ดู
มัทธิว 9:9-11 พระเยซูทรงเรียก”มัทธิว”
ซึ่งเป็นคนเก็บภาษีให้มาเป็นสาวกของพระองค์..มัทธิวก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ทันที ข้อที่ 10 บอกว่า
“ขณะที่พระเยซูทรงดื่มกินอยู่กับคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นหลายคน” อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอกไปแล้ว..ว่าสมัยนั้นเขารังเกียจคนเก็บภาษีมาก..ตราหน้าว่าเป็นคนบาปเพราะคนเก็บภาษีมักจะขูดรีดเงินมากเกินพิกัด ส่วนคนบาปอื่นๆอีกหลายคนในข้อนี้ หมายถึง
“คนต่างชาติ” คือ “ยิว”จะไม่สุงสิงเสวนา..
เข้านอกออกใน
หรือคบหากับคนต่างชาติเลย
เขาถือว่าคนต่างชาติเป็นคนบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“พวกฟาริสี” เพราะงั้น
เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูทรงร่วมสำรับดื่มกินกับคนพวกนี้ นึกภาพออกมั๊ยคะ..ว่าเขาจะทำท่าตกใจขนาดไหน ข้อที่ 11 บอกว่า “เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว
ก็กล่าวแก่พวกสาวกของพระเยซูว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” ประมาณว่า..อาจารย์ของท่านกล้าทำงี้ได้ไง นี่เท่ากับทำผิดประเพณีอย่างแรงเลยนะ.. และเมื่อพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพูด พระองค์ว่าอย่างไร..
ดู
มัทธิว 9:12-13 ”คนเจ็บต้องการหมอ
แต่คนสบายดี..ไม่ต้องการ
ท่านทั้งหลายจงไปเรียน “คัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ”..ซะใหม่นะ ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา
ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา...”
หลายครั้งเราจะเห็นว่า..”แทบจะทุกสังคมเลย”ที่ยอมรับแต่คนที่ดูดี..คนที่สมบูรณ์แบบ
ส่วนคนที่ถูกตราหน้า..ว่าเป็นคนไม่ดี..(ไม่ว่าจะไม่ดีเพราะอะไร..)..ก็มักจะไม่เป็นที่ยอมรับ..ไม่มีใครสนใจคบค้าสมาคมหรือคิดจะช่วยเหลือ.. แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ พระเยซูจึงบอกว่า..พระองค์มาเพื่อคนบาป..ไม่ได้มาเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว
เพราะถ้ามนุษย์ดีพร้อมแล้ว..พระองค์ไม่ต้องมาตายที่ไม้กางเขน..ถูกมั๊ยคะ แต่พวกฟาริสี..มักจะชอบเคร่งครัดแต่เรื่อง”หยุม
หยิม” คือ ใส่ใจแต่รายละเอียดยิบย่อยภายนอก..ที่ไม่สำคัญ แต่หลักข้อเชื่อสำคัญๆทางฝ่ายวิญญาณ กลับไม่ค่อยจะสนใจ เพราะไร มันมองไม่เห็น..ทำดีไปก็ไม่มีใครรู้ พวกเขาเลยสนใจแต่อะไรที่เป็นรูปแบบภายนอก หรือพิธีกรรมที่คนมองเห็น เพราะทำแล้วมันดูดี..ดูเป็นคนมีความเชื่อ ดูเป็นคนโฮลี่
อย่างไปยืนอธิฐานอยู่ตามทางหรือตามที่สาธารณะ.เนี่ย..ชอบ บริจาคเงินแล้วมีคนเป่าแตรประกาศชื่อออกไมล์..อย่างเงี้ย..ชอบ เพราะทำแล้วมีคนมองเห็น..ดูเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา
ทำแล้วก็มักจะได้รับคำสรรเสริญยกย่องจากผู้คน
พระเยซูถึงบอกฟาริสีพวกนี้..ไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ซะใหม่นะ..เข้าใจซะใหม่นะ..ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นความรัก..ความเมตตา
พระองค์ไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกแต่อย่างใด
ถามว่าพระองค์พอพระทัยมั๊ย..ที่เราร่วมกันนมัสการและสรรเสริญพระองค์..พระองค์พอพระทัยแน่นอน เป็นสิ่งที่เราควรทำและต้องทำ แต่อย่าเข้าใจผิด..พระเจ้าไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้สำคัญไปกว่าหัวใจที่มีความรักและเมตตาต่อกัน..ของพวกเรา พระองค์เป็นความรัก..ความเมตตา พระองค์ก็ประสงค์ให้เราเป็นเหมือนพระองค์ด้วย
ดู
มัทธิว 9:14-15 ศิษย์ของยอห์น (ผู้ให้บัพติศมา)
ถามพระเยซูว่าทำไมพวกเขากับพวกฟาริสีถืออดอาหาร
แต่ศิษย์ของพระเยซู..ไม่ทำ
พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ
แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร” คือ
คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงทำราชกิจมากมายเพื่อเป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงยุคใหม่
คือ “ยุคพระคุณ”ของพระองค์ สิ่งเก่าๆภายนอกบางอย่างที่เคยถือมานานจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป พระเยซูเปรียบพระองค์เป็น”เจ้าบ่าว”
ในงานเลี้ยง..แล้วมีใครเขาอดอาหารในงานเลี้ยงมั๊ย..ไม่มี เพราะถ้าอดก็ไม่ต้องจัดหรอก..งานเลี้ยง เพราะงานเลี้ยงเขาทำอะไรกัน “ดื่มกินด้วยความสนุกสนานชื่นชมยินดี”..ใช่หรือไม่
แต่พระองค์ก็บอกพวกเขาล่วงหน้าว่า..แต่เดี๋ยววันนึง..ก็จะถึงวันที่เจ้าบ่าวต้องจากพวกเขาไป
คือ พระองค์จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน แล้ววันนั้นถึง..จะเป็นวาระที่เหล่าสาวกของพระองค์จะอดอาหารอธิฐาน
ดู
มัทธิว 9:16-17 เมื่อเห็นประชานมีคำถามมากมายมาย พระเยซูจึงทรงยกคำอุปมาแก่พวกเขาว่า “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะผ้าที่ปะเข้านั้น
เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก” คือ
ผ้าสมัยก่อนเมื่อใช้หรือซักไปเรื่อยๆมันก็จะหดเพราะยังไม่มีนวัตกรรมอะไรต่างๆเกี่ยวกับเส้นใยเหมือนสมัยนี้ เพราะงั้นถ้าเอาผ้าใหม่ๆไปปะชุนเสื้อผ้าเก่าๆพอผ้าใหม่มันหดมันก็จะดึงให้รอยขาดกว้างขึ้น ข้อที่ 17 พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า
“และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด..”..เพราะน้ำองุ่นใหม่เปรี้ยวมากอาจทำให้ถุงหนังที่เก่าอยู่แล้ว..ขาดหรือรั่วได้
ทั้งผ้าเก่าและถุงหนังเก่าเปรียบเหมือนขนบธรรมเนียมแนวคิดและวิถีชีวิตเดิมของพวกยิว ซึ่งเน้นแต่การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมภายนอก ส่วนผ้าใหม่และน้ำองุ่นใหม่ หมายถึง
แนวคิดและวิถีชีวิตใหม่ที่พระเยซูทรงนำมา..ซึ่งจะเน้นเรื่องของจิตวิญญาณภายในมากกว่า และพระองค์บอกว่าทั้งสองอย่าง (คือแนวคิดแบบเก่าและวิถีชีวิตใหม่ในพระองค์)..มันไปด้วยกันไม่ได้ ข้อที่ 17 พระองค์ตรัสว่า “..แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่
แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้” ...ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต้องดำเนินไปพร้อมกับแนวคิดใหม่ที่พระองค์สอน..ทุกอย่างถึงจะถูกต้องสมบูรณ์และลงตัว
ข้อที่
18-34 จะเป็นการอัศจรรย์อีกหลายครั้งที่พระเยซูทำ มีทั้งการรักษาคนตาบอด เป็นใบ้
และรวมถึงการทำให้คนตายกลับฟื้นมีชีวิตขึ้น
ซึ่งหลายๆกรณีจะมีหมายสำคัญทางฝ่ายวิญญาณอยู่ด้วย อย่างเช่นตาบอดฝ่ายวิญญาณ
ตายฝ่ายวิญญาณซึ่งถ้าเชื่อพระเยซูแล้วตาฝ่ายวิญญาณของเราก็จะกลับมองเห็นความจริงในทางพระเจ้า
หรือที่เราเคยตายฝ่ายวิญญาณเราก็กลับมีชีวิตนิรันดร์ อย่างนี้เป็นต้น
ดู
มัทธิว 9:36-38 พระเยซูทรงสงสารประชาชน
เมื่อพระองค์มองดูผู้คนบนโลกแล้ว..พระองค์คงรู้สึกเวทนาพวกเราอย่างมาก พระองค์เห็นความมืดบอด ความเลื่อนลอย..ไร้จุดหมายและไม่มีที่พึ่งของมนุษย์ ข้อที่ 36 พระองค์บอกว่า “..ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง
(บางฉบับใช้คำว่าพวกเขา”อิดโรย”) และกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง เพราะมนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า
พระเยซูทรงมองเห็นความทุกขเวทนาของมนุษย์อย่างชัดเจน ข้อที่ 37 พระองค์บอกว่า
“ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา
แต่คนงานยังน้อยอยู่” ..ข้าวที่ต้องเกี่ยว หมายถึง คนที่พระเจ้าทรงเลือก..ให้กลับคืนดีกับพระองค์
พระเยซูบอก คนเหล่านี้ มีมากมายเหลือเกินแต่คนงานหรือคนที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำพันธกิจของพระเจ้า..ยังมีน้อยมาก ดังนั้น บทที่ 10 พระเยซูจึงทรงเริ่มต้นเรียกสาวกทั้ง
12 คน
มาเป็นคนงานที่จะออกไปเก็บเกี่ยวแผ่นดินของพระเจ้า หรือเรียกว่า..เป็นผู้ที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้..ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน จนทุกวันนี้เราก็ยังเก็บเกี่ยวคนเหล่านี้ได้ยังไม่ครบ
ดู
มัทธิว 10:5-8 “..อย่าไปทางที่ไปสู่คนต่างชาติ อย่าเข้าไปในสะมาเรีย
แต่จงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดีกว่า”
.. พระประสงค์ของพระเยซู ณ.ขณะนั้น คือ ให้สาวกไปประกาศข่าวประเสริฐกับยิวหรืออิสราเอลก่อน แล้วคนต่างชาติเอาไว้ทีหลัง แต่กลายเป็นว่า คนต่างชาติกลับมีความเชื่อแซงหน้า
ยิวหรือคนอิสราเอล ส่วนสะมาเรีย..จะเป็นเมืองที่ยิวรังเกียจเพราะเป็นเมืองที่ถูกปะปนไปด้วยคนต่างชาติและธรรมเนียมปฏิบัติที่เพี้ยนๆอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด พระเยซูจึงยังไม่ให้สาวกเข้าไป แต่หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว..พระองค์ถึงจะสั่งให้เหล่าสาวกไปประกาศกับชนทุกชาติ ถ้าถามว่าเพราะอะไร..น้าตุ๊กว่า
เพราะเมื่อพระองค์คืนพระชนม์แล้ว สาวกและเราทุกคนทุกคนจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะสามารถทำการได้โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณอย่างเต็มขนาด แต่ตอนนี้..ต้องรอก่อน
พระองค์ให้เหล่าสาวกทำอะไรบ้าง
ข้อที่ 8 พระเยซูสั่งว่า
“จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้ฟื้น
และจงขับผีให้ออก (นี่เป็นสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้เลย).. และเมื่อท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ
ก็จงให้เปล่าๆ...ห้ามเก็บค่าครู
ค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการใดๆทั้งสิ้น เพราะพระคุณหรือของประทาน..ที่เหล่าสาวกจะสามารถทำการอัศจรรย์ค่างๆเพื่อช่วยผู้คนนั้น มาจากใคร..มาจากพระเจ้า เสียเงินซื้อมารึเปล่า..ต้องเอาชีวิตไปแลกรึเปล่า..เปล่าเลย พระองค์ให้ฟรี..เพราะฉะนั้น ในเมื่อได้มาฟรี..ก็ต้องส่งต่อพระพรนี้ไป
“ฟรีๆ”เหมือนกัน
ดู
มัทธิว 10:16-18 พระเยซูบอก..เราจะอยู่ในโลกนี้เหมือน”แกะ”
บุคลิกของแกะ คือ ใสซื่อ..บริสุทธิ์..ว่าง่าย..ไม่มีพิษภัยและที่สำคัญ..ไม่ทันคน และในขณะที่เรามีบุคลิกแบบนี้
..เรายังต้องอยู่ท่ามกลาง”ฝูงหมาป่า” ซึ่งนิสัยของหมาป่า คือ เจ้าเล่ห์..หยาบคาย..โหดร้าย (ถ้าเป็นในการ์ตูนก็..จะขี้โกงด้วย) และพระเยซูบอก..เราต้องอยู่ในโลกนี้แบบ”สวนกระแส”ให้ได้
และการที่จะดำเนินอยู่ให้ได้แบบที่พระเจ้าบอก..คนของพระองค์จำเป็นต้องใช้”สติปัญญา”..ไม่ใช่ใช้อารมณ์หรือใช้กำลัง
ต้องฉลาดเหมือนงู ทำไงเราจะฉลาด..เราต้องเรียนรู้แนวทางการดำเนินชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูสอน..รู้ให้หมด
แล้วจะฉลาดและสมาร์ทด้วย แต่ในขณะเดียวกัน
..ต้องสุภาพเหมือนนกพิราบ
จะฉลาดแล้วดุร้ายกราดเกรี้ยวเหมือนงู..ไม่ได้ ข้อที่
17 พระเยซูบอกต่อไปว่า “แต่จงระวังตัวให้ดี เพราะเขาจะอายัดท่านไว้กับศาล
และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา”
อันนี้เป็นความหมายที่พระเยซูเตือนสาวก..(ไม่ต้องตกใจ กางเขนของพวกเราจะเบากว่าเยอะ) ในคริสตศตวรรษแรก รัฐบาลโรมอนุญาตให้ยิวสามารถมี”ศาลศาสนา”
ประจำท้องถิ่นได้ ซึ่งเป็นศาลที่ใช้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องทางศาสนาโดยตรง
ไม่เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายบ้านเมืองหรืออาชญากรรมอย่างอื่น และพระเยซูบอกเหล่าสาวกไว้ล่วงหน้าเลย..ว่า
ให้ระวังตัวนะ เพราะพวกยิวจะคาดโทษสาวกทุกคนเพราะพวกเขาเชื่อและติดตามของพระเยซูคริสต์ ข้อกล่าวหาคือทำผิดบัญญัติพระเจ้าทางโมเสส แล้วจะเฆี่ยนพวกเขาในธรรมศาลา..
ถ้าเป็นพวกเรา..พระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ เราจะยังอยากเป็นสาวกของพระองค์อยู่มั๊ย..อันนี้ต้องคิดให้ดีๆ ถ้าคิดได้แล้ว..ก็ก้มศีรษะลงขอบพระคุณ..ที่พระองค์ไม่ให้เราต้องถูกข่มเหงถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้อะไรที่หนักนิดเบาหน่อย..ยกโทษให้กันได้..ก็ยกโทษซะ แต่ละวันอาจจะไม่สะดวกสบายอย่างที่ใจเราต้องการ..ก็อดทนเอาหน่อย อย่าบ่นหรือเหวี่ยงให้มากมายนัก ต้องตระหนักไว้ตลอดเวลาว่า..ความทุกข์ยากของเรายังไม่เท่าไหร่..ไม่ถึง 1 ใน 100 หรือไม่ได้เศษเสี้ยวที่สาวกเหล่านั้นต้องเจอเลย
ดู
มัทธิว 10:24-25 “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน..” คือ
พระเยซูเป็นครูหรือเป็นเจ้านาย
แต่อีกไม่นานพระองค์จะต้องถูกอายัดจนถึงการมรณาบนกางเขน และถ้าพระองค์ต้องอยู่ในสภาพไหน..สาวกซึ่งเป็นศิษย์หรือเป็นทาส..ก็จะโดนไม่ต่างกัน เพราะศิษย์จะใหญ่กว่าครูหรือทาสจะมีสภาพดีกว่าเจ้านาย..มันเป็นไปไม่ได้
นี่คือ ความหมายที่พระเยซูบอก ข้อที่ 25 บอกว่า “..แค่นั้นก็พออยู่แล้ว ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล
เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด”....เบเอลเซบูล
เป็นชื่อพระของชาวคานาอัน
ชาวยิวใช้ชื่อนี้เรียกซาตานหรือใช้เรียกอะไรก็ตามที่มีความหมายไปในทางที่ชั่วร้าย คำนี้ของพระเยซูจึงหมายความว่า “
ถ้าพระองค์จะต้องถูกตรึง
และสาวกก็ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก..แค่นั้นก็โอเค..พอรับได้ แต่ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า “บาเอลเซบูล” คือ
ถ้ามนุษย์ยกให้พวกซาตานเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก..เป็นเจ้าบ้านแล้ว ลองคิดดูว่า..มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้จะมีสภาพยังไง..น่าเวทนาขนาดไหน
ดู
มัทธิว 10:26-27 “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา...ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด
ท่านจงกล่าวในที่สว่าง และที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู..จงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน”
...ในเมื่อพระองค์อุตส่าห์มาเพื่อถูกฆ่าและไถ่บาปให้มนุษย์ ก็จงให้สิ่งนี้เป็นข่าวประเสริฐที่แผ่ออกไปให้ได้มากที่สุด เอาแบบทุ่มสุดตัว และไม่ว่าอะไรที่พระเจ้าสำแดงแก่เราเป็นการส่วนตัว เราจงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่ผู้อื่นอย่างเปิดเผยและด้วยใจกล้าหาญ ข้อที่ 28 บอกว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย
แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”....แม้จะต้องถูกจองจำ ถูกข่มเหง
หรือแม้แต่ถูกฆ่าเหมือนพระเยซู
ก็จงอย่ากลัวคนเหล่านั้นที่ฆ่าได้แต่ตัว..ฆ่าจิตวิญญาณของเราไม่ได้
แต่จงเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด..ที่มีอำนาจที่จะฆ่าได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ พระเจ้าคือ
พระองค์เดียว..ที่มีสิทธิ์ชี้ขาด..ว่าใครจะขึ้นสวรรค์แล้วใครจะลงนรก
ดู มัทธิว 10:32-33
“..ผู้ใดรับเราต่อหน้ามนุษย์
เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์
เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ด้วย”...ถามว่าการรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์เป็นเรื่องยากมั๊ย สำหรับพวกเราอาจจะคิดว่า..ไม่เห็นยากเลย
แต่สำหรับบางคนยังยากอยู่..ถ้ารับต่อหน้าคนในโบสถ์ก็ยังไม่เท่าไหร่เพราะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน
แต่ถ้าประกาศตัวอย่างกล้าหาญในสังคมที่เขาอยู่..มันเริ่มจะเป็นอีกเรื่องนึงละ เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่ออย่างอื่น
เรากล้ามั๊ยที่จะยืดอกขึ้นมาแล้วบอกว่าเราเชื่อพระเยซู..หลายคนไม่กล้านะคะ กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวถูกมองเป็นตัวประหลาด
แต่ผู้เชื่อพระเยซูในสมัยพระคำภีร์ไม่ได้โดนแค่นี้
เพราะยิวตามฆ่ากวาดล้างคริสเตียนอย่างเอาเป็นเอาตาย หลายคนก็เลยต้องขาดกลัว..ไม่กล้ารับพระเยซูต่อหน้าผู้คนเพราะกลัวโดนฆ่า ดังนั้น
พระเยซูถึงบอกว่า”ใครที่กล้ารับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ (คือ ยอมตายเพราะเชื่อพระเยซู)
พระองค์ก็จะรับเขาต่อหน้าพระบิดาด้วย” พระองค์บอกแล้วว่า”อย่ากลัว
!
ผู้ที่ฆ่าได้แต่ตัว แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าวิญญาณเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น