วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 4


ดู มัทธิว 5:43-45 พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยิน คำกล่าวว่า ให้รักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู”  แต่พระเยซูบอก “จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา”  ตามธรรมเนียมของยิวสมัยพระคำภีร์..คำว่า “คนสนิท” หรือ “เพื่อนบ้าน” หมายถึง เขาคนยิวด้วยกัน..เท่านั้น  ถ้าไม่ใช่ยิว ถือว่าเป็นต่างชาติทั้งหมด   แล้วยิวก็ตีความพระบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ในหนังสือ ลวต.19:18 ที่บอกว่า “เจ้าอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า แต่เจ้าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง...” ยิวแปลความหมายข้อนี้ว่า “พระเจ้าสั่งให้รักแต่คนชาติเดียวกัน  และรังเกียจ..ทุกคนที่ไม่ใช่ยิว  เขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆ  เพราะเราต้องเข้าใจนะคะ..ว่า “ยิว”  เขาภาคภูมิในความเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร..เขารู้สึกว่าตัวเองโฮลี่กว่าใครในโลก  แล้วก็เลยค่อนข้างเหยียดคนต่างชาติ  แล้วปัจจุบันเขาก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่..
ไม่นานมานี้อาจารย์ท่านนึงเดินทางไปที่อิสราเอล  ช่วงที่ไปเยี่ยมชมกำแพงร้องไห้..จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของพระวิหาร เมื่อท่านไปเข้าห้องน้ำ..ปรากฎว่าไปเจอพวกยิวอยู่ 2-3 คน  พอเห็นท่าน (ซึ่งเป็นคนต่างชาติ) เดินเข้ามา  ก็ทำท่ารังเกียจอย่างแรงแล้วก็ฉีกเสื้อคลุมทิ้งไปเลย  เพราะเขาถือว่าคนต่างชาติเป็นมลทิน..ไม่บริสุทธิ์เหมือนเขา  แค่เดินเข้าไปใกล้..เขาถึงกับฉีกเสื้อทิ้งไปเลย..    ข้อที่ 45 บอกว่า “.. เพราะว่าพระเจ้ายังทรงให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรมด้วย”..คือ ขนาดพระเจ้า..ที่เป็นเจ้าของมหาจักรวาลแท้ๆ  พระองค์ยังไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง..แต่ทรงทำการเที่ยงธรรมแก่ทุกคน  แล้วเราเป็นใคร..เราเป็นลูกของพระองค์  เราก็ต้องทำตามพระองค์    พระเยซูถึงสอนเรา “ให้รักศัตรู  และจงอธิษฐานเพื่อคนเหล่านั้นที่ทำไม่ดีกับเรา”  อย่าว่าแต่เป็นคนต่างชาติเลย  คนที่ข่มเหงเรา..เรายังต้องรักเขาให้ได้  ยิวหรืออิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรร”จริง” แต่พระองค์ทรงเลือกสรรให้เขาเป็น”ชนชาติผู้มีพันธกิจนำพระพรไปสู่ชาวโลก”  ไม่ได้เลือกไว้ให้รักกันเองในบ้าน..แล้วใครจะตายช่างมัน..ไม่ใช่
ดู มัทธิว 5:46-48  “..ถ้าเรารักแต่คนที่น่ารัก  เราจะได้บำเน็จอะไร”..ใครๆก็ทำได้  “..ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังทำอย่างงั้นเลย”   น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า “คนเก็บภาษี” ในสมัยนั้น คือ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลโรมให้เป็นผู้เก็บภาษีจากประชาชน  จะเนื่องจากไปสัมปทานมาหรืออะไรก็แล้วแต่   ที่แน่ๆพวกเขามักจะเก็บภาษีเกินพิกัด  คนยิวก็เลยรังกียจคนเก็บภาษี   แล้วก็ตราหน้าคนเก็บภาษีว่าเป็นคนบาปชั่วพอๆกับโจร    พระเยซูจึงทรงยกตัวอย่างคนเก็บภาษี..ว่าถึงเขาจะนิสัยไม่ดีหรือถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป  แต่คนอย่างนี้ก็ยังรักพี่น้อง..ยังช่วยเหลือพวกเดียวกัน   เพราะงั้น ถ้าเราเองก็รักแต่ญาติพี่น้องหรือรักเฉพาะคนที่ดีกับเรา..เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่มีพระเจ้า    คำว่า “จงอธิษฐาน” เพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน”  จริงๆแล้วเด็กๆรู้มั๊ย..ว่าการจะอธิฐานให้ผู้ที่ช่มเหงเราจะต้องอธิฐานยังไง..  เราต้องอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรเขา..เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รับความรักและมีความเชื่อในพระเจ้า   เพราะใครก็ตามที่มีความเชื่อ..มีพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย..เขาจะเห็นความบาปหรือความไม่ดีของตัวเอง..แน่นอน   (จำได้มั๊ย ที่น้าตุ๊กบอกว่าพระบัญญัติเปรียบเหมือน”กระจกเงา”) ให้เราเปิดไปดู หนังสือเยเรมีย์...
ดู เยเรมีย์ 31:33    "... พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะบรรจุ”บัญญัติ”ของเราไว้ภายในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้ที่”ดวงใจ”มนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือก..” ..พระเจ้าทำยังไง..พระองค์ทำโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์..เขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์           และบัญญัติของพระองค์(ที่เป็นเหมือนกระจกเงา) ก็จะจารึกอยู่ในหัวใจ..และไม่ใช่เพื่อให้ทำได้อย่างครบถ้วน   แต่เพื่อให้รู้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า  เราเองชั่วตรงไหน..มีอะไรที่ทำถูกแล้ว..เราจะรู้...”ถ้า”เรามีพระวิญญาณ   ดังนั้น การอธิฐานขอพระเจ้าอวยพรให้ทุกคนมีความเชื่อ..จึงเป็นคำตอบของทุกปัญหา  เพราะคนที่ทำไม่ดี..ร้อยทั้งร้อย  เขาเห็นความชั่วของตัวเองมั๊ญ..ไม่เห็นหรอก   ถ้าอยากให้เขาเห็น..เขาต้องมีพระวิญญาณ  แล้วถ้าอยากให้เขามีพระวิญญาณ..เราก็ต้อง  ”อธิฐาน”ให้เขา..    มัทธิว 5:48 จึงบอกว่า “เหตุฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์”...คนของพระเจ้าต้องไม่ใช่แค่ดี..แต่ต้องดีรอบคอบหรือดียอดเยี่ยม (ไม่ใช่แค่ good แต่ต้อง excellent)
ดู มัทธิว 6:1-2 “จงระวัง..อย่าทำศาสนกิจพื่ออวดคนอื่น” ที่พระเยซูบอกอย่างนี้ก็เพราะ..หลายคนชอบทำ..เพื่ออวดคนอื่น   พระเยซูบอก..”ทำแล้วอย่าเป่าแตรข้างหน้า”..คือ เที่ยวป่าวประกาศให้คนรู้ไปทั่วว่า..ฉันนี่ !ไปทำความดี..ความชอบอะไรมาบ้าง  “..เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำตามถนนและธรรมศาลา” ( คือ หลังจากที่ยิวสิ้นชาติไปแล้ว..วิหารในเยรูซาเล็มก็ถูกทำลาย  ยิวก็ใช้ธรรมศาลาในการรวมตัวกันเพื่อทำศาสนกิจและเรียนรู้พระบัญญัติ )  ...เพราะงั้น ข้อนี้ พระเยซูทรงตำหนิพวกธรรมาจารย์และฟาริสีโดยตรงเลย   เพราะคนพวกนี้เขาชอบแต่งตัวแบบให้ดูโฮลีมากๆแล้วไปยืนอธิฐาน..ทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตามข้างถนนหรือธรรมศาลา  เพื่อที่จะให้คนอื่นเห็นว่า ฉัน คือ ผู้ชอบธรรม...  จริงๆ คือ ต้องการคำสรรเสริญและเป็นที่ยอมรับของมนุษย์   ถ้าไปทำในบ้านเดี๋ยวไม่มีใครเห็น  พระเจ้าบอก ”เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว”..(คือ ได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์..ซึ่งไม่คุ้มเลย)  พระเจ้าบอก ใครก็ตามที่ทำอย่างนี้   ถวายเท่าไหร่ก็เอาไปคุยให้คนอื่นฟัง  หรือไม่..ก็ต้องมีชื่อติดอยู่ตามผนังโบสถ์   หรือทำทานเท่าไหร่..ก็ต้องเอาชื่อมาประกาศให้คนอื่นรู้   แม้แต่ ให้เพื่อนยืมเงิน..ก็เที่ยวคุยฟุ้งไปทั่ว  คนประเภทนี้จะไม่ได้บำเน็จอะไรจากพระเจ้าเลย  เพราะเขาได้คำยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์เป็นบำเน็จไปแล้ว..พระเจ้าไม่ต้องให้แล้ว..หายกัน
ข้อที่ 4 พระเยซูบอกว่า “ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน”   ศาสนกิจที่พระเยซูพูดถึงในบริบทนี้..เน้นถึงการทำทานให้คนยากจน  เพราะสมัยนั้น พระเจ้าบัญญัติชัดเจนให้คนรวยช่วยคนจน  รายละเอียดในเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือฉธบ.
ดู ฉธบ.15:7-11  ในท่ามกลางท่านถ้ามีคนจนสักคนหนึ่ง    ท่านอย่ามีใจแข็งหดมือของท่านไว้เสียต่อหน้าพี่น้องของท่านที่ยากจนนั้น”  ในท่ามกลางท่าน หมายถึง ทุกคนรอบข้าง..ไม่เฉพาะที่เรารู้จักนะ  ถึงไม่รู้จัก..ถ้าเราเจอใครที่เขาลำบากมาก  ไม่มีกิน  ไม่มีใช้  หรือลำบากในเรื่องใดก็ตาม  ก็อย่า”หดมือ”..ทำเฉยไม่ช่วย..ไม่แบ่ง..ไม่ให้ยืม..พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ  แต่”จงยื่นมือของท่านอย่าง”ใจกว้าง” ให้เขา และให้ยืมอย่างเพียงพอแก่ความต้องการ”..อย่าสักแต่ว่าช่วยพอให้ผ่านๆไป  แต่ต้องใจกว้างกับเขา  เขาขาดอะไร..ต้องทำยังไงให้เขาไปรอด..ก็ต้องทำเต็มที่  (เท่าที่เรามีกำลัง)  พระประสงค์พระเจ้าในข้อนี้..ชัดเจน คือ ยากให้เราเอื้อเฟื้อ..ใส่ใจซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่ำต้อยในสังคม  (หญิงม่าย ลูกกำพร้า) ในสมัยนั้น..บางคนเขาเลี้ยงชีวิตด้วยทานที่คนอื่นบริจาคให้  คอยเข้าไปเก็บข้าวที่ตกจากฟ่อนในนาบ้าง..อะไรบ้าง  แค่นี้ชีวิตเขาก็ลำเค็ญจะแย่แล้ว  ถ้าคนที่ให้ยังเอาไปป่าวประกาศอีก..ในมุมนึง มันก็เป็นการทำให้คนเหล่านี้ต้อง”อับอายหรือรู้สึกต่ำต้อย”มากขึ้น..นึกออกมั๊ยคะ   พระเยซูจึงบอกว่า...”ทานของท่านต้องเป็นทานลับ”.. ไม่ต้องประกาศให้ใครรู้  ไม่ต้องหวังให้ใครๆมายกย่องสรรเสริญ   พระเจ้าเห็นก็พอแล้ว...พระองค์จะเป็นผู้ประทานบำเน็จให้กับเรา   ซึ่งมันคุ้มกว่า..มีค่ากว่าบำเน็จจากมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้เลย 
ดู มัทธิว 6:7-8 “..เวลาอธิฐานอย่าพูดซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ”... หรือคนที่ไม่มีความเชื่อ  เลยชอบพูดซ้ำๆ  ซ้ำเรื่องอะไร..เรื่องที่ตัวเองอยากได้..  หลายครั้งเวลาที่เราอยากได้อะไรมากๆ  เราก็อดไม่ได้ที่จะ อธิฐานเน้นๆๆอยู่แต่เรื่องนั้นอ่ะ เมื่อก่อนน้าตุ๊กก็เคยเป็น  ที่พูดได้..สอนได้..นี่ก็เพราะตัวเองเคยเป็นมาก่อน  เวลาที่ขาดอะไร..อยากได้อะไร หรือเวลาที่สถานการณ์ภายนอกมันบอกว่าแย่แล้ว..เดี๋ยวไม่ทัน  เราก็กลัวพระเจ้าจะไม่รู้..ไม่เข้าใจ หรือกลัวว่าพระองค์จะมาสาย  เราก็เลยต้องย้ำๆๆๆกับพระองค์..ว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไร..ซึ่งต้องบอกตรงๆว่ามันเป็นความคิดที่โง่มาก  (อันนี้..น้าตุ๊กว่าตัวเอง)   เรามาดูซิว่าพระเยซูสอนให้เราอธิฐานยังไง 
ดู มัทธิว 6:9-10  สิ่งแรกที่พระเยซูกราบทูลพระบิดาในการอธิฐาน คือ “..ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”  เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญหรือสูงส่งกว่า”พระนามของพระเจ้า” อีกแล้ว  เพราะงั้น เวลาอธิฐานเราต้องสรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้าก่อน....    
ข้อต่อไปพระเยซูบอกว่า “ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่..ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”.....ไม่ใช่ตามใจเรา  และแม้ว่าเราอาจจะยังไม่เข้าใจ..ไม่เห็นชัดเจน..ว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นยังไง   จะเป็นแบบอาณาจักรสวรรค์แบบที่พระคำภีร์บอก     หรือจะเป็นแบบที่พระองค์ประทานให้อาดามกับเอวา..ก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป  หรือจะแบบไหนก็ไม่สำคัญ  คริสเตียนรู้แต่ว่า..ขอแค่ให้เป็นอาณาจักรของพระเจ้าก็โอเคละ  เพราะเรารู้ว่า..อาณาจักรของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์..เป็นนิรันดร์และมันก็ ”บรมสุขเกษม”  ในอาณาจักรของพระเจ้าความทุกข์และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะไม่มีอีกต่อไป..พระคำภีร์บอกไว้   และมนุษย์ทุกคนต้องการแบบนั้น   ถึงเขาจะไม่รู้จักพระเจ้า..แต่จิตวิญญาณของทุกคนโหยหาอาณาจักรของพระเจ้าทั้งสิ้น..โดยจะจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  แต่พระเยซูทรงรู้ดี..พระองค์ถึงสอนให้เราอธิฐานแบบที่วิญญาณมนุษย์ต้องการจริงๆ 
เพราะฉะนั้น  บางครั้ง..หลายคนอาจจะยังรู้สึกว่า คำอธิฐานที่พระเยซูสอน”ไม่ค่อยจะโดนใจ..ไม่ตอบโจทย์..ไม่มันส์  เพราะมันไม่สนองเนื้อหนัง..  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า..ยังไม่รู้จักพระเยซู  รวมถึงคนที่เพิ่งมาเชื่อใหม่ๆ..ที่จิตวิญญาณยังไม่โตด้วย  เขาก็จะแบบอยากจะพูด..จะขออะไรตามที่ใจอยากได้  ถามว่าขอได้มั๊ย..ได้  แต่เราต้องไม่ลืมที่จะตระหนักว่า “น้ำพระทัยพระเจ้า”นั้น ดีที่สุด  เพราะงั้น ยังไงก็ต้องลงท้ายว่า แต่ขอให้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า  
ส่วนพวกเรา..โตแล้วนะ เรารู้ชัดเจนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด  สติปัญญาของเราหรือแม้แต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุด..ก็ยังไม่ได้ 1 ใน ล้านๆๆๆๆของพระเจ้าลย  แล้วถ้าเราจะอธิฐานตามพระเยซู..เราก็ไม่ได้สักแต่ว่าท่องไปแบบนกแก้ว..นกขุนทอง  แต่เราจะอธิฐานด้วยจิตวิญญาณที่รู้ซึ้งในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจริงๆ  เอเมน
ดู มัทธิว 6:11-13 “..โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย..ในกาลวันนี้”  เพราะถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..อย่าหวังว่าจะได้มีอะไรตกถึงท้อง   ที่มีกิน..มีอยู่กันทุกวันนี้  ก็เป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น  เราแค่มักจะลืมไปเท่านั้นเอง..เพราะไร ไม่เคย”อด”แบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร  เขาถึงบอก..จะให้คนที่ร่ำรวยมีกินมีใช้เหลือเฟือ..ก้มหัวลงโมทนาพระคุณก่อนกิน..มันก็ยาก  เพราะอาหารประจำวัน..ดูแล้วมันเรื่องเล็กมากสำหรับคนรวย   เพราะฉะนั้น หลายครั้งพระเจ้าเลยจำเป็นต้องส่งความขาดแคลนมาให้บ้าง..เป็นระยะ ระยะ  จะได้รู้สำนึกว่า ถ้าพระองค์ไม่ประทานให้..ไม่มีใครได้กินหรอก..ไม่ว่าคุณจะรวยแค่ไหนก็ตาม  (นั่งเรือยอร์ช ไปน้ำมันหมดกลางทะเล  หรือไปติดเกาะร้าง  เงินของคุณช่วยให้อิ่มได้มั๊  หรือใกล้ตัวหน่อยเกิดเราขับรถไปยางแตกอยู่ในป่าในเขา  ใครจะเอาให้เรากินได้..นอกจากพระเจ้า) 
ท้ายข้อที่ 11 นี้..พระเยซูจบด้วยคำว่า..”ในกาลวันนี้”  หมายความว่า ให้เราขอ”วันต่อวัน” ไม่ต้องขอเผื่อตุนไว้  “..ขอทรงโปรดประทานอาหารให้ลูกตลอดทั้งปีนี้..ไม่ต้อง”  เอาแค่วันต่อวัน  อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้    เพราะถ้าเราทำอย่างงั้น แปลว่าเราไม่วางใจพระเจ้า..ไม่แน่ใจว่า..”พรุ่งนี้ พระเจ้าจะยังประทานให้เราหรือเปล่า”.. เราถึงต้องขอเผื่อไว้หรือต้องสะสมไว้   จำได้มั๊ย เมื่อพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้าให้คนอิสราเอล  พระองค์สั่งว่าไง..”ให้เก็บแค่พอกินใน 1 วัน”  ถ้าใครตุนไว้..เป็นไง..เช้ามามันก็เน่าหมด     นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสำแดงแก่เราตลอดเวลา  ให้เราไว้ใจพระองค์..ไม่ต้องตุน..ไม่ต้องสะสม  ไม่ต้องมีตัวเลขในธนาคารเยอะๆ..ไม่ต้อง..ไม่จำเป็น  ไม่ว่าสถานการณ์หรือสิ่งที่ตามองเห็นมันจะเป็นยังไง..พระเจ้าก็เลี้ยงเราได้แน่นอน  ในทางตรงกันข้าม ถ้าพระเจ้าไม่เลี้ยง..ไม่ดูแล..ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน..คุณก็จะขาดแคลนอยู่ดี  บางคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต  สุดท้ายไอเงินที่หามา..ยังไม่พอรักษาตัวเองเลย
ดู มัทธิว 6:14-15  “..ถ้าเราไม่ยกโทษให้เพื่อนมนุษย์  พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้เราเหมือนกัน”...แล้วจริงๆ โทษของเพื่อนมนุษย์ที่ทำกับเรานั้น..มันเล็กน้อยมาก  ถ้าเทียบกับที่เราทำบาปต่อพระเจ้า    ปละพอได้ยินเรื่องข่าวประเสริฐ..เราก็ดีใจมาก  เพราะพระเจ้ายืนยันว่า..ไม่ว่าบาปของเราจะใหญ่โตขนาดไหน  โลหิตของพระคริสต์ชำระให้บริสุทธิ์ได้แน่นอน 100% ไม่ว่าเราจะเคยผิดพลาดอะไรมา..พระองค์สัญญายกโทษให้ทั้งหมด  (สุดยอดมั๊ย)  เราได้ยิน..ก็ดีใจ  โอ..พระเจ้าใจดีจริงๆ  ต่อไปนี้รอดแล้ว..ไม่มีเวรกรรมอีกต่อไปแล้ว   แต่พอถูกมนุษย์ด้วยกันกระทบกระทั่งนิดหน่อย..ก็โกรธเขา   พระเจ้าสั่งว่าให้ยกโทษ..ก็ทำได้บ้าง..ไม่ได้บ้าง  ทั้งที่ บางทีมันเรื่องเล็กนิดเดียว   พระเจ้าถึงต้องย้ำกับเรา..ให้เรายกโทษให้พี่น้อง..เพื่อนมนุษย์  แล้วพระองค์ก็จะยกโทษให้เรา   ถ้าเราทำไม่ได้...ไม่มีกำลังพอเราก็ขอกำลังจากพระเยซู  ถ้าเราตั้งใจดี..สักวันเราจะทำได้..ไม่ช้าก็เร็ว
  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ
                      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น