วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 8


ดู มัทธิว 9:9-11 พระเยซูทรงเรียก”มัทธิว” ซึ่งเป็นคนเก็บภาษีให้มาเป็นสาวกของพระองค์..มัทธิวก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ทันที  ข้อที่ 10 บอกว่า “ขณะที่พระเยซูทรงดื่มกินอยู่กับคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นหลายคน”  อย่างที่น้าตุ๊กเคยบอกไปแล้ว..ว่าสมัยนั้นเขารังเกียจคนเก็บภาษีมาก..ตราหน้าว่าเป็นคนบาปเพราะคนเก็บภาษีมักจะขูดรีดเงินมากเกินพิกัด  ส่วนคนบาปอื่นๆอีกหลายคนในข้อนี้ หมายถึง “คนต่างชาติ”  คือ “ยิว”จะไม่สุงสิงเสวนา.. เข้านอกออกใน  หรือคบหากับคนต่างชาติเลย  เขาถือว่าคนต่างชาติเป็นคนบาป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พวกฟาริสี”  เพราะงั้น เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูทรงร่วมสำรับดื่มกินกับคนพวกนี้  นึกภาพออกมั๊ยคะ..ว่าเขาจะทำท่าตกใจขนาดไหน  ข้อที่ 11 บอกว่า “เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่พวกสาวกของพระเยซูว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า”   ประมาณว่า..อาจารย์ของท่านกล้าทำงี้ได้ไง  นี่เท่ากับทำผิดประเพณีอย่างแรงเลยนะ.. และเมื่อพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพูด  พระองค์ว่าอย่างไร..
ดู มัทธิว 9:12-13  ”คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายดี..ไม่ต้องการ  ท่านทั้งหลายจงไปเรียน  “คัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ”..ซะใหม่นะ  ที่ว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา...”  หลายครั้งเราจะเห็นว่า..”แทบจะทุกสังคมเลย”ที่ยอมรับแต่คนที่ดูดี..คนที่สมบูรณ์แบบ  ส่วนคนที่ถูกตราหน้า..ว่าเป็นคนไม่ดี..(ไม่ว่าจะไม่ดีเพราะอะไร..)..ก็มักจะไม่เป็นที่ยอมรับ..ไม่มีใครสนใจคบค้าสมาคมหรือคิดจะช่วยเหลือ..   แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ พระเยซูจึงบอกว่า..พระองค์มาเพื่อคนบาป..ไม่ได้มาเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว  เพราะถ้ามนุษย์ดีพร้อมแล้ว..พระองค์ไม่ต้องมาตายที่ไม้กางเขน..ถูกมั๊ยคะ   แต่พวกฟาริสี..มักจะชอบเคร่งครัดแต่เรื่อง”หยุม หยิม” คือ ใส่ใจแต่รายละเอียดยิบย่อยภายนอก..ที่ไม่สำคัญ  แต่หลักข้อเชื่อสำคัญๆทางฝ่ายวิญญาณ  กลับไม่ค่อยจะสนใจ เพราะไร  มันมองไม่เห็น..ทำดีไปก็ไม่มีใครรู้   พวกเขาเลยสนใจแต่อะไรที่เป็นรูปแบบภายนอก  หรือพิธีกรรมที่คนมองเห็น   เพราะทำแล้วมันดูดี..ดูเป็นคนมีความเชื่อ  ดูเป็นคนโฮลี่ อย่างไปยืนอธิฐานอยู่ตามทางหรือตามที่สาธารณะ.เนี่ย..ชอบ  บริจาคเงินแล้วมีคนเป่าแตรประกาศชื่อออกไมล์..อย่างเงี้ย..ชอบ  เพราะทำแล้วมีคนมองเห็น..ดูเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา   ทำแล้วก็มักจะได้รับคำสรรเสริญยกย่องจากผู้คน  พระเยซูถึงบอกฟาริสีพวกนี้..ไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ซะใหม่นะ..เข้าใจซะใหม่นะ..ว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นความรัก..ความเมตตา  พระองค์ไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกแต่อย่างใด  ถามว่าพระองค์พอพระทัยมั๊ย..ที่เราร่วมกันนมัสการและสรรเสริญพระองค์..พระองค์พอพระทัยแน่นอน  เป็นสิ่งที่เราควรทำและต้องทำ   แต่อย่าเข้าใจผิด..พระเจ้าไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้สำคัญไปกว่าหัวใจที่มีความรักและเมตตาต่อกัน..ของพวกเรา  พระองค์เป็นความรัก..ความเมตตา    พระองค์ก็ประสงค์ให้เราเป็นเหมือนพระองค์ด้วย
ดู มัทธิว 9:14-15  ศิษย์ของยอห์น (ผู้ให้บัพติศมา) ถามพระเยซูว่าทำไมพวกเขากับพวกฟาริสีถืออดอาหาร  แต่ศิษย์ของพระเยซู..ไม่ทำ  พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร” คือ คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูทรงทำราชกิจมากมายเพื่อเป็นหมายสำคัญที่เล็งถึงยุคใหม่ คือ “ยุคพระคุณ”ของพระองค์   สิ่งเก่าๆภายนอกบางอย่างที่เคยถือมานานจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป  พระเยซูเปรียบพระองค์เป็น”เจ้าบ่าว” ในงานเลี้ยง..แล้วมีใครเขาอดอาหารในงานเลี้ยงมั๊ย..ไม่มี เพราะถ้าอดก็ไม่ต้องจัดหรอก..งานเลี้ยง  เพราะงานเลี้ยงเขาทำอะไรกัน  “ดื่มกินด้วยความสนุกสนานชื่นชมยินดี”..ใช่หรือไม่   แต่พระองค์ก็บอกพวกเขาล่วงหน้าว่า..แต่เดี๋ยววันนึง..ก็จะถึงวันที่เจ้าบ่าวต้องจากพวกเขาไป คือ พระองค์จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน  แล้ววันนั้นถึง..จะเป็นวาระที่เหล่าสาวกของพระองค์จะอดอาหารอธิฐาน 
ดู มัทธิว 9:16-17  เมื่อเห็นประชานมีคำถามมากมายมาย  พระเยซูจึงทรงยกคำอุปมาแก่พวกเขาว่า  “ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก”  คือ ผ้าสมัยก่อนเมื่อใช้หรือซักไปเรื่อยๆมันก็จะหดเพราะยังไม่มีนวัตกรรมอะไรต่างๆเกี่ยวกับเส้นใยเหมือนสมัยนี้  เพราะงั้นถ้าเอาผ้าใหม่ๆไปปะชุนเสื้อผ้าเก่าๆพอผ้าใหม่มันหดมันก็จะดึงให้รอยขาดกว้างขึ้น   ข้อที่ 17 พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด..”..เพราะน้ำองุ่นใหม่เปรี้ยวมากอาจทำให้ถุงหนังที่เก่าอยู่แล้ว..ขาดหรือรั่วได้  
ทั้งผ้าเก่าและถุงหนังเก่าเปรียบเหมือนขนบธรรมเนียมแนวคิดและวิถีชีวิตเดิมของพวกยิว  ซึ่งเน้นแต่การทำตามธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมภายนอก   ส่วนผ้าใหม่และน้ำองุ่นใหม่ หมายถึง แนวคิดและวิถีชีวิตใหม่ที่พระเยซูทรงนำมา..ซึ่งจะเน้นเรื่องของจิตวิญญาณภายในมากกว่า  และพระองค์บอกว่าทั้งสองอย่าง (คือแนวคิดแบบเก่าและวิถีชีวิตใหม่ในพระองค์)..มันไปด้วยกันไม่ได้  ข้อที่ 17 พระองค์ตรัสว่า “..แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้”  ...ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต้องดำเนินไปพร้อมกับแนวคิดใหม่ที่พระองค์สอน..ทุกอย่างถึงจะถูกต้องสมบูรณ์และลงตัว  
ข้อที่ 18-34 จะเป็นการอัศจรรย์อีกหลายครั้งที่พระเยซูทำ  มีทั้งการรักษาคนตาบอด เป็นใบ้ และรวมถึงการทำให้คนตายกลับฟื้นมีชีวิตขึ้น  ซึ่งหลายๆกรณีจะมีหมายสำคัญทางฝ่ายวิญญาณอยู่ด้วย  อย่างเช่นตาบอดฝ่ายวิญญาณ ตายฝ่ายวิญญาณซึ่งถ้าเชื่อพระเยซูแล้วตาฝ่ายวิญญาณของเราก็จะกลับมองเห็นความจริงในทางพระเจ้า  หรือที่เราเคยตายฝ่ายวิญญาณเราก็กลับมีชีวิตนิรันดร์ อย่างนี้เป็นต้น
ดู มัทธิว  9:36-38  พระเยซูทรงสงสารประชาชน  เมื่อพระองค์มองดูผู้คนบนโลกแล้ว..พระองค์คงรู้สึกเวทนาพวกเราอย่างมาก   พระองค์เห็นความมืดบอด  ความเลื่อนลอย..ไร้จุดหมายและไม่มีที่พึ่งของมนุษย์  ข้อที่ 36 พระองค์บอกว่า “..ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง (บางฉบับใช้คำว่าพวกเขา”อิดโรย”) และกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง  เพราะมนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า  พระเยซูทรงมองเห็นความทุกขเวทนาของมนุษย์อย่างชัดเจน  ข้อที่ 37 พระองค์บอกว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา  แต่คนงานยังน้อยอยู่” ..ข้าวที่ต้องเกี่ยว หมายถึง คนที่พระเจ้าทรงเลือก..ให้กลับคืนดีกับพระองค์  พระเยซูบอก คนเหล่านี้ มีมากมายเหลือเกินแต่คนงานหรือคนที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำพันธกิจของพระเจ้า..ยังมีน้อยมาก   ดังนั้น บทที่ 10 พระเยซูจึงทรงเริ่มต้นเรียกสาวกทั้ง 12 คน  มาเป็นคนงานที่จะออกไปเก็บเกี่ยวแผ่นดินของพระเจ้า  หรือเรียกว่า..เป็นผู้ที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้..ซึ่งมีมากมายเหลือเกิน  จนทุกวันนี้เราก็ยังเก็บเกี่ยวคนเหล่านี้ได้ยังไม่ครบ
ดู มัทธิว 10:5-8  “..อย่าไปทางที่ไปสู่คนต่างชาติ  อย่าเข้าไปในสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดีกว่า”  .. พระประสงค์ของพระเยซู ณ.ขณะนั้น คือ ให้สาวกไปประกาศข่าวประเสริฐกับยิวหรืออิสราเอลก่อน  แล้วคนต่างชาติเอาไว้ทีหลัง  แต่กลายเป็นว่า คนต่างชาติกลับมีความเชื่อแซงหน้า ยิวหรือคนอิสราเอล  ส่วนสะมาเรีย..จะเป็นเมืองที่ยิวรังเกียจเพราะเป็นเมืองที่ถูกปะปนไปด้วยคนต่างชาติและธรรมเนียมปฏิบัติที่เพี้ยนๆอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด  พระเยซูจึงยังไม่ให้สาวกเข้าไป    แต่หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว..พระองค์ถึงจะสั่งให้เหล่าสาวกไปประกาศกับชนทุกชาติ   ถ้าถามว่าเพราะอะไร..น้าตุ๊กว่า เพราะเมื่อพระองค์คืนพระชนม์แล้ว  สาวกและเราทุกคนทุกคนจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์   ซึ่งจะสามารถทำการได้โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณอย่างเต็มขนาด  แต่ตอนนี้..ต้องรอก่อน
พระองค์ให้เหล่าสาวกทำอะไรบ้าง ข้อที่ 8 พระเยซูสั่งว่า “จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้ฟื้น และจงขับผีให้ออก (นี่เป็นสิทธิอำนาจที่พระเจ้าให้เลย).. และเมื่อท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ...ห้ามเก็บค่าครู ค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการใดๆทั้งสิ้น  เพราะพระคุณหรือของประทาน..ที่เหล่าสาวกจะสามารถทำการอัศจรรย์ค่างๆเพื่อช่วยผู้คนนั้น  มาจากใคร..มาจากพระเจ้า  เสียเงินซื้อมารึเปล่า..ต้องเอาชีวิตไปแลกรึเปล่า..เปล่าเลย   พระองค์ให้ฟรี..เพราะฉะนั้น ในเมื่อได้มาฟรี..ก็ต้องส่งต่อพระพรนี้ไป “ฟรีๆ”เหมือนกัน
ดู มัทธิว 10:16-18  พระเยซูบอก..เราจะอยู่ในโลกนี้เหมือน”แกะ” บุคลิกของแกะ คือ ใสซื่อ..บริสุทธิ์..ว่าง่าย..ไม่มีพิษภัยและที่สำคัญ..ไม่ทันคน  และในขณะที่เรามีบุคลิกแบบนี้ ..เรายังต้องอยู่ท่ามกลาง”ฝูงหมาป่า”  ซึ่งนิสัยของหมาป่า คือ  เจ้าเล่ห์..หยาบคาย..โหดร้าย  (ถ้าเป็นในการ์ตูนก็..จะขี้โกงด้วย)    และพระเยซูบอก..เราต้องอยู่ในโลกนี้แบบ”สวนกระแส”ให้ได้  และการที่จะดำเนินอยู่ให้ได้แบบที่พระเจ้าบอก..คนของพระองค์จำเป็นต้องใช้”สติปัญญา”..ไม่ใช่ใช้อารมณ์หรือใช้กำลัง ต้องฉลาดเหมือนงู  ทำไงเราจะฉลาด..เราต้องเรียนรู้แนวทางการดำเนินชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูสอน..รู้ให้หมด แล้วจะฉลาดและสมาร์ทด้วย  แต่ในขณะเดียวกัน ..ต้องสุภาพเหมือนนกพิราบ  จะฉลาดแล้วดุร้ายกราดเกรี้ยวเหมือนงู..ไม่ได้   ข้อที่ 17 พระเยซูบอกต่อไปว่า “แต่จงระวังตัวให้ดี  เพราะเขาจะอายัดท่านไว้กับศาล และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา”  อันนี้เป็นความหมายที่พระเยซูเตือนสาวก..(ไม่ต้องตกใจ กางเขนของพวกเราจะเบากว่าเยอะ)  ในคริสตศตวรรษแรก รัฐบาลโรมอนุญาตให้ยิวสามารถมี”ศาลศาสนา” ประจำท้องถิ่นได้  ซึ่งเป็นศาลที่ใช้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องทางศาสนาโดยตรง  ไม่เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายบ้านเมืองหรืออาชญากรรมอย่างอื่น  และพระเยซูบอกเหล่าสาวกไว้ล่วงหน้าเลย..ว่า ให้ระวังตัวนะ  เพราะพวกยิวจะคาดโทษสาวกทุกคนเพราะพวกเขาเชื่อและติดตามของพระเยซูคริสต์   ข้อกล่าวหาคือทำผิดบัญญัติพระเจ้าทางโมเสส  แล้วจะเฆี่ยนพวกเขาในธรรมศาลา..
ถ้าเป็นพวกเรา..พระเจ้าบอกไว้อย่างนี้  เราจะยังอยากเป็นสาวกของพระองค์อยู่มั๊ย..อันนี้ต้องคิดให้ดีๆ   ถ้าคิดได้แล้ว..ก็ก้มศีรษะลงขอบพระคุณ..ที่พระองค์ไม่ให้เราต้องถูกข่มเหงถึงขนาดนั้น    เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้อะไรที่หนักนิดเบาหน่อย..ยกโทษให้กันได้..ก็ยกโทษซะ  แต่ละวันอาจจะไม่สะดวกสบายอย่างที่ใจเราต้องการ..ก็อดทนเอาหน่อย  อย่าบ่นหรือเหวี่ยงให้มากมายนัก   ต้องตระหนักไว้ตลอดเวลาว่า..ความทุกข์ยากของเรายังไม่เท่าไหร่..ไม่ถึง 1 ใน 100 หรือไม่ได้เศษเสี้ยวที่สาวกเหล่านั้นต้องเจอเลย  
ดู มัทธิว 10:24-25 “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน..”  คือ  พระเยซูเป็นครูหรือเป็นเจ้านาย   แต่อีกไม่นานพระองค์จะต้องถูกอายัดจนถึงการมรณาบนกางเขน  และถ้าพระองค์ต้องอยู่ในสภาพไหน..สาวกซึ่งเป็นศิษย์หรือเป็นทาส..ก็จะโดนไม่ต่างกัน   เพราะศิษย์จะใหญ่กว่าครูหรือทาสจะมีสภาพดีกว่าเจ้านาย..มันเป็นไปไม่ได้  นี่คือ ความหมายที่พระเยซูบอก   ข้อที่ 25 บอกว่า “..แค่นั้นก็พออยู่แล้ว  ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด”....เบเอลเซบูล เป็นชื่อพระของชาวคานาอัน  ชาวยิวใช้ชื่อนี้เรียกซาตานหรือใช้เรียกอะไรก็ตามที่มีความหมายไปในทางที่ชั่วร้าย   คำนี้ของพระเยซูจึงหมายความว่า “ ถ้าพระองค์จะต้องถูกตรึง  และสาวกก็ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก..แค่นั้นก็โอเค..พอรับได้  แต่ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า “บาเอลเซบูล” คือ ถ้ามนุษย์ยกให้พวกซาตานเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก..เป็นเจ้าบ้านแล้ว  ลองคิดดูว่า..มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้จะมีสภาพยังไง..น่าเวทนาขนาดไหน  
ดู มัทธิว 10:26-27  “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา...ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวในที่สว่าง และที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู..จงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน” ...ในเมื่อพระองค์อุตส่าห์มาเพื่อถูกฆ่าและไถ่บาปให้มนุษย์    ก็จงให้สิ่งนี้เป็นข่าวประเสริฐที่แผ่ออกไปให้ได้มากที่สุด  เอาแบบทุ่มสุดตัว  และไม่ว่าอะไรที่พระเจ้าสำแดงแก่เราเป็นการส่วนตัว   เราจงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่ผู้อื่นอย่างเปิดเผยและด้วยใจกล้าหาญ  ข้อที่ 28  บอกว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”....แม้จะต้องถูกจองจำ  ถูกข่มเหง  หรือแม้แต่ถูกฆ่าเหมือนพระเยซู  ก็จงอย่ากลัวคนเหล่านั้นที่ฆ่าได้แต่ตัว..ฆ่าจิตวิญญาณของเราไม่ได้  แต่จงเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด..ที่มีอำนาจที่จะฆ่าได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  พระเจ้าคือ พระองค์เดียว..ที่มีสิทธิ์ชี้ขาด..ว่าใครจะขึ้นสวรรค์แล้วใครจะลงนรก
ดู มัทธิว 10:32-33  “..ผู้ใดรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์ด้วย”...ถามว่าการรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์เป็นเรื่องยากมั๊ย  สำหรับพวกเราอาจจะคิดว่า..ไม่เห็นยากเลย  แต่สำหรับบางคนยังยากอยู่..ถ้ารับต่อหน้าคนในโบสถ์ก็ยังไม่เท่าไหร่เพราะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน   แต่ถ้าประกาศตัวอย่างกล้าหาญในสังคมที่เขาอยู่..มันเริ่มจะเป็นอีกเรื่องนึงละ  เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่ออย่างอื่น  เรากล้ามั๊ยที่จะยืดอกขึ้นมาแล้วบอกว่าเราเชื่อพระเยซู..หลายคนไม่กล้านะคะ  กลัวไม่เป็นที่ยอมรับ  กลัวถูกมองเป็นตัวประหลาด  
แต่ผู้เชื่อพระเยซูในสมัยพระคำภีร์ไม่ได้โดนแค่นี้  เพราะยิวตามฆ่ากวาดล้างคริสเตียนอย่างเอาเป็นเอาตาย   หลายคนก็เลยต้องขาดกลัว..ไม่กล้ารับพระเยซูต่อหน้าผู้คนเพราะกลัวโดนฆ่า   ดังนั้น พระเยซูถึงบอกว่า”ใครที่กล้ารับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์ (คือ ยอมตายเพราะเชื่อพระเยซู) พระองค์ก็จะรับเขาต่อหน้าพระบิดาด้วย”  พระองค์บอกแล้วว่า”อย่ากลัว ! ผู้ที่ฆ่าได้แต่ตัว  แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าวิญญาณเราได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น