วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 7


 มาถึงบททที่ 8 จะเป็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำกับบุคคลประเภทต่างๆ ทั้งคนที่ติดตามพระองค์ คนต่างชาติ คนที่สังคมรังเกียจ  ดังนั้น จุดประสงค์ของพระธรรมตอนนี้บันทึกไว้เพื่อให้เห็นว่า..พระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจเหนือธรรมชาติ..เหนือผีมารซาตาน  รวมทั้งความบาปและความตายด้วย
ดู มัทธิว 8:2-3  “โรคเรื้อน” ที่กล่าวถึงในข้อนี้ หมายถึง โรคเรื้อนตามผิวหนัง..ร่างกาย  ส่วนโรคเรื้อน..ที่กล่าวไว้ใน”ธรรมบัญญัติ” อันนั้นหมายถึง “ความบาป” นะคะ  ข้อที่ 2 บอกว่า..มีคนเป็นโรคเรื้อนคนนึงมาหาพระเยซู  แล้วทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า เพียงแต่พระองค์จะโปรด ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้  พระเยซูก็ทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขา แล้วตรัสว่า "เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด" ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย
...โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อ  แล้วจริงๆคือรักษาไม่หาย  ถ้าจะพบคนโรคเรื้อนได้รับการรักษาให้หายในพระคำภีร์..ก็เป็นฝีพระหัตถ์พระเจ้าทั้งสิ้น  กฎบัญญัติทางโมเสสได้ระบุไว้ว่าใครที่เป็นโรคเรื้อนจะต้องถูกแยกออกไป..จะมาใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นหรือแม้แต่นมัสการร่วมกับคนอื่น..ไม่ได้    แล้วคนเป็นโรคเรื้อนก็ต้องอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อยสิบเมตร  ห้ามเดินเพ่นพ่าน  ในตลาดยิ่งไม่ต้องพูดถึง..ถ้าเฉียดใกล้ไปของที่เขาวางขายต้องทิ้งหมด   แต่ข้อนี้ บอกว่า “พระเยซูทรง ”แตะต้อง” คนที่เป็นโรคเรื้อนนี้..โดยไม่รังเกียจ..แล้วก็ไม่กลัวติดด้วย  แล้วเขาก็หาย”   
ดู มัทธิว 8:5-8  เมื่อพระองค์เสด็จไปที่เมืองคาเปอรนาอุม  มีนายร้อยคนนึงมาขอให้พระเยซูช่วยรักษาบ่าวของเขา..ที่นอนเป็นง่อยอยู่ที่บ้าน  พระเยซูก็บอก “โอเค เดี๋ยวจะไปรักษาให้”  แต่ ! นายร้อยคนนี้บอกว่า  พระเยซูไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น  เพราะ“เขาเนี่ย..ไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาบ้านของเขา”..คือ สมัยนั้นโรมซึ่งเป็นมหาอำนาจจะมีกองทัพอยู่ทั่วดินแดนปาเลสไตน์   แล้วนายร้อยคนนี้..ก็เป็นชาวโรมัน  หมายความว่า เขาคนต่างชาติ  แล้วธรรมเนียมของพวกยิว..เขาจะไม่เข้าไปในบ้านของคนต่างชาติ  นายร้อยคนนี้เลยไม่อยากให้พระเยซูต้องถูกครหา      ข้อที่ 8 เขาบอกว่า “..ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายโรค”  โอ..พระเยซูฟังแล้ว รู้สึก”ทึ่ง”ชายคนนี้มาก   ข้อที่ 10  พระองค์บอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบศรัทธาที่ไหนมากเท่านี้..แม้แต่ในอิสราเอล”  กลายเป็นว่า “คนต่างชาติ” ยังมีความเชื่อมากกว่า “ยิว” ซะอีก  
ดู มัทธิว 8:11-13  เมื่อนายร้อยชาวโรมันได้สำแดงความเชื่อของเขาต่อพระเยซู  พระองค์จึงทรงเผยพระวจนะว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาร่วมสำรับ (บางฉบับใช้คำว่า เอนกายลง) กันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์”  คำว่า ”ร่วมสำรับหรือเอนกายลงในอาณาจักรแห่งสวรรค์”  ก็หมายถึงผู้ที่จะได้รับความรอดนั่นเอง..  เพราะฉะนั้น นี่คือ หมายสำคัญที่พระเยซูบอกเรา..ว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระองค์และได้รับความรอดนั้น  ไม่ใช่จะมีแต่”ยิว”แต่จะเป็นคนทุกชาติ..ทุกภาษาที่มาจากทั่วโลกเลยนะคะ  ที่จะมีสิทธิ์ได้รับความรอดจากพระเยซู    ข้อที่ 12 บอก “แต่ชาวแผ่นดินนั้นจะต้องถูกขับไล่ออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”  ...ชาวแผ่นดินนั้น หมายถึง “ยิว” หรือ”อิสราเอล” ที่ถึงแม้จะเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อพระเยซูและได้รับความรอดหรือได้ไปสวรรค์   พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าชัดเจนว่าจะมี     ”ยิว”ที่ถูกขับไปในที่มืด..ที่ที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ข้อที่ 13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงกลับบ้านเถิด ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น”  แล้วบ่าวที่เป็นง่อยของเขาก็หายเป็นปกติ
นอกจากนี้ ในข้อที่ 14-16  พระเยซูยังทรงรักษาคนอีกมากมายทั้งแม่ยายของเปรโตที่ป่วย  แล้วก็คนถูกผีสิงอีกมากมายก็หายได้ด้วยพระดำรัสของพระองค์  ฟังดีๆนะคะ.. พระเยซูรักษาผู้คนให้หายได้  ด้วยพระดำรัสของพระองค์  ก็คือ แค่พระองค์พูดคำเดียว..ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นทันที  พระเยซูไม่ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์อะไรมากมาย  พระองค์ไม่ต้องเสกหรือต้องบริกรรมคาถา..อะไรมากมายเหมือนที่พวกไหว้ผีไหว้เจ้าชอบทำ..นึกออกมั๊ยคะ  แต่..พระเยซูแค่พูดคำเดียวทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย (เป็นปลิดทิ้ง)
ดู มัทธิว 8:19-20    ในสมัยนั้น ธรรมาจารย์จะเป็นคนที่มีเกียรติ  เป็นที่ยอมรับนับถือของคนอิสราเอล เพราะธรรมาจารย์  จะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่รู้เรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้า..เป็นอย่างดี   ข้อนี้ บอกว่า  “มีธรรมาจารย์คนนึงบอกพระเยซูว่า “อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น”  พระเยซูฟังแล้วก็ตอบเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”...บุตรมนุษย์ เป็นคำที่พระเยซูมักจะใช้เรียกพระองค์เอง  หมายความว่า การที่จะติดตามพระองค์หรือมาเป็นสาวกของพระองค์..ไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องพร้อมที่จะละทิ้งความสะดวกสบายทุกอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจ  พระเยซูทรงยกตัวอย่าง..ว่าแม้แต่สัตว์ต่างๆก็ยังได้กินนอนเป็นที่..มีบ้าน..มีรังของตัวเองเป็นหลักแหล่ง  แต่พระองค์..ไม่ใช่  และใครก็ตามที่ตั้งใจจะติดตามพระองค์ก็ต้องพร้อมที่จะใช้ชีวิตเหมือนคนต่างถิ่น..พร้อมจะอยู่และพร้อมจะไปในทุกที่ที่พระองค์นำไป  เหมือนพวกเรา เราติดตามพระเยซูมั๊ย..แล้วเราพร้อมมั๊ย  ถ้าพระองค์จะพาไปในที่ที่เราอาจจะไม่คุ้นเคย  พร้อมมั๊ย..ถ้าวันนี้พระองค์บอกว่า “กลับบ้านได้”  เราพร้อมจะไปกับพระองค์มั๊ย หรือ ยังไม่อยากไป..ยังสนุกกับโลกนี้อยู่   ถ้าเราติดตามพระเยซูจริงๆเราต้องอยู่แบบโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  จะสุขบ้าง..ทุกข์บ้าง  บางครั้งลำบาก..บางครั้งสบายก็ต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ..ว่าโลกนี้มันไม่ใช่ที่ของเรา 
ดู มัทธิว 8:21-22  เมื่อพระเยซูทรงชี้ให้ทุกคนเข้าใจแล้ว..ว่าการติดตามพระองค์ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรื่องสนุกอย่างที่ทุกคนคิด   พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจจริง..แต่ ! ผู้ที่จะติดตามพระองค์ต้องพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่างร่วมกับพระองค์”ด้วยความไว้วางใจ”     และ ข้อนี้ บอกว่า..อีกคนที่เป็นศิษย์ของพระองค์เมื่อฟังอย่างงั้นแล้วก็พูดกับพระองค์ว่า  “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน" คำว่า “ไปฝังศพบิดาก่อน” น้าตุ๊กว่า..เขาหมายถึงรอให้พ่อแม่เขาตายก่อน  เขาอาจจะยังมีป่วยหรือแก่ชราต้องดูแล  พูดง่ายๆ ก็คือ รอให้เขาหมดภาระก่อน..แล้วเขาจะติดตามพระเยซู   
ในทางเดียวกัน  เวลาที่เราบอกข่าวประเสริฐกับใครหรือใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องราวข่าวประเสริฐแล้วบอกว่า “เด๋วรอก่อนนะ..รอให้พ่อแม่ตายก่อน  แล้วเขาจะมาเชื่อพระเจ้า”  หรือ  “ขอบวชให้พ่อแม่ก่อน  แล้วค่อยรับเชื่อ..ไม่อยากมีปัญหากับพ่อแม่พี่น้อง”  ..อะไรประมาณนี้    แต่ ! พระเยซูบอกว่า  “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด” ...คำว่า”คนตาย” คำแรกนี้ พระเยซูหมายถึงคนตายฝ่ายวิญญาณ หรือ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ส่วน”คนตาย” คำหลัง ก็หมายถึง..ศพ   ในบริบทนี้ความหมายของพระองค์คือ  การติดตามพระองค์เป็นสิ่งที่เราต้องทำ”ทันที” หรือเป็นสิ่งที่แรกที่มนุษย์ควรทำ   เพราะความเชื่อในพระองค์จะทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์และไม่ตายฝ่ายวิญญา   ส่วนกิจการอย่างอื่นฝ่ายโลก..ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนที่”ไม่มีความเชื่อ” เขาทำไป   ถ้าเราเชื่อพระซูแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา คือ ความเชื่อหรือการตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ทันที..จริงจัง..อย่างไม่มีเงื่อนไข..
ดู มัทธิว 8:24-25 ขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเรือกับเหล่าสาวก  ก็มีพายุใหญ่เกิดขึ้น คือ “ทะเลสาบกาลิลี” จะเป็นที่ที่มีภูเขาอยู่ล้อมรอบ  อากาศจะเปลี่ยนเร็ว..ค่อนข้างแปรปรวน  ข้อที่ 24 นี้ บอกว่า  ขณะที่มีพายุใหญ่พัดกระหน่ำ  พระเยซูทรง..หลับ  พวกสาวกก็เอะอะโวย  แล้วก็กลัวมาก..กลัวจนอดรนทนไม่ได้ต้องเข้ามาปลุกพระเยซู   เป็นเรา..เราจะปลุกมั๊ย..ไม่เหลือ !!!  ข้อที่ 25 บอกว่า สาวกปลุกพระองค์แล้วพูดว่า “พระองค์เจ้าข้า  ช่วยด้วย  พวกเรากำลังจะจมอยู่แล้ว”...”จะจม” แปลว่า จมรึยัง...ยัง เนี่ย..พวกเราก็เป็นแบบนี้  อาจเป็นมากกว่านี้ด้วยซ้ำ....
เด็กๆดูดีๆนะคะ..ดูตามน้าตุ๊ก ตั้งแต่ข้อที่ 23 ..บอกว่า “เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ พวกสาวกก็ตามพระองค์ไป”   เมื่อเราตัดสินใจตามพระเยซู..ก็เหมือนเราลงเรือ “ลำเดียวกับพระองค์”  เวลามีพายุ..เกิดปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบาก  พระองค์อยู่กับเรามั๊ย..อยู่ตลอดเวลา  แต่เรามักจะรู้สึกเหมือนสาวกพวกเนี้ย  คือ รู้สึกว่า “ทำไมพระองค์เหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่”  เรารู้สึกว่าเหมือนพระองค์จะนิ่งดูดายทั้งที่เรากำลังจะจมน้ำ   ซึ่งจริงๆ..จมรึยัง..ยังไม่จม  แต่เรากลัวเพราะหลายครั้งพายุมันพัดแรงจริงๆ ถ้ามองด้วยสติปัญญาฝ่ายโลก..ก็รู้สึกเหมือนจะไม่รอด  เห็นภาพฝ่ายวิญญาณของข้อนี้มั๊ยคะ  นี่เป็นความอัศจรรย์อย่างนึงของถ้อยคำพระเจ้า..ที่มีภาพซ้อนฝ่ายวิญญาณอยู่ตลอดเวลา  และ..ไม่เคยล้าหลังแต่อัพเดทและรู้ทันเราความคิดเรา..ตลอด
ดู มัทธิว 8:26-27  เมื่อพระเยซูเห็นสาวกเข้ามาปลุกพระองค์ด้วยความตกใจกลัว  ทั้งที่พระองค์ก็ประทับอยู่ด้วยเห็นๆ    พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงขลาดกลัวนัก  ช่างมีศรัทธาน้อยจริงๆ” .......ทำไมถึงมีความเชื่อน้อยอย่างนี้   นี่ขนาดพระองค์ประทับอยู่ด้วยเห็นๆนะ  แล้วถ้าไม่เห็นล่ะ..(เหมือนพวกเรา)..จะยิ่งกลัวขนาดไหน  เสร็จ “แล้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป”   สาวกกลัวแทบตาย..แต่พระเยซูพูดคำเดียวพายุเงียบเป็นปลิดทิ้ง   ข้อที่ 27 บอก “คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นคนอย่างไรหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน”  พอเห็นพายุเงียบกริบ  เหล่าสาวกงง..มาก  คือ  แรกเลยคนเหล่านั้นที่เห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ..ไม่ว่าจะเป็นการรักษาคนป่วย  การขับผี  อะไรต่างๆเนี่ย  พวกเขาคงคิดว่าพระเยซูก็คงมีสิทธิอำนาจหรือเป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะทั่วๆไป   แต่พอเห็นพระองค์ห้ามพายุได้อยู่หมัดขนาดนั้น..พวกเขาก็ชักไม่แน่ใจละ..ถึงต้องเปรยออกมาเหมือนต้องคิดใหม่แล้วว่าพระเยซูผู้นี้เป็นใคร  ขนาดทั้งลม..ทั้งทะเลก็ยังต้องเชื่อฟัง  
ดู มัทธิว 9:2-4 พระเยซูทรงรักษาคนง่อยที่เข้ามาหาพระองค์”ด้วยความเชื่อ”  อย่างพวกเราเป็นคนง่อยมั๊ย..ง่อยฝ่ายวิญญาณนะคะ  แต่พระองค์ทรงเห็นหัวใจที่มีความเชื่อของเขา..เหมือนที่พระองค์เห็นหัวใจที่มีความเชื่อของพวกเราเช่นกัน   และใครก็ตามที่มีความเชื่อและเข้ามาหาพระองค์..บาปของผู้นั้นก็จะได้รับการอภัย    เหมือนที่พระองค์พูดกับคนง่อยในข้อนี้ว่า “จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”   ข้อที่ 3 บอก..เมื่อพวกธรรมาจารย์ได้ยินพระเยซูพูดอย่างงั้น  ก็แอบคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” 
คือ “คนยิว” ..เขาจะเชื่ออย่างเหนียวแน่นมาก..ว่า ผู้เดียวที่จะยกบาปผิดให้กับมนุษย์ได้ ก็คือ พระเจ้า  เขาไม่เชื่อพระเยซูนะคะ  เขารู้สึกคนนี้เป็นใคร..มาจากไหนก็ไม่รู้  ซ้ำยังเป็นมนุษย์เหมือนกัน ..แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมายกบาปผิดให้ใครต่อใคร  เขาถือว่าการที่พระเยซูพูดอย่างงั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า..เหมือนตีเสมอ..อะไรประมาณนั้น 
ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดชั่วของพวกธรรมาจารย์  พระองค์ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า”  นี่คือ บุคคลิกของพระเยซูคริสต์นะคะ  พระองค์พูดตรง..พูดต่อหน้า  เวลาว่าใคร..แรง และจะเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ !!!
ดู มัทธิว 9:5-7  เมื่อพระเยซูทราบความคิดชั่วในใจของพวกธรรมาจารย์แล้ว  พระองค์จึงทรงถามพวกเขาว่า “ ที่จะว่า บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว' และจะว่า `จงลุกขึ้นเดินไปเถิด' นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน”....ความหมายของพระเยซูคือ ระหว่างการอภัยบาปให้กับมนุษย์ กับ การรักษาคนง่อยให้ลุกขึ้นเดิน..เนี่ย   พวกเขาคิดว่า..อันไหนมันง่ายกว่ากัน  แน่นอน..สำหรับพวกธรรมาจารย์แล้ว  เขาต้องคิดว่า “การอภัยบาป”..ง่ายกว่า  เพราะไร..มันมองไม่เห็นไง พิสูจน์ก็ไม่ได้  ทำง่ายจะตายไป..ถูกมั๊ยคะ  แล้วพระเยซูก็รู้ว่าพวกธรรมาจารย์คิดอะไรอยู่     ข้อที่ 6 พระองค์จึงตรัสว่า  “แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้  พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า"จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” คนเป็นง่อยนั้นก็ลุกขึ้น เดินได้ทันที..  หมายความว่า ถ้าพวกธรรมาจารย์คิดว่า..การทำให้คนง่อยลุกขึ้นเดินยากกว่า การอภัยบาป  งั้นพระองค์ก็จะทำให้ดู..จะได้รู้ว่าพระองค์ทำได้ทุกอย่าง.. ข้อที่ 8 บอกว่า “คนเป็นอันมากเมื่อเห็นดังนั้น..ก็อัศจรรย์ใจ..”...จะไม่อัศจรรย์ได้ไง  พระเยซูทำทุกอย่างเหมือนง่ายไปหมด  แค่พระองค์พูดคำเดียวทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น  “จากนั้นทุกคนก็พากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ได้ทรงประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์”  น้าตุ๊ก  ว่า..ณ.จุดนั้น ประชาชนที่ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ  เขาเริ่มแน่ใจแล้วล่ะ..ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ 
  พบกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น