางที เรื่องที่น่ายินดีที่สุดอย่างข่าวประเสริฐ..ที่เราพยายามจะบอกแล้วบอกอีก..หลายคนกลับรู้สึกเฉยๆ..ไม่สนใจ  วันอีสเตอร์ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่..อันนี้คือความน่ายินดีที่สุดไม่ใช่เฉพาะสำหรับคริสเตียน  แต่มนุษย์ทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะโลดเต้นในเรื่องนี้  แต่หลายคน..ไม่สนใจเลย..เฉยมาก   ศุกร์ประเสริฐเราก็สลดใจแทบตาย  แต่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า..ก็ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้  อะไรต่างๆเหล่านี้  คือ ความหมายที่พระเยซูกล่าวถึงในข้อนี้    ข้อที่ 18  บอกว่า “..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม  เพราะยอห์นเป็นนาศีร์ คือ กินอยู่เหมือนฤาษี..อะไรประมาณนี้..ยอห์นจะไม่กินดื่มหรือใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย  ส่วนพระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา  เป็นมิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนบาป”  แต่ ทั้งยอห์นและพระเยซูก็คือผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทั้งคู่  แม้จะทำต่างกัน..มีสถานะหรือไลฟ์สไตน์ที่ต่างกัน แต่พระปัญญาของพระเจ้าได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้ว   และข้อที่จะขยายความของบริบทนี้ได้เป็นอย่างดี คือ....
ดู มัทธิว 11:28 ที่พระองค์บอกว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข”  คำว่า “ภาระหนัก” ในที่นี้ คือ ภาระฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์ไม่มีวันไถ่ถอนให้ตัวเองเป็นอิสระได้ และรวมถึง..ความทุกข์ยากลำบากจากความที่ต้องพยายามทำตามกฎบัญญัติต่างๆ  สำหรับยิวก็คือ กฎบัญญัติทางโมเสส  ด้วยความเคารพ..สำหรับต่างชาติก็อาจหหมายถึงข้อห้ามหรือกฎต่างๆตามความเชื่อของเขา  ศีล5 ศีล8 ศีลกี่ร้อยข้อก็ตาม   ซึ่งไม่ว่าจะบัญญัติว่ายังไง  ก็ไม่มีวันที่ใครจะทำตามได้อย่างครบถ้วน “ตามมาตรฐานของพระเจ้า”  เพราะมาตรฐานของพระเจ้า คือ “แค่คิดผิดแล้ว”  พระเยซูถึงต้องมาเติมเรา  มาแบกรับและทำแทนเรา  ที่ข้อ 18  บอกว่า “..ยอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม  แต่  พระเยซูคริสต์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่าพระองค์เป็นคนกินเติบและขี้เมา..”  ข้อนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นคนขี้เมาหรือเห็นแก่กินได้นะคะ  แต่พระองค์ทรงสำแดงให้เราเห็นว่า  กฏข้อห้ามหยุมหยิมเล็กน้อย..จะไม่สามารถทำให้เราบาปหรือลงบึงไฟนรกได้อีกต่อไป   แม้กระทั่งบางครั้งเราจะยังอ่อนแอและอาจ”เผลอ”ทำความผิดไปบ้าง  (เผลอ ทำไปบ้างนะคะ ไม่ใช่ทั้งชีวิตผิดตลอดแบบไม่เคยสำนึกและกลับใจ  อันนั้นไม่ใช่ละ)  คือ ถ้าเราจะพลาดพลั้งไปบ้าง  ยังไงความเชื่อในโลหิตของพระเยซูก็สามารถชำระเราได้เสมอ   ดังนั้น ที่พระองค์บอกว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา..”  ก็คือ เราแค่ทำตามที่พระองค์สอน  แค่นั้น ! หน้าที่ของเรา..อย่างอื่นพระองค์จัดการเอง    โอเคมั๊ย
ดู มัทธิว 11:25-26  “..พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญา..”  สิ่งเหล่านี้ที่ข้อนี้พูดถึงคืออะไร ก็คือ “ข่าวประเสริฐของพระคริสต์  หรือเรื่องราวของแผ่นดินสวรรค์ “
คือ ก่อนที่จะเป็นสมัยโรม  ก่อนหน้านั้น คือ “กรีก” ซึ่งกรีกจะเป็นพวกตรรกนิยม คือ ชอบเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล  ชอบที่จะถกกันในเรื่องราวของปรัชญา..ค้นหาความจริงของชีวิตอะไรต่างๆ..ซึ่งทำให้กรีกมีนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคน อย่าง“พิธากอรัส”กับ ”อริสโตเติล” ที่เราน่าจะรู้จักกันดี..นี่ก็เป็นชาวกรีก  เพราะงั้น ต่อเนื่องจนถึงสมัยโรมหรือแม้กระทั้งทุกวันนี้..ความนิยมในความเป็นเหตุเป็นผล  ก็ยังคงส่งผลต่อแนวคิดและความเชื่อของมนุษย์อย่างมาก   เพราะคนที่คิดว่าตัวฉลาด..เขาจะรับไม่ได้หรอก..ที่จะเชื่อว่า “เลือดของคนๆนึงเมื่อหลั่งออกแล้วจะสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้”  มันเป็นไปไม่ได้..มันไม่สมเหตุผล..มันผิดหลักแห่งตรรกวิทยา   นี่แหละ คือ ความหมายที่พระเจ้าบอกว่า “พระองค์ทรงปิดบังเรื่องราวข่าวดีของพระเยซูไว้จากคนที่คิดว่าตัวเอง..ฉลาด” (ฉลาดฝ่ายโลกนะ ไม่ใช่ฉลาดในทางพระเจ้า)  แต่  “..ทรงสำแดงความรอดนี้ให้แก่ผู้เล็กน้อย”  ผู้เล็กน้อย ก็คือ คนธรรมดาสามัญ  ไม่ใช่คนใหญ่..คนโต  หรือ คนที่จะสมองดีอยู่ในอันดับต้นๆของโลก  ถามว่า มีคนใหญ่คนโตเชื่อพระเจ้ามั๊ย..มีค่ะ  แต่..ยังไม่เยอะ  ข้อที่ 29 พระเยซูบอกว่า “..จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง”  ถ่อมลง..ไม่ต้องโอ้อวดในสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเอง  เพราะถ้าพระเจ้าจะมีส่วนที่เล็กน้อยที่สุด..ส่วนนั้นก็ยังสูงส่งกว่าปัญญาของมนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..อยู่ดี เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดหรือมีปัญญาในทางพระเจ้า..ต้องไม่อวดรู้..ไม่พึ่งสติปัญญาของตัวเอง..แต่เขาจะเดินตามและพึ่งพระเยซู   เอเมนมั๊ย 
ดู มัทธิว 12:1-2  วันสะบาโตคือ “วันเสาร์” หรือ “วันที่เจ็ด” ของสัปดาห์ตามปฏิทินของชาวยิว  พระบัญญัติทางโมเสสตั้งให้เป็นวันหยุดพัก  และสมัยที่ยิวได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนพวกเขาตั้งให้วันสะบาโตเป็นวันนมัสการพระเจ้าด้วย
แล้วก็เป็นที่รู้กันว่า”ยิว”เคร่งครัดที่จะทำตามกฎบัญญัติมาก..มากซะจนหลาย ครั้งลืมที่จะสนใจ..ว่าพระประสงค์แท้จริงของพระเจ้าคืออะไร   อย่างบอกว่าห้ามทำงานวันสะบาโต..เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเอาคำสั่งนี้เป็นที่ตั้ง  โดยไม่ใช้วินิจฉัยว่า..พระเจ้าห้ามทำไม  พระองค์มีพระประสงค์อะไรในกฎข้อนี้หรือในกฎแต่ละข้อ  ยิ่งไปกว่านั้น..ก็ยังเพิ่มรายละเอียดเข้าไปอีก  อย่างข้อนี้.. “คำว่า ห้ามทำงานวันสะบาโต  ก็เอาไปขยายความต่อไปอีกว่า หมายถึง ห้ามเดินเกินกว่ากี่กิโล กี่กิโล อะไรประมาณนี้”..ซึ่งมันไม่ใช่  พระเจ้าให้หยุดพักวันสะบาโตเพราะอะไร  เพราะพระองค์รู้ว่าร่างกายมนุษย์ต้องการการพักผ่อน  ทำงานมาทั้งสัปดาห์มนุษย์จำเป็นต้องพัก..พระเจ้ารู้  เพราะพระองค์สร้างเรามากับมือ  แต่เราจะไปก็กล่าวโทษพวกยิวก็ไม่ได้   เพราะเขาอาจจะไม่รู้เหตุผลจริงๆ..ที่พระเจ้าตั้งกฎให้   บางสิ่งบางอย่างที่เราคิดออกก็เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงกับเรา  หรือเหตุผลของกฎบัญญัติอีกหลายๆข้อ..ก็เพิ่งจะถูกเปิดเผย..ตอนที่เทคโนโลยีเจริญมากแล้ว..นึกออกมั๊ยคะ  เช่น ห้ามกินเลือดเ..พราะเลือด คือ แหล่งรวมของเชื้อโรค  ห้ามกินไขมัน  เพราะไขมัน..กินแล้วไม่ดี  อะไรต่างๆเหล่านี้ มนุษย์ก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง  ถ้าจะผิด..ก็ผิดก็ผิดตรงที่ชอบเพิ่มความยากลำบากเข้าไปในกฎแต่ข้อ..ให้ทำยากขึ้น เป็นภาระมากขึ้น  และพระเยซูรู้ดี..ถึงความความทุกข์ยากในการทำตามกฎบัญญัติของมนุษย์   พระองค์จึงมาเพื่อไถ่มนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากภาระหนักและความเหน็ดเหนื่อย บกพร่องฝ่ายวิญญาณ 
ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จไปในนาวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน”   พวกฟาริสีก็เห็น..แล้วก็พูดกับพระเยซูว่า “นั่นแน่ะ ศิษย์ของท่านทำการต้องห้ามในวันสะบาโต”  พระเยซูทรงตอบว่าไง...
ดู มัทธิว 12:3-6  ข้อนี้ พระเยซูทรงยกการกระทำของดาวิดขึ้นมาเป็นตัวอย่าง  ตอนนั้น ที่ดาวิดกำลังหนีซาอูลอย่างหัวซุกหัวซุน  ถ้าเด็กๆเคยเรียนหนังสือซามูเอลกับน้าตุ๊กจะจำได้   ซาอูลตามฆ่าดาวิดอย่างเอาเป็นเอาตาย..ไม่มีการลดลาวาศอก  จนดาวิดแทบไม่มีเวลาหายใจ..อารมณ์มันประมาณนั้นจริงๆ  แล้วก็มีอยู่ตอนนึงใน 1 ซมอ. 21  ซึ่งเป็นอีกตอนที่ดาวิดต้องหนีซาอูลแบบไม่มีเวลาตั้งตัว  และเขาไม่มีทั้งอาวุธกับและเสบียง  ดาวิดก็เลยไปหาปุโรหิตที่เมืองโนบ..ซึ่งคุ้นเคยกับดาวิดเป็นอย่างดี  ไปถึงดาวิดก็ออกปากถามหาอาวุธกับอาหาร    ซึ่งก็ได้ดาบของโกไลอัทไป  ส่วนอาหาร..ไม่มี  นอกจาก”ขนมปัง ที่วางต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า” ซึ่งปกติปุโรหิตเท่านั้นที่มีสิทธิ์กินขนมปังที่ถวายพระเจ้า..คนทั่วไปห้ามกิน  แต่วันนั้น ปุโรหิตก็เอาให้ดาวิดติดตัวไป   พระเยซูทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมา  เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า  สิ่งที่ปุโรหิตคนนั้น (คือ “อาหิเมเลค”)  ได้ทำนั้น..ถูกต้องแล้ว  เพราะเขาเลือกที่จะทำด้วยความรักและเมตตา  มากกว่าที่จะตะบี้ตะบันยืนยันตามกฎอย่างไม่ลืมหูลืมตา  ข้อที่ 5 พระองค์บอกว่า “ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารดูหมิ่นวันสะบาโต..แต่ไม่มีความผิด”  ( เนื่องจากปุโรหิตจะมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร) “.. แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีผู้หนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก”  ข้อนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงพระองค์เอง  เพราะถ้าพวกปุโรหิตมีสิทธิพิเศษในพระวิหาร  พระองค์ก็ยิ่งมีมากกว่านั้นอีกหลายเท่า  เพราะพระองค์ใหญ่กว่าพระวิหาร..ถูกมั๊ยคะ   ข้อที่ 7 บอกว่า “แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายของข้อที่ว่า เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด”  พระเยซูชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีความรักและเมตตาต่อพี่น้องและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน   พระองค์ไม่ต้องการให้เรา..สักแต่จะทำตามพระบัญญัติให้ครบถ้วน”ตามตัวอักษร” แต่ในหัวใจขาดวินิจฉัยที่แท้จริงเพราะไม่มีความรัก  แบบนี้ พระเจ้าไม่ต้องการ  พระเยซูถึงบอกว่า ถ้าเราเข้าใจความจริงในข้อนี้  เราจะไม่ตัดสินหรือกล่าวโทษพี่น้อง  แล้วการที่สาวกของพระองค์เก็บรวงข้าวในนาไปกินนั้น  จริงๆแล้วพวกเขา     ”หิว” ไม่ได้งก...หรือตั้งใจจะทำงานวันสะบาโตอย่างไม่คิดจะหยุดพัก พอเห็นภาพมั๊ยคะ 
ดู มัทธิว 12:10-11  นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกฟาริสีกำลังหาช่องจะจับผิดพระเยซู  เมื่อมีชายมือลีบคนหนึ่งเดินมา  เหล่าฟาริสีเลยถามพระเยซูว่า “..แล้วพระองค์คิดว่าการรักษาคนในวันสะบาโต..ผิดมั๊ย” (...ที่ถาม ก็เพราะพวกฟาริสีเขาคิดว่าผิดไง..อะไรๆก็ทำไม่ได้ในวันสะบาโต  นี่คือ การสักแต่จะเคร่งครัดแค่ตามตัวอักษร)  ข้อที่ 11 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ”  ความหมายคือ ถ้าแกะหรือสัตว์เลี้ยงของพวกเขาตกลงไปในบ่อวันสะบาโต  พวกเขาจะฉุดมันขึ้นมามั๊ย..ฉุดแน่นอน  ต่อให้เป็นวันสะบาโตก็ตาม  เพราะแกะ ม้า วัว ควาย มันคือทรัพย์สินของพวกเขา  มันเป็นเงิน..เป็นทอง ขืนปล่อยให้ตาย..เงินก็หายสิ   ข้อที่ 12 พระองค์จึงบอกว่า “มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากเท่าใด..”  ถ้าพวกเขาซึ่งเป็นคนถือรักษากฎอย่างเคร่งครัดยังมีใจยอมช่วยเหลือสัตว์ในวันสะบาโต..ไม่ว่าจะช่วยเพราะกลัวเงินหายหรือช่วยเพราะใจเมตตาก็ตาม  ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร  ที่พวกเขาก็ควรจะเต็มใจช่วยชายมือลีบคนนี้ด้วย  เพราะมนุษย์ประเสริฐและมีค่ามากกว่าแกะหลายเท่า    แล้วพระองค์ก็ลงท้ายว่า “... เหตุฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”    ข้อที่ 14 บอกว่า “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า ..ทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้”  และนี่คือ การพยายามจะฆ่าพระเยซู ”ครั้งแรก” ตามที่หนังสือมัทธิวบันทึกไว้
ดู มัทธิว 12:33-35  “..เราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน”  อันนี้ ต้องจำไว้ให้แม่นเลยนะคะ  เราไม่สามารถจะตัดสินใครก็ตามด้วยรูปแบบภายนอก  พระเยซูสอนหลายครั้งว่าให้เราดูที่ผล  ผลอะไร..ในยุคพระคุณของพวกเรา ก็คือ ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์  มีอะไรบ้างให้เราเปิดไป...  ดู กาลาเทีย 5:22-23  นี่คือ วิธีที่จะดูว่าคนๆนั้นเกิดผลหรือเปล่า  คือดูว่า.. เขามีความรักมั๊ย  มีสันติสุข  มีความเมตตาปรานี  สุภาพอ่อนน้อม ถ่อมตน  มีความสัตย์ซื่อ  รู้จักยับยั้งชั่งใจหรือรู้จักบังคับใจตนบ้างหรือเปล่า  เพราะคนที่เกิดผลดีตามที่พระเยซูบอกไว้จะต้องมีผลของพระวิญญาณสำแดงออกมาบ้างไม่มากก็น้อย  แต่ถ้าน้อยก็ต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ใช่อยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้น   ข้อที่ 34 พระเยซูกล่าวต่อไปว่า “..โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ”  พระเยซูทรงใช้คำนี้กับพวกฟาริสีบ่อยมาก  เฉพาะในหนังสือมัทธิวก็ปรากฎถึง 3 ครั้ง เป็นที่รู้กันถึงนิสัยของงูตามที่พระคำภีร์กล่าวถึง..ว่ามันทั้งหลอกลวง..เจ้าเล่ห์และดุร้าย   แถมยังชอบชี้ช่องให้คนอื่นทำบาป   ดังนั้น สำหรับน้าตุ๊กคำนี้ถือว่าเจ็บแสบมาก  เพราะเป็นการกล่าวโทษที่เหมือนจะชี้ชันหยั่งลึกไปถึงกมลสันดานรวมทั้งความประพฤติที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย  
“..เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร  ในเมื่อปากย่อมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ”  พระคำภีร์ยืนยันความจริงในเรื่องนี้..หลายครั้งมากนะคะเด็กๆ   หนังสือสุภาษิตก็บันทุกเรื่องของการพูดที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในใจของมนุษย์ไว้หลายบทมาก  แล้วมันก็เป็นเรื่องที่น้าตุ๊กอยากสอน..แล้วก็อยากตอกย้ำกับเด็กๆมาก..ให้เรา”ระวังคำพูด” ของตัวเองให้มากๆ จะพูดอะไร..คิดซะก่อน  อย่าให้ปากนำ  เราต้องใช้สติปัญญานำ  หลายคนบอก  แหม! แค่พูดเล่นๆเอง..ไม่ได้คิดอะไร  ถ้าไม่คิดอะไร  งั้นจะพูดทำไม !! ไม่มีประโยชน์  เก็บปากเก็บคำไว้จะดีกว่า”  พูดเล่น..บางทีก็พูดได้นะคะ  แต่ต้องวินิจฉัยให้ดีว่าเราไม่ได้แอบแฝงความคิดชั่วไว้ในคำพูดเหล่านั้น..จริงๆ  แล้วประเภทลามก  หยาบคาย  นี่ไม่เอาเลยนะคะ..ตัดมันทิ้งไป  เพราะข้อที่ 36 พระเยซูยืนยันกับเราว่า “..คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดในถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา”   เพราะฉะนั้น ไม่คุ้มเลยค่ะ..กับความสนุก..สะใจชั่วครู่ชั่วยาม  เพราะแค่ได้พูดเล่น พูดไร้สาระ พูดส่อเสียดหรือกล่าวโทษคนอื่น  แล้วเราต้องถูกพระเจ้าพิพากษา
  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
                ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น