ดู
มัทธิว 5:43-45 พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน คำกล่าวว่า ให้รักเพื่อนบ้าน
และเกลียดชังศัตรู” แต่พระเยซูบอก “จงรักศัตรูของท่าน
จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา” ตามธรรมเนียมของยิวสมัยพระคำภีร์..คำว่า
“คนสนิท” หรือ “เพื่อนบ้าน” หมายถึง เขาคนยิวด้วยกัน..เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ยิว ถือว่าเป็นต่างชาติทั้งหมด แล้วยิวก็ตีความพระบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ในหนังสือ
ลวต.19:18 ที่บอกว่า
“เจ้าอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า
แต่เจ้าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง...” ยิวแปลความหมายข้อนี้ว่า “พระเจ้าสั่งให้รักแต่คนชาติเดียวกัน และรังเกียจ..ทุกคนที่ไม่ใช่ยิว เขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เพราะเราต้องเข้าใจนะคะ..ว่า “ยิว” เขาภาคภูมิในความเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร..เขารู้สึกว่าตัวเองโฮลี่กว่าใครในโลก แล้วก็เลยค่อนข้างเหยียดคนต่างชาติ แล้วปัจจุบันเขาก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..
ไม่นานมานี้อาจารย์ท่านนึงเดินทางไปที่อิสราเอล ช่วงที่ไปเยี่ยมชมกำแพงร้องไห้..จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของพระวิหาร
เมื่อท่านไปเข้าห้องน้ำ..ปรากฎว่าไปเจอพวกยิวอยู่ 2-3 คน
พอเห็นท่าน (ซึ่งเป็นคนต่างชาติ) เดินเข้ามา ก็ทำท่ารังเกียจอย่างแรงแล้วก็ฉีกเสื้อคลุมทิ้งไปเลย
เพราะเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นมลทิน..ไม่บริสุทธิ์เหมือนเขา แค่เดินเข้าไปใกล้..เขาถึงกับฉีกเสื้อทิ้งไปเลย.. ข้อที่ 45 บอกว่า “.. เพราะว่าพระเจ้ายังทรงให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว
ให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมด้วย”..คือ
ขนาดพระเจ้า..ที่เป็นเจ้าของมหาจักรวาลแท้ๆ
พระองค์ยังไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง..แต่ทรงทำการเที่ยงธรรมแก่ทุกคน แล้วเราเป็นใคร..เราเป็นลูกของพระองค์ เราก็ต้องทำตามพระองค์
พระเยซูถึงสอนเรา “ให้รักศัตรู และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา” อย่าว่าแต่เป็นคนต่างชาติเลย คนที่ข่มเหงเรา..เรายังต้องรักเขาให้ได้ ยิวหรืออิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร”จริง”
แต่พระองค์ทรงเลือกสรรให้เขาเป็น”ชนชาติผู้มีพันธกิจนำพระพรไปสู่ชาวโลก”
ไม่ได้เลือกไว้ให้รักกันเองในบ้าน..แล้วใครจะตายช่างมัน..ไม่ใช่
ดู มัทธิว
5:46-48 “..ถ้าเรารักแต่คนที่น่ารัก เราจะได้บำเน็จอะไร”..ใครๆก็ทำได้ “..ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังทำอย่างงั้นเลย” น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า “คนเก็บภาษี” ในสมัยนั้น
คือ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลโรมให้เป็นผู้เก็บภาษีจากประชาชน จะเนื่องจากไปสัมปทานมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆพวกเขามักจะเก็บภาษีเกินพิกัด คนยิวก็เลยรังกียจคนเก็บภาษี แล้วก็ตราหน้าคนเก็บภาษีว่าเป็นคนบาปชั่วพอๆกับโจร
พระเยซูจึงทรงยกตัวอย่างคนเก็บภาษี..ว่าถึงเขาจะนิสัยไม่ดีหรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป แต่คนอย่างนี้ก็ยังรักพี่น้อง..ยังช่วยเหลือพวกเดียวกัน
เพราะงั้น ถ้าเราเองก็รักแต่ญาติพี่น้องหรือรักเฉพาะคนที่ดีกับเรา..เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีพระเจ้า
คำว่า
“จงอธิษฐาน” เพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน”
จริงๆแล้วเด็กๆรู้มั๊ย..ว่าการจะอธิฐานให้ผู้ที่ช่มเหงเราจะต้องอธิฐานยังไง.. เราต้องอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรเขา..เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รับความรักและมีความเชื่อในพระเจ้า
เพราะใครก็ตามที่มีความเชื่อ..มีพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย..เขาจะเห็นความบาปหรือความไม่ดีของตัวเอง..แน่นอน
(จำได้มั๊ย ที่น้าตุ๊กบอกว่าพระบัญญัติเปรียบเหมือน”กระจกเงา”)
ให้เราเปิดไปดู หนังสือเยเรมีย์...
ดู เยเรมีย์ 31:33 "... พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะบรรจุ”บัญญัติ”ของเราไว้ภายในเขาทั้งหลาย
และเราจะจารึกมันไว้ที่”ดวงใจ”มนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือก..” ..พระเจ้าทำยังไง..พระองค์ทำโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์
ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์..เขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบัญญัติของพระองค์(ที่เป็นเหมือนกระจกเงา)
ก็จะจารึกอยู่ในหัวใจ..และไม่ใช่เพื่อให้ทำได้อย่างครบถ้วน แต่เพื่อให้รู้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า เราเองชั่วตรงไหน..มีอะไรที่ทำถูกแล้ว..เราจะรู้...”ถ้า”เรามีพระวิญญาณ ดังนั้น การอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกคนมีความเชื่อ..จึงเป็นคำตอบของทุกปัญหา เพราะคนที่ทำไม่ดี..ร้อยทั้งร้อย เขาเห็นความชั่วของตัวเองมั๊ญ..ไม่เห็นหรอก ถ้าอยากให้เขาเห็น..เขาต้องมีพระวิญญาณ แล้วถ้าอยากให้เขามีพระวิญญาณ..เราก็ต้อง ”อธิฐาน”ให้เขา.. มัทธิว 5:48 จึงบอกว่า “เหตุฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ
เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์”...คนของพระเจ้าต้องไม่ใช่แค่ดี..แต่ต้องดีรอบคอบหรือดียอดเยี่ยม
(ไม่ใช่แค่ good แต่ต้อง excellent)
ดู มัทธิว 6:1-2 “จงระวัง..อย่าทำศาสนกิจพื่ออวดคนอื่น”
ที่พระเยซูบอกอย่างนี้ก็เพราะ..หลายคนชอบทำ..เพื่ออวดคนอื่น พระเยซูบอก..”ทำแล้วอย่าเป่าแตรข้างหน้า”..คือ
เที่ยวป่าวประกาศให้คนรู้ไปทั่วว่า..ฉันนี่ !ไปทำความดี..ความชอบอะไรมาบ้าง “..เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำตามถนนและธรรมศาลา”
( คือ หลังจากที่ยิวสิ้นชาติไปแล้ว..วิหารในเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย ยิวก็ใช้ธรรมศาลาในการรวมตัวกันเพื่อทำศาสนกิจและเรียนรู้พระบัญญัติ
) ...เพราะงั้น ข้อนี้ พระเยซูทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และฟาริสีโดยตรงเลย
เพราะคนพวกนี้เขาชอบแต่งตัวแบบให้ดูโฮลีมากๆแล้วไปยืนอธิฐาน..ทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตามข้างถนนหรือธรรมศาลา เพื่อที่จะให้คนอื่นเห็นว่า ฉัน คือ ผู้ชอบธรรม...
จริงๆ คือ ต้องการคำสรรเสริญและเป็นที่ยอมรับของมนุษย์ ถ้าไปทำในบ้านเดี๋ยวไม่มีใครเห็น พระเจ้าบอก ”เราบอกความจริงแก่ท่านว่า
เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว”..(คือ ได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์..ซึ่งไม่คุ้มเลย) พระเจ้าบอก ใครก็ตามที่ทำอย่างนี้ ถวายเท่าไหร่ก็เอาไปคุยให้คนอื่นฟัง หรือไม่..ก็ต้องมีชื่อติดอยู่ตามผนังโบสถ์ หรือทำทานเท่าไหร่..ก็ต้องเอาชื่อมาประกาศให้คนอื่นรู้ แม้แต่ ให้เพื่อนยืมเงิน..ก็เที่ยวคุยฟุ้งไปทั่ว คนประเภทนี้จะไม่ได้บำเน็จอะไรจากพระเจ้าเลย เพราะเขาได้คำยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์เป็นบำเน็จไปแล้ว..พระเจ้าไม่ต้องให้แล้ว..หายกัน
ข้อที่ 4 พระเยซูบอกว่า “ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ
และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน” ศาสนกิจที่พระเยซูพูดถึงในบริบทนี้..เน้นถึงการทำทานให้คนยากจน เพราะสมัยนั้น
พระเจ้าบัญญัติชัดเจนให้คนรวยช่วยคนจน
รายละเอียดในเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือฉธบ.
ดู ฉธบ.15:7-11 “ในท่ามกลางท่านถ้ามีคนจนสักคนหนึ่ง ท่านอย่ามีใจแข็งหดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของท่านที่ยากจนนั้น” ในท่ามกลางท่าน หมายถึง
ทุกคนรอบข้าง..ไม่เฉพาะที่เรารู้จักนะ
ถึงไม่รู้จัก..ถ้าเราเจอใครที่เขาลำบากมาก
ไม่มีกิน ไม่มีใช้ หรือลำบากในเรื่องใดก็ตาม ก็อย่า”หดมือ”..ทำเฉยไม่ช่วย..ไม่แบ่ง..ไม่ให้ยืม..พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ แต่”จงยื่นมือของท่านอย่าง”ใจกว้าง” ให้เขา และให้ยืมอย่างเพียงพอแก่ความต้องการ”..อย่าสักแต่ว่าช่วยพอให้ผ่านๆไป แต่ต้องใจกว้างกับเขา
เขาขาดอะไร..ต้องทำยังไงให้เขาไปรอด..ก็ต้องทำเต็มที่ (เท่าที่เรามีกำลัง) พระประสงค์พระเจ้าในข้อนี้..ชัดเจน คือ ยากให้เราเอื้อเฟื้อ..ใส่ใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่ำต้อยในสังคม (หญิงม่าย ลูกกำพร้า) ในสมัยนั้น..บางคนเขาเลี้ยงชีวิตด้วยทานที่คนอื่นบริจาคให้
คอยเข้าไปเก็บข้าวที่ตกจากฟ่อนในนาบ้าง..อะไรบ้าง แค่นี้ชีวิตเขาก็ลำเค็ญจะแย่แล้ว ถ้าคนที่ให้ยังเอาไปป่าวประกาศอีก..ในมุมนึง มันก็เป็นการทำให้คนเหล่านี้ต้อง”อับอายหรือรู้สึกต่ำต้อย”มากขึ้น..นึกออกมั๊ยคะ พระเยซูจึงบอกว่า...”ทานของท่านต้องเป็นทานลับ”..
ไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ ไม่ต้องหวังให้ใครๆมายกย่องสรรเสริญ
พระเจ้าเห็นก็พอแล้ว...พระองค์จะเป็นผู้ประทานบำเน็จให้กับเรา ซึ่งมันคุ้มกว่า..มีค่ากว่าบำเน็จจากมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้เลย
ดู มัทธิว 6:7-8 “..เวลาอธิฐานอย่าพูดซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ”...
หรือคนที่ไม่มีความเชื่อ
เลยชอบพูดซ้ำๆ ซ้ำเรื่องอะไร..เรื่องที่ตัวเองอยากได้.. หลายครั้งเวลาที่เราอยากได้อะไรมากๆ เราก็อดไม่ได้ที่จะ อธิฐานเน้นๆๆอยู่แต่เรื่องนั้นอ่ะ
เมื่อก่อนน้าตุ๊กก็เคยเป็น ที่พูดได้..สอนได้..นี่ก็เพราะตัวเองเคยเป็นมาก่อน เวลาที่ขาดอะไร..อยากได้อะไร หรือเวลาที่สถานการณ์ภายนอกมันบอกว่าแย่แล้ว..เดี๋ยวไม่ทัน เราก็กลัวพระเจ้าจะไม่รู้..ไม่เข้าใจ หรือกลัวว่าพระองค์จะมาสาย เราก็เลยต้องย้ำๆๆๆกับพระองค์..ว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไร..ซึ่งต้องบอกตรงๆว่ามันเป็นความคิดที่โง่มาก (อันนี้..น้าตุ๊กว่าตัวเอง) เรามาดูซิว่าพระเยซูสอนให้เราอธิฐานยังไง
ดู มัทธิว 6:9-10 สิ่งแรกที่พระเยซูกราบทูลพระบิดาในการอธิฐาน
คือ “..ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญหรือสูงส่งกว่า”พระนามของพระเจ้า”
อีกแล้ว เพราะงั้น
เวลาอธิฐานเราต้องสรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้าก่อน....
ข้อต่อไปพระเยซูบอกว่า “ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่..ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”.....ไม่ใช่ตามใจเรา
และแม้ว่าเราอาจจะยังไม่เข้าใจ..ไม่เห็นชัดเจน..ว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นยังไง จะเป็นแบบอาณาจักรสวรรค์แบบที่พระคำภีร์บอก หรือจะเป็นแบบที่พระองค์ประทานให้อาดามกับเอวา..ก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป หรือจะแบบไหนก็ไม่สำคัญ คริสเตียนรู้แต่ว่า..ขอแค่ให้เป็นอาณาจักรของพระเจ้าก็โอเคละ เพราะเรารู้ว่า..อาณาจักรของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์..เป็นนิรันดร์และมันก็
”บรมสุขเกษม”
ในอาณาจักรของพระเจ้าความทุกข์และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะไม่มีอีกต่อไป..พระคำภีร์บอกไว้ และมนุษย์ทุกคนต้องการแบบนั้น ถึงเขาจะไม่รู้จักพระเจ้า..แต่จิตวิญญาณของทุกคนโหยหาอาณาจักรของพระเจ้าทั้งสิ้น..โดยจะจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่พระเยซูทรงรู้ดี..พระองค์ถึงสอนให้เราอธิฐานแบบที่วิญญาณมนุษย์ต้องการจริงๆ
เพราะฉะนั้น บางครั้ง..หลายคนอาจจะยังรู้สึกว่า คำอธิฐานที่พระเยซูสอน”ไม่ค่อยจะโดนใจ..ไม่ตอบโจทย์..ไม่มันส์ เพราะมันไม่สนองเนื้อหนัง.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า..ยังไม่รู้จักพระเยซู
รวมถึงคนที่เพิ่งมาเชื่อใหม่ๆ..ที่จิตวิญญาณยังไม่โตด้วย เขาก็จะแบบอยากจะพูด..จะขออะไรตามที่ใจอยากได้ ถามว่าขอได้มั๊ย..ได้ แต่เราต้องไม่ลืมที่จะตระหนักว่า
“น้ำพระทัยพระเจ้า”นั้น ดีที่สุด เพราะงั้น
ยังไงก็ต้องลงท้ายว่า แต่ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า
ส่วนพวกเรา..โตแล้วนะ
เรารู้ชัดเจนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด
สติปัญญาของเราหรือแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..ก็ยังไม่ได้ 1 ใน ล้านๆๆๆๆของพระเจ้าลย แล้วถ้าเราจะอธิฐานตามพระเยซู..เราก็ไม่ได้สักแต่ว่าท่องไปแบบนกแก้ว..นกขุนทอง แต่เราจะอธิฐานด้วยจิตวิญญาณที่รู้ซึ้งในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจริงๆ
เอเมน
ดู มัทธิว 6:11-13 “..โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย..ในกาลวันนี้” เพราะถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..อย่าหวังว่าจะได้มีอะไรตกถึงท้อง ที่มีกิน..มีอยู่กันทุกวันนี้ ก็เป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น เราแค่มักจะลืมไปเท่านั้นเอง..เพราะไร ไม่เคย”อด”แบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร
เขาถึงบอก..จะให้คนที่ร่ำรวยมีกินมีใช้เหลือเฟือ..ก้มหัวลงโมทนาพระคุณก่อนกิน..มันก็ยาก เพราะอาหารประจำวัน..ดูแล้วมันเรื่องเล็กมากสำหรับคนรวย เพราะฉะนั้น
หลายครั้งพระเจ้าเลยจำเป็นต้องส่งความขาดแคลนมาให้บ้าง..เป็นระยะ ระยะ จะได้รู้สำนึกว่า ถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..ไม่มีใครได้กินหรอก..ไม่ว่าคุณจะรวยแค่ไหนก็ตาม (นั่งเรือยอร์ช ไปน้ำมันหมดกลางทะเล หรือไปติดเกาะร้าง เงินของคุณช่วยให้อิ่มได้มั๊
หรือใกล้ตัวหน่อยเกิดเราขับรถไปยางแตกอยู่ในป่าในเขา ใครจะเอาให้เรากินได้..นอกจากพระเจ้า)
ท้ายข้อที่ 11 นี้..พระเยซูจบด้วยคำว่า..”ในกาลวันนี้” หมายความว่า ให้เราขอ”วันต่อวัน”
ไม่ต้องขอเผื่อตุนไว้
“..ขอทรงโปรดประทานอาหารให้ลูกตลอดทั้งปีนี้..ไม่ต้อง” เอาแค่วันต่อวัน อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะถ้าเราทำอย่างงั้น
แปลว่าเราไม่วางใจพระเจ้า..ไม่แน่ใจว่า..”พรุ่งนี้
พระเจ้าจะยังประทานให้เราหรือเปล่า”.. เราถึงต้องขอเผื่อไว้หรือต้องสะสมไว้ จำได้มั๊ย
เมื่อพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้าให้คนอิสราเอล
พระองค์สั่งว่าไง..”ให้เก็บแค่พอกินใน 1 วัน” ถ้าใครตุนไว้..เป็นไง..เช้ามามันก็เน่าหมด นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่เราตลอดเวลา ให้เราไว้ใจพระองค์..ไม่ต้องตุน..ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องมีตัวเลขในธนาคารเยอะๆ..ไม่ต้อง..ไม่จำเป็น ไม่ว่าสถานการณ์หรือสิ่งที่ตามองเห็นมันจะเป็นยังไง..พระเจ้าก็เลี้ยงเราได้แน่นอน ในทางตรงกันข้าม
ถ้าพระเจ้าไม่เลี้ยง..ไม่ดูแล..ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน..คุณก็จะขาดแคลนอยู่ดี บางคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต สุดท้ายไอเงินที่หามา..ยังไม่พอรักษาตัวเองเลย
ดู มัทธิว 6:14-15 “..ถ้าเราไม่ยกโทษให้เพื่อนมนุษย์ พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้เราเหมือนกัน”...แล้วจริงๆ
โทษของเพื่อนมนุษย์ที่ทำกับเรานั้น..มันเล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับที่เราทำบาปต่อพระเจ้า ปละพอได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐ..เราก็ดีใจมาก
เพราะพระเจ้ายืนยันว่า..ไม่ว่าบาปของเราจะใหญ่โตขนาดไหน โลหิตของพระคริสต์ชำระให้บริสุทธิ์ได้แน่นอน 100%
ไม่ว่าเราจะเคยผิดพลาดอะไรมา..พระองค์สัญญายกโทษให้ทั้งหมด (สุดยอดมั๊ย)
เราได้ยิน..ก็ดีใจ
โอ..พระเจ้าใจดีจริงๆ
ต่อไปนี้รอดแล้ว..ไม่มีเวรกรรมอีกต่อไปแล้ว
แต่พอถูกมนุษย์ด้วยกันกระทบกระทั่งนิดหน่อย..ก็โกรธเขา พระเจ้าสั่งว่าให้ยกโทษ..ก็ทำได้บ้าง..ไม่ได้บ้าง ทั้งที่ บางทีมันเรื่องเล็กนิดเดียว
พระเจ้าถึงต้องย้ำกับเรา..ให้เรายกโทษให้พี่น้อง..เพื่อนมนุษย์ แล้วพระองค์ก็จะยกโทษให้เรา
ถ้าเราทำไม่ได้...ไม่มีกำลังพอเราก็ขอกำลังจากพระเยซู ถ้าเราตั้งใจดี..สักวันเราจะทำได้..ไม่ช้าก็เร็ว
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น