วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 6


คราวที่แล้วจบตรงบทที่ 6:28-29  “จงพิจารณาดอกไม้ทุ่งนาว่า มันงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย”  แล้วน้าตุ๊กก็ชี้ให้เห็นว่า ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีคนดูแล  มันก็งามกว่าต้นที่มนุษย์ปลูกไว้ซะอีก  บางทีเราทั้งรดน้ำ  ใส่ปุ๋ยตามเวลา..มันยังสวยไม่เท่าดอกไม้ในป่าเลย   ข้อที่ 29 บอกว่า “..กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง” คือ สุดกำลังมนุษย์แล้ว..แต่งให้ตาย ให้เริ่ดแค่ไหน  เราก็ยังสวยสู้ดอกไม้ที่พระเจ้าสร้างไว้..ไม่ได้   ดังนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลนสิ่งดีใดๆ  เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่พอที่จะดูแลเราได้อยู่แล้ว
ดู มัทธิว 7:1-3  อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ ...ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น”  ..ธรรมชาติบาปอีกอันที่ติดตัวมนุษย์อย่างเหนียวแน่นมาก คือ ชอบกล่าวโทษหรือชอบตัดสินคนอื่น  ท่าทีแบบนี้อาจเริ่มจากการเป็นคนชอบวิจารย์   ซึ่งถ้าไม่ระวังท่าทีก็จะพัฒนาเป็นคนที่ชอบกล่าวโทษคนอื่น ถ้าหนักหน่อยเข้าขั้นโคม่าก็คือจะเป็นคนที่ชอบนินทา..   พระเจ้าบอกว่า “..ถ้าเรากล่าวโทษเขา  พระองค์ก็จะทรงพิพากษาเรา  เราตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระองค์ก็จะตวงให้เราด้วยทะนานอันนั้น”  ทะนาน คือ หน่วยที่คนสมัยก่อนใช้ในการชั่งตวง   สำหรับคำว่า  ”ตวง”ในบริบทนี้  น้าตุ๊กว่า พระเจ้าทรงหมายถึง ทุกอย่าง..ที่เราทำกับคนอื่น ไม่ว่าจะป็น  ”สิ่งดีหรือสิ่งไม่ดี” ..ที่เราทำกับพี่น้อง  สิ่งไม่ดี ก็ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราชอบกล่าวโทษ  เห็นข้อเสียหรือความผิดพลาดของคนอื่น..ไม่ได้  มันอยากแต่จะชี้ชัน  ตำหนิ ซ้ำเติม  ตอกย้ำ  หรือวิพากวิจารณ์เขา..ด้วยใจแข็งกระด้าง  ไม่ได้ตำหนิเขาด้วยความรักหรือความหวังดีจริงๆ  พระเจ้าบอกว่า..พระองค์ก็จะให้เราได้รับผลอันเดียวกัน..เราก็จะเป็นที่ดูถูกของคนอื่น..จะไม่มีใครให้เกียรติเรา..ถ้าเราเป็นคนชอบกล่าวโทษ   หรือแม้แต่เวลาที่เราจะทำสิ่งดีๆ..จะช่วยเหลือใครหรือจะให้ออกไป  พระเจ้าก็ทรงมอง..ว่าเราตวงให้เขาด้วยทะนานแบบไหน..เช่นกัน  ถ้าช่วยแบบกั๊กๆ..เวลาที่เราเดือดร้อนพระองค์ก็จะส่งความช่วยเหลือ”แบบกั๊กๆ”มาให้เราเหมือนกัน  บางคนงง..ช่วยแบบกั๊กๆมันเป็นยังไง..
สมมติว่า..เราจะซื้อของไปบริจาค  เราเลือกยังไง..เอาที่ถูกสุด คุณภาพแย่สุดๆไปเลย  เพราะคิดว่า..ไม่เป็นไรหรอกอุตส่าห์ให้ก็ดีแค่ไหนละ “หรือ” เราจะเลือกของที่ดีหน่อยซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าเล็กน้อย..แต่ไม่ได้เกินกำลังเรา..อย่างงี้เป็นต้น ..ที่พระเจ้าก็มองอยู่..ว่าเราตวงให้คนอื่นด้วยทะนานแบบไหน 
หรือ ถ้าจำเป็นต้องเลี้ยงอาหารหรือให้ที่หลับนอนกับใครซักคน..ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องหรือคนที่เราไม่คุ้นเคย  เราเลือกเอาอะไรให้เขากิน เด็กๆจะเอาของเหลือกับที่นอนสกปรกๆให้เขา  หรือจะต้อนรับเขาด้วยอาหารที่ยังมีคุณภาพ..(ไม่ได้หมายความว่าต้องแพง)  กับที่นอนสะอาดๆเพื่อให้เขาหลับสบาย..พระเจ้าก็ทรงมองอยู่เช่นกัน..ว่าทะนานแบบไหนที่เราใช้ตวงให้พี่น้อง  นี่เป็นแค่ตัวอย่าง..จริงๆยังมีอีกหลายกรณีมากที่เกี่ยวกับทะนานที่เราตวงให้คนอื่น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเลือกกระทำกับเพื่อนบ้านและพี่น้อง..ล้วนมีผลต่อพระพรที่เราจะรับจากพระเจ้าทั้งสิ้น   เพราะเราตวงด้วยทะนานอันไหนไว้..พระเจ้าก็จะใช้อันเดียวกันเป็นครื่องวัดพระพรที่จะให้กับเรา
ดู มัทธิว 7:3-4 ไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก... “ผง” ในบริบทที่พระคำข้อนี้บอก หมายถึง ความผิดเล็กๆน้อยๆ  ส่วน”ไม้ทั้งท่อน” ก็คือ ความผิดใหญ่ๆ   ก็หมายถึงว่า ความผิดของคนอื่นแม้จะเล็กน้อยแค่ไหน..เรามักจะ.เห็นชัดเจน  แต่ทีนิสัยแย่มากๆของตัวเองกลับไม่เคยเห็น  คนเราเป็นอย่างนี้จริงๆนะ  แต่คริสเตียนขอบพระคุณพระเจ้า  ที่เมื่อเรามีพระวิญญาณสถิตในใจเราจะเห็นความชั่วของตัวเองชัดขึ้น (มากถึงมากที่สุด)  เพราะพระเจ้าทรงบอกไว้ตั้งแต่ยุคพันธสัญญาเดิม..ว่าพระองค์จะไม่จารึกพระบัญญัติไว้ในศิลาหรือที่ใดๆอีกต่อไป  แต่พระองค์จะทรงจารึกพระบัญญัติของพระองค์ไว้ที่หัวใจมนุษย์..โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซู  ดังนั้น เมื่อเราเชื่อพระเยซู  พระบัญญัติของพระเจ้าจึงจารึกอยู่ในใจเรา   แล้วน้าตุ๊กเคยบอกแล้ว..ว่าธรรมบัญญัติ..คือ กระจกเงาที่ส่องแล้วทำให้เห็นชัดว่าเราดีหรือไม่ดีตรงไหน  เพราะนั้น “คริสเตียนแท้” ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่   จะต้องเห็นตัวเองตามความจริงและเห็นตัวเองชัดกว่าเห็นคนอื่น  ตัวเองแย่แค่ไหน..มีข้อเสียยังไงเราจะเห็นชัดเจนบาปของตัวเอง  ไม่ใช่เห็นแต่บาปของคนอื่น..แต่ไม่เห็นของตัวเอง   พระเยซูจึงทรงกล่าวโทษคนเหล่านั้น..ที่ชอบแต่จะตัดสินคนอื่นโดยไม่ดูตัวเอง
ดู มัทธิว 7:6   “อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกของท่านให้แก่สุกร”...ของประเสริฐและไข่มุกในที่นี่ หมายถึง “ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” หลายครั้งพระคำภีร์จะเปรียบเทียบความรอดทางพระคริสต์หรืออาณาจักรสวรรค์..ว่าเป็นไข่มุกเม็ดงาม ส่วนสุนัขและสุกร เป็นสัตว์ที่ชาวยิวรังเกียจมากเพราะเป็นสัตว์มลทิน  พระเจ้าบอกเราว่าอย่าไปให้ของมีค่าขนาดนั้น  กับคนที่ไม่คู่ควร..แล้วคนแบบไหนที่ไม่คู่ควร  ก็คือ คนที่ดูหมิ่นสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขน..ว่าเป็นเรื่องโง่ หรือ เป็นเรื่องโกหก
ขณะที่เรายังต้องอยู่บนโลกนี้  เราจำเป็นต้องมีสังคม  เราต้องพบปะหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า   และพระเจ้าก็สั่งเราว่า..จงเอาข่าวประเสริฐของพระเยซูไปบอกกับทุกคนที่เราได้เจอ  และเมื่อเราบอกข่าวดีของพระเยซูออกไป แต่ละคนมีท่าทีเหมือนกันมั๊ย..ไม่เหมือน  บางคนเชื่อ..แล้วก็รับเอาความรอดไว้  บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  บางคนไม่เชื่อแต่ก็ไม่เถียง..ไม่ลบหลู่  ส่วนบางคนเถียงคอเป็นเอ็น..ชักแม่น้ำทั้งเพียงเพื่อจะมาลบล้างความจริงของข่าวประเสริฐ  หนักหน่อยก็เอาความเชื่อของตัวเองมาเกทับ..ก็มี  เจอคริสเตียนไม่ได้..เจอเมื่อไหร่มันอยากจะเทียมแอกทันที  เด็กๆเข้าใจคำว่า”เทียมแอก”มั๊ยคะ  เทียมแอกก็คือ เอาความเชื่อมาประชันขันแข่งกันอ่ะ..ว่าของใครแน่กว่ากัน  แล้วคนประเภทหลังนี้แหละ..ที่พระคำภีร์เทียบว่าเป็น” สุนัขหรือสุกร”..ที่เราอย่าเสียเวลาไปหยิบยื่นข่าวประเสริฐให้เขา  ถ้าบอกกี่ครั้งก็ยังไม่เชื่อเหมือนเดิมแถมยังดูหมิ่นสิ่งที่พระคริสต์ทำ..เราก็ผ่านเขาไปเลย  ไม่ต้องไปเอาชนะเพื่อที่จะหยิบยื่นของมีค่าให้กับเขา  ถึงแม้พระเจ้าบอกว่าความรอดเป็นของ”ฟรี”  แต่พระเยซูคริสต์ไม่ใช่ของลดแลกแจกแถมที่ต้องเที่ยวยัดเยียดให้คนที่ไม่เห็นค่านะคะ   
ดู มัทธิว 7:7-10 “..จงขอแล้วจะได้”  หลายคนบอก..ขอแล้วไม่เห็นจะได้เลย จริงๆได้นะคะ..แต่พระเจ้าจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา..ไม่ใช่สิ่งที่ตามใจเรา  สิ่งที่ดีที่สุดกับสิ่งที่เราอยากได้  บางทีมันคนละเรื่องกัน  ข้อที่ 9 บอกว่า “ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา”   พระเจ้าจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์..ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูกเสมอ พระองค์ยืนยันว่าขนาดมนุษย์ที่อ่อนแอ..ยังไม่มีใครเลยที่ไม่รักลูก ลูกอยากได้อะไร..มีแต่จะหามาให้และก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเสมอ  แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกในความคิดของพ่อแม่กับความคิดของลูกบางครั้งมันก็ไม่ตรงกัน..ถูกมั๊ยคะ  แล้วเวลาที่ลูกอยากได้อะไร..ที่มันตามใจตัวเองเรื่อยเปื่อย..พ่อแม่จะให้มั๊ย  คำตอบมันก็อยู่ที่ว่า..”พ่อแม่เป็นคนมีสติปัญญาหรือมีวินิจฉัย..เลี้ยงลูกเป็นแค่ไหน สมมติ ลูกอายุแค่ 14เอง  แต่อยากได้รถสปอร์ต..เอาไว้ไปซิ่ง..พ่อแม่จะให้มั๊ย ไม่ให้..แล้วลูกก็ไม่เข้าใจ..ทำไมไม่ให้ไหนบอกว่าให้ได้ทุกอย่าง..เงินก็มี  แต่ขอแค่นี้..ไม่ให้  (เหมือนเวลาที่เราขอพระเจ้า)   หรือถ้าลูกโตแล้วอายุ25 หรือ 30..40 ก็ตาม  แต่ลูกคนนี้นิสัยไม่ดี..ขี้โมโหใจร้อน เย่อหยิ่ง  แล้วลูกก็อยากได้รถสปอร์ตเหมือนกัน..  คิดว่าพ่อแม่ควรให้มั๊ย  ไม่ควรให้  เพราะถึงอายุจะได้ แต่!นิสัยยังไม่ผ่าน  ให้ไปแล้วเด๋วจะเอาไปกร่าง..ไปเย่อหยิ่ง..ไปอวดให้คนอื่นสะดุด  หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน  สิ่งที่ให้ไปมันก็กลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ลูกนิสัยแย่ลง..ทำชั่วได้มากขึ้น  ดังนั้น พระเจ้าของเราก็เหมือนกัน..พระองค์เป็นพ่อที่ทรงพระปัญญาล้ำเลิศ  พระองค์รู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา พระองค์ก็จะไม่ให้อะไรก็ตาม..ที่ทำให้เราเสียนิสัย  อะไรที่เรามี..แล้วเราจะงดงามขึ้น..เติบโตขึ้น..ไปสู่ความไพบูลย์ในพระคริสต์มากขึ้น..อันนั้นแหละที่พระเจ้าจะให้เราได้มีและได้เป็น
มนุษย์มีความจำกัดในทุกเรื่อง..แต่พระเจ้าไม่ และพระองค์ไม่เคยผิดพลาด  ดังนั้น ที่พระเยซูบอกว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิด”..จริงๆข้อนี้พระองค์ต้องการหนุนใจให้เรา”อธิฐานตลอดเวลา”  ถึงแม้ว่า พระเจ้าจะตอบไม่โดนใจ  และหลายครั้งเราก็ไม่เข้าใจ..ว่าทำไมขออย่างงี้แต่พระเจ้าให้อีกอย่างนึง  แต่จงเชื่อเถอะ..ว่าสิ่งที่พระเจ้าให้ คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแน่นอน
ดู มัทธิว 7:13-14  “..จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ”..ในสมัยประวัติศาสตร์พระคำภีร์  ผูที่เชื่อพระเยคริสต์ถูกเรียกว่าเป็นพวกที่ถือ”ทางนั้น” เพราะพระเยซูตรัสว่าพระองค์เป็นทางนั้น คือ ทางเดียวที่จะนำมนุษย์ให้ได้รับความรอดและไปสู่สวรรค์..พระองค์เป็นประตูแห่งสวรรค์  แต่สมัยนั้นคนที่เชื่อพระเยซูยังมีน้อยมาก  แล้วคริสเตียนก็ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง  การถูกข่มเหงหรือแม้แต่การยังไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมสมัยนี้..มันทำให้คริสเตียนอยูค่อนข้างลำบาก..ไม่ลำบากกายก็ลำบากใจ   แล้วทางที่ยากลำบากของเรานี้แหละที่พระเยซูเรียกว่า ”ประตูแคบ”  ส่วนประตูใหญ่และทางกว้าง” ก็คือ ความเชื่อของพวกยิวและรวมถึงคนต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเยซูด้วย  หรือแม้แต่พวกเราในปัจจุบันนี้..เราก็ยังเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ..จะพูด..จะทำอะไรหลายครั้งสังคมก็ยังไม่ค่อยยอมรับเท่าที่ควร..จริงมั๊ย ลองดู ที่โรงเรียนหรือมหาลัยของเรามีคริสเตียนกี่คน   ถึงเวลาเทศกาลปีใหม่..สงกรานต์..คนไทยส่วนใหญ่เขาทำอะไรกัน  สวดมนต์ข้ามปี..ทำบุญตักบาตร ไหว้พระ วัด อะไรต่างๆเหล่านี้ก็เป็นหมายสำคัญของคำว่า”ประตูใหญ่และทางกว้าง”ทั้งสิ้น  แต่พระเยซูบอกเราว่า..อย่างเดินไปทางนั้น  ให้เราดำเนินในประตูแคบของเรานั่นแหละ  “..เพราะประตูที่นำไปสู่ชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้หาพบก็มีน้อย”  เพราะงั้น ถ้ายังต้องเป็นคนส่วนน้อยก็อย่าได้เสียใจ และไม่ต้องอยากไปเป็นคนส่วนใหญ่ด้วย..เอเมนมั๊ยคะ
ดู มัทธิว 7:15-16 “..จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ  ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ  แต่ภายในร้ายกาจดุจหมาป่า”..ถ้าสังเกตดู จะเห็นว่าข้อนี้ พระเจ้าก็ทรงให้ความสำคัญกับท่าที”ภายใน”อีกเหมือนเดิม  แล้วในยุคสุดท้ายนี้พระเจ้าบอกว่าจะมีผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จเยอะมาก..ที่จะมาหาเราแบบนุ่งห่มดุจแกะ คือ ดูภายนอกแล้วไม่มีพิษ..ไม่มีภัย  สุภาพเป็นมิตร จริงใจ  แต่ภายในร้ายกาจดุจหมาป่า  แล้วคนประเภทนี้ก็จะแฝงเข้ามาในทุกสังคม  ไม่ว่าจะเป็นชุมชนรอบบ้าน  ที่ทำงาน  ตามสื่อต่างๆ โดยเฉาะอย่างยิ่งสื่อ”ออนไลน์”ที่ทุกวันนี้ที่เราชอบกันมาก  หรือแม้แต่ในคริสตจักร ก็อาจจะมีผู้นำที่สอนเพี้ยนหรือสอนตกขอบได้ด้วยเหมือนกัน  แล้วเราจะรู้ได้ไง..ว่าใครเป็นผุ้สอนเท็จ  แรกเลย คือ ถ้าเราติดสนิทพระเจ้า..รู้จักพระองค์..รู้พระวจนะของพระองค์  เราจะแยกแยะได้ว่า..”ใครสอนผิด ใครสอนถูก”   นอกจากนี้..ข้อที่16 พระเยซูยังบอกเราว่า..”เราจะรู้จักเขาด้วยผลของเขา” ใครเป็นผู้เผยพระวจนะแท้..ใครเทียมเท็จ  พระเจ้าบอกให้เราดูที่ผลของเขา..ชีวิตเขา..ครอบครัวเขาเป็นยังไง..คนที่เดินตามเขา..จำเริญขึ้นมั๊ย  จิตวิญญาณเติบโตรึเปล่า  หรือมองตรงไหนก็มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย  ไปถึงไหนมีแต่คนส่ายหน้า..อันนั้น ก็ไม่ใช่แล้ว  พระเยซูบอกว่า.. ถ้าคนๆนั้นเป็นผู้เผยพระวจนะเท็จ  ยังไง..วันนึงธาตุแท้ของเขาต้องสำแดงออกมา    “มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม”..อันนี้ พระเจ้าสอนให้เราดูง่ายๆ  ต้นไม้อะไรก็ต้องให้ผลของต้นนั้น  เราเคยเห็นต้นส้มออกลูกเป็นแอ๊ปเปิ้ลมั๊ยล่ะ  หรือชมพู่ออกลูกเป็นองุ่น..ไม่มี  ฉันใดก็ฉันนั้น   “ต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว .. ถ้าเดินทางผิด..นำคนไปในทางที่ผิด  ทั้งตัวเองและคนเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นทางพระเจ้า..มันเป็นไปไม่ได้   
ดู มัทธิว 7:21-23 มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์”  ..ข้อนี้  ก็เป็นอีกครั้ง..ที่พระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็น..ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับท่าทีภายใน  พระองค์บอกว่า”ไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักนามของพระองค์..จะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์  แล้วไม่ใช่คนที่พูดแต่ปากว่า..เขาเชื่อพระเยซู..แถมรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม..แล้วก็ทำการอัศจรรย์เยอะแยะเลย  เคยขับผี..เคยวางมือรักษาคนป่วยสารพัด  เพราะงั้น ชั้นต้องได้เข้าแผ่นดินสวรรค์แน่นอน  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ ทำแค่นั้น..ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าต่างหากที่จะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน   ถ้าคุณแค่รู้จักนามพระเยซูแต่ไม่ได้ยกให้พระองค์เป็น1   คุณรู้จักพระเยซูจริง..แต่คุณยังให้ความสำคัญกับพระอื่นด้วย..อย่างงี้เป็นต้น หรือต่อให้เราท่องพระคำภีร์ได้ทั้งเล่มแต่ไม่เคยทำตามถ้อยคำเหล่านั้น..ที่พระเจ้าสอนเลย..รู้ไปมีประโยชน์มั๊ยคะ..ไม่มี  ส่วนการทำอัศจรรย์มากมายไม่ได้เป็นเครื่องบ่งวัดความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเรากับพระเยซู..พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญตรงนั้น เพราะงั้น ใครก็ตามที่เป็นอย่างงั้น พระเยซูทรงบอกว่า..“เมื่อถึงวันที่ต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พระเจ้า  พระองค์จะกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า  เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย” (โอ้ น่ากลัวมาก!)
ดู มัทธิว 7:24-26  เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา”..อย่างพวกเรา..ที่เข้ามาเรียนพระคำภีร์  เราแสวงหาเข้ามาเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าเพื่อจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  เรามาเรียนเพื่อจะยึดพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต  เราไม่ได้มาเรียนเพื่อประดับความรู้เฉยๆหรือเรียนไว้..เพื่อที่จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง..แค่นั้น..ไม่ใช่   แต่ เรามาเรียนเพื่อที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง   ทำอย่างงั้น..เราถึงจะเป็นเหมือนผู้ที่สร้างบ้านไว้บนศิลา  คือ แม้ต้องเจอปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิตบ้าง  อย่างที่พระเจ้าบอกว่าบางทีฝนจะตก..น้ำจะไหลเชี่ยว.. ไปซักหน่อยบ้านของเราก็ยังมั่นคงอยู่เพราะศิลาจะไม่ถูกซัดเซาะไปตามแรงลมหรือสายน้ำ  ข้อที่ 26 บอกว่า “..แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย”  คือ ถ้าเราแค่รู้หรือแค่เคยได้ยินถ้อยคำพระเจ้า..แต่เราไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจที่จะเคร่งครัดที่จะปฏิบัติตาม  พระเยซูบอก.. เราก็เหมือนคนที่สร้างบ้านไว้บนทราย..นึกออกมั๊ยคะ  ลักษณะของทรายเป็นละอองไม่ได้มีความแข็งแกร่งมั่นคงเหมือนศิลา...เพราะงั้นทรายจะไม่สามารถรองรับสิ่งปลูกสร้างใดๆได้เลย   เปรียบเหมือนคนที่วางความเชื่อของตัวเองไว้กับอะไรก็ตามที่ไม่ใช่พระเจ้า  คนเหล่านี้เวลาที่เจอปัญหาหรือความทุกข์ยากแค่นิดหน่อยๆทั้งหัวใจและจิตวิญญาณของเขาก็จะเต็มไปด้วย”ความกลัว”  แล้วการแก้ปัญหาของคนที่มีความกลัวอยู่เต็มหัวใจ..ส่วนใหญ่มันก็จะนำมาซึ่งความพินาศ  สับสน  วุ่นวายมากกว่าเดิม  แล้วความจริง ก็คือ เกือบทุกปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกนี้  มาจาก”ความกลัว”ของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นกลัวตาย..กลัวป่วย..กลัวอด..กลัวลำบาก..กลัวกลัวเสียหน้า..กลัวน้อยหน้า..กลัวเขาจะดูถูก..กลัวเสียเปรียบ..กลัวเสียศักดิ์ศรี  เด็กๆลองคิดดูดีๆ..ว่าปัญญาไหนที่ไม่ได้มาจากความกลัวบ้าง  น้าตุ๊ก ว่าไม่มีนะ  เพราะฉะนั้น พระเจ้าถึงตรัสกับเราถึง 365 ครั้ง..ในพระคำภีร์ว่า  ”จงอย่ากลัว”  นั่นแปลว่า “ความกลัว” มันเป็นปัญหาของมนุษย์จริงๆ พระองค์ถึงต้องบอกเราทุกวัน..ว่าอย่ากลัว..อะไรทั้งนั้น  และถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้าจริง..คุณสมบัตินึงที่คริสเตียนพึงมีคือ “เราจะไม่กลัว” หรือ “กลัวน้อยลง”..ทุกวัน  นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเรา..ว่าขอแค่เราเชื่อฟังและทำตามที่พระเจ้าสอน  เราจะเหมือนคนที่ยืนอยู่หรือสร้างบ้านอยู่บนศิลา  ส่วนคนที่ไม่มีพระเจ้าก็เปรียบเหมือนคนที่ก็วางชีวิตไว้บนผืนทราย  แค่ฝนตกหรือลมพัดนิดหน่อย..ทั้งใจและวิญญาณก็จะเต็มไปด้วยความกลัว แล้วก็พร้อมที่จะถูกทำลายลงตลอดเวลา
   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น