วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม”นางรูธ” ครั้งที่2 อาทิตย์ที่27:12:2009(จบ)

ดูนรธ.2:1-3 ตอนที่รูธกลับมาที่ยูดาห์กับแม่สามีเป็นช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาเล่ย์ พอมาถึงรูธก็สำแดงให้เห็นเลยว่า เธอเนี่ย...ตั้งใจที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแม่สามีอย่างแท้จริง รูธทำอะไร รูธไม่งอมืองอเท้า....ออกปากขอนาโอมีออกไปเก็บรวงข้าวที่ตกในนา (จำได้มะ ที่เคยเรียนไปแล้วฉธบ. “ที่พระเจ้าทรงมีพระบัญญัติให้ทิ้งฟ่อนข้าวในนา เพื่อที่คนยากจนจะได้อาศัยเก็บกิน”) ข้อนี้..บอกให้เรารู้ว่า ถึงรูธจะเป็นต่างชาติแต่ก็รู้ธรรมบัญญัติของชาวยิว ซึ่งน่าชมเชยมาก เพราะยิวแท้ๆบางคนไม่รู้จะจำได้ป่าว เราก็เหมือนกัน..เป็นคริสเตียนน่ะ รู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากแค่ไหน (อันนี้ต้องคิดดูให้ดี) ในข้อที่๓.บอกว่า รูธก็เลยออกไปเดินตามหลังคนเกี่ยวข้าว คอยเก็บข้าวที่เขาทำตกในนาของโบอาส ทีนี้โบอาสเป็นใคร......... ถ้าจะพูดให้เรานึกออกหรือปะติดปะต่อได้จากที่เราเรียนมา ก็คือ โบอาส เป็นลูกของสัลโมน กับนางราหับ (ราหับ ชาวเมืองเยรีโค ที่ช่วยซ่อนคนสอดแนมของอิสราเอลไว้ในสมัยที่โยชูวาจะเข้าบุกยึดคานาอัน จำได้มะ ที่สัญญาว่าจะไว้ชีวิตกันแล้วก็ให้ราหับผูกด้ายแดงไว้ที่หน้าต่าง)
แล้วโบอาสก็เป็นคนเผ่ายูดาห์ เป็นญาติสนิทที่เกิดในตระกูลเดียวกับเอลีเมเลคสามีของนาโอมีน่ะแหละ ถึงได้มีสิทธิ์แต่งงานกับรูธตามกฎบัญญัติของพระเจ้า (ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวเราก็จะได้เรียนกัน)
ดูนรธ.2:8-10 ตอนที่โบอาสกลับมาแล้วเห็นรูธกำลังเก็บข้าวตกในนา ในข้อที่5บอกว่าเขามีการสอบถามหัวหน้าคนงานแล้วว่า...รูธเป็นใครมาจากไหน พอรู้ที่มาที่ไปแล้วในข้อนี้โบอาสก็เลยพูดกับรูธว่า ”ลูกเอ๋ยจงฟัง..เจ้าไม่ต้องไปไหนหรอกนะอยู่เก็บข้าวตกที่นี่แหละ เราสั่งคนงานให้คอยดูแลเจ้าแล้ว รับรองว่า..จะไม่มีหนุ่มๆมายุ่มย่ามกวนใจเจ้า แล้วถ้าหิวน้ำก็ดื่มได้ตามสบาย พอรูธได้ยินโบอาสพูดอย่างงั้น ก็ก้มกราบลงถึงดินแล้วก็พึมพำด้วยความสงสัยว่า “ทำไมท่านต้องดีกับชั้นขนาดนี้ด้วย ความจริงไม่ต้องดีขนาดนี้ก็ได้เพราะชั้นเป็นแค่คนต่างด้าว บางคนอ่านแล้วอาจจะคิดในใจว่า..สงสัยโบอาสจะมีจุดประสงค์อื่นหรือคิดไม่ดีอะไรทำนองนั้น แต่ไม่ใช่เลย...เพราะเมื่อเรียนต่อไปแล้วเราจะได้เห็นว่า..โบอาสเป็นสุภาพบุรุษทีเดียว และในข้อที่11 บอกว่าเหตุผลของโบอาสก็คือ เพราะเขารู้เรื่องของรูธหมดแล้ว ได้ยินถึงวีรกรรมความสัตย์ซื่อที่รูธได้ปฏิบัติต่อแม่สามี ถึงกับยอมจากบ้านเกิด เมืองนอนมาอยู่กับคนต่างถิ่น คนแปลกหน้าซึ่งมันไม่ใช่เรื่องสนุก โอเค..โบอาสก็คงจะสนใจรูธอยู่บ้าง แต่เขาก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามกฎบัญญัติพระเจ้า...ด้วยการแสดงน้ำใจต่อหญิงม่ายและคนต่างด้าว...ก็เท่านั้นเอง
ดูนรธ.2:15-17 ก็เป็นอันว่ารูธได้รับความกรุณามากมายจากโบอาส ทั้งการอนุเคราะห์ข้าวปลาอาหารให้อย่างเต็มที่ แล้วโบอาสก็ยังสั่งคนเกี่ยวข้าวให้ดึงรวงข้าวจากฟ่อนทิ้งให้รูธเก็บด้วย คือเจตนาที่จะทิ้งให้เก็บ รูธจะได้เก็บข้าวได้เยอะๆ แล้วก็เยอะจริงๆเพราะในข้อที่17บอกว่า “พอเก็บถึงเย็นรูธก็ได้ข้าวไปมากถึงหนี่งเอฟาห์ ก็คือ 22ลิตรหรือประมาณ10กิโลกรัม
ดูนรธ.2:19-20 พอนาโอมีเห็นรูธเก็บข้าวกลับมาเยอะแยะก็คงแปลกใจ เลยถามลูกสะใภ้ว่าไปเก็บข้าวที่ไหนมาเนี่ย ทำไมถึงได้เยอะแยะมากมายขนาดนี้ รูธก็เล่าให้ฟังตามจริงไม่ได้ปิดบังอะไร นาโอมีก็เลยบอกรูธว่าจริงๆแล้วโบอาสคือญาติสนิทของสามีรูธน่ะแหละ มาถึงตอนนี้นาโอมีคงจะคิดอะไรในใจบ้างแล้ว....ก็เลยเริ่มวางแผน...ในข้อที่20 นาโอมีพูดว่า “พระกรุณาของพระเจ้าไม่เคยขาดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว..” แปลว่าไร แปลว่า..ลึกๆ แล้วนาโอมีรู้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่รูธได้เข้าไปเก็บข้าวตกที่นาของโบอาส..ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนการของพระเจ้า ต้องมาจากพระเจ้าแน่นอน (จริงมะ เพราะเดินประสาไรถึงไปอยู่ในนาของญาติสนิทได้ ทั้งที่รูธเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร)
ดูนรธ.3:1-5 ในที่สุดนาโอมีก็ตกลงใจที่จะให้รูธเป็นหลักเป็นฐานซะที แล้วเท่าที่เห็นก็มีโบอาสนี่แหละที่เข้าตาที่สุด ที่สำคัญโบอาสก็เป็นญาติที่นับว่าสนิทด้วย นาโอมีก็เลยเริ่มชี้ทางสอนให้รูธรู้จักวิถีปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนยิว ถ้าจะพูดหยาบๆก็คือเหมือนทอดสะพานนะ แต่มันไม่ได้น่าเกลียดเหมือนที่เราเข้าใจในแบบปัจจุบัน เพราะมันเป็นวิถีปฏิบัติที่สุภาพ ถูกต้องตามธรรมเนียม และเป็นที่รู้กันว่า...ถ้าทำอย่างงี้หมายความว่าอะไร แล้ววิธีที่นาโอมีสอนให้รูธทำก็คือ “นาโอมีบอกให้รูธอาบน้ำ แต่งตัว ทาน้ำมันให้เรียบร้อย...ก็ประมาณอาบน้ำ ทาแป้ง ประพรมน้ำหอมให้สะอาดสะอ้าน แล้วลงไปหาโบอาสที่ลานนวดข้าวในเวลากลางคืน แต่คือต้องแอบๆไปอย่าให้ประเจิดประเจ้อ แล้วหาดูว่าโบอาสนอนที่ไหน..ก็ให้เข้าไปหาแล้วก็เปิดผ้าคลุมเท้าของเขาขึ้น อันนี้ไม่ใช่การยั่วยวนนะ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สุภาพและเป็นที่เข้าใจกัน “ว่าญาติสนิทมีสิทธิ์ที่จะไถ่นาของหญิงม่าย” (แล้วอยู่ดีๆการไถ่นาขายนามันมาเกี่ยวอะไรด้วย) เกี่ยว..เพราะการไถ่นามันหมายรวมถึงว่าคนๆนั้นต้องเต็มใจที่จะรับหญิงม่ายนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ดูแลรับผิดชอบครอบครัวของเขาด้วย เพราะตามวัฒนธรรมของชาวยิวเนี่ย...มรดกตกทอดต้องเป็นของลูกชายหรือญาติสนิทที่เป็นผู้ชายเท่านั้น หญิงม่ายจะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ทีนี้ทำไมต้องเปิดผ้าคลุมเท้า.....ก็เพื่อให้หนาวแล้วจะได้ตื่น อันนี้เป็นวิธีปลุกอย่างสุภาพ พอนาโอมีสอนรูธทุกขั้นทุกตอนแล้วในข้อที่๕.ก็บอกว่า “รูธรับปากแม่สามีว่าเธอจะทำตามทุกอย่าง” (ว่านอนสอนง่ายจริงๆ)
ดูนรธ.3:6-9 คืนวันหนึ่งรูธก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพก็ลงไปที่ลานนวดข้าว ทำตามที่แม่สามีบอกทุกอย่าง ประมาณเที่ยงคืนโบอาสก็ตื่นขึ้นด้วยความหนาว เพราะอะไร...ก็รูธไปเปิดผ้าคลุมเท้าของเขาออกตามที่นาโอมีสั่งไง พอตื่นขึ้นมาเห็นผู้หญิงมานอนอยู่ปลายเท้าก็ตกใจ ถามว่าเธอเป็นใครรูธตอบว่าไง”ชั้นคือรูธคนใช้ของท่าน ช่วยกางชายเสื้อของท่านห่มคนใช้ของท่านด้วย” เนี่ยเป็นสำนวนสุภาพในการที่จะขอให้โบอาสยอมรับเธอเป็นภรรยา เพื่ออะไร...เพื่อที่รูธจะได้มีคนดูแลและสามารถที่จะมีลูกสืบสกุลต่อไปได้ ซึ่งโบอาสก็เข้าใจความหมายดี ในข้อที่10 โบอาสบอกว่า”..ขอพระเจ้าอวยพรเจ้า เพราะสิ่งที่เธอทำครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัตย์ซื่อและมีน้ำใจต่อนาโอมีมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะรูธไม่เคยคิดจะไปหาสามีหนุ่มๆไม่ว่ารวยหรือจน แต่กลับเชื่อฟังนาโอมีทุกอย่าง ซึ่งถ้ารูธเป็นผู้หญิงมักง่ายไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติของยิวหรือรังเกียจคนที่แก่กว่ามาก....รูธก็คงไม่เชื่อฟังนาโอมีในเรื่องนี้ เพราะจริงๆโบอาสนี่ก็อายุมากแล้ว...น่าจะรุ่นๆเดียวกับเอลีเมเลค (คือพ่อของสามี) ถึงตอนนี้โบอาสก็เลยรู้สึกนับถือน้ำใจของรูธมากจริงๆแล้วก็เต็มใจที่จะดูแลรูธ ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่มันยังติดอยู่เรื่องหนึ่ง...คืออะไร
ดูนรธ.3:12-13 ปัญหาเรื่องเดียวก็คือโบอาสเป็นญาติสนิทก็จริงแต่ยังมีอีกคนที่สนิทกว่า ก็หมายความว่า...มีสิทธิ์ในตัวรูธมากกว่าโบอาส โบอาสก็เลยตกลงกับรูธว่า”พรุ่งนี้เขาจะไปคุยกับญาติคนนี้เอง ว่าเขาเต็มใจที่จะดูแลรูธมั๊ย ถ้าเขาโอเค...รูธก็แต่งงานกับเขาไปเถอะ แต่ถ้าเขาปฏิเสธโบอาสก็เต็มใจที่จะรับรูธเป็นภรรยา พอคุยกันเสร็จคืนนั้นโบอาสก็บอกให้รูธนอนที่นั่น แล้วค่อยกลับไปตอนก่อนฟ้าสาง (แต่คืนนั้นโบอาสไม่ได้มีสัมพันธ์อะไรกับรูธนะ...อย่าเข้าใจผิด) แล้วพอตอนเช้าโบอาสก็ยังตวงข้าวบาเล่ย์หกทะนานให้รูธเอากลับบ้านด้วย
ดูนรธ.4:3-4 ในข้อนี้บอกว่า”โบอาสได้ไปพบญาติคนนี้ที่ประตูเมือง (ประตูเมืองเป็นที่ชุมนุมของคนในสมัยนั้น เวลาที่มีเรื่องสำคัญหรือจะกระทำการใดๆตามกฎหมาย) แล้วโบอาสก็พูดเรื่องที่ดินที่นาโอมีอยากจะขาย...ว่าเขาสนใจที่จะซื้อมั๊ยเพราะเขาเป็นญาติที่สนิทที่สุดจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกก่อน โดยโบอาสได้มีการเชิญพวกผู้ใหญ่ให้มาเป็นพยานในการเจรจาครั้งนี้ด้วย (รอบคอบนะ) ทีแรกญาติสนิทคนนั้นตอบทันทีเลยว่า”เขาจะซื้อ”
ดูนรธ.4:5-6 พอโบอาสบอกว่า”ในวันที่เขาซื้อที่ดิน เขาจะได้รูธหญิงม่ายไปเป็นภรรยาด้วย แล้วถ้ามีลูกด้วยกัน ที่ดินนั้นก็จะตกเป็นของลูกซึ่งถือว่าเป็นเชื้อสายของผู้ตายคือมาห์โลน” แค่นั้นแหละ..ญาติสนิทคนนี้ก็เปลี่ยนใจทันที บอกกับโบอาสว่าเขาไม่ไถ่แล้ว ให้โบอาสเอาสิทธิ์นั้นไปจัดการเอง เพราะเห็นภาระและความยุ่งยาก คงต้องบอกว่าญาติสนิทคนนี้เลือกทางที่ง่ายมากกว่าทางที่ถูก (จริงมะ) .....ในชีวิตพวกเราเหมือนกัน ลองถามตัวเองดูดีๆว่าส่วนใหญ่เราเลือกที่จะทำอะไร เราตัดสินใจยังไงกับเรื่องราวในแต่ละวัน เพราะพระเจ้าจะส่งสถานะการณ์มาให้เราต้องเลือกเสมอตั้งแต่เรื่องเล็กถึงเรื่องใหญ่ อาจจะเริ่มจาก... เวลาขับรถถ้าเจอไฟเหลืองแล้วเราทำไง(เตรียมเบรคหรือเหยียบสุดชีวิต) แล้วการทดลองมันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หลากหลายเรื่องราวขึ้นด้วย...อย่างเช่น ถ้าเราเจอเงินหรือไปเบิกเงินที่ธนาคารแล้วเขาจ่ายเกินให้เรามาหนึ่งร้อย...เราจะเอาไปคืนเขามั๊ย แล้วถ้าหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หนึ่งแสนหรือหนึ่งล้านล่ะ แน่ใจมั๊ยว่าเราจะคืน (คือน้าตุ๊กยกตัวอย่างอันนี้เพราะมันล่อแหลม เนื่องด้วยมีบางคนคิดว่าอันนี้ถ้าไม่คืนก็ไม่ผิด เพราะชั้นไม่ได้ขโมย แต่ความจริงผิดเห็นๆ) เพราะฉะนั้น เด็กๆเลือกให้ดีในทุกๆเรื่องเพราะในแต่ละวันของเรา มันจะมีรายละเอียดที่เราต้องเลือกเยอะแยะมากมาย แล้วหลายๆครั้งบางคนก็เลือกทางที่ง่ายเพราะคิดว่าเลือกแล้วมันสบาย ตัดปัญหาไปเหมือนอย่างญาติสนิทของนาโอมีคนนี้
ดูนรธ.4:7-8 เมื่อญาติคนที่สนิทกว่าโบอาสยอมสละสิทธิ์ เขาก็ได้แสดงธรรมเนียมการมอบสิทธิ์นี้ให้โบอาสโดย”การถอดรองเท้ามอบไว้ให้เป็นหลักฐาน” อันนี้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อิสราเอลสมัยนั้นเขาทำกันเพื่อยืนยันข้อตกลงตามกฎหมายโดยมีผู้ใหญ่เป็นพยาน ก็เป็นอันว่าโบอาสก็เลยได้รับสิทธิ์ญาติสนิทของมาห์โลนมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในการนี้มันทำให้เกิดผลสามอย่างคือ
๑.เขาจะสืบเชื้อสายในนามของเอลีเมเลคและมาห์โลน
๒.ก็คือ เขาจะเป็นผู้ไถ่ที่ดินของนาโอมี
และ๓.เขาจะได้แต่งงานกับรูธอย่างถูกต้อง
ดูนรธ.4:11-12ทั้งประชาชนและผู้นำที่อยู่ในเหตุการณ์ก็บอกว่าจะเป็นพยานให้แก่รูธและโบอาส พร้อมทั้งทูลต่อพระเจ้าให้ทรงอวยพรพงพันศ์ของทั้งคู่ ให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างบรรพบุรุษ
ดูนรธ.4:13-15 ในที่สุดเมื่อโบอาสกับรูธได้แต่งงานกันเขาก็มีลูกชายคนหนึ่ง ชาวบ้านก็ร่วมกันอวยชัยให้พรขอให้ลูกคนนี้ของรูธมีชื่อเสียงเลื่องลือในวงศ์วานอิสราเอล แล้วก็ขอให้เด็กคนนี้เลี้ยงดูนาโอมียามแก่เฒ่าเพราะ....เขาเกิดจากลูกสะใภ้ที่รักและดีกับนาโอมีมากยิ่งกว่าลูกชายเจ็ดคน
นรธ.4:16-17 บุตรของโบอาสคนนี้ชื่อว่า”โอเบส”ซึ่งเป็นบิดาของเจสซี พ่อของก.ดาวิด เพราะฉะนั้นรูธก็เท่ากับเป็นย่าทวดของก.ดาวิด และก็เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์โดยตรงตามเชื้อสายด้วย
ทั้งหมดนี้คือผลของความรัก ความสัตย์ซื่อและเสียสละ เด็กๆจะเห็นว่าทั้งสามคนในเรื่องนี้ คือนาโอมี รูธ แล้วก็โบอาส ทั้งสามคนยอมทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี นาโอมีก็เป็นแม่สามีที่ไม่เห็นแก่ตัว รูธก็ทั้งรักและสัตย์ซื่อกับแม่สามีสุดชีวิต ส่วนโบอาสก็ยอมทำหน้าที่ญาติสนิทด้วยความชื่นชมยินดี ยอมไถ่ที่ให้นาโอมีแล้วก็รับรูธซึ่งเป็นหญิงม่ายมาเป็นภรรยา ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องอย่างงี้ อาจผู้ชายหลายคนทำใจรับไม่ได้นะ แต่โบอาสยอมทำอย่างเต็มใจเหมือนที่พระคริสต์เต็มใจไถ่บาปให้เรา ซึ่งถ้ามองฝ่ายวิญญาณแล้ว..สภาพเราก็ยับเยินไม่ได้ต่างจากรูธหรือนาโอมีหรอก แต่พระเยซูไม่เคยรังเกียจเราเลย....พระองค์ไถ่เราด้วยความรัก ไม่เคยบ่นว่าในความบกพร่องของเรา แล้วก็ไม่เคยเอือมระอากับความผิดซ้ำซากที่เราทำ.....ตราบใดที่เราสำนึกผิดแล้วก็กราบลงขอโทษ เราจะได้กลับสู่อ้อมกอดของพระองค์เสมอ
พระธรรม”นางรูธ”ก็จบลงแค่นี้นะคะ เพราะเป็นข้อพระคำภีร์ตอนสั้นๆมีแค่๔บท สัปดาห์หน้าเราจะมาขึ้น หนังสือซามูเอล ฉบับที่๑ แล้วพบกันนะคะ..พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พระธรรม “นางรูธ” ครั้งที่ 1 อาทิตย์ที่ 13:12:2009

“นางรูธ” เป็นใคร นางรูธเป็นสตรีหนึ่งในสี่คนที่เกี่ยวข้องและถูกกล่าวถึงไว้ในพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ อีกสามคนก็คือ ทามาร์ ราหับ และนางมารีย์
น้าตุ๊กขอพูดถึงคนคุ้นเคยที่พระคำภีร์กล่าวถึงบ่อยๆก็แล้วกัน ก็จะเริ่มจาก...
อับราฮัม > อิสอัค > (ยาโคบ+นางเลอาห์) > (ยูดาห์+นางทามาร์)>(สัลโมน+ราหับชาวเยรีโค)
>(โบอาส+นางรูธชาวโมอับ)>โอเบส>เจสซี>ก.ดาวิด จากก.ดาวิดมาทางเชื้อสายของซาโลมอน และต่อมาอีกหลายชั่วคน จนมาถึงโยเซฟ สามีของนางมารีย์ที่ตั้งครรภ์พระเยซูคริสต์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
เรื่องราวของนางรูธ เป็นเรื่องที่ยังอยู่ในสมัยผู้วินิจฉัย (ยุคแห่งการกบฎ ที่อิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ แล้วต่างคนก็ต่างทำตามที่ตัวเองเห็นชอบ) แต่”นางรูธ”เป็นหนังสือที่ได้แสดงให้เห็นว่า “ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ” พอให้รู้สึกว่า อิสราเอลสมัยนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว
พระธรรมเล่มนี้เป็นตอนสั้นๆมีแค่สี่บทแต่ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญนะ พระคำภีร์ทุกบททุกตอนจะสั้นจะยาวสำคัญหมด เพราะถือเป็นถ้อยคำของพระเจ้าแล้วก็มีน้ำพระทัยของพระองค์ที่ประสงค์จะสำแดงแก่เราอยู่ในทุกตัวอักษร เด็กๆเข้าใจดีใช่มั๊ยว่าถ้อยคำพระเจ้าสำคัญยังไง เอาง่ายๆเลย..ถ้าปราศจากถ้อยคำของพระเจ้า เราจะไม่มีชีวิต ไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ จริงมะ..เพราะอย่าลืมว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกที่สามารถลอยหน้าอยู่ได้เนี่ย ก็เกิดขึ้นเพราะพระวจนะของพระเจ้า..ที่ตรัสสั่งให้มันเกิดขึ้นทีละอย่างๆ ถ้าไม่งั้นโลกนี้ก็ว่างเปล่า
จุดประสงค์ของพระธรรม”นางรูธ” ก็คือ เพื่อสำแดงให้เห็นแบบอย่างของความรัก ความเสียสละ ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าของอิสราเอล รวมถึงการยึดมั่นในวิถีปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ทั้งๆที่เขาเป็น”คนต่างชาติ” (นี่สิน่าคิด) ......เด็กๆเปิดไปดูบทที่๑ เรื่องมีอยู่ว่า...ในสมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครองอิสราเอลอยู่เนี่ย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดการกันดารอาหารขึ้นในอิสราเอล ชายคนหนึ่งชื่อเอลีเมเลคเป็นชาวเมืองเบธเลเฮม คือเป็นคนเผ่ายูดาห์ ก็ได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่ที่แผ่นดินโมอับ(ที่อยู่ฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน) ตรงจุดนี้ก็เลยมีบางคนให้ความเห็นว่าเอลีเมเลคเนี่ย น่าจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่(ความเชื่อเป็นไง) คงจะไม่ค่อยวางใจในพระเจ้าซักเท่าไหร่ (เพราะไร) พอวาระแห่งความทุกข์ยากมาถึงก็หอบหิ้วครอบครัวพาออกจากดินแดนที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ แล้วเรายังจะได้เห็นต่อไปอีกว่า.เขาอนุญาตให้ลูกๆแต่งงานกับหญิงต่างชาติด้วย อันนี้เราพูดกันตามเนื้อผ้านะ ส่วนเรื่องที่ทุกอย่างก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เรารู้อยู่แล้ว...แต่ไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้น เราพูดถึงการดำเนินชีวิตของเขาที่ดูจะไม่เคร่งครัดในกฎบัญญัติของพระเจ้าเท่าไหร่ แล้วสมาชิกครอบครัวของเอลีเมเลคที่พากันไปอยู่ดินแดนโมอับมีใครบ้าง...ก็มีภรรยาที่ชื่อนาโอมีกับลูกชายสองคน ชื่อมาห์โลนและคิลิโอน
แต่ในขณะที่อยู่ในดินแดนโมอับ เอลีเมเลคก็เสียชีวิต ในข้อที่๔.บอกว่าลูกชายทั้งสองก็ได้ภรรยาเป็นหญิงต่างชาติ คือ เป็นชาวโมอับทั้งคู่ สะใภ้ใหญ่ชื่อ โอปราห์ แล้วสะใภ็เล็กนี่เองคือ “นางรูธ” พระคำภีร์บอกว่าเมื่อเอลีเมเลคหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไปแล้ว นาโอมีกับลูกชายแล้วก็ลูกสะใภ้ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโมอับต่อไปอีกสิบปี หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น....
ดูนรธ.1:5-7 ทีแรกก็ดูเหมือนจะอยู่กันดีตามอัตภาพ แต่ไม่นานลูกชายทั้งสอลคนของนาโอมี คือ มาห์โลนกับคิลิโอนก็เสียชีวิตด้วย ทิ้งแม่ให้อยู่ตามลำพังลองคิดดูว่านาโอมีจะระทมทุกข์ขนาดไหน แต่ยังดีที่มีสะใภ้ให้อยู่เป็นเพื่อนก็อยู่กันไปตามประสาแม่หม้าย ในข้อที่๖.บอกว่า นาโอมีได้ข่าวว่า “พระเจ้าทรงเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ในอิสราเอล ประทานอาหารให้แก่พวกเขาแผ่นดินก็เกิดผลอันอุดมมากมาย นาโอมีก็เลยเป็นไง.....อยากจะกลับไปอยู่ที่ยูดาห์บ้านเก่าของเธอกับสามี
ดูนรธ.1:8-9 พอจะกลับไปอยู่ที่อิสราเอลนาโอมีก็อนุญาตให้สะใภ้ทั้งคู่กลับบ้าน เพื่อจะได้ไปมีครอบครัวใหม่ ในข้อที่๘.นาโอมีได้พูดว่า “...ขอพระเจ้าทรงเมตตาต่อเจ้าทั้งสอง ดังที่เจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อแม่” ประโยคนี้บอกอะไรเรา ก็บอกให้เรารู้ว่าสะใภ้ต่างชาติของนาโอมีทั้งสองคนนี้น่าจะเป็นภรรยาที่ดีพอสมควร แล้วก็คงจะทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีและแม่ของสามีด้วย...ได้อย่างสมบูรณ์ นาโอมีถึงเอ่ยปากชมและขอพระเจ้าอำนวยพรให้แก่ลูกสะใภ้ทั้งคู่ แต่พอนาโอมีจูบลาสะใภ้ ทั้งสองคนก็ร้องไห้กันใหญ่
ดูนรธ.1:10-11 สะใภ้ทั้งสองคนของนาโอมีบอกว่าจะขอกลับไปอยู่ที่อิสราเอลด้วย แต่นาโอมีบอกว่า อย่าเลย..กลับบ้านตัวเองไปเถอะ เพราะถึงยังไงนางก็ไม่มีลูกชายเหลือให้สืบสกุลอีกแล้ว กลับบ้านไปยังจะมีโอกาสได้แต่งงานใหม่แล้วก็มีลูก สิ่งที่นาโอมีทำเนี้ย มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า...นาโอมีเห็นแก่ตัวมะ ไม่เลยเพราะนาโอมีสนับสนุนให้ลูกสะใภ้ไปมีครอบครัวใหม่ ไม่ได้หวงสะใภ้ไว้เพื่อให้อยู่ดูแลตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วถ้านาโอมีคิดจะทำอย่างงั้น ทำได้มะ..ได้แน่นอน (ถึงสมัยนี้ก็เหอะ ถ้าใครบังเอิญได้แต่งเข้าไปเป็นลูกสะใภ้คนจีนก็จะรู้ซึ้งเลยล่ะ..ว่าส่วนใหญ่แม่สามีก็ซูสีไทเฮาดีๆนี่เอง) ว่าแล้วทั้งสามคนก็ร้องไห้กันอีกรอบ แล้วโอรปาห์ก็จูบลาแม่สามีแล้วก็ยอมกลับบ้านไป นาโอมีก็เลยบอกให้รูธกลับไปมั่ง แล้วรูธว่าไง
ดูต่อนรธ.1:16-17เป็นไง..เกิดมาเคยเห็นมะ แม่ผัวลูกสะใภ้รักกันมากขนาดนี้..น้าตุ๊กไม่เคย นางรูธบอกว่า แม่ไปไหน..ไปด้วย ตายไหน..ตายกัน ญาติแม่..ก็เหมือนญาติชั้น พระเจ้าของแม่..จะเป็นพระเจ้าของชั้นด้วย นี่คือตัวอย่างของสตรีที่มีความสัตย์ซื่อต่อสามีและวงศ์ตระกูลของสามี สืบเนื่องจนเป็นสายใยให้รูธจงรักภักดีต่อพระเจ้า ผลก็คือรูธได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ เพราะเธอได้เป็นพงศ์พันธ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงมาบังเกิด สมชื่อ”รูธ”จริงๆเพราะรูธแปลว่า”คู่ชีวิต”แล้วหญิงที่ควรค่าจะเป็นคู่ชีวิตของใครซักคนก็ควรที่จะมีคุณสมบัติเหมือนนางรูธ เอาคล้ายๆก็ได้หรือแค่ใกล้เคียงก็พอ (จะมีมั๊ยเนี่ย)
แล้วข้อพระคำภีร์ตอนนี้ก็บอกย้ำเราอีกที ว่ายิวไม่ใช่ชนชาติเดียวที่พระเจ้าจะทรงรักและเลือกเข้ามารับความรอด แต่พระเจ้ากำหนดความรอดไว้เพื่อ...คนทุกชาติ ทุกภาษา
แล้วสุดท้าย นาโอมีก็ใจอ่อนยอมพารูธกลับมาที่ยูดาห์ด้วย ตอนไปไปกันสี่คน กลับมายังดีมีลูกสะใภ้ไม่งั้นต้องเหลือตัวคนเดียว แต่จะเหลือกี่คนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือยังไงก็ต้องกลับมาที่เบธเลเฮม..แล้วรูธก็ต้องกลับมาด้วย เพราะนี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้แล้วว่าก.ดาวิดและพระเยซูคริสต์ต้องทรงบังเกิดที่ไหน..ที่เบธเลเฮม เพราะฉะนั้น ไม่ว่านาโอมีจะต้องมาในสภาพไหนหรือเธอเองจะรู้สึกยังไง จริงๆแล้ว..ก็ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องกลับมาเพื่อให้ทุกอย่างได้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้า
ดูนรธ.1:19-21 พอนาโอมีกับรูธกลับมาถึงเบธเลเฮม ชาวบ้านก็แตกตื่นพูดกันประมาณว่า “นี่นาโอมีจริงๆหรือ” ทำไมชาวบ้านถึงแปลกใจ เชื่อว่าตอนอยู่ที่ยูดาห์เอลีเมเลคกับนาโอมีคงมีฐานะค่อนข้างดีเพราะในข้อที่๒๑.นาโอมีบอกว่าเธอมีพร้อมทุกอย่างตอนที่จากไป แต่กลับมาในสภาพที่ยากไร้แถมเหลือตัวคนเดียว เด็กๆนึกออกมะคนเราเวลาที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้วก็มีความทุกข์ที่ต้องสูญเสียทั้งสามีและลูก มันก็คงจะดูโทรมๆหน่อยจนคนจำแทบไม่ได้ ตามวิสัยชาวบ้านก็เลยพูดกันไปประมาณว่า “เนี่ยเหรอ นาโอมีจำแทบไม่ได้เลย..อะไรประมาณนั้น” ส่วนนาโอมีก็พูดกับชาวบ้านว่าอย่าเรียกชั้นว่านาโอมีเลย เพราะ นาโอมีมันแปลว่า “สุขสบาย” แต่ตอนนี้ชั้นไม่ได้สบายเหมือนชื่อ เพราะฉะนั้นเรียกชั้นว่า”มารา”น่าจะเหมาะกว่าเพราะมาราแปลว่า”ขม”(ขมขื่น) คำเดียวกับที่อิสราเอลเจอน้ำขมที่มาราห์ ในอพย.15
วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะคะเวลาหมดแล้ว สัปดาห์หน้าไม่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพราะเราจะฉลองคริสมาสตร์ด้วยกันที่โบสถ์ แล้วอาทิตย์ที่27:12:2009 เราจะมาต่อเรื่องของนางรูธกัน
เมอร์รี คริสมาสตร์ค่ะ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทความพิเศษวันพ่อ "รักวิเศษขององค์พระผู้เป็นเจ้า" อาทิตย์ที่6:12:2009

สวัสดีค่ะเด็กๆและสุขสันต์วันพ่อสำหรับคุณพ่อทุกคน สัปดาห์นี้เป็นการทดสอบพระธรรมผู้วินิจฉัยก็เลยไม่มีเนื้อหาในชั้นเรียน แต่น้าตุ๊กมีเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในแง่มุมที่หลากหลายมาฝาก "วันพ่อ" สำหรับคนส่วนใหญ่ฟังดูแล้ว..คงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก มีกลิ่นอายของความเป็นครอบครัว แต่สำหรับบางคนแล้ว..อาจไม่ใช่ มากไปกว่านั้นทุกครั้งที่ถึงวันพ่อ ก็จะรู้สึกร้าวรานใจอยู่ลึกๆ มากน้อยก็ต่างกันไปตามประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับ
สำหรับครอบครัวที่อบอุ่นมีคุณพ่อที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างยอดเยี่ยม...เสียสละ...เป็นแฟมิลี่แมน "วันพ่อ"คงเป็นวาระที่ครอบครัวจะได้แสดงความรักและเห็นคุณค่าต่อกันอย่างเต็มหัวใจ แต่กับอีกหลายๆคนที่บังเอิญโชคไม่ค่อยดีอาจมีคุณพ่อที่ค่อนข้างร้ายกาจ ซึ่งความร้ายกาจของพ่อก็จะมีมากน้อยต่างกันไป อาจจะมีตั้งแต่งี่เง่าเล็กน้อย เอาแต่ใจตัวเองจนถึงเอาแต่ได้ ยอมหักไม่ยอมงอ เจ้ายศเจ้าอย่าง ยึดมั่นถือมั่น เอาตัวเองเป็นใหญ่ไร้เหตุผล ยิ่งแก่ยิ่งเลอะ ไปจนถึงมักสร้างความเดือดร้อนให้ลูกหลาน หนักหน่อยก็ถึงขนาดข่มเหงรังแกทำร้ายลูกตัวเองก็มี ทั้งหมดนี้ก็คือ"พ่อ"เช่นกัน
ในวันที่ความรักของพ่ออบอวลไปทั่วประเทศในจิตใจของบางคนก็อาจรู้สึกชอกช้ำโดยไม่ตั้งใจ บางคนก็ทะเลาะกับพ่ออยู่ บางคนไม่พูดกับพ่อมาเป็นปี พ่อบางคนโกรธลูกถึงกับไม่ให้มาเผาผี ลูกบางคนถูกพ่อขายไปก็มี สารพัดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพ่อในโลกนี้...มีอยู่จริง แล้วถ้าเราคือหนึ่งในกลุ่มที่พูดถึงนี้ล่ะ...เราควรจะทำอย่างไร
ในทางของพระเจ้า พระองค์สอนไว้อย่างชัดเจน...ว่าทุกคนต้องให้เกียรติบิดา มารดา (เอเฟซัส6:2) เพราะฉะนั้นลูกทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง คือให้ความรัก เอาใจใส่ และเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชรา อันนี้ถือเป็นมาตรฐานที่ทุกคนควรทำส่วนรายละเอียดที่มากไปกว่านี้ เช่น พ่อแม่บางคนที่ไม่ได้พอใจแค่นี้..ก็มี พ่อแม่ที่บ้าอำนาจก็มี พ่อแม่ที่อิจฉาลูกหลานก็มี พ่อแม่ที่เรียกร้องความสนใจมากเกินไปก็มี พ่อแม่ที่ต้องการทรัพย์สินเกินกำลังลูกก็มี พ่อแม่แบบแปลกๆก็สารพัดที่จะมี เกินกว่าจะบรรยายได้หมด แต่ก็ไม่เป็นไร น้าตุ๊กขอหนุนใจลูกๆที่มีพ่อแม่แบบนี้ว่า "ทำให้ดีที่สุด เท่าที่เรามีกำลัง" เพราะพระคำภีร์ก็บอกไว้เช่นกันว่า (เอเฟซัส6:4) "ฝ่ายท่านที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ.." หมายความว่าถึงคุณจะเป็นพ่อเป็นแม่..ก็ใช่ว่าจะงี่เง่าได้อย่างไร้ขีดจำกัด ถือว่าเป็นพ่อแม่แล้วจะไร้เหตุผลยังไงก็ได้..ไม่ใช่ พระคำภีร์ตอนนี้ระบุไว้เพื่อให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุด ส่วนในมุมมองของน้าตุ๊กแล้วอยากสอนเด็กๆว่า "พ่อแม่ ก็คือ พ่อแม่..จะถูกผิดยังไงเขาก็คือคนที่พระเจ้าเลือกให้เป็นพ่อแม่ของเรา มียีนส์เด่น ยีนส์ด้อยหรือดีเอ็นเอที่พระเจ้าทรงเห็นชอบให้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้น..มันต้องดีต่อแผนการของพระเจ้า และเราก็มีหน้าที่ต้องสำแดงความรักของพระเจ้าต่อพ่อแม่(ที่แม้จะรังแกเราตลอดเวลา) พยายามมองผ่านความผิดพลาดของท่านด้วยความเข้าใจและด้วยความรักของพระเจ้า อย่ามัวน้อยใจว่าทำไมพ่อเราไม่เหมือนพ่อของคนอื่น ทำไมถึงขยันทำร้ายจิตใจของลูก หรือทำไมไม่เคยพอใจในสิ่งที่ลูกทำให้เลย น้าตุ๊กขอหนุนใจทุกคนที่มี"คุณพ่อ"ที่ค่อนข้างจะไม่น่ารักให้อดทน อย่าลืมว่า"พ่อ"ก็คือมนุษย์มีเนื้อหนังและสามารถทำผิดพลาดได้ จริงอยู่ที่มีคำกล่าวว่า"ความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่" แต่สำหรับคริสเตียนเรามี"ความรักของพระเจ้า"ที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะ"พระองค์รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งความรักแบบนี้หาไม่ได้ในตัวมนุษย์ เพราะฉะนั้น อย่าท้อใจถ้าคุณพ่อของเราจะไม่น่าชื่นใจซักเท่าไหร่ เพราะเรามี"พระเจ้า"เป็นพ่อที่แสนวิเศษฐ์ มีความรักที่วิเศษฐ์สุดซึ่งมนุษย์ไม่มี นับว่าโชคดีกว่ามีพ่อดีๆซะอีก แล้วถ้าเราฝึกฝนที่จะรักผู้อื่นในแบบ"รักของพระเจ้า" เราก็จะติดสนิทแนบแน่นกับพระองค์และสัมผัสได้ถึงอิสระภาพที่เกิดขึ้นในใจ เราจะหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง แล้วจะไม่มีใครทำให้เรารู้สึกเศร้าใจหรือเจ็บปวดมากมายได้อีก เพราะความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของพระเจ้าจะเติมหัวใจของเราให้เต็มล้น..จนไม่มีที่ว่างไว้ให้เราต้องการจากใครอีก ถึงตอนนี้ต้องขอปรบมือให้ผู้แต่งเพลงรักวิเศษ ที่สามารถถ่ายทอดบทเพลงเรื่องราวความรักของพระเจ้าออกมาได้อย่างชัดเจน และซาบซึ้งตรึงใจ
"....เพราะรักวิเศษเช่นนี้ ไม่มีในผู้อื่น มีเพียงในรักขององค์พระเจ้าเท่านั้น
ขอทรงโปรดสอนหัวใจ...ว่ารักที่แท้เป็นเช่นใด รักเหมือนดัง..พระองค์
เพื่อข้าจะรักพระองค์มากกว่า มากกว่าสิ่งใดในชีวิตข้า ทุกสิ่งที่ข้ามีเป็นเพียงของที่ชั่วคราว
แต่ความรักของพระเจ้า...นั้นมั่นคงยืนนาน
(ให้โลกนี้ได้รู้จักกับความรักที่คงมั่น..รักแท้ในพระองค์)
คำที่ว่า"ขอทรงโปรดสอนหัวใจ ว่ารักที่แท้เป็นเช่นใด.."น่าจะถูกใส่ไว้ให้เป็นคำอธิฐานของพวกเราด้วย เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่พระเจ้าทรงนำให้เรารู้จักกับความรักแบบพระองค์แล้ว ความสุขและอิสระภาพที่เกินคำบรรยายจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะ..เราจะรักแบบพระเจ้า คือ เลิกแสวงหาความสมบูรณ์พร้อมในตัวมนุษย์...(เพราะมันหาไม่ได้) เลิกหวังสิ่งตอบแทน..(เพราะมันไม่จำเป็นแล้วสำหรับเรา) เลิกคาดหวังในตัวผู้อื่น และเราก็จะผิดหวังน้อยลง เจ็บปวดน้อยลง โกรธน้อยลง แต่เราจะมีความสุขมากขึ้น ใจกว้างขึ้น มีมุมมองที่ฉลาดขึ้น มีอิสระมากขึ้นเพราะเราจะไม่ติดยึดกับอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่กฏเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น สุดท้ายจะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถเหนี่ยวรั้งเราไว้ได้ จะไม่มีอะไรในโลกที่เราจะเสียดาย..จนไม่อยากจากไป
ขอพระคุณความรักและฤทธิ์อำนาจอันบริบูรณ์ของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือคุณพ่อและลูกๆทุกคน
สุขสันต์วันพ่อค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 8 (ตอนจบ) อาทิตย์ที่ 29:11:2009

เรื่องของคนเลวีและภรรยาน้อยของตน
ดูผวฉ.19:1-4 มีชายเลวีคนหนึ่ง ที่ภรรยาน้อยเกิดนอกใจและหนีเขา กลับไปอยู่บ้านเดิมกับพ่อที่เขตของเผ่ายูดาห์ เลวีคนนี้ก็ตามไปง้อเพราะยังรักเมียคนนี้อยู่ พอได้คืนดีกันแล้วพ่อตาก็ดีใจจนไม่อยากให้กลับไป ก็เลยมีการหน่วงเหนี่ยวให้กินอยู่หลับนอนกันอยู่หลายวัน จนถึงวันที่ห้าเลวีคนนี้กับภรรยาน้อยถึงได้เดินทางกลับบ้าน
ดูผวฉ.19:11-15 พอเดินทางมาใกล้ถึงเมืองเยบุส (ซึ่งก็คือ เมืองเยรูซาเล็ม) ก็ใกล้จะเย็นแล้ว คนรับใช้ของเขาก็แนะนำให้หยุดพักค้างคืนที่เมืองนี้ แต่คนเลวีไม่ยอมเพราะชาวเมืองเยบุสหรือชาวเยรูซาเล็ม..เป็นคนคานาอันไม่ใช่คนอิสราเอล ชายเลวีก็เลยบอกให้รีบเดินทางต่อไปอีกหน่อย แล้วค่อยไปพักค้างคืนที่เมืองกิเบอาห์ในเขตของเผ่าเบนจามินจะดีกว่า เพราะเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน (คิดว่า..น่าจะปลอดภัยดี) แต่พอมาถึงเมืองกิเบอาห์ก็มืดแล้ว พวกเขาก็เลยไปนั่งอยู่ที่ลานเมืองแล้วก็ไม่มีใครมาชวนให้ไปพักที่บ้านเลย ซึ่งตามปกติคนสมัยก่อนถ้าเห็นใครมาเยือนถึงเรือนถึงถิ่นก็มักจะต้อนรับขับสู้อย่างดี ไม่เหมือนสมัยนี้...หรืออย่างน้อยก็ต้องสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วยิ่งถ้าได้ความว่าเป็นคนอิสราเอลเหมือนกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ก็ยิ่งจะต้องดูแลเป็นพิเศษ...แต่นี่ไม่ใช่
ดูผวฉ.19:16-18 / 19-21 ยังโชคดีที่มีชายแก่คนนึงซึ่งเป็นคนเอฟราอิม(คนบ้านเดียวกัน)ผ่านมาเห็นแล้วเข้ามาทักทาย พอไต่ถามที่มาที่ไปกันเรียบร้อยแล้วก็ชวนให้ไปนอนที่บ้าน ไม่งั้นคงต้องนอนกันที่ลานเมือง แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็กินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วเป็นไงต่อ...
ดูผวฉ.19:22-24 ในขณะที่กำลังดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน ก็มีพวกนักเลงซึ่งเป็นชาวเมืองกิเบอาห์ (หมายความว่า เป็นคนอิสราเอลด้วยกันเนี่ย) มาทุบประตูบ้าน ร้องบอกให้ส่งชายเลวีคนนั้นออกไปให้พวกเขาสังวาส คือต้องการที่จะร่วมหลับนอนกับเพศเดียวกัน (พูดง่ายๆเป็นเกย์น่ะแหละ) แล้วชายแก่ที่เป็นเจ้าของบ้านก็บอกนักเลงพวกนั้นว่า
”อย่าทำอย่างงี้เลย เอาอย่างงี้มั๊ย เรามีลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์อยู่คนนึงกับเมียน้อยของชายคนนี้ จะเอาไปทำอะไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว..คืออย่าทำลามกกับผู้ชายด้วยกันเลย
ดูผวฉ.19:25-26/29-30 ข้อนี้บอกว่า “เมื่อชายเลวีเห็นท่า..ว่า พวกนักเลงคงจะไม่ยอมง่ายๆ ก็เลยจับเมียตัวเองผลักออกไปให้คนพวกนั้น..” (อันนี้เลยไม่รู้ว่า จริงๆแล้วไม่รักเมีย หรือว่ารักมาก...แต่ชั้นกลัวกระเทยมากกว่า เลยยอมส่งเธอไปตายแทน) ปรากฎว่าเมียก็เลยโดนข่มขืนจนตาย ชายเลวีก็อุ้มศพเมียกลับบ้านแล้วจัดการหั่นออกเป็นสิบสองท่อน คืออันนี้เป็นวิธีของคนอิสราเอลในสมัยนั้น ในการที่จะเรียกพี่น้องเผ่าต่างๆให้มาช่วยแก้แค้นหรือมาช่วยรบกับศัตรู
ดูผวฉ.20:1-2/12-14 หลังจากที่ชายเลวีได้ส่งชิ้นส่วนของภรรยาไปให้อิสราเอลทุกเผ่าแล้ว คนอิสราเอลทั่วประเทศก็มารวมตัวกัน พอสอบถามเรื่องราวความเป็นมาของเหตุร้ายจากชายเลวีเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นพ้องต้องกันว่า พวกอันธพาลที่เป็นชาวเมืองกิเบอาห์เนี่ย..สมควรที่จะโดนลงโทษ พวกเขาก็เลยยกกันไปที่เผ่าเบนจามิน ในชั้นแรก.คนอิสราเอลก็ขอให้เผ่าเบนจามินส่งตัวพวกที่ทำผิดออกมารับโทษ แต่ชาวเผ่าเบนจามิน..ไม่ยอม กลับเข้าข้างคนเมืองกิเบอาห์ที่ทำผิด แล้วก็ยังตั้งท่าเตรียมจะรบกับอิสราเอลทั้งประเทศอีกด้วย
ดูผวฉ.20:18-21 ก่อนที่จะไปรบกับเผ่าเบนจามิน อิสราเอลทูลถามพระเจ้าว่า..เผ่าไหนที่ควรจะนำหน้าไปในการรบ ซึ่งพระเจ้าทรงตอบว่า “ให้ยูดาห์นำไป” ถ้าเด็กๆจำได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบัญชาให้ยูดาห์นำหน้า เปิดไปดู ผวฉ.1:1-2
ครั้งนั้น อิสราเอลก็ถามพระเจ้าว่าใครจะนำหน้า พระเจ้าก็ตอบเหมือนครั้งนี้ว่า “ให้ยูดาห์นำไป” สงสัยมั๊ย...ว่าทำไมพระเจ้าถึงให้ยูดาห์นำหน้าตลอด เพราะต่อไปพระเยซูคริสต์จะทรงมาบังเกิดอยู่ในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ เพราะฉะนั้น ตรงนี้คือความหมายฝ่ายวิญญาณ....ที่พระเจ้าตั้งใจจะบอกเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า ต่อไปพระองค์จะทรงโปรดให้”พระเยซูคริสต์”เป็นผู้ช่วยให้รอด และจะนำอยู่ข้างหน้าประชากรของพระองค์ในสงครามฝ่ายวิญญาณ....เสมอ...เช่นกัน
กลับมาที่เรื่องของเผ่าเบนจามิน..ในครั้งแรก..ปรากฎว่าทหารของอิสราเอลกลุ่มใหญ่ถูกเผ่าเบนจามินฆ่าตายไปสองหมื่นกว่าคน ทั้งๆที่มีเบนจามินมีคนน้อยกว่าตั้งเยอะแต่อิสราเอลทั้งประเทศก็ยังเอาชนะไม่ได้ พวกเขาก็เลยไปร้องคร่ำครวญต่อพระเจ้า แล้วทูลถามพระองค์ว่า “พวกเขาทำถูกมั๊ยเนี่ยที่มารบรากับพี่น้องตัวเอง” พระเจ้าก็ทรงตอบว่า “รบไปเถอะ" แล้วในข้อที่๒๕ ก็บอกว่า “วันที่สอง คนเบนจามินก็ฆ่าฝ่ายอิสราเอลไปอีกหมื่นกว่าคน”ทีนี้อิสราเอลทำไง
ดูผวฉ.20:26-28 เมื่อการยกไปครั้งที่สองดูเหมือนว่าจะยังสู้เผ่าเบนจามินไม่ได้ คนอิสราเอลก็ขึ้นไปไว้ทุกข์ ร้องคร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ “เบธเอล” แล้วก็ทูลถามพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “จริงๆแล้ว พวกเขาทำถูกมั๊ย..ที่ไปรบกับพี่น้องตัวเองหรือพวกเขาคิดผิด ถึงทำท่าเหมือนจะแพ้ทั้งสองครั้ง” พระเจ้าก็ทรงยืนยันว่า “ให้รบต่อไป..แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเจ้าจะชนะ..” (เรื่องตอนนี้ให้ข้อคิดอะไรเราบ้าง)
อย่างน้อยที่สุดเด็กๆควรจะจำไว้เป็นตัวอย่าง ว่าบางครั้ง..ถึงแม้พระเจ้าจะทรงยืนยันทางที่เราเลือกเดินแล้ว แต่พระองค์อาจต้องการให้เราเรียน...ที่จะรู้จักกับความล้มเหลวซะก่อน เพราะอะไร...เพราะมันดี...ความล้มเหลวดีสำหรับทุกคน
แล้วบุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม..ทุกคน “ต้องเคยล้มเหลว” เพราะความล้มเหลว ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นอันยิ่งใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดอย่างงั้นแต่กลับจะมองหา”แพะ” ทุกครั้งที่เกิดความล้มเหลว (เด็กๆเข้าใจคำว่าหาแพะมะ) ก็คือ โทษอย่างอื่นไว้ก่อน...เวลาเกิดความผิดพลาด เพราะมันรู้สึกสบายใจดี แล้วก็อุ่นใจกว่าที่ได้สรุปว่า ปัญหาหรือความเดือดร้อนอันนี้มันเกิดเพราะ ”คนอื่น” ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ชั้น หาน้อยมาก..ที่จะโทษตัวเอง หรือยอมรับสถานะการณ์ตามความจริง (เพราะอะไร) เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ดูปฐก.3:11-13
พอพระเจ้าถาม..(อาดามโทษใคร) อาดามก็โทษเอวา (แล้วเอวาว่าไง) เอวาก็โทษงู...เนี่ยคำตอบ คือเราก็เป็นเหมือนบรรพบุรุษไง ก็ดีเอ็นเอเดียวกัน มันเลยอยู่ในสายเลือด แต่ถ้าเราฝึกฝนที่จะเปลี่ยนแปลง (ทำได้มะ) เดี๋ยวนี้ทำได้แล้ว....เพราะเรามีพระเยซูคริสต์ ชนะได้ทุกอย่าง..แม้แต่สันดานบาปที่ฝังอยู่ในสายเลือด
........แล้วเด็กๆควรจะมีทัศนคติยังไงกับความล้มเหลว เราต้องมองว่า “ความล้มเหลวหรือความทุกข์ยากของชีวิต..คือวาระแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง”(อย่างกล้าหาญ) ไม่ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ก็ให้เรามองว่า..ช่วงเวลานี้ คือ โอกาสที่เราจะได้พัฒนาวุฒิภาวะอย่างแท้จริง (แปลว่าอะไร) ก็จะได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทั้งร่างกาย..ความคิด..และจิตใจ ดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ตามสมควร แบบปัญหามา..ปัญญามี ไม่ใช่เจอปัญหาแล้วไปไม่เป็น เอาแต่โทษนั่นโทษนี่ไปวันๆ
มีผลสำรวจของ”นิตยสารไทม์”เกี่ยวกับคนตกงานก็บันทึกไว้อย่างน่าทึ่งว่า “คนที่ผ่านมรสุมชีวิตหรือเจอปัญหาหนักๆมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะสามารถเรียนรู้วิธี”การกระดอน”กลับมาสู่ภาวะปกติได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่น่าหดหู่หรือสิ้นหวัง” (อันนี้เป็นสำนวนของฝรั่ง) ซึ่งแปลง่ายๆว่า “คนที่ล้มเหลวบ่อยๆมักจะรับมือกับปัญหาได้ดีกว่า เพราะไร..ชั่วโมงบินสูง...เลยปรับตัวเก่ง เจออะไรก็ไม่ค่อยตกใจ...ชินละ....เจอมาเยอะ มันก็เข้าที่เข้าทางเร็วเป็นธรรมดา ถูกมะ.. (อันนี้ก็เป็นกฎของธรรมชาติที่พระเจ้าตั้งไว้)
เพราะฉะนั้น...ต่อไปถ้าเด็กๆต้องพบกับปัญหาหรือความทุกข์ยากในชีวิต ก็ขอให้เผชิญหน้ากับมัน....อย่างกล้าหาญ และมองว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้และเติบโต โอบกอดมันไว้ ซึมซับทุกความรู้สึกเพราะมันก็แค่อีกเรื่อง...ที่จะผ่านไป ไม่มีเรื่องไหนที่จะไม่ผ่านไป ที่สำคัญพระเจ้าก็ทรงมองอยู่...ว่าเราเลือกที่จะสู้หรือยอมแพ้ เหมือนอย่างที่คนอิสราเอลกำลังเผชิญอยู่ในบทเรียนของเราตอนนี้ คือคล้ายๆว่าจะสู้ไม่ได้มาสองครั้งแล้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะทำอะไร ในความล้มเหลวสองครั้งที่ต้องเรียกว่า....พระเจ้าทรงนำ....ด้วยนะ (ทรงนำจริงๆเพราะพระคำภีร์บอกไว้ชัดๆว่า...ก่อนที่จะรบอิสราเอลถามพระเจ้าตลอด...แล้วพระเจ้าก็บอกให้ไป แต่ยังสู้ไม่ได้ถึงสองครั้ง) แล้วถ้าเรื่องอย่างงี้เกิดขึ้นกับเราบ้าง...เราเลือกที่จะทำอะไร เราจะเลิกเชื่อพระเจ้ามั๊ย แต่คนอิสราเอลเขาเลือกที่จะเชื่อฟังต่อไป...
ดูผวฉ.20:35-36/46-48 ในการโจมตีเผ่าเบนจามินครั้งที่สามนี้ อิสราเอลมีการวางยุทธศาสตร์การรบอย่างรอบคอบ โดยกองทัพของอิสราเอลแกล้งถอยร่นกลับไป คือทำท่าว่าจะสู้ไม่ได้ก่อนในตอนแรก เพื่อล่อให้ทหารของเผ่าเบนจามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ เสร็จแล้วก็ให้ทหารอิสราเอลอีกกลุ่มนึงที่แอบซุ่มอยู่ ยกมาโจมตีเผ่าเบนจามินจากข้างหลัง ปรากฎว่าสำเร็จ คราวนี้...เผ่าเบนจามินแพ้กระจายจนแทบสูญพันธ์ เพราะสุดท้ายในข้อที่๔๗.บอกว่า “เหลือทหารเบนจามินแค่หกร้อยคนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้” ที่เหลือตายเรียบ
ดูผวฉ.21:6-8/10-12 หลังจากที่โจมตีเผ่าเบนจามินจนยับเยินแล้ว ชาวอิสราเอลก็เกิดสงสารเบนจามินเผ่าน้อง นึกเสียใจที่ทำรุนแรงไปหน่อย...คิดว่าต่อไปประเทศอิสราเอลคงต้องขาดไปเผ่านึง เพราะเบนจามินเหลือแต่ผู้ชายแค่หกร้อยคนแล้วพวกเขาก็ปฏิญาณไว้..ว่าจะไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับคนเผ่าเบนจามินเด็ดขาด..” เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเบนจามินต้องสูญพันธ์แน่
แล้วสุดท้ายก็มีทางออก เพราะถามไปถามมาก็ได้ความว่า.......ชาวยาเบชกิเลอาด ไม่ได้ไปช่วยพี่น้องรบกับคนเบนจามิน ซึ่งในข้อที่๕.ได้บอกไว้ว่าพวกเขาปฏิญาณไว้อย่างแข็งแรงว่า ใครที่ไม่ได้มาร่วมประชุม...ก็คือไม่ได้มาช่วยรบจะต้องโทษถึงตาย ว่าแล้ว..ก็จัดแจงยกทัพไปสำเร็จโทษชาวเมืองยาเบชกิเลอาด ฆ่าทุกคน...เหลือไว้แต่หญิงพรมจรรย์สี่ร้อยคน ก็จัดการพากลับมาที่คานาอัน...แล้วยกให้เป็นภรรยาของชายเผ่าเบนจามิน แต่ก็ไม่พอ ขาดอีกสองร้อยคน....จะไปหาที่ไหน
ดูผวฉ.21:20-21/23-24 อุบายต่อไปในการหาผู้หญิงอีกสองร้อยคน ให้ชายเผ่าเบนจามิน ก็คือ “ฉุด” แต่ฉุดแบบพอเป็นพิธีแค่ทำทีให้รู้ว่า..นี่ชั้นไม่รู้เรื่องด้วย แต่จริงๆแล้วรู้เห็นเป็นใจกันเกือบทุกฝ่าย และแผนก็คือ ให้ชายเผ่าเบนจามินสองร้อยคนที่ยังไม่มีคู่....ไปฉุดผู้หญิงที่ออกมาเต้นรำตอนงานเทศกาลประจำปีที่ชิโลห์แล้วพากลับบ้านไปเลย ก็เป็นอันว่าไม่มีใครผิดคำสาบาน...พ่อแม่ก็ไม่ผิดเพราะไม่ได้เต็มใจยกให้ เขามาฉุดไปเอง
ในที่สุด เผ่าเบนจามินก็ได้ภรรยากันครบถ้วนทั่วหน้า ก็เลยสามารถดำรงเผ่าพันธ์ของตัวเองสืบเชื้อสายต่อไปได้ อิสราเอลก็เลยยังอยู่ครบทั้งสิบสองเผ่า
ปิดท้ายในข้อที่๒๕.พระคำภีร์ยังคงย้ำคำว่า”..สมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ ทุกคนต่างก็กระทำตามที่เห็นชอบ” เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาจริงๆ อย่างที่น้าตุ๊กสอนไปแล้ว...ว่าเราจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ แต่ต้องให้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเครื่องชี้ขาด..ในสิ่งที่เราจะทำ
บทสรุป
ดูผวฉ.2:19 พระคำภีร์บอกว่าเมื่อผู้วินิจฉัยแต่ละคนตายไปอิสราเอลก็กบฎหนักยิ่งกว่าเดิม เขามิเคยงดเว้นความชั่วที่เคยกระทำ หรือหายจากทางดื้อดึง...” เพราะอะไร..ทำไมถึงงดเว้นไม่ได้ แล้วก็ดื้อไม่หายซักที เพราะนี่คือ “ธรรมชาติบาป”ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ก็เลยฝืนไม่ได้ต้องทำอยู่เรื่อย.....น้าตุ๊กอ่านเจอบทความอันหนึ่ง เขาบอกว่า “ธรรมชาติ” แปลว่า ความจริงที่ก่อกำเนิดหรือความจริงที่ดำรงอยู่...ส่วนในพจนานุกรมแปลว่า ”ที่เป็นไปเอง” (คืออะไรก็ตามที่...มันเป็นเอง..ไม่ได้แกล้งทำ) ก็ถูกทั้งสองอย่างเลย เพราะพระคำภีร์บันทึกไว้...ว่ามนุษย์เริ่มทำบาปครั้งแรกตอนไหน..ตอนก่อกำเนิด คือ ปฐมกาล...เริ่มจากอาดาม (ถูกมะ) มันเลยเป็นบาปตามธรรมชาติที่ยังคงอยู่ในตัวมนุษย์...ไม่หายไปไหน แล้วมนุษย์ก็ต้องทำอยู่เรื่อยเพราะ”มันเป็นไปเอง“ ควบคุมไม่ได้ก็เลยต้องวนเวียนทำซ้ำซากอยู่อย่างงั้น
ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยคนอิสราเอลหรือแม้แต่เรา...ทุกคนก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรความบาปที่ไม่มีวันจบสิ้น" เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกในหนังสือผู้วินิจฉัย
เด็กๆดูต่อไปในผวฉ.3:9-10 ข้อนี้บอกว่า เมื่อทรงเลือกโอทนีเอลแล้ว “พระวิญญาณก็ทรงสถิตหรือสวมทัพโอทนีเอล” (และผู้วินิจฉัยทุกคน) สังเกตให้ดี...นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลในสมัยก่อน (หรือในยุคของพันธสัญญาเดิม) คือประทานชัยชนะที่มาจาก”การทรงสถิต”ของพระองค์ผ่านทาง”ผู้วินิจฉัย” ซึ่งต่างไปจากยุคพระคุณของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทาน”พระวิญญาณ”ให้ทรงสถิตกับ”เราทุกคน”ที่เชื่อในพระองค์...
ดู1โครินธ์ 6:19-20 “ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” (ตรงส่วนไหน) “ที่หัวใจ” นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้าของเรา (พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก) กับ พระอื่น...เพราะพระเจ้าของเราไม่ทรงสถิตในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเหมือนพระอื่น (เช่นอยู่ในรูปปั้น รูปภาพ ปูชนียสถาน วัตถุสิ่งของ หรือแม้แต่ในพระวิหาร) เพราะในสมัยที่อาณาจักรยูดาห์ถูกทำลาย นครเยรูซาเล็มที่ตั้งของพระวิหารในสมัยนั้นก็ถูกเผาไปด้วย เรื่องนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลยกับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่พระองค์เลือกที่จะสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไว้ที่ “หัวใจของมนุษย์”....ที่พระองค์สร้าง
ดูยอห์น3:16-17 แต่เพราะพระเจ้าทรงรักโลกและรักมนุษย์ พระองค์จึงทรงเตรียมทางแห่งความรอดไว้ให้พวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ในวันนี้การช่วยกู้ของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวผู้วินิจฉัยหรือใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน....(อันนี้ต้องจำไว้ให้ดี) .เราทุกคนได้ชื่อว่าเป็น”วิหารของพระเจ้า”และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ ทุกวันนี้คริสเตียนถึงไม่ต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากใครที่ไหน เพราะผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริงอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อพระเยซู คนที่อ่อนแอ...ก็จะค่อยๆเข้มแข็ง (ค่อยๆนะค่อยๆทีละน้อย) ที่เคยเป็นปัญหา....ก็จะกลายเป็นสันติสุข แล้วอะไรก็ตามที่เคยยาก....มันก็ง่ายขึ้นเมื่อเรามีพระเยซูคริสต์....น้าตุ๊กขอจบหนังสือผู้วินิจฉัยไว้ตรงนี้นะคะ สัปดาห์หน้าคงจะเป็นการทดสอบ (ความเข้าใจ และความสนใจของเด็กๆด้วย) เพื่อประเมินประสิทธิภาพทั้งการเรียนและการสอน พระเจ้าอวยพรค่ะ...

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่7 อาทิตย์ที่ 15:11:2009

แซมสัน ตอนที่๔ (แซมสัน กับ นางเดลิลาห์) ผวฉ.16:4-22
พระคำภีร์บันทึกว่า...ช่วงหลังของชีวิตแซมสันก็ไปหลงรักผู้หญิงอีกคนชื่อ”เดลิลาห์” พอพวกหัวหน้าของคนฟิลิสเตียรู้เข้า ก็เลยไปหาเดลิลาห์แล้วบอกว่า ”ถ้าเดลิลาห์ล้วงความลับหรือหลอกถามแซมสันได้ ว่าพละกำลังของเขามาจากไหน แล้วมีวิธีไหนบ้างที่จะปราบเขาได้” พวกฟิลิสเตียจะให้เงินเดลิลาห์.....คนละ1100 แผ่น (หรือว่า 1100 เชเขล ) เงิน 1 เชเขลหนักประมาณ 11.5 กรัม เพราะฉะนั้น 1100 เชเขลก็เท่ากับ 12650 กรัม หรือ ประมาณ 12.6 กิโล (ตาโตมะ) เดลิลาห์ก็เลยโอเค หลังจากนั้น เดลิลาห์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเพียรถามแซมสันอยู่นั่นแหละว่า “..จะทำยังไงถึงจะจับตัวและมัดเขาให้อยู่หมัด” แซมสันก็โกหกไปถึงสามครั้ง หลอกให้ใช้สายธนูหนังที่ยังไม่แห้งมั่ง ให้ใช้เชือกใหม่มั่ง
หลังสุดก็หลอกว่าต้องเอาผมเจ็ดปอยของเขาทอเข้าไปในเครื่องทอผ้าแล้วเขาจะหมดแรง แต่พอเดลิลาห์ลองเทสต์ดูแล้ว แซมสันก็สะบัดหลุดทุกครั้ง
ความจริงแซมสันน่าจะเอะใจมั่งเนอะ มาหลอกถามวิธีทำร้ายกันซะงั้น เรื่องของเรื่องก็คงจะรักมากจนไม่คิดที่จะระวังอะไร สุดท้าย...เจอไม้ตายของผู้หญิง ในข้อที่๑๕บอกว่า เดลิลาห์ ตัดพ้อกับแซมสันว่า “เธอพูดได้ยังไงว่าเธอรักชั้น ในเมื่อใจเธอไม่ได้อยู่กับชั้นเลย” แซมสันก็เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่เจอไม้นี้เข้าให้..ใจก็เริ่มอ่อนระทวย ข้อที่๑๖.บอกว่า เดลิลาห์เองก็รบเร้าคาดคั้นทุกวัน จนแซมสันเบื่อแทบจะตาย ก็เลยบอกความจริงไปจนได้ว่า ”ชั้นไม่เคยตัดผมเลย เพราะชั้นเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด ถ้าโกนผม เรี่ยวแรงกำลังของชั้นก็จะหายไปด้วย”
แค่นั้นแหละ เดลิลาห์ก็รีบให้คนไปส่งข่าวถึงพวกฟิลิสเตีย....บอกว่าคราวนี้ไม่พลาดแน่ แล้วเดลิลาห์ก็ให้คนย่องเข้าไปตัดผมของแซมสันตอนที่เขาหลับอยู่ ส่วนพวกฟิลิสเตียพอได้ข่าวปุ๊บก็รีบมาพร้อมเงินที่สัญญาว่าจะให้...ถ้าหลอกแซมสันได้ ครั้งนี้ พอเดลิลาห์พูดว่า”แซมสัน คนฟิลิสเตียมาจับตัวท่านแล้ว” แซมสันยังตื่นขึ้นมาพูดว่า “ชั้นก็จะสลัดหลุดเหมือนทุกครั้งน่ะแหละ”
ในข้อที่ 20 บอกว่า “แซมสันไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ละท่านไปเสียแล้ว” เพราะอะไร...เพราะก่อนหน้านี้แซมสันก็ทำผิดกฎของนาศีร์แทบทุกข้ออยู่แล้ว เหลืออยู่ข้อเดียวก็คือยังไม่ได้ตัดผม แล้วแซมสันก็ไม่เคยที่จะยับยั้งใจตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง”เรื่องผู้หญิง”...เสียมากเป็นพิเศษ
และแล้ว..เมื่อเขาได้ละเมิดกฎข้อสุดท้ายที่เหลืออยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างแซมสันกับพระเจ้าก็เป็นอันสิ้นสุด พระเจ้าก็ทรงถอนฤทธิ์อำนาจออกจากตัวเขา ข้อที่๒๑.บอกว่า “คนฟิลิสเตียก็มาจับตัวแซมสันแล้วก็ควักลูกตาทิ้ง”หลังจากนั้น ก็จับล่ามโซ่แล้วให้ไปโม่แป้งอยู่ในคุก
มรณกรรมของแซมสัน ผวฉ.16:23-31
พอปราบแซมสันได้ชาวฟิลิสเตียก็ดีใจ เลยฉลองกันเป็นการใหญ่เพื่อสรรเสริญเทิดทูนพระดาโกนเทพเจ้าของพวกเขา ในข้อที่๒๕บอกว่า”เมื่อจิตใจของเขาร่าเริงเต็มที่แล้ว เขาจึงพูดว่า..ไปเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู” คำว่า”เมื่อจิตใจร่าเริงเต็มที่...หมายถึงพอสนุกกันเต็มที่ ก็ให้คนไปเอาตัวแซมสันออกมาเล่นตลกให้ดู” ความจริงถ้าสนุกกันเต็มที่แล้วก็น่าจะพอนะ...จบได้ แต่นี่ยังต้องการความบันเทิงในลักษณะที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอีก” เพราะอะไร อาการแบบนี้มีอย่างเดียว ก็คือ “เมา” ทำให้เราเห็นภาพเลยว่าคงจะเป็นการฉลองที่กินดื่มกันอย่างเต็มขนาด
ว่าแล้วเด็กคนนึงก็ไปจูงแซมสันออกมา แซมสันก็บอกเด็กคนนั้นว่า “ช่วยพาเขาไปยืนพิงที่เสารองรับพระวิหารหน่อย” เด็กที่จูงน่าจะคิดว่า..แซมสันคงจะเมื่อยเลยพาแซมสันไปยืนพิงเสาค้ำพระวิหาร
แล้วแซมสันก็อธิฐานต่อพระเจ้า..ว่า
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟิลิสเตียเพื่อตาข้างหนึ่งในสองข้างของข้าพระองค์” คำอธิฐานนี้แสดงให้เห็นว่า..สุดท้ายแซมสันก็ยอมจำนนต่อพระเจ้า ร้องทูลขอกำลังจากพระองค์และครั้งนี้พระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของเขา แซมสันก็รวบรวมกำลังทั้งหมดพังเสาของวิหาร จนวิหารพังลงมาทับเจ้านายของพวกฟิลิสเตียและประชาชนทั้งหมดในนั้น ในข้อที่๒๗.บอกว่ามีคนอยู่เต็มตึกนั้น แค่บนหลังคายังนับได้สามพันคน แล้วคิดดูข้างล่างจะเยอะขนาดไหน แล้วในข้อที่ 30 ก็บอกว่า”ดังนั้น คนที่แซมสันฆ่าตายพร้อมกับตัวเองนี้ มีจำนวนมากกว่าคนที่เขาได้ฆ่าตอนที่มีชีวิตอยู่” (นี่ขนาดขอแก้แค้นเพื่อตาข้างเดียวนะ ถ้าขอเพื่อตาสองข้าง คงจะหนักกว่านี้) ที่สำคัญคนที่ถูกวิหารทับตายก็มีทั้งเจ้าเมือง นายทหาร แล้วก็บรรดาผู้นำคนสำคัญของพวกฟิลิสเตียรวมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถึงครั้งนี้อิสราเอลจะยังกำจัดพวกฟิลิสเตียได้ไม่สิ้นซาก แต่แซมสันก็ช่วยได้เยอะ..เพราะจากวันนั้นพวกฟิลิสเตียก็อ่อนกำลังลงไป
เรื่องของ มีคาห์ ตอนที่๑ ผวฉ.17:1-13
“มีคาห์”ไม่ใช่เรื่องของผวฉ. แต่เรื่องของมีคาห์เป็นเหมือนภาคผนวกของธรรมเล่มนี้ ที่หยิบยกเรื่องราวบางกรณีมาเป็นตัวอย่าง เพื่ออะไร...เพื่อให้เห็นว่าในสมัยผวฉ.เนี่ย ความผิดบาปมันปกคลุมอิสราเอลจนทั่วไปหมด (แล้วเรื่องของมีคาห์..ก็เป็นแค่บางกรณีเท่านั้น เพราะฉะนั้นความจริงน่าจะมีเรื่องหยั่งเงี้ยเกิดขึ้นเยอะในอิสราเอลสมัยนั้น)
เรื่องนี้ก็คือ มีชายอิสราเอลคนหนึ่งชื่อมีคาห์ขโมยเงินแม่ไป แล้วก็ได้ยินแม่สาปแช่งคนที่ขโมยอย่างรุนแรงมากก็เลยกลัว เปลี่ยนใจไปรับสารภาพกับแม่..ว่าตัวเองเนี่ยเป็นคนเอาไปแล้วก็คืนเงินให้แม่ พอแม่ได้เงินคืนก็ดีใจ ในข้อที่๒.แม่ของมีคาห์ได้พูดว่า “...ขอให้พระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด เงินรายนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อลูกให้ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ..” บางคนอ่านตอนนี้แล้วงง... งงว่า...เฮ้ย! พูดได้ไงว่า”เงินนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อทำรูปเคารพ” น้าตุ๊กก็บอกไม่ต้อง..งง อิสราเอลสมัยนั้นเชื่ออย่างเพี้ยนสนิท
ในข้อที่๕.บอกว่า “มีคาห์คนนี้มีเรือนพระหลังหนึ่งขาทำรูปเอโฟดและรูปพระ แล้วมีคาห์ก็แต่งตั้งลูกของเขาคนนึงของเขาให้เป็นปุโรหิต.” (ของศาลเตี้ยตั้งเองนี่แหละ) ทีนี้คำว่า”เรือนพระ” เด็กๆนึกภาพ ศาลพระภูมิ (นึกออกมะ) ประมาณนั้นแหละที่มีคาห์ทำ (ขอโทษที่ต้องขอพาดพิงเพราะมันทำให้เด็กๆเห็นภาพชัดเจน) ถ้าใหญ่หน่อยก็ศาลเจ้า..แล้วก็จะมีคนดูแล แบบเดียวกับที่มีคาห์อุปโหลกลูกตัวเองขึ้นมาเป็นปุโรหิต สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ มีคาห์เนี่ยหลงผิดทุกเม็ด ทั้งสร้างรูปเคารพ ยกมันขึ้นมาเป็นเรื่องเดียวกับพระเจ้า แล้วยังตั้งลูกตัวเองที่เป็นคนเผ่าเอฟราอิมเนี่ย...ให้เป็นปุโรหิต ซึ่งตามกฎบัญญัติของพระเจ้าคนเอฟราอิมเป็นปุโรหิตได้มั๊ย ต้องคนเลวีเชื้อสายอาโรนเท่านั้น (ถูกมะ)
หลังจากนั้น ไม่นานก็มีคนเลวีผ่านมาที่บ้านของมีคาห์ มีคาห์ก็ได้ชวนให้เขามาเป็นปุโรหิตประจำบ้าน จริงๆจะเรียกว่า”จ้าง”ก็ได้นะ เพราะดูเหมือนจะมีการตกลงเรื่องค่าตอบแทนกันด้วย คือ จ่ายเงินให้ปีละสิบแผ่น ให้เครื่องแต่งตัวหนึ่งสำรับพร้อมอาหาร เหมือนเป็นแพ็คเกจเวลามีโปโมชั่นยังไงยังงั้น (ซึ่งเรื่องอย่างเงี้ย..ก็ไม่มีในพระบัญญัติของพระเจ้า).....เพราะฉะนั้น ผิดทุกข้อ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เนี่ยคือประเด็นสำคัญที่พระคำภีร์ตอนนี้อยากจะชี้ให้เราเห็น
ในข้อที่ 17:6. (อ่าน) “...ทุกคนก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ” หลายๆปัญหาบนโลกนี้มันก็เกิดขึ้นเพราะคำนี้แหละ (แล้วทำไมหลายๆครั้งเราถึงทำตามที่ตัวเองเห็นชอบไม่ได้) เพราะสิ่งที่ดี สิ่งที่น่าพอใจ หรือแม้แต่สิ่งที่มนุษย์คิดว่าถูกต้อง หลายครั้งก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจะยึดเอาความพอใจหรือความเห็นชอบของมนุษย์เป็นหลักการหรือมาตรฐานการดำเนินชีวิต..ไม่ได้ คือเราจะทำอะไรตามความพอใจของเรา..ไม่ได้ (แม้ว่าบางครั้งเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม) ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราขับรถ สมมติว่าทางของเราไฟเขียว และเราเห็นแล้วว่ามีรถคันหนึ่งฝ่าไฟแดงมา แต่ชั้นก็จะไปเพราะถือว่าชั้นถูก ทางของชั้นไฟเขียว แบบนี้ปัญหาเกิดมั๊ย เกิดแน่นอนแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก แต่ปัญหาก็เกิด (เพราะอะไร ) เพราะเราเลือกที่จะทำตามใจตัวเอง ถือว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ก็เลยไม่ยอมให้รถที่ฝ่าไฟแดงมาผ่านไปก่อน ยอมไม่ได้ แกผิด เพราะฉะนั้น..แกต้องเบรค ยังไงชั้นก็จะไม่เบรค (ถ้าคิดหยั่งงี้ เดี๋ยวได้ไปเบรคอยู่แถวๆอกอับราฮัม) ส่วนเรื่องของฝ่ายที่ฝ่าไฟแดงนั้น ไม่ต้องพูดถึงมันผิดเต็มประตู และกระทำตามที่ตัวเองเห็นชอบอยู่แล้ว แต่ประเด็นนี้ น้าตุ๊กอยากจะชี้ให้เห็นว่า "หลายครั้งแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูก เราก็จะทำตามที่เราเห็นชอบไม่ได้" เราต้องทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ (ยังไงล่ะ)อย่างเรื่องนี้ ทางของเราไฟเขียวก็จริงแต่ถ้าเห็นรถฝ่าไฟแดงมา เราก็ต้องเป็นฝ่ายยอม...รอให้เขาไปก่อน คิดอย่างมีความรัก คิดอย่างยอมเสียสละตามอย่างพระเยซูคริสต์ อย่าเอาไปเป็นอารมณ์ ปัญหาก็จะไม่เกิด ที่น้าตุ๊กเลือกเรื่องขับรถมาเป็นตัวอย่างก็เพราะมันเห็นภาพชัดเจนที่สุด..แล้วเวลาขับรถปัญหามันเกิดได้ทุกเวลาไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด
....และความจริงสติปัญญาของมนุษย์มีจำกัดแต่ไม่ค่อยรู้ตัว มนุษย์ชอบนึกว่าตัวเองเก่ง รู้ดี...อย่างน้าตุ๊กเคยดูสารคดีอันหนึ่ง ที่นักวิจัยเขาเสี่ยงชีวิต พยายามที่จะดำน้ำลงไปให้ได้ลึกที่สุด โดยมีอุปกรณ์ที่ช่วยปรับความดันของร่างกายให้สามารถอยู่ในที่ลึกมากๆได้ชั่วคราว แล้วที่สุดก็ได้ลงไปในที่ลึกขนาดที่แสงแดดส่องไม่ถึง...มืดสนิท แล้วก็ต้องอัศจรรย์ใจเพราะว่ามีสัตว์น้ำแปลกๆมีแสงในตัวเองที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อนเต็มไปหมด แล้วก็มีนักวิจัยบางกลุ่มสรุปว่า “บรรดาสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักแล้วก็เคยเห็นเนี่ย...จริงๆแล้วมันน่าจะแค่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก” เด็กๆเข้าใจมะ สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น มันแปลว่าไร...แปลว่าจริงๆแล้วมนุษย์รู้น้อยมาก อันนี้แค่เรื่องสปีชีของสัตว์น้ำเท่านั้นนะ แล้วเรื่องอื่นๆอีกหลายล้านเรื่องล่ะ ถ้ารวมกันแล้วน้าตุ๊กว่า...มนุษย์รู้จริงไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของทุกเรื่องในมหาจักรวาลนี้ (ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของน้าตุ๊ก ใครที่บังเอิญมาอ่านแล้วไม่เห็นด้วย..ไม่ว่ากัน) ที่พูดมาทั้งหมดก็แค่อยากให้เด็กๆเห็นภาพว่า....จริงๆแล้วมนุษย์ไม่ได้ฉลาดมากมายอะไร แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก มนุษย์ถึงต้องพึ่งพระเจ้า เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องก็คือ “เราต้องกระทำตามที่พระเจ้าเห็นชอบ ไม่ใช่ตัวเราเองเห็นชอบ” ถึงแม้บางครั้งมันจะขัดใจ หรือทุกข์ยากลำบากบ้าง...ก็ทำเถอะ เพราะสุดท้ายแล้ว...คุ้มแน่นอน
มีคาห์ ตอนที่2 ผวฉ.18:1-31 (มีคาห์และคนเผ่าดาน)
พระคำภีร์ช่วงนี้บันทึกเรื่องราวของมีคาห์กับคนเผ่าดาน ข้อที่๑.เลยบอกว่า”คนเผ่าดานยังเที่ยวหาที่ดินอันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนี้แล้วมรดกในหมู่คนอิสราเอลยังไม่ตกแก่เขา” หมายความว่า เมื่อสมัยที่โยชูวาแบ่งเขตแดนในคานาอันให้เผ่าต่างๆของอิสราเอลเนี่ย เผ่าดานเขาได้สิทธิ์ตรงเขตแดนที่ติดกับฝั่งทะเล ตั้งอยู่ระหว่างเผ่าเอฟราอิมกับยูดาห์ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่แล้วสองเผ่านี้ก็มีการเอาเปรียบบ้าง..รุกล้ำเนื้อที่ของเผ่าดานบ้าง แล้วก็ยังมีพวกฟิลิสเตียที่อยู่ตามชายทะเลมารุกราน ผลักดันให้เผ่าดานต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ เนื้อที่ของดานก็เลยน้อยไปเรื่อย (โดนพวกฟิลิสเตียรุกล้ำก็ว่าไปอย่างเนอะ ไอ้ที่โดนเอฟราอิมกับยูดาห์เอาเปรียบเนี่ย..น่าเสียใจกว่า พี่น้องกันแท้ๆ) เหมือนพวกเราที่เป็นคริสเตียนเนี่ย ถ้าโดนคนอื่นที่เป็นคนไม่เชื่อพระเจ้าเขาเอาเปรียบหรือทำร้าย เราทนได้ ทนได้มากกว่า..แต่ถ้าถูกคริสเตียนด้วยกันทำให้เสียใจเนี่ย...เราจะรู้สึกเจ็บมาก เพราะเราจะรู้สึกว่าคนที่เชื่อพระเจ้าไม่น่าจะทำอย่างงี้ (ถูกมะ) แต่ยังไงก็ตามเด็กๆต้องจำไว้ว่า “พระดำรัสของพระเจ้าก็บอกให้เรารักกัน” อภัยให้กัน มีอะไรก็ต้องอดทนยอมๆกันไป เพราะเด็กๆเคยเรียนไปหลายครั้งแล้วว่า..ไม่ได้มีแต่คนที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้นที่สามารถมาเชื่อพระเจ้าหรือเข้ามารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ได้ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็ควรให้โอกาสกัน ทุกคนต่างก็เป็นทางที่ยังสร้างไม่เสร็จ..อยู่ระหว่างกำลังปรับปรุงด้วยกันทั้งสิ้น ขอให้เรารักพี่น้องในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่แบบที่เราต้องการให้เขาเป็น ถ้ามีเรื่องไหนที่จำเป็นต้องเตือนสติกันเพราะพี่น้องของเราทำผิด เด็กๆต้องถามตัวเองให้แน่ในใจก่อนว่า"เราเตือนเขาด้วยความรักจริงๆหรือเตือนเพราะอยากจะกล่าวโทษเขา" เพราะสิ่งไหนที่ทำโดยปราศจากความรักมันก็ไร้ค่าและมักเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้น ถ้าเราจะต้องเตือนใคร เราควรจะอธิฐานขอพระเจ้าทรงค้นลึกในจิตใจของเราซะก่อนและขอการทรงนำจากพระองค์ด้วย
ในที่สุดเผ่าดานก็เลยตัดสินใจว่าจะย้ายที่อยู่ ก็เลยส่งตัวแทนไปสอดแนมหาที่อยู่ใหม่ ระหว่างทางคนเผ่าดานที่ออกไปสำรวจหาที่อยู่ใหม่ก็ผ่านไปทางบ้านของมีคาห์ที่เผ่าเอฟราอิม พวกเขาแวะทักทายกับคนเลวีที่มีคาห์แต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต (ประจำตำหนักของตัวเอง) แล้วหลังจากที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี ปุโรหิตของมีคาห์ก็อวยพรคนเผ่าดาน หลังจากนั้นคนเผ่าดานก็ออกเดินทางต่อไปถึงเมืองลาอิชที่อยู่เหนือสุดของดินแดนคานาอัน ปรากฎว่าถูกใจเมืองนี้ เพราะเป็นดินแดนเงียบสงบ อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคนที่นี่ดูไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ อยู่กันอย่างสงบแล้วก็ดูไม่ค่อยจะระวังอะไร คงจะเข้ายึดครองได้ง่าย ว่าแล้วคนสอดแนมก็กลับมาบอกพี่น้องเผ่าดานให้เตรียมทำสงคราม แล้วก็ย้ายที่อยู่
ระหว่างที่คนเผ่าดานยกกันไปที่เมืองลาอิชเพื่อทำสงคราม พวกเขาก็ผ่านบ้านของมีคาห์อีก แทนที่จะแวะเพื่อตอบแทนน้ำใจ เพราะบ้านนี้เคยต้อนรับเขาอย่างดีเมื่อครั้งที่มาสอดแนม กลับชวนพรรคพวกให้ปล้นบ้านของมีคาห์ ทำทีเข้าไปทักทายถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วคนที่เคยมาสอดแนมห้าคนก็เดินเข้าไปขโมยของ ขโมยอะไรรู้มะ ขโมยรูปเคารพ พวกรูปแกะสลัก รูปพระ แล้วก็เอโฟด (จะบ้าตาย)
นี่แสดงว่า เพี้ยนกันทั่วหน้าไม่ใช่แค่เผ่าเดียว...แล้วไงต่อไป ปุโรหิตอุปโหลกของมีคาห์ก็ทำท่าจะโวยวาย ถามคนเผ่าดานว่า “ ทำงี้หมายความว่าไง” คนเผ่าดานก็บอกปุโรหิตของมีคาห์ “ให้เงียบๆไว้ แล้วคิดดูให้ดีว่าจะอยู่เป็นปุโรหิตของคนๆเดียว หรือว่า...จะไปกับพวกเขา แล้วได้เป็นปุโรหิตของคนทั้งเผ่า... มันรุ่งกว่ากันเยอะนะ แค่นั้นแหละ ในข้อที่๒0 บอกว่า”.ใจของปุโรหิตก็ยินดี..” แล้วก็ โดดตามเขาไปเลย ไปกับพวกเผ่าดาน (ซะงั้น)
ฝ่ายมีคาห์กับเพื่อนบ้านข้างเคียงก็ตามไปจะทวงของคืน คนเผ่าดานก็หันมาถามมีคาห์หน้าตาเฉย “ว่า พาพวกมาทำไมเยอะแยะ” มีคาห์ก็บอกว่า “ ก็พวกเธอขโมยพระของชั้นไปหมด แล้วก็ยังเอาปุโรหิตของเขาไปด้วย ยังจะมีหน้ามาถามอีก ว่าตามมาทำไม “ คนเผ่าดานก็เลยไม่อ้อมค้อมสวมบทบาทอันธพาล ขู่จะฆ่ามีคาห์ยกครัว เพราะถือว่ามีกำลังมากกว่า มีคาห์ก็เลยต้องยอมถอย...กลับบ้านไป เพราะสู้ไม่ได้
หลังจากนั้น คนเผ่าดานก็ยกไปตีเมืองลาอิช แล้วก็ชนะอย่างง่ายดาย เพราะไม่มีใครมาช่วย เนื่องจากเมืองนั้นอยู่กันอย่างสันโดดไม่ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับเมืองอื่น ดานก็เลยได้สร้างเมืองของตัวเองขึ้นที่นั่น แล้วก็เปลี่ยนชื่อเมืองจาก”ลาอิช” เป็น “ดาน” พร้อมทั้งเอารูปพระ เอโฟดที่ขโมยมา กับปุโรหิตของมีคาห์ สถาปนาขึ้นเป็นรูปเคารพของเผ่าดาน ต้องเรียกว่า ตั้งศาสนาของตัวเองเลยทีเดียว พระคำภีร์บอกว่า พวกเขาหลงผิดอยู่อย่างงั้นตลอดสมัยที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าตั้งอยู่ที่ชิโลห์ หลงผิดกันจนกระทั่งต้องตกไปเป็นเชลย
เวลาหมดแล้วค่ะ สัปดาห์หน้าเป็นวันขอบคุณพระเจ้า ขอให้พี่น้องทุกคนร่วมใจกันนมัสการสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราอย่างสุดใจ และทุกวันนี้ไม่ว่าข่าวภัยพิบัติ โรคระบาด ความวุ่นวายทางสังคม เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คริสเตียนทุกคนจะปลอดภัยอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์เสมอ ปลอดภัยแม้จะตายหรืออยู่ก็ตาม น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กๆจำพระลักษณะของพระเจ้าของเราไว้ให้ดีๆ ในพระคำภีร์ได้เปิดเผยถึงพระลักษณะของพระองค์ไว้หลายครั้ง และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อและไม่เปลี่ยนแปลงจากวานนี้ วันนี้และสืบๆไปเป็นนิตย์
อพยพ 34:6-7 “พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดง
ความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด
การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้......”
โยนาห์ 4:2 “...พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา
ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ”
เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กเชื่อว่าวันนี้ก็เช่นกันไม่ว่าโลกจะถูกกำหนดไว้ให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คริสเตียนก็มีความหวังในพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระกรุณาเสมอ เรามีสิทธิ์ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ ตลอดจนการกลับพระทัยไม่ลงโทษ เช่นเดียวกับที่หลายๆคนในพระคำภีร์เคยได้รับมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในส่วนของเราให้ดีที่สุด ถ้าพอจะช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมได้บ้างก็ทำไป ที่สำคัญ “คริสเตียนทุกคนจงร่วมใจกันอธิฐานอย่างเซ้าซี้" เพื่อประเทศไทยและเพื่อโลกใบนี้ของเรา ดังเช่นที่อับราฮัมอธิฐานเพื่อเมืองโสโดม (ปฐม.18:22-33) แล้วบางทีพระเจ้าอาจจะทรงยับยั้งพระอาชญาของพระองค์ไม่ลงโทษโลกใบนี้ หรืออาจจะทรงผ่อนหนักให้เป็นเบาเพราะเห็นแก่ผู้ชอบธรรมของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนแผ่นดินโลกและในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย เพราะเราเชื่อแน่ในใจว่า “ทุกอย่างจะเป็นผลดีต่อทุกคนที่รักพระองค์เสมอ” ดังนั้น น้าตุ๊กขอหนุนใจฝากไว้ เพื่อเด็กๆจะไม่กังวลมากจนเกินไปกับข่าวสารทุกวันนี้
พบกันสัปดาห์ที่ 29:11:2009 ซึ่งจะเป็นตอนจบและบทสรุปของหนังสือผู้วินิจฉัยแล้ว อย่าพลาดนะคะ
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 6 อาทิตย์ที่ 8:11:2009

แซมสัน ตอนที่๒ ผวฉ.14:1-20/15:1-8 (แซมสันกับหญิงชาวทิมนาห์)
พอโตเป็นหนุ่มแซมสันก็เกิดไปชอบหญิงฟิลิสเตียคนหนึ่ง..เป็นชาวเมืองทิมนาห์ ก็เลยกลับไปบอกพ่อแม่ประมาณว่า “คนนี้ใช่เลย ไปขอให้หน่อย” แต่ในข้อที่๔บอกว่า”พ่อแม่ของแซมสันไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ก็เลยพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงเพราะผู้หญิงที่ลูกไปชอบเนี่ย...เป็นคนต่างชาติ” แต่พูดยังไงลูกก็ไม่ยอม แซมสันตื๊อ...จะเอาให้ได้ คงจะพูดประมาณว่า “แต่คนนี้....มันโดนใจจริงๆนะแม่” ....สุดท้ายพ่อแม่ก็แพ้ทาง ต้องไปขอสาวฟิลิสเตียมาเป็นเมียลูก
ระหว่างที่เดินทางไปขอสาวที่ทิมนาห์ แซมสันก็มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมที่ไม่ธรรมดาเป็นครั้งแรก ด้วยการฉีกสิงโตออกเป็นสองซีกด้วยมือเปล่า แล้วในข้อที่๖.บอกว่าพ่อแม่ของแซมสันไม่ทันรู้เรื่อง...ทั้งที่เดินทางมาด้วยกัน แสดงว่าแซมสันต้องใช้กำลังอย่างมหาศาล ถึงได้สามารถฆ่าสิงโตอย่างเงียบเชียบและรวดเร็วจนพ่อแม่ไม่ทันรู้เรื่อง (เด็กๆลองนึกภาพตาม.. เดินทางมาด้วยกันแต่ไม่รู้ว่ามันฆ่าสิงโต สิงโตนะ...ไม่ใช่แมวหรืออีกัวน่า) แล้วก็มือเปล่าอีกต่างหาก
พอไปถึงเมืองทิมนาห์เมื่อได้พูดจาสู่ขอกันเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานแซมสันก็กลับไปรับภรรยา...ระหว่างทางก็มีการแวะไปดูซากสิงโตที่เขาฆ่า (ตอนที่มากับพ่อแม่) ปรากฎว่ามีผึ้งมาทำรัง
แซมสันไม่รอช้ายื่นมือไปกวาดเอาน้ำผึ้งจากซากสิงโตแล้วก็เดินไป กินไป เหมือนหมีพูล์ (แซมสัน เดอะ พูล์) แถมยังมีแก่ใจไปแบ่งให้พ่อแม่กินด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าตัวเองไปเอามาจากไหน ตอนนี้แซมสันทำผิดกฎของนาศีร์รึยัง (ผิดไปเรียบร้อยแล้วเพราะไปโดนซากศพ)
หลังจากนั้นก็มีการจัดงานเลี้ยงตามแบบที่ชาวบ้านเขาชอบทำกัน แล้วก็เลือกชายหนุ่มสามสิบคนมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แซมสันก็พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ให้เราทายปริศนาซักข้อมั๊ย ถ้าพวกท่านตอบได้ภายในเจ็ดวันที่มีการเลี้ยงฉลองกันเนี่ย เราจะให้เสื้อผ้าพวกท่าน ทั้งชุดอยู่บ้านแล้วก็ชุดไปเที่ยว สามสิบชุด แต่ถ้าภายในเจ็ดวันยังตอบไม่ได้พวกท่านต้องเป็นฝ่ายมอบเสื้อผ้าสามสิบชุดให้เรา ทางฝ่ายเพื่อนเจ้าบ่าวสามสิบคนตอบตกลงรับคำท้า ว่าแล้วแซมสันก็เลยถามปัญหาว่า
.”มีของกินได้ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง” หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ “มีอาหารออกมาจากตัวผู้กินหรือ...ผู้ล่า มีของหวานออกมาจากผู้มีกำลัง” ถามแบบนี้ใครจะไปตอบได้... เพื่อนเจ้าบ่าวก็ตอบไม่ได้ สุดท้ายพวกฟิลิสเตียก็เลยไปคาดคั้นข่มขู่เอากับภรรยาของแซมสัน บอกให้ไปหลอกถามคำตอบมาให้ได้ ไม่งั้นจะเผาบ้านให้ไฟคลอกตาย (ภรรยาของแซมสันกลัวมั๊ย) กลัวมาก...ไปตื๊อจนแซมสันทนไม่ไหว ก็เลยเฉลยคำตอบให้ฟัง
พอถึงวันที่เจ็ดพวกเพื่อนเจ้าบ่าวก็เลยมาตอบแซมสันว่า “มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงห์” (แปลว่าตอบถูก) แซมสันก็โมโหแล้วพูดว่า ถ้าพวกชาวบ้านไม่ใช้ภรรยาของเขาเป็นเครื่องมือ ก็ไม่มีทางตอบได้แน่ ว่าแล้วแซมสันก็ไปที่เมืองอัชเคโลนฆ่าชาวฟิลิสเตียสามสิบคน แล้วก็เอาเสื้อผ้าสามสิบชุดของคนที่เขาฆ่าเนี้ย..มาจ่ายเป็นเดิมพันให้คนที่ทายปริศนาได้ เสร็จแล้วก็กลับบ้านตัวเองไปเลย ทีนี้พ่อตาก็ไม่รู้ทำไง....กลัวลูกสาวหม้ายขันหมากก็เลยยกเจ้าสาวให้เพื่อนเจ้าบ่าวไปเลย (มั่วจริงๆ)
เด็กๆดูในข้อที่๑๙.บอกว่า..”พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับแซมสันอย่างมาก” หมายความว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานเรี่ยวแรงกำลังให้กับแซมสันเขาถึงเอาชนะฆ่าฟันคนฟิลิสเตียได้ เพราะฉะนั้น....เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น จริงๆแล้วก็คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้แซมสันได้มีโอกาสแก้แค้นคนฟิลิสเตียเป็นครั้งแรก แม้ว่ากระบวนการบางอย่างมันจะดูไม่ถูกต้องหรือสวยงามนักในสายตามนุษย์ อยากให้เด็กๆพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีๆ...ว่าหลายครั้งพระเจ้าอาจใช้คนบางคน ของบางสิ่ง หรืออนุญาตให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ก็เพื่อที่จะให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทุกอย่างได้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะฉะนั้น แม้เราจะไม่เข้าใจแต่ขอให้จำไว้ว่า สุดท้ายแล้วทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะเป็นผลดีกับเราแน่นอน ดูต่อไปในบทที่๑๕.บอกว่า พอถึงฤดูเกี่ยวข้าวแซมสันก็เกิดคิดถึงภรรยาเลยกลับไปหา(กะจะไปง้อขอคืนดี) เอาแพะไปฝากตัวนึงด้วย แต่พอไปถึงพ่อตาบอกว่า เอาน้องแทนได้มั๊ยเพราะยกเมียของแซมสันให้คนอื่นไปแล้ว...แค่นั้นแหละแซมสันก็ลุกเป็นไฟ (แล้วก็ได้สร้างวีรกรรมทำเพื่อเธอ..) ออกไปจับหมาจิ้งจอกมาสามร้อยตัวมัดหางติดกันเป็นคู่ เอาเชื้อเพลิงติดไว้กับทุกคู่แล้วจุดไฟเผา เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มันวิ่งเตลิดเปิดเปิงเข้าไปในนาของคนฟิลิสเตีย ไร่นาก็ถูกเผาวอดวายทั้งนาข้าว ทั้งสวนมะกอก (เนี่ยแซมสัน...สุดยอดแห่งความคิดสร้างสรรค์ ในการทรมานสัตว์)
พอชาวฟิลิสเตียรู้ว่าเป็นฝีมือของแซมสัน ก็ไปลงที่ภรรยากับพ่อตาหาว่าสองคนนี้เป็นต้นเหตุก็เลยฆ่าทิ้งซะ อ่ะ..พอแซมสันรู้เข้าก็แค้นอีก ออกไปฆ่าคนฟิลิสเตียอีก คราวนี้ตายไปเยอะแต่ไม่รู้กี่คน พระคำภีร์บอกไว้แต่ว่า ..แซมสันฆ่าซะแหลกจนพอใจแล้วก็หนีไปอยู่ที่ยูดาห์
แซมสัน ตอนที่๓ (แซมสันชนะพวกฟิลิสเตียที่เมืองเลฮี) ผวฉ.15:9-20
คนฟิลิสเตียก็ตามล่าแซมสันไปถึงเขตแดนของคนยูดาห์ ชาวยูดาห์ไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกฟิลิสเตียอยู่แล้วเพราะคิดว่า..ยังไงก็สู้ไม่ได้ ก็เลยจับแซมสันมัดแล้วส่งตัวให้พวกฟิลิสเตีย แต่พอถึงมือพวกฟิลิสเตียพระเจ้าก็สถิตกับแซมสัน ทำให้เขาสามารถฆ่าคนฟิลิสเตียไปมากถึงพันคนด้วยกระดูกขากรรไกรลาเพียงท่อนเดียว แล้วแซมสันพูดว่าไงเด็กๆดูในข้อที่๑๖. ”ด้วยขาตะไกรลา เป็นกองซ้อนกอง ด้วยขาตะไกรลา เราได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย” คือแซมสันพูดประมาณว่า “แค่ขาตะไกรลาเพียงชิ้นเดียว คนก็ตายเป็นกองพะเนิน เขาสามารถฆ่าคนนับพันได้ ด้วยขาตะไกรลาเพียงชิ้นเดียว” คือเขาน่าจะพูดด้วยความภาคภูมิที่ติดจะเย่อหยิ่งเล็กๆนะ...น้าตุ๊กว่า เพราะหลังจากนั้นในข้อที่๑๘.บอกไว้ว่า “แซมสันอ่อนเพลียและกระหายน้ำมากๆ จนต้องร้องทุกข์ถึงพระเจ้าเพราะคล้ายๆจะสำนึกได้ว่ากำลังวังชาและความสำเร็จทั้งหมดนั้น...มันมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ถ้าณ.ตอนนี้แค่พระเจ้าไม่ประทานน้ำให้เขาดื่ม..แซมสันจะรอดมั๊ย ไม่รอด..ต้องตายแน่ ดังนั้นเมื่อแซมสันสำนึกได้และโมทนาพระคุณแล้ว พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้น้ำไหลออกมาอย่างอัศจรรย์ แซมสันถึงได้รอดตายเพราะได้ดื่มน้ำและจิตวิญญาณก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง พระคำภีร์บอกว่าแซมสันวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี แต่แซมสันไม่ได้วินิจฉัยในทางที่เป็นแม่ทัพกู้ชาติ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินหรือปกครองอิสราเอล แต่แซมสันได้ชื่อว่าเป็นผู้วินิจฉัยคนหนึ่งเพราะเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ ปลุกใจคนอิสราเอลให้มีความกล้าหาญ กล้าลุกขึ้นต่อสู้กับพวกฟิลิสเตียจนอิสราเอลสามารถบรรลุผลสำเร็จในสมัยของก.ซาอูลและก.ดาวิด แต่เรื่องของแซมสันก็ยังไม่ได้จบแค่นั้น...
เรื่องของแซมสันที่เมืองกาซา ผวฉ.16:1-3
ประเด็นสำคัญในตอนนี้ จริงๆแล้วก็คือ การชี้ให้เห็นถึงนิสัยแย่ๆของแซมสันที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทำผิดกฎข้อห้ามของการเป็นนาศีร์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง”เรื่องผู้หญิง” ในบทที่๑๖บอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เมืองกาซา มีคนเห็นแซมสันเข้าไปนอนกับหญิงโสเภณี พวกฟิลิสเตียก็เลยยกกันมาดักรอจะฆ่าแซมสัน กะว่าตอนเช้าพอแซมสันออกมาก็จะฆ่าทิ้งซะเลย(สร้างปัญหาดีนัก) ว่าแล้วพวกฟิลิสเตียก็ล้อมที่นั้นไว้ซุ่มรออยู่ที่ประตูเมือง ปรากฎว่า....ยังไม่ทันจะเช้าเลยแค่เที่ยงคืนเท่านั้นแหละ พระคำภีร์บอกว่า”แซมสันก็ลุกขึ้นมายกประตูเมืองรวมทั้งเสาสองต้น พร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไปถึงยอดภูเขาหน้าเมืองเฮโบรน” (นึกถึงเรื่องมนุษย์จอมพลังเนอะ ไอ้ตัวเขียวๆอ่ะ) คือแซมสันคงคิดแล้วล่ะว่าถ้าแบกไปแต่คน...คงต้องเดินหลายเที่ยว สู้ยกไปทั้งยวงดีกว่า เที่ยวเดียวจบ
สรุปว่าแซมสันรอดจากมือพวกฟิลิสเตียได้อีกครั้ง..อย่างไม่มีปัญหา แต่นิสัยของแซมสัน ที่เสียเรื่องผู้หญิงเอามากๆเนี่ย มันทำให้พวกฟิลิสเตียจับทางเขาได้ จนในที่สุดเมื่อมาถึงตอนที่๔ เราก็จะเห็นว่าสุดท้ายแซมสันก็พลาดจนได้ (เพราะหมกมุ่นกับผู้หญิงจนได้เรื่อง) วันนี้เวลาหมดแล้ว เรื่องของแซมสันคงต้องไปต่อกันสัปดาห์หน้า
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่ 5 อาทิตย์ที่ 1:11:2009

เยฟธาห์ ตอนที่ ๑ ผวฉ.10:6-18/11:1-33
อิสราเอลกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก พระองค์จึงขายเขาไว้ในมือของคนอัมโมนและคนฟิลิสเตีย คนอัมโมนเริ่มโจมตีเผ่าทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดนก่อนแล้วจึงข้ามมาตีทางฝั่งตะวันตกยึดครองเขตแดนของคนอิสราเอลได้มากพอสมควร แล้วอีกด้านหนึ่งพวกฟิลิสเตียก็บุกเข้ามายึดเขตแดนริมฝั่งทะเลทางภาคใต้ อิสราเอลถูกข่มเหงอยู่นานสิบแปดปีก็ทนไม่ไหวก็เลยร้องทุกข์ต่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงตอบว่ายังไงดูผวฉ.10:11-14 พระเจ้าทรงตอบว่า “กี่ครั้งแล้วที่เราช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากมือของศัตรูนับตั้งแต่ออกจากอียิปต์ แล้วเมื่อสุขสบายพวกเจ้าก็ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระอื่น เพราะฉะนั้น เราจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว จงไปร้องทุกข์ต่อพระเหล่านั้นที่พวกเจ้าเลือกปรนนิบัติ ไปขอให้พระพวกนั้นช่วยเจ้าสิ” (ดูซิจะช่วยได้มั๊ย)
คนอิสราเอลก็สำนึกผิดกลับใจใหม่ (เพราะเลือดมันเข้าตา) ก็เลยละทิ้งพระอื่นหันมาปรนนิบัติพระเจ้า (อีกครั้ง) พระเจ้าก็ทรงใจอ่อน (อีกครั้ง..เช่นกัน นี่แหละ..คือพระลักษณะของพระเจ้า...ที่ปรากฎชัดเจนในหนังสือผู้วินิจฉัย คือทรงพระกรุณาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด)
ในครั้งนี้พระเจ้าก็ทรงเลือก”เยฟธาห์”ให้มาเป็นผู้ปลดปล่อยอิสราเอล เยฟธาห์คือใคร....เยฟธาห์เป็นผู้ที่มีชีวิตค่อนข้างที่จะโลดโผน พระคำภีร์บอกว่า เยฟธาห์เป็นลูกของกิเลอาดที่เกิดกับหญิงโสเภณี
ทีนี้เมื่อเยฟธาห์โตขึ้นก็เลยเป็นที่รังเกียจของพี่น้อง ก็คือลูกๆที่เกิดจากเมียแต่ง พี่น้องของเยฟธาห์ได้ผลักไสไล่ส่งเขาให้ออกไปจากครอบครัว เพราะไม่ต้องการให้เยฟธาห์มีส่วนร่วมในมรดก เยฟธาห์ก็เลยต้องร่อนเร่ไปอยู่เมืองโทบ แล้วพอโตขึ้นมาก็คบค้ามั่วสุมอยู่กับพวกนักเลง (ตามประสาคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ ไม่มีใครชี้นำถูกผิด) แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังคงเห็นว่า งานนี้เยฟธาห์นั้นเหมาะสมที่สุด ...... พวกผู้นำเผ่าต่างๆก็เลยไปหาเยฟธาห์เพื่อที่จะเชิญให้เขามาเป็นคนฝึกกองทหารของอิสราเอล ก็คือให้มาเป็นคล้ายๆผู้นำหรือผู้บัญชาการทหารน่ะแหละ เพราะเห็นว่าเยฟธาห์เป็นคนสมบุกสมบัน แล้วเด็กๆว่าเยฟธาห์จะคิดยังไง ในเมื่อตอนเป็นเด็กก็เนรเทศเขาไป..ให้ระหกระเหิน แต่มาตอนนี้กลับมาขอให้ช่วย เยฟธาห์ก็คิดหยั่งงี้แหละก็เลยไม่ยอมตกลงง่ายๆ เขายื่นข้อเสนอกับพวกผู้นำว่าถ้าจะให้เขาตกลง ก็ต้องสัญญาว่าจะให้เขาได้เป็นผู้นำชาติตลอดไปด้วย พวกผู้ใหญ่ก็ตอบตกลงตามที่เยฟธาห์ขอทุกอย่าง
หลังจากนั้นเยฟธาห์ก็เริ่มปฏิบัติการขั้นต้น (คือใช้วิธีไปเจรจายอมความก่อน น้าตุ๊กว่า..เยฟธาห์จัดว่าเป็นนักเลงที่เก๋าพอสมควรนะ ไม่ได้เป็นอันธพาลเลือดร้อน...ที่เอะอะก็ท้าตีท้าต่อย) เยฟธาห์ได้ส่งผู้สื่อสารไปหากษัตริย์คนอัมโมน ถามเลย..ตามประสานักเลง ว่า”ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า” ถ้าจะแปลเป็นภาษาเรา ก็คือ
“ไม่พอใจอะไรเหรอ ถึงได้มาหาเรื่องกัน”
ทางฝ่ายคนอัมโมนก็บอกว่า “ ดินแดนฝั่งตะวันออกที่พวก you อยู่เนี้ย จริงๆแล้วเป็นของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะเอาคืน “
เยฟธาห์ตอบอย่างใจเย็น โดยให้เหตุผลสามข้อก็คือ
๑.อิสราเอลยึดเขตแดนทางภาคตะวันออกจากชนชาติที่พระเจ้าทรงพิพากษาคือดินแดนของพวกอาโมไรต์ ไม่ได้ยึดเขตแดนของพี่น้อง (ซึ่งก็คือพวกโมอับ อัมโมน แล้วก็เอโดม) เพราะพระเจ้าไม่ได้อนุญาต
๒.พระเจ้าเป็นผู้บัญชาให้อิสราเอลยึดกิเลอาด คือดินแดนที่ว่าเนี้ย เพราะฉะนั้น อิสราเอลจะฝืนคำสั่งพระเจ้าไม่ได้ อีกอย่าง..พวกเขาเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว...ว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ทำตามพระบัญชาของพระเจ้า (อย่างตอนที่ต้องวนเวียนอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี นั่นก็เพราะพระเจ้าบอกให้เข้าไปยึดครองคานาอัน แต่พวกเขาไม่ยอมทำตามก็เลยต้องโดนอย่างงั้น)
เหตุผลข้อที่๓.กษัตริย์โมอับในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ บาลาคถ้าเด็กๆจำได้ (บาลาค กับ บาลาอัม) เยฟธาห์บอกว่า..บาลาคก็ไม่เห็นจะว่าหรือทำอะไรได้เลย ตอนที่อิสราเอลยึดครองกิเลอาด แล้วจะมาหาเรื่องอะไรกันตอนนี้ แต่ไม่ว่าเยฟธาห์จะพูดยังไงคนอัมโมนก็ไม่ฟัง....ก็คือยืนกรานที่จะทำสงครามกับคนอิสราเอล
เยฟธาห์ก็เลยยกกองทหารผ่านดินแดนกิเลอาดไปถึงเขตแดนของคนอัมโมน แล้วพระเจ้าก็ทรงสถิตกับเขา คือจริงๆพระเจ้าพร้อมที่จะประทานชัยชนะให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ส่วนหนึ่งก็เพราะเยฟธาห์เติบโตมาในสังคมที่ค่อนข้างล่อแหลม คืออยู่ในดงนักเลง ก็เลยทำให้ความเชื่อในทางพระเจ้าของเขายังไม่ค่อยจะสมบูรณ์.....เขาก็เลยออกปากบนกับพระเจ้าว่า”ถ้าเขาเอาชนะคนอัมโมนได้ ใครก็ตามที่ออกมาจากประตูเรือนเพื่อต้อนรับเขาเป็นคนแรก จะต้องถูกเผาเป็นเครื่องบูชาถวายพระเจ้า”
อันนี้เป็นการบนบานเพราะขาดความรู้ พูดง่ายๆสิ่งที่เยฟธาห์ทำเนี้ย มันทำให้เราเห็นว่าคนอิสราเอลในสมัยนั้นมีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนมาก... แล้วก็คงลืมกฎบัญญัติของพระเจ้ากันหมดแล้ว
เพราะกฎบัญญัติของพระเจ้าบอกไว้ชัดเจนว่าห้ามฆ่าคน แต่สิ่งที่เยฟธาห์กำลังทำเนี้ยมันเป็นพิธีกรรมของคนคานาอัน ไม่ใช่กฎบัญญัติของพระเจ้า.....
ว่าแล้วเยฟธาห์ก็ยกไปรบกับคนอัมโมน พระคำภีร์บอกว่า..พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้กับเขา เยฟธาห์ก็เลยชนะรวดยี่สิบหัวเมือง คนอัมโมนก็หมดฤทธิ์ อิสราเอลก็ได้เป็นไทอีกครั้ง
เยฟธาห์ ตอนที่๒
(บุตรีของเยฟธาห์) ผวฉ.11:34-40
เมื่อรบชนะเสร็จสรรพเยฟธาห์ก็กลับบ้าน พอมาถึง”ลูกสาว”คนเดียวก็ถือฉาบเต้นโลดออกมาต้อนรับ... พอเยฟธาห์เห็นลูกสาวออกมาต้อนรับเป็นคนแรกเท่านั้นแหละ (ลมแทบใส่) นึกขึ้นได้ว่าเคยบนอะไรไว้กับพระเจ้า ว่าแล้วก็พิราบร่ำรำพันกับคำบนบานของตัวเอง ที่บอกว่าใครที่ออกมาต้อนรับเขาเป็นคนแรกจะต้องถูกฆ่าเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า แล้วตอนนี้คนที่ต้องถูกฆ่าก็คือ...ลูกสาวตัวเอง
ลูกของเยฟธาห์ก็ช่างสัตย์ซื่อ บอกพ่อว่าไม่เป็นไร...พ่อบนอะไรไว้ก็ทำตามนั้นเถอะ แต่เขาขอเวลาทำใจซักสองเดือน หลังจากครบสองเดือนลูกสาวของเยฟธาห์ก็ถูกฆ่าเพื่อเป็นเครื่องบูชาตามที่พ่อบนไว้ นี่ล่ะนะ..บทเรียนของคนที่ขาดความรู้ในทางพระเจ้า ทำให้ต้องพบความสูญเสียโดยใช่เหตุ เพราะถ้าเยฟธาห์มีความเชื่อและติดสนิทกับพระเจ้ามากกว่านี้ เขาจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้โปรดให้ใครใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องเซ่นสังเวย (ถูกมะ).... พระคำภีร์บอกต่อไปว่า หลังจากนั้นก็มีธรรมเนียมที่ลูกสาวคนอิสราเอลจะมีการไปร้องไห้ไว้ทุกข์ ให้ลูกสาวของเยฟธาห์ทุกปีๆละ๔วัน
เยฟธาห์และคนเอฟราอิม ผวฉ.12:1-7
คนเอฟราอิมมาพูดกับเยฟธาห์ว่า”ไปรบกับคนอัมโมนทำไมไม่ชวนชั้น เพราะฉะนั้นชั้นจะเผาบ้านเธอ” (อ้าว) เอาอีกละ...คนเอฟราอิม จำได้มะคราวก่อนก็ไปต่อว่ากิเดโอน...หาว่าไปรบแล้วไม่ชวน แต่กิเดโอนใจเย็นรู้จักใช้คำพูดยกยอปอปั้น...ก็เลยไม่ผิดใจกัน
แต่เยฟธาห์เนี่ยนิสัยเขาติดจะเป็นนักเลง ก็เลยตอบกลับด้วยท่าทางขึงขังว่า
“เมื่อหลายปีก่อนคนเผ่าตะวันออกเคยไปขอให้คนเผ่าเอฟราอิมมาช่วยขับไล่ศัตรู แต่ก็ไม่เห็นมาช่วยซักที ครั้งนี้ก็เลยไม่อยากจะเรียก” และในข้อที่๔บอกว่า คนเอฟราอิมได้กล่าวถากถางคนกิเลอาด (คนเผ่าตะวันออก)ว่า...
“เจ้าคนกิเลอาด เจ้าเป็นคนหลบหนีของชาวเอฟราอิม ท่ามกลางคนเอฟราอิมและมนัสเสห์” พูดอย่างงี้แปลว่าไร (แถวบ้านน้าตุ๊กเรียกว่า..อยากมีเรื่อง) คือเขาหาว่า”คนเผ่าตะวันออกเป็นคนขี้ขลาด...ไม่เอาพี่น้อง” แล้วถ้าคิดดูให้ดีคำว่า"กิเลอาด"เนี่ย..มันคือชื่อของวงศ์ตระกูลเและที่สำคัญมันเป็นชื่อ"พ่อ"ของเยฟธาห์ด้วย (เล่นพาดพิงถึงบรรพบุรุษกันเลยนะ) เยฟธาห์เองก็ไม่ใช่คนใจเย็น (เหมือนกิเดโอน) พอได้ยินคนเอฟราอิมพูดอย่างงี้....ก็เลือดขึ้นหน้า ชวนสมัครพรรคพวกให้จับอาวุธเพื่อแก้แค้นคนเอฟราอิม พร้อมทั้งยึดท่าข้ามน.จอร์แดนไว้แล้วไม่ยอมให้คนเอฟราอิมข้ามผ่าน....ทีนี้พวกของเยฟธาห์จะรู้ได้ไงว่าคนไหนเป็นคนเอฟราอิม วิธีก็คือให้พูดคำว่า”ชิบโบเลท”เพราะพระคำภีร์บอกว่า คนเอฟราอิมจะออกเสียงคำนี้ไม่ได้ แต่จะออกเป็น “สิบโบเลท” เพราะฉะนั้นถ้าพูดชัดก็โอเค...ไปได้ แต่ถ้าสิบโบเลทเมื่อไหร่ ก็ฆ่าทิ้งเลย (งานนี้คนเอฟราอิมเจอของแข็งเข้าให้..ไม่เหมือนตอนที่ตั้งแง่กับกิเดโอน) แล้วครั้งนั้นก็มีคนเอฟราอิมก็ถูกฆ่าตายไปถึงสี่หมื่นสองพันคน
หลังจากที่เยฟธาห์ช่วยอิสราเอลให้หลุดพ้นอำนาจของคนอัมโมนได้แล้ว...เขาก็ได้เป็นผู้นำชาติตามที่ได้ตกลงไว้กับผู้ใหญ่แต่เยฟธาห์ปกครองอิสราเอลอยู่เพียงหกปีก็สิ้นชีวิต
หลังจากนั้นอิสราเอลก็มีผู้วินิจฉัยอีกสามคนที่พระคำภีร์บันทึกเรื่องราวไว้เพียงสั้นๆ ชื่อ อิบซาน...เอโลน...อับโดน เด็กๆเปิดไปดู...
อิบซาน ผวฉ.12:8-10 เอโลน ผวฉ.12:11-12 อับโดน ผวฉ.12:13-15
พระคำภีร์ก็ได้บันทึกเรื่องราวของผู้วินิจฉัยทั้งสามคนนี้ไว้เพียงสั้นๆ นักวิชาการบอกว่าทั้งสามคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะ แล้วก็เป็นคนในตระกูลที่มีชื่อเสียงของอิสราเอลในสมัยนั้น
แซมสัน ตอนที่๑ ผวฉ.13:1-25
ดูผวฉ.13:1-5 คนอิสราเอลทำความชั่วอีกครั้ง...ทรยศและหันหลังให้พระเจ้า พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือของชาวฟิลิสเตียซึ่งเป็นศัตรูที่แข็งแรง...น่ากลัวกว่าศัตรูอื่นๆทั้งหมดในสมัยนั้น และอิสราเอลก็ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของฟิลิสเตียนานสี่สิบปี จนกระทั่งถึงสมัยของซามูเอลฟิลิสเตียก็ยังเป็นศัตรูคนสำคัญทั้งในสมัยของก.ซาอูลแล้วก็ก.ดาวิด
ในครั้งนี้คนที่พระเจ้าทรงเลือกให้มาช่วยกู้อิสราเอลจากมือพวกฟิลิสเตีย (ก็แรงพอกันกับคนฟิลิสเตีย) คือ”แซมสัน” ในข้อที่สามบอกว่า ”พระเจ้าส่งทูตของพระองค์มาปรากฎแก่แม่ของแซมสันซึ่งในตอนนั้นพระคำภีร์ระบุว่า “เป็นหมัน" แต่ทูตของพระเจ้าบอกกับแม่ของแซมสันว่า เจ้าจะตั้งครรภ์แล้วออกลูกเป็นผู้ชายและเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด (นาศีร์คืออะไร) จริงๆก็เรียนกันไปแล้วในหนังสือกดว. ..ทบทวนกันอีกทีเด็กๆเปิดไปดูกดว.6:1-4/5-8 สรุปแล้วนาศีร์ก็คือผู้ที่รักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อถวายแด่พระเจ้า โดยที่เขาต้องรักษากฎเกณฑ์ตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้คือไม่ดื่มเหล้าองุ่นรวมถึงทุกอย่างที่ได้จากต้นองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง.....ห้ามตัดผม.....และอีกข้อคือไม่เข้าใกล้หรือแตะต้องศพ(เพราะถือว่าเป็นมลทิน)
ผวฉ.13:24-25 ในที่สุดแซมสันก็ได้เกิดมาอย่างอัศจรรย์เพราะจริงๆแล้วแม่เขาเป็นหมัน แล้วยังโตขึ้นพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษที่พระเจ้าประทานให้อีกด้วย หลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไปติดตามกันต่อในตอนที่๒ สัปดาห์หน้านะคะ.....วันนี้เวลาหมด พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่4 อาทิตย์ที่ 25:10:2009

กิเดโอน ตอนที่๓ ผวฉ.8:1-21
หลังจากที่คนเอฟราอิมได้กำจัดชาวมีเดียนที่พยายามหลบหนีได้แล้ว พวกเขาก็หันมาต่อว่ากิเดโอนด้วยความน้อยใจว่า ทำไมไม่ชวนพวกเขาไปร่วมรบตั้งแต่แรกเหมือนไม่ให้เกียรติกัน แต่กิเดโอนก็ได้ตอบพวกเขาอย่างใจเย็นว่า “ผลองุ่นที่กิเดโอนกับกองทหารเก็บนั้นไม่สำคัญเท่ากับผลองุ่นที่คนเอฟราอิมเก็บเล็ม...”
อันนี้เป็นการพูดยกย่องสรรเสริญ เพราะคนเอฟราอิม..ได้ฆ่าเจ้านายคนสำคัญของพวกมีเดียน ส่วนกิเดโอนกับพวกน่ะ..ถึงจะฆ่าชาวมีเดียนไปเยอะแต่ก็เป็นแค่พลทหาร จะไปสำคัญเท่ากับสิ่งที่คนเอฟราอิมทำได้ไง (อ่ะ..รู้จักพูด ก็เลยโอเค สมานฉันท์ ) คนเอฟราอิมก็เลยหายงอนไม่ติดใจอะไรอีก นี่แหละ..อานุภาพของสิ่งที่ออกมาจากปากคน ที่น้าตุ๊กเคยสอนแล้วว่า มันมีอานุภาพทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง อาจเปลี่ยนเย็นเป็นร้อน หรือจากร้อนให้ผ่อนคลาย เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร หรือเปลี่ยนเพื่อนสนิทให้กลายเป็นคนไกล ...อาจสร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่หรือบั่นทอนกำลังใจให้เหือดหาย ทุกอย่างเป็นไปได้เพียงเพราะแค่"คำพูด"ของคน
จากนั้น กิเดโอนก็ข้ามน.จอร์แดนไล่ตามทหารมีเดียนไปอย่างไม่ลดละ เพราะหัวหน้าของคนมีเดียนที่หนีไปเนี่ยเคยฆ่าพี่น้องท้องเดียวกันกับเขา แล้วตอนที่ตามศัตรูไปกิเดโอนก็ได้เอ่ยปากขอแบ่งอาหารจากคนอิสราเอลด้วยกันที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะเอามาเลี้ยงกองทหารที่กำลังไล่ตามศัตรู.. แต่ชาวเมืองสุคคทที่เป็นคนอิสราเอลด้วยกันเนี่ยไม่ให้..ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งอาหารให้กิเดโอนกับพวก พวกเขาพูดประมาณว่า “จับศัตรูได้แล้วหรือไง ถึงบอกให้เอาอาหารมาเลี้ยงน่ะ” กิเดโอนก็เลยโมโห บอกกับชาวบ้านที่ไม่มีน้ำใจพวกนี้ว่า “เดี๋ยวถ้าจับศัตรูได้แล้ว จะกลับมาคิดบัญชี”
ว่าแล้วกิเดโอนก็เดินทางต่อ...จนไปถึงเมืองเปนูเอล แล้วก็เอ่ยปากขอแบ่งอาหารจากชาวเมืองนี้อีกครั้ง คำตอบที่ได้รับก็เหมือนเดิม คือถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย กิเดโอนเลยบอกว่าคอยดูนะ...เดี๋ยวเขาจะกลับมาพังป้อมของเมืองนี้ คือพูดด้วยความแค้น....เพราะเป็นพี่น้องร่วมชาติกันแท้ๆยังจะแล้งน้ำใจ แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง... พวกชาวบ้านคงกลัวชาวมีเดียนจะกลับมาแก้แค้นมากกว่าถ้าเลี้ยงอาหารกิเดโอนกับพวก เพราะพวกเขาไม่คิดว่ากิเดโอนจะเอาชนะพวกมีเดียนได้
ในที่สุดกิเดโอนก็จับตัวหัวหน้าสองคนนี้ได้ เสร็จแล้วก็ลากตัวกลับมาที่เมืองสุคคทแล้วก็พูดกับชาวเมืองนั้นประมาณว่า “เอ้า..ดูซะให้เต็มตา นี่ไงศัตรูที่พวกเจ้าเคยดูถูก...คิดว่าเราคงไม่มีวันที่จะจับตัวได้ วันนั้นถึงไม่ยอมแบ่งอาหารให้เรา” ว่าแล้วกิเดโอนก็จัดการลงโทษชาวเมืองสุคคทแล้วก็ทำลายป้อมของเมืองเปนูเอลตามที่เคยพูดไว้ หลังจากนั้นก็ฆ่าหัวหน้าชาวมีเดียนที่จับตัวมาได้
กิจการต่อไปและมรณกรรมของกิเดโอน
ดูผวฉ.8:22-24 ข้อนี้บอกว่าคนอิสราเอลรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คือสามารถเอาชนะพวกมีเดียนได้ ก็เลยอยากให้กิเดโอนเนี่ยมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขาซะเลย แต่กิเดโอนไม่เอา.... กิเดโอนบอกว่าพระเจ้าจะทรงปกครองชาติอิสราเอลเอง
แต่ว่ากิเดโอนก็ได้ขอสิ่งหนึ่งกับชาวอิสราเอล คือ ขอให้ประชาชนถวายต่างหูทองคำที่ริบมาจากชาวมีเดียนให้กับเขา ทุกคนก็โอเค..เสร็จแล้วกิเดโอนก็เอาทองมาหลอมรวมกันแล้วทำเป็นรูปเอโฟด (เครื่องแต่งกายชิ้นสำคัญของปุโรหิต) แล้วก็เอาไปตั้งไว้ที่เมืองโอฟราห์ พระคำภีร์ระบุว่า..หลังจากนั้นไม่นานคนอิสราเอลก็หลงเอาไอ้เจ้าเอโฟดที่กิเดโอนสร้างเนี้ย มาเป็นรูปเคารพ...กราบไหว้มันเทียบเคียงพระเจ้าเลย
ดูผวฉ.8:29-32 พระคำภีร์ตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้กิเดโอนจะไม่รับตำแหน่งกษัตริย์ของอิสราเอล แต่เขาก็มีความเป็นอยู่...แล้วก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากกษัตริย์ซักเท่าไหร่ คือมีบ้านหลังใหญ่...เหมือนสร้างอาณาจักรของตัวเอง แล้วก็มีเมียหลวงกับเมียน้อยหลายคน มีลูกเยอะมากถึงเจ็ดสิบคน....แล้วหนึ่งในนั้นก็คือ อาบีเมเลค (เดี๋ยวเราจะเรียนเรื่องของ อาบีเมเลค กันต่อ) และเช่นเคย...หลังจากที่กิเดโอนเสียชีวิตไป คนอิสราเอลก็ลืมพระเจ้าอีก หลงหายไปไหว้พระอื่นอีกครั้ง (ตามเคย)
รัชกาลอาบีเมเลค
ดูผวฉ.9:1-3/4-6 อาบีเมเลคก็คือลูกชายคนหนึ่งของกิเดโอน ที่เกิดจากเมียน้อยชาวเชเคม หมายถึงเป็นคนคานาอันนะ...ไม่ใช่คนอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในเชเคม ในข้อนี้บอกว่า อาบีเมเลคได้ไปหาแม่กับญาติๆที่เมืองเชเคม แล้วก็พูดหว่านล้อมคนกลุ่มนี้ในฐานะที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ให้สนับสนุน ช่วยเหลือตัวเองให้เป็นกษัตริย์ ชาวเชเคมที่เป็นพวกเดียวกันกับแม่ของอาบีเมเลคก็เลยช่วยกันฆ่าลูกคนอื่นๆของกิเดโอน แล้วตั้งให้อาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ (แต่ไม่ใช่กษัตริย์ที่ครองทั้งประเทศเหมือนที่เราเข้าใจหรอก เพราะอาบีเมเลคปกครองแค่สองสามเมืองในแถบนั้น) แต่ยังไงก็ตามในข้อที่๕ บอกว่ามีลูกคนสุดท้องของกิเดโอนคนหนึ่งชื่อ “โยธาม” ที่สามารถหนีรอดมาได้
ดูผวฉ.9:7-10/11-15 ในข้อนี้บอกว่า โยธามได้ขึ้นไปบนภ.เกริซิมแล้วก็แผดเสียงร้อง ตักเตือนชาวเชเคมในลักษณะคล้ายๆจะเป็นคำพยากรณ์ โดยใช้คำอุปมาเปรียบเทียบคนอิสราเอลเป็นต้นไม้ แล้วก็เปรียบผู้ใหญ่หรือผู้นำที่ดีของอิสราเอลเป็นต้นมะกอกเทศ ต้นมะเดื่อ แล้วก็เถาองุ่น ทำไมถึงต้องเปรียบคนดีเป็นต้นไม้สามอย่างนี้ เพราะต้นไม้ทั้งสามอย่างนี้ให้ผลดี และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ โยธามบอกว่าต้นไม้ต่างๆได้ไปเชิญต้นมะกอก ต้นมะเดื่อแล้วก็เถาองุ่นให้มาปกครองตนเอง อันนี้หมายถึงชาวอิสราเอลได้เคยขอให้ผู้นำที่ดี ผู้นำที่เคยสร้างประโยชน์สุขให้แก่อิสราเอล มาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา แต่ผู้นำที่ดีนั้นก็ไม่เอา อย่างเช่นกิเดโอนพ่อของโยธามเองก็ไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ เด็กๆคิดว่าเพราะอะไร ผู้ใหญ่หรือผู้นำที่ดี ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่อและเสียสละมักจะไม่ค่อยยอมรับตำหน่งผู้นำคนสำคัญต่อ...ถ้าไม่จำเป็น เพราะเขาไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์ หรือเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ และการเป็นผู้นำในทุกสถาบันนั้น แท้จริงแล้วมันหมายถึงภาระหน้าที่อันหนักหน่วง การเสียสละทั้งเวลาและความสุขส่วนตัวอย่างแท้จริงเพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้นำที่ดีๆมักต้องการที่จะเกษียณตัวเองเมื่อถึงเวลาอันสมควร คือเมื่อเขาคิดว่า..ตนเองก็ได้สร้างประโยชน์สุขให้แก่สังคมหรือสถาบันมาจนสมควรแก่เวลาแล้ว ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เกียรติยศชื่อเสียง มองตำแหน่งผู้นำเป็นเหมือนการได้เป็นคนพิเศษ มีอำนาจวาสนาบารมี คนกลุ่มนี้มักจะมีความทะยานอยาก และพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ (เหมือนอย่าง"อาบีเมเลค" นี่ไง) ต่างจากผู้นำที่ดีอย่างสิ้นเชิง ที่มักจะมีคนไปเชิญให้มาเป็น...แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากจะรับ (ในสังคมการเมืองบ้านเราก็ยังมีให้เห็น)
ในข้อที่๑๔.บอกว่า “บรรดาต้นไม้ก็เลยไปขอให้ต้นหนามไข่กุ้งมาปกครองพวกตน..”ต้นหนามไข่กุ้งเท่าที่น้าตุ๊กค้นเจอ รู้สึกว่าเขาจะใช้ทำแยมแต่มันเป็นต้นไม้ที่ไม่ให้ร่มเงา แล้วก็ติดไฟง่าย” โยธามเปรียบอาบีเมเลคเป็นต้นหนามไข่กุ้ง ที่ประชาชนไปสนับสนุนขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ซึ่งจะไม่ได้ให้ร่มเงาหรือความร่มเย็นกับพวกเขาเลย ตรงกันข้าม ต้นหนามไข่กุ้งนั้นจะติดไฟง่าย สามารถเผาผลาญทุกอย่างให้วอดวายไปชั่วพริบตา เช่นเดียวกับอาบีเมเลค ที่เขาเองจะเป็นเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ชาวเชเคม .....ในข้อที่๑๙. โยธามก็กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าประชาชนแน่ใจว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว ก็ขอให้ชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า แต่ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น มันไม่ถูกต้องก็ขอให้ทั้งสองฝ่ายเป็นเหมือนไฟที่จะเผาผลาญซึ่งกันและกัน พูดเสร็จโยธามก็หนีไปอยู่ที่เบเออร์
ดูผวฉ.9:22-25 อาบีเมเลคปกครองอิสราเอลได้สามปี คำพยากรณ์ของโยธามก็เป็นจริงขึ้นมา เพราะอาบีเมเลคกดขี่ประชาชนมาก พวกเขาก็เลยดิ้นรนวางแผนก่อการกบฎ แกล้งละเมิดกฎหมายสร้างสถานะการณ์ความเดือดร้อนไปทั่วในขณะที่อาบีเมเลคไม่อยู่ที่เชเคม แต่”เศบุล”เจ้าเมืองคนหนึ่งก็ได้ส่งข่าวการกบฎของประชาชนไปให้อาบีเมเลครู้ อาบีเมเลคก็เลยกลับมาจัดการพวกกบฎซะราบคาบ
แต่ขนาดราบคาบแล้วอาบีเมเลคก็ยังไม่ยอมหยุด.....กะว่าจะต้องสั่งสอนชาวเมืองซะให้เข็ด ทั้งชาวนา ชาวไร่ ไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิง
ดูผวฉ.9:46-49 ในข้อนี้บอกว่า มีชาวเมืองกลุ่มหนึ่งหนีตายไปรวมกันอยู่ในป้อมของวัด พอรู้ถึงหูอาบีเมเลค เขาก็พาพรรคพวกตัดไม้ตัดฟืนแบกไปที่ป้อมที่ชาวหอเชเคมหลบอยู่ เสร็จแล้วก็จัดการเผาป้อมย่างสดคนที่อยู่ข้างในซะสิ้นซาก ครั้งนั้นชาวหอเชเคมก็ตายไปร่วมพันคน (หยุดไม่อยู่แล้ว..ความบ้าบิ่นของอาบีเมเลค)
ดูผวฉ.9:50-54 หลังจากที่อาบีเมเลคเผาป้อมของชาวหอเชเคมแล้วเขาก็ยังบ้าเลือดไม่หยุด ยกไปยึดเมืองเธเบศ ประชาชนในเมืองนั้นก็หนีเข้าไปอยู่ในหอรบแห่งหนึ่ง ปิดประตูขังตัวเองแล้วก็หนีไปซ่อนอยู่บนหลังคา อาบีเมเลคก็ตามเข้าไปกะจะจุดไฟเผาให้ตายหมู่เหมือนที่หอเชเคม แต่พอเขามาถึงประตูทางเข้าหอรบ ก็มีหญิงคนหนึ่งสบโอกาสหยิบหินโม่แป้งทุ่มใส่หัวอาบีเมเลคกะโหลกแตกแต่ยังไม่ตาย...
ในข้อที่๕๔.บอกว่า “ท่านจึงรีบร้องบอกคนหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า เอาดาบฟันเราเสียเพื่อคนจะไม่กล่าวว่า ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าเขาตาย”.... พอถูกผู้หญิงเอาหินโม่แป้งทุ่มหัว...กะโหลกแตกใกล้ตาย พะงาบๆ เลยรีบบอกคนสนิทที่มาด้วยกันว่า เอาดาบฆ่าชั้นให้ตายที จะได้ไม่มีใครว่าได้...ว่าชั้นถูกผู้หญิงฆ่าตาย” แน่ะ...มีอาย ไม่อยากให้ใครดูถูกว่ามาตายด้วยน้ำมือสตรี เพราะห้าวหาญชาญชัยมาตลอด รบชนะฆ่าฟันคนมาเป็นหมื่นเป็นพัน แต่สุดท้ายมาตายน้ำตื้น (ถูกหินโม่แป้งทุ่มหัวตาย) .......ว่าแล้วคนสนิทก็สนองพระเดชพระคุณ ใช้ดาบแทงอาบีเมเลคจนถึงแก่ความตาย ทุกอย่างก็จบลงได้ตามคำพยากรณ์ของโยธาม
หลังจากนั้นอิสราเอลก็มีผู้วินิจฉัยอีกสองคนคือ โทลา และ ยาอีร์ แต่พระคำภีร์ไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการทหารและการเมืองในสมัยของทั้งสองท่านนี้ไว้ เข้าใจว่า คงจะเป็นผู้ปกครองวินิจฉัยทางราชการ และคงไม่มีเหตุการณ์โลดโผนอะไรมากมายนัก

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัยครั้งที่ 3 อาทิตย์ที่ 18:10:2009

บทเพลงของเดโบราห์และบาราค
บทประพันธ์หรือบทเพลงของเดโบราห์เริ่มต้นด้วยการนมัสการพระเจ้า แล้วก็ย้อนระลึกถึงชัยชนะของอิสราเอล และการสำแดงของพระเจ้าบนภ.ซีนายในสมัยโมเสส ถ้าเด็กๆสังเกตดูก็จะเห็นว่าบทเพลงหรือบทประพันธ์ที่คนอิสราเอลแต่งขึ้นในสมัยนั้น มักจะมีการกล่าวรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พระเจ้าปลดปล่อยคนอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์เสมอ เพราะแท้จริงแล้วเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนั้น มันเป็นสัญญาณถึงความรอดในยุคพระคุณของเราด้วย
เดโบราห์กล่าวต่อไปถึงคนอิสราเอลที่ถูกชาวคานาอันเบียดเบียน คอยปล้นสะดมจนทำไร่ทำนาไม่ได้ จนกระทั่งเดโบราห์นำพวกเขาจนได้รับชัยชนะและหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ ทำให้อีกหลายๆเผ่าพลอยตื่นตัวลุกขึ้นสู้ศัตรู
ในข้อที่๒๓-๒๗ บอกว่าบางคนในอิสราเอลเห็นแก่ตัวมาก ไม่ยอมช่วยพี่น้อง แต่”ยาเอล”นั้นน่าสรรเสริญเพราะมีความกล้าหาญอย่างมาก ที่ใช้เหล็กขึงเต๊นท์ตอกขมับศัตรู
ในข้อต่อมาก็กล่าวถึงแม่ของ”ศิเศรา”ที่ถูกเหล็กตอกขมับตาย ว่าป่านนี้คงจะคอยบุตรสุดที่รักจะเอาของที่ริบได้จากอิสราเอลมาแบ่งให้ (เพราะปกติ มันน่าจะเป็นอย่างงั้น) แต่ว่าไม่มีทางที่ลูกจะกลับมาอีกแล้ว เพราะครั้งนี้เขาพ่ายแพ้แล้วก็ถูกฆ่าตาย......ส่วนตอนท้ายของบทเพลงก็เป็นการขอพรต่อพระเจ้า ให้ศัตรูนั้นพินาศไป และให้อิสราเอลเจริญรุ่งเรือง
ซัมการ์ ผวฉ.3:31 เรื่องของซัมการ์
ซัมการ์เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล ที่พระคำภีร์พูดถึงเป็นคนที่สามภายหลังเอฮูด ที่พระเจ้าส่งมาช่วยปลดปล่อยอิสราเอล ให้พ้นจากการเบียดเบียนของพวกฟิลิสเตีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ค่อนข้างจะเข้มแข็งแล้วก็น่ากลัว ฟิลิสเตียเป็นคนทะเล ที่เริ่มบุกเข้ามายึดครองดินแดนคานาอันในช่วง1250ปีกคศ. ก็คือไล่เลี่ยกับสมัยของโยชูวา ส่วนชัมการ์ เป็นชาว “ฮูเรียน” หมายความว่าเป็นชาวต่างชาติไม่ใช่คนอิสราเอล เรื่องนี้ก็ทำให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าของเราทรงเป็นสากล ก็คือ..พระองค์เป็นพระเจ้าของคนทุกชาติไม่ได้เป็นพระเจ้าของอิสราเอลชาติเดียว เพราะฉะนั้นพระองค์จะใช้ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอิสราเอลเท่านั้น แล้วในข้อนี้ก็บอกว่า พระองค์ใช้ชัมการ์ให้ฆ่าชาวฟิลิสเตียไปมากถึงหกร้อยคน ดังนั้น ชัมการ์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้วินิจฉัยคนหนึ่งของอิสราเอลเหมือนกัน
กิเดโอน ตอนที่๑ ผวฉ.6:1-40
ในสมัยของกิเดโอน คนอิสราเอลก็ทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก (ยังไง) อย่างเดิม...ก็คือหันไปไหว้พระอื่น เมื่อเราเรียนพระคำภีร์กันมาเรื่อยๆ เราจะรู้สึกได้เลยว่า...คนคานาอันกับคนอิสราเอลสมัยนั้นชอบบูชาพระบาอัลกันมากๆ เพราะอะไร เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนั้น..เป็นเกษตรกร แล้วเชื่อกันว่า พระบาอัลเป็นเทพแห่งพายุและฝน มีอำนาจควบคุมอยู่เหนือผลผลิตทางการเกษตร จริงๆก็คือเหตุผลเดิมๆของคนทุกยุคทุกสมัยน่ะแหละ คือห่วงเรื่องปาก..เรื่องท้อง ฐานะความเป็นอยู่ของตัวเอง ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงจะเหมือนกับคนที่ชอบไปไหว้พระต่างๆ หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็ตามที่เชื่อว่า....ถ้าไหว้แล้วจะทำให้เขารวย (อารมณ์เดียวกัน) แล้วเราก็เคยคุยกันไปหลายครั้งแล้วว่า เรื่องปากท้องหรือเงินเนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์หวั่นไหวได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น มันก็ไม่แปลกเลยที่อิสราเอลจะสามารถรับเอาวัฒนธรรมผิดๆพวกนี้เข้ามาในชีวิตอย่างง่ายดาย จนกลายเป็นวงจรความบาปที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก
พระคำภีร์บอกว่า...ครั้งนี้พระเจ้าทรงมอบอิสราเอลไว้ในมือของชาวมีเดียนกับชาวอามาเลข คำว่า”มอบไว้ในมือ” ไม่ได้แปลว่าฝากฝังให้ช่วยดูแลนะ แต่แปลว่า “เป็นลูกไก่ในกำมือ” ยังไงยังงั้นเลย (จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด) ในข้อ๓.บอกว่า “เพราะคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไหร่ คนมีเดียนกับคนอามาเลข ก็มาปล้นเอาไปจนหมดทั้งพืชผลและฝูงสัตว์” ข้อที่๕.บอกว่า “เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ..” เปรียบเทียบกองทัพของศัตรูเป็นฝูงตั๊กแตน แปลว่า มากันเยอะจนตาลายนับไม่ถ้วน
เมื่อคนอิสราเอลร้องทุกข์กับพระเจ้า เพราะทนไม่ไหวแล้วถูกเขารังแก สู้เขาไม่ได้ กลัวมากจนต้องไปหลบอยู่ตามถ้ำ พระเจ้าจึงทรงเรียก “กิเดโอน” กิเดโอนเป็นใคร เป็นคนสำคัญของอิสราเอลรึเปล่า เป็นคนที่เกิดในตระกูลใหญ่โตใช่มั๊ย หรือว่าเป็นคนที่กล้าหาญจนออกหน้าออกตา......
ไม่ใช่ซักอย่างเดียว พระคำภีร์ผวฉ.6:15 บอกว่า “กิเดโอน ทูลพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยคนอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ (อันนี้น่าจะหมายถึงมีฐานะ..ต่ำต้อยที่สุด) และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัว (คนเล็กน้อยตามความหมายที่พระคำภีร์เคยใช้นั้นมีตั้งแต่... เป็นคนไม่สำคัญ ไม่ได้มีบทบาทหรือหน้าที่ๆสำคัญอะไรในครอบครัวหรืออาจจะหมายถึงยังเด็กอยู่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่) .....หรือว่า พระเจ้าทรงเรียกกิเดโอน เพราะเขาเป็นคนกล้าหาญรึเปล่า ไม่ใช่แน่,,,ย้อนกลับไปดูข้อที่๑๑. ข้อนี้บอกเราว่าอะไร..... ตอนที่พระเจ้าเรียกกิเดโอน กิเดโอนนวดข้าวอยู่ที่ไหน พระคำภีร์บอกว่า”เขากำลังนวดข้าวอยู่ในบ่อย่ำองุ่น” กล้าหาญมั๊ยล่ะ... “ขนาดจะนวดข้าว ยังต้องหลบไปนวดในบ่อย่ำองุ่น เพราะกลัวคนมีเดียนจะเห็น”
เพราะฉะนั้น หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เด็กๆได้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เลือกที่จะรักใคร หรือเลือกคนหนึ่งคนใดจากฐานะชาติตระกูล แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้เลือกที่ความสามารถ แล้วก็ไม่ใช่...คนดีเท่านั้นด้วยนะ ที่จะได้รับความรอด สัญญาณอันนี้พระเจ้าแสดงให้เราได้เห็นตลอดเวลา น้าตุ๊กเลยอยากจะให้เด็กๆมั่นใจให้ได้จริงๆว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นแบบไหน ถ้าพระเจ้าเลือกเราให้มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว ทุกคนสามารถได้รับความรอดอย่างเท่าเทียมกัน รอดก็คือรอด ไม่มีรอดมาก รอดน้อย เช่นเดียวกันกับความเชื่อ ที่น้าตุ๊กเคยสอนไปแล้ว ว่ามีแค่สองอย่าง คือเชื่อ กับไม่เชื่อ ไม่มีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่มีคะแนน50เต็ม100 หรือว่า 70 เต็ม 100 99.99 ก็ไม่มี มีแค่ 0 กับ 100 คะแนนเต็มเท่านั้น และเด็กๆอย่าสับสนระหว่าง "คนที่ไม่มีความเชื่อ กับคนที่จิตวิญญาณยังไม่เติบโตนะ เพราะสองกลุ่มนี้ถ้าดูเผินๆบางครั้งก็จะคล้ายกัน แต่ความจริงไม่เหมือนกันเลย"
อย่างที่น้าตุ๊กพูดไปแล้วว่า...ไม่ใช่คนดีเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงเลือกเข้ามารับความรอด เพราะฉะนั้น เราก็ควรจะเข้าใจไว้ด้วยเช่นกัน....ว่าพระเจ้ายังทรงรักคนบาป รักคนที่ไม่น่ารัก รักคนที่โลกอาจจะประนามว่าเป็นคนไม่ดี แล้วเราเป็นใคร...เราเป็นลูกของพระองค์ซึ่งต้องดำเนินตามพระลักษณะของพระองค์จนสุดกำลัง แล้วเราก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งซึ่งต้องขอพระเมตตาจากพระเจ้า เป็นเพียงคริสเตียนที่จดจ่อรอการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้น้าตุ๊กอยากจะให้เด็กๆใจกว้างกับทุกคน เพราะพระคำภีร์บอกว่า...จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเรารักแต่คนที่ทำดีกับเรา...เพราะคนต่างความเชื่อเขาก็ทำกันอย่างนั้น แล้วถ้าเราเลือกที่จะรักแต่คนที่เราพอใจ รักเฉพาะคนที่รักเรา เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
การรักศัตรูหรือรักคนที่เขาทำร้ายเราไม่ใช่เรื่องง่าย อันนี้ขอพูดตรงๆ ถ้าใครบอกว่าฉันทำได้ทันทีที่มาเชื่อพระเจ้า น้าตุ๊กไม่ค่อยอยากจะเชื่อ (แต่อาจจะมีก็ได้นะ...ถ้าป็นกรณีพิเศษสุดๆที่พระเจ้าเสริมกำลัง แต่ยังไม่เคยเห็น) ตามประสบการณ์ของน้าตุ๊กเราจะไม่สามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่เราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย น้อยจริงๆ...น้อยจนไม่สามารถรู้สึกได้ในวันต่อวัน จำได้มั๊ยที่น้าตุ๊กเคยสอน เขาใช้คำว่า “เมตามอร์โฟลิส” บรรยายภาพความงดงามของการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณของเรา เพราะเมตามอร์โฟลิสเป็นภาษากรีก แปลว่า การเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้บรรยายการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งที่ “หนอนกลายเป็นผีเสื้อ” ถ้าเด็กๆเคยดูสาระคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางฝ่ายวิญญาณนี้เป็นขั้นตอนสำคัญอันหนึ่งที่จะนำเราไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจะไม่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณ ความประพฤติ หรือการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปภายในวันเดียว หรือเดือนเดียว แต่เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราได้ทุกครั้งเมื่อเรามองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว....นานแค่ไหนแต่ละคนคงไม่เท่ากัน บางคนห้าปี บางคนสิบปี ยี่สิบปี หรือแม้กระทั่งจะต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยพระเจ้า
แล้วก็เช่นกันเราไม่สามารถที่จะเลือกปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า...แค่บางเรื่อง หรือเลือกเอาเฉพาะที่เราชอบ แล้วคิดว่าอันไหนที่ไม่ชอบ....ฉันก็จะไม่ทำ ฉันจะทำแต่ที่ฉันชอบ อย่างงี้...ไม่ได้ ถ้าใครคิดแบบนี้ คงต้องไปเคลียร์กับพระเจ้าเอง อาจจะไม่มีใครมาว่าเราหรอก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ เราจะต้องรับผิดชอบมันต่อพระพักตร์พระเจ้า
ดูต่อไปในข้อที่๑๓ กิเดโอนบอกว่า “...แต่สมัยนี้ พระเจ้าทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว” (มันใช่.มั๊ยเนี่ย) จริงๆแล้วเด็กๆว่า ใครทิ้งใครก่อน ทุกครั้งที่พระเจ้าพิพากษาพวกเขา ก็เป็นเพราะว่าอิสราเอลน่ะแหละ ที่ทิ้งพระเจ้าไปไหว้พระอื่น จนพระองค์ต้องตีสอน แต่ข้อนี้กิเดโอนพูดหน้าตาเฉยว่าพระเจ้าทิ้งพวกเขา...งงมะ นี่แหละ..มนุษย์ ชอบโทษคนอื่นอยู่เรื่อยไป ฉันต้องถูกเป็นคนแรก และจะขอผิดเป็นคนสุดท้าย
หลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสัญญากับกิเดโอนว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ แล้วเจ้าจะโจมตีคนมีเดียนเหมือนกับโจมตีคนๆเดียว” หมายความว่า กิเดโอนจะเอาชนะศัตรูได้อย่างง่ายๆ
กิเดโอนเริ่มทำการที่เรียกว่า ปฏิรูปบ้านเมืองตามบัญชาของพระเจ้า โดยคำสั่งแรกที่พระเจ้าสั่งให้ทำคือ ไปพังแท่นบูชาของพระบาอัล แล้วพอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองเห็นแท่นบูชาของพวกเขาถูกทำลายก็ยกกันมาหาโยอาช พ่อของกิเดโอน บอกให้ส่งตัวกิเดโอนออกมาเพื่อที่พวกเขาจะได้เอาหินขว้าง กิเดโอนจนตาย
เปิดไปดูฉธบ.13:6-11
จริงๆพระบัญญัติบอกว่า ใครที่ควรจะต้องถูกหินขว้างจนตาย คนที่ไหว้รูปเคารพหรือคนที่หันไปไหว้พระอื่นต่างหากที่ต้องถูกหินขว้างจนตาย แต่แทนที่จะเป็นอย่างงั้น คนอิสราเอลกำลังจะเอาหินขว้างกิเดโอนให้ตายเพราะเขาทำลายแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ เห็นหรือยัง.... ความเชื่อของคนอิสราเอลผิดเพี้ยนไปมากขนาดไหน คริสเตียนก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ระวัง...ความเชื่อของเราก็มีสิทธิที่จะผิดเพี้ยนได้เหมือนกัน เราเองก็จะสามารถหลงทางได้ตลอดเวลาเหมือนอิสราเอลในสมัยนั้น เด็กๆบางคนอาจจะกำลังสงสัยว่า...แล้วจะให้ระวังยังไง เราก็จะต้องติดสนิทกับพระเจ้าด้วยการมาโบสถ์ เรียนพระคำภีร์ อ่านพระคำภีร์ แล้วที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เรื่องไหนที่เราไม่รู้หรือไม่แน่ใจก็ให้เราปรึกษาศิษยาภิบาล
ในข้อที่๓๑.บอกว่า แต่โยอาช (ซึ่งจริงๆเป็นคนดูแลศาลของพระบาอัล) ได้ตอบชาวอิสราเอลว่า “พวกท่านจะออกโรงแทนพระบาอัลหรือ จะพยายามช่วยพระบาอัลหรือไง ใครสู้แทนพระบาอัลจะต้องถูกฆ่าตายในเช้าวันนี้ แล้วอีกอย่างถ้าพระบาอัลมีจริงหรือศักดิ์สิทธิ์จริง เขาต้องปกป้องตัวเองได้ถ้าจะมีใครมารื้อแท่นของเขา” โยอาชพูดแค่นั้น คนอิสราเอลตาสว่างทันที ทุกคนสำนึกผิดกลับใจใหม่หันมาร่วมแรงร่วมใจกับกิเดโอนต่อสู้คนมีเดียน หลังจากนั้นมากิเดโอนก็เลยได้อีกชื่อหนึ่งว่า “เยรุบบาอัล” แปลว่า “ให้บาอัลสู้คดีเอง”
หลังจากนั้น เมื่อชาวมีเดียนกับชาวอามาเลขยกทัพข้ามน.จอร์แดนมาตั้งค่ายเตรียมจะปล้นคนอิสราเอลเหมือนเคย พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับกิเดโอน....กิเดโอนก็ส่งผู้สื่อสารไปตามเผ่าอื่นให้มาร่วมรบ รวมกันแล้วก็มีหลายหมื่นคน แต่กิเดโอนก็ยังไม่มั่นใจ จึงก็ขอหมายสำคัญจากพระเจ้า....โดยเอาขนแกะไปวางไว้กลางแจ้ง แล้วกิเดโอนก็ขอพระเจ้าว่า...ให้มีน้ำค้างเฉพาะบนขนแกะเท่านั้น ส่วนบริเวณรอบๆนั้นแห้ง พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เป็นตามที่ขอ เสร็จแล้วกิเดโอนก็ขออีก เหมือนเซ้าซี้ แต่ทำไมพระเจ้าไม่โกรธ ดูข้อที่๓๙.(อ่าน) “....ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักคครั้งเดียว” หมายความว่า พระเจ้าไม่โกรธถึงแม้กิเดโอนจะเซ้าซี๊ขออัศจรรย์อย่างซ้ำซาก เพราะว่ากิเดโอนขอด้วยความถ่อมสุภาพและด้วยจิตใจที่ยำเกรงพระองค์......เรื่องนี้ก็ทำให้เราได้คิดว่า พระเจ้ามองดูที่หัวใจและเจตนาของเราเสมอ เพราะฉะนั้น ต่อให้เราผิดพลาดหรือทำอะไรโง่ๆซักกี่ครั้งกี่หน พระเจ้าก็ไม่โกรธ....ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจ หรือทำลงไปเพราะจิตใจที่เย่อหยิ่ง ไม่เชื่อฟัง อีกครั้ง..กิเดโอนบอกว่าอะไร ขอให้ขนแกะนั้นแห้ง แต่ให้บริเวณโดยรอบนั้นเปียกน้ำค้าง ? แล้วคืนวันนั้นพระเจ้าก็กระทำตามที่กิเดโอนขออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทำให้กิเดโอนมีความมั่นใจอย่างมาก
กิเดโอน ตอนที่๒ ผวฉ.7:1-25
เมื่อกิเดโอนเตรียมที่จะรบกับคนมีเดียน พระเจ้าได้บอกเขาว่า กองทัพของเจ้ามีกำลังคนมากเกินไป เราจะไม่ให้เจ้ารบชนะคนมีเดียนด้วยกำลังคนมากมายขนาดนี้ เพื่อที่ชาวอิสราเอลจะไม่สามารถอวดได้ว่าพวกเขาชนะด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง เสร็จแล้วพระเจ้าก็ให้ประกาศกับทหารทุกคนว่า “ใครที่กลัวจนตัวสั่น ก็ให้กลับบ้านไป หรือไม่ก็ลงไปจากกิเลอาด ปรากฎว่า มีคนกลับไปสองหมื่นสองพันคน เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน พระเจ้าก็บอกว่า ยังมีคนเยอะเกินไป แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำให้เหลือแค่สามร้อยคน ด้วยวิธีของพระองค์ คือ บอกให้คนเหล่านี้ไปดื่มน้ำในลำธาร แล้วเลือกเอาเฉพาะคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม คือใช้ลิ้นเลียน้ำคล้ายๆสุนัข.....ให้ไปร่วมรบ ส่วนคนที่คุกเข่าก้มลงดื่มน้ำนั้นให้กลับบ้านไป รวมแล้วคนที่จะไปร่วมรบกับกิเดโอนมีแค่...สามร้อยคน
ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ เราจะได้ระลึกอยู่เสมอว่า”พระเจ้า คือ ผู้ประทานความสำเร็จ”
หลายครั้งพระเจ้าอาจจะต้องทำอย่างงี้ ถ้าพระองค์เห็นว่ายังมีความเย่อหยิ่งอยู่ในใจของเรา เพราะพระองค์ก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เราจะคิดอะไรถ้าเราประสบความสำเร็จในขณะที่มีตัวช่วยเยอะแยะมากมาย หรือมีความพร้อมทางปัจจัยในทุกๆด้าน เด็กๆเข้าใจมั๊ยคะ อย่างเรื่องกิเดโอนเงี้ย ถ้าพระเจ้าไม่จำกัดคนที่ไปรบให้เหลือแค่สามร้อย เมื่อพวกเขาชนะ พวกเขาก็อาจจะแอบคิดได้ว่า เออ...พวกเราคงชนะเพราะมีกำลังคนมาก หรือ ฉันนี่มันก็เจ๋งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น... ถ้าพระเจ้าไม่ปลดอาวุธหรือเอาตัวช่วยบางอย่างออกไปจากชีวิตเราซะบ้างเนี่ย บางทีวันที่เราประสบความสำเร็จ.....เราก็อาจจะหลงคิดไปได้เหมือนกันว่า.......เพราะฉันเก่ง....เพราะฉันดี....หรือไม่ก็ฉันแน่กว่าคนอื่น
เมื่อเข้าใจอย่างงี้แล้ว ถ้าวันไหนพระเจ้าทรงอนุญาตให้เราตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกันกับกิเดโอนก็จงก้มศีรษะลงขอบพระคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อความเชื่อของเรา แต่สถานะการณ์ของเรากับกิเดโอนอาจจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว อาจจะถูกประยุกต์ให้แตกต่างกันนิดหน่อย เช่น สมมติว่าเรากำลังจะตกงาน ช่วงที่ทำงานอยู่ก็เห็นใสๆว่ามีเงินเหลือเก็บ แต่พอตกงานปุ๊บ....ถึงเวลาต้องหาอะไรทำหรือเริ่มต้นทำการค้าของตัวเอง ในทันใดนั้นพระเจ้าก็ทรงเห็นว่า เฮ้ย..มีทุนมากไป ว่าแล้วพระเจ้าก็ทรงตัดกำลังทรัพย์ของเรา เหมือนที่ทรงตัดกำลังทหารของกิเดโอน ให้เราเหลือเงินลงทุนน้อยมากๆ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เพราะไม่ว่าจะมีทุนมาก ทุนน้อยหรือแม้แต่ไม่มีทุนเลย พระเจ้าก็สามารถประทานความเจริญรุ่งเรืองให้เราได้แน่นอน และตามประสบการณ์แล้ว...น้าตุ๊กเคยลงทุนทำการค้าด้วยเงินหลักล้าน แล้วก็พังพินาศไม่เป็นท่าจนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่กลับเคยได้รับความสำเร็จเมื่อครั้งที่มีเงินทุนไม่ถึงหลักพัน (พูดจริงนะ ไม่ได้เว่อร์ นี่มันกิเดโอนชัดๆ) แต่ยังไงก็ตามสำหรับน้าตุ๊กแล้วมันมีค่ามากทั้งสองประสบการณ์ มีค่ามากจริงๆเพราะน้าตุ๊กได้ดื่มด่ำทั้งความทุกข์ที่แสนสาหัสและความสุขที่มันแทบจะล้นสำลักออกมาทางจมูก ทั้งความทุกข์ยากและความสุขสำราญที่พระเจ้าประทานให้น้าตุ๊กนั้นบอกได้คำเดียวว่า...มันแทงลึกถึงไขข้อกระดูกได้พอกันอย่างยุติธรรมเลยทีเดียว ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครที่อยากจะล้มเหลว แต่สำหรับคนที่เคยทุกข์ยากแสนสาหัสมาแล้วก็คงจะคิดเหมือนน้าตุ๊กว่า “เวลาที่มองกลับไปมันก็ขำๆดี ถึงแม้ว่าในขณะที่เผชิญกับมันจะขำไม่ออก” อยากจะหนุนใจคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาว่ามันเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนสำหรับเรา แต่ถ้าตอนนี้รู้สึกหน้ามืดขำไม่ออก ยังมองไม่เห็นข้อดีก็คิดซะว่า มันเป็นประสบการณ์ ที่อย่างน้อยตอนแก่จะได้มีอะไรมันส์ๆเล่าให้ลูกหลานฟังมั่ง มันจะได้ไม่เบื่อเรา..(เห็นมะ..มีข้อดีจนได้)
พระคำภีร์บอกต่อไปว่า กิเดโอนแอบได้ยินคนมีเดียนคุยกันว่า....เขาฝันเห็นขนมบารลีก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่าย แล้วทำให้เต๊นท์ของคนมีเดียนพังราบไป ซึ่งก็หมายถึงคนอิสราเอลจะมาทำลายกองทัพของคนมีเดียน จริงๆแล้ว พวกเขาไม่น่าจะกลัวเพราะอิสราเอลไม่น่าจะทำอะไรพวกเขาได้ แต่พอกิเดโอนได้ยินอย่างงั้นจิตใจก็ฮึกเหิม หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น
ในตอนกลางคืนที่ค่ายของพวกมีเดียนก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ขณะที่พวกทหารนอนหลับ กิเดโอนคิดอุบาย ให้ทหารอิสราเอลถือเขาสัตว์และหม้อที่มีคบเพลิงคนละใบ แล้วสั่งทหารว่า “จงคอยดูว่าเรากระทำอย่างไร ก็ให้กระทำตาม” คืนนั้นทหารอิสราเอลที่ยืนล้อมอยู่นอกค่าย ก็ได้รับสัญญาณจากกิเดโอนให้เป่าเขาสัตว์ แล้วทุกคนก็ต่อยหม้อในมือที่ถืออยู่คนละใบให้แตก ปรากฎว่าทหารชาวมีเดียนก็เลยตกใจประสาทหลอน แล้วพระเจ้าก็กระทำให้พวกเขาฆ่าฟันกันเองอย่างวุ่นวาย สุดท้ายทหารมีเดียนก็พยายามหนีเอาตัวรอด
แต่กิเดโอนก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ให้คนไปส่งข่าวที่เผ่าเอฟราอิมให้ออกมาคอยสกัดศัตรูที่กำลังจะหนี คนเอฟราอิมก็ได้จับเจ้านายคนสำคัญของชาวมีเดียน..แล้วก็ฆ่าทิ้งเก็บเอาหัวกลับมาให้กิเดโอน
วันนี้เวลาหมด เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกิเดโอนตอนที่สามกัน
พระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่2

สวัสดีค่ะเด็กๆ ไม่เจอกันสองสัปดาห์ วันนี้กลับมาเรียนพระคำภีร์กันต่อ ในหนังสือผู้วินิจฉัยครั้งที่สอง คราวที่แล้วน้าตุ๊กสอนบทนำของหนังสือผวฉ.ไปแล้ว ช่วงต่อมาของพระคำภีร์จะเป็นเรื่องราวของอิสราเอลในสมัยของผวฉ.แต่ละคนซึ่งจะเป็นรายละเอียดที่เราควรจะเรียนรู้ แต่ประเด็นที่ควรจะเรียนรู้มันไม่ใช่แค่ว่า “มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” แต่เราควรที่จะคิดให้ลึกลงไปซักหน่อยว่า “มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมมันถึงเป็นหยั่งงี้ คือ เกิดความบาปซ้ำซาก จนสามารถเรียกได้ว่า มันเป็นวงจรแห่งความบาป แล้วที่สำคัญมันสอนอะไรเรา เราจะป้องกันไม่ให้วงจรบาปนี้มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไง
เพราะฉะนั้นในสเต็ปแรก เราจะเรียนเรื่องราว รายละเอียดที่เกิดขึ้นในสมัยของผวฉ.แต่ละคนซะก่อน โดยในสเต็ปนี้ น้าตุ๊กจะให้เด็กๆอ่านพระคำภีร์เอง แล้วลองฝึกจับใจความเนื้อหาของแต่ละตอนมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง เราอาจจะไปกันช้าซักหน่อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ติดตามทางเว็ปไซต์)แต่น้าตุ๊กว่า เด็กๆจะได้ประโยชน์มากขึ้นเพราะทุกคนต้องตั้งใจมากขึ้น
แล้วหลังจากสเต็ปนี้ น้าตุ๊กจะโยงเรื่องของสมัยผวฉ.เนี้ย เข้ากับพระคำภีร์ใหม่ แล้วเราจะมาดูกันว่า วงจรความบาปมันเริ่มจากอะไร แล้วเราจะป้องกันมันได้ยังไง (เราจะไม่เรียนพระธรรมเล่มนี้ เพื่อที่จะรู้เรื่องราวในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่เราจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงสาเหตุ เพื่อที่จะได้รู้เท่าทันความบาปแล้วก็ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นกับเรา)
ชนชาติที่พระเจ้าเหลือไว้เพื่อทดสอบอิสราเอล
ดูผวฉ.3:1-4 ข้อนี้บอกว่า เหตุผลที่พระเจ้าทรงเหลือคนคานาอันไว้ก็เพื่อที่จะทดสอบอิสราเอล ว่าพวกเขามั่นคงที่จะสัตย์ซื่อกับพระองค์มั๊ย ชนชาติที่พระเจ้าเหลือไว้และเป็นหอกข้างแคร่ของอิสราเอล ก็มีทั้งชาวไซดอน คนฮีไวต์ รวมถึงคนทะเลที่เพิ่งบุกรุกเข้ามาในคานาอันอย่างพวกฟิลิสเตียด้วย
โอทนีเอล ดูผวฉ.3:7-11
นี่คือกรณีแรกในหนังสือผวฉ.ที่อิสราเอลกบฎต่อพระเจ้าหันไปกราบไหว้พระอื่น ข้อที่๘บอกว่า “พระเจ้าจึงขายเขาไว้ในมือศัตรู..” คำว่าทรงขาย ก็เป็นสำนวน หมายถึง ปล่อยให้ตกเป็นทาส ก็คือ อิสราเอลได้ตกเป็นทาสของ ก.คูชันริชาธาอิม อยู่นาน ๘ ปี หลังจากนั้นพระเจ้าจึงส่ง”โอทนีเอล”ให้มาปลดปล่อยอิสราเอล
เอฮูด ผวฉ.3:12-30
การถูกรุกรานของอิสราเอล ครั้งที่สองนี้มาจากทางภาคตะวันออก คือชาวโมอับ อัมโมน และคนอามาเลขรวมกำลังกันโจมตีอิสราเอล เพราะพวกเขากบฎต่อพระเจ้าไปไหว้พระอื่น ในข้อที่๑๒ บอกว่า “พระเจ้าทรงเสริมกำลังเอกโลน ก.โมอับ..” แปลว่าไร ก็แปลว่าไม่ใช่เพราะศัตรูนั้นเข้มแข็งกว่าอิสราเอล หรือในเวลาที่อิสราเอลได้รับชัยชนะ ก็ไม่ใช่เพราะเก่งกว่าคนชาติอื่น แต่ตรงจุดนี้ หมายถึง พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุม ใครจะแพ้หรือชนะ ใครจะตายใครจะรอด ใครจะสุขหรือทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น ในข้อที่๑๓บอกต่อไปว่า ศัตรูตีได้เมืองดงอินทผลัม หมายถึง เมืองเยรีโค ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ (ก็คงจะเป็นเพราะ มีผลผลิตทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์) อยู่ในเขตแดนของเผ่าเบนจามิน เรื่องนี้ก็ทำให้เราคิดได้ว่า หลายครั้งที่คริสเตียนทำผิด พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้เราเกิดปัญหา...การเงิน
เพราะ”เงิน”คือจุดอ่อนของมนุษย์ มันเหมือนเป็นวิธีง่ายๆขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำที่ทำให้มนุษย์อ่อนไหว ไม่ว่าจะมีมันมากล้น หรือน้อยจนไม่พอเพียง พระเจ้าก็สามารถใช้เงินเป็นเครื่องมือในการทดสอบมนุษย์ ที่หวังผลได้แน่นอน (ไม่มากก็น้อย)
ในครั้งนี้พระเจ้าทรงประทานผู้วินิจฉัยอีกคน ชื่อเอฮูด คนเผ่าเบนจามิน ซึ่งพระคำภีร์ระบุว่าเป็นคนถนัดซ้าย ให้มาช่วยปลดปล่อยอิสราเอล เอฮูดได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำส่วยไปส่งให้เอกโลน ก.โมอับ แล้วเขาก็ออกอุบายขอเข้าเฝ้ากษัตริย์เป็นการส่วนตัว เสร็จแล้วก็ใช้มีดที่แอบพกไว้ฆ่าเอกโลนตาย แล้วก็รีบหนีมาเป่าแตรเรียกกองทหารของเอฟราอิมให้ออกมาช่วยรบ จนในที่สุดก็เอาชนะพวกโมอับได้ ทำให้แผ่นดินอิสราเอลมีความสงบสุขอยู่นานแปดสิบปี
เดโบราห์ ผวฉ.4:1-24
ความจริงเมืองฮาโซร์เนี่ยถูกอิสราเอลทำลายไปแล้วในสมัยของโยชูวา แต่ชาวเมืองที่หนีรอดไปได้ เขากลับมาสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่แล้วค่อยๆแผ่ขยายอำนาจออกไป จนยึดครองเขตแดนของเผ่าเศบูลุนกับนัฟทาลีได้ในที่สุด อิสราเอลก็เลยถูก”ยาบิน”เจ้าเมืองนี้กดขี่อยู่นานยี่สิบปี พระเจ้าจึงทรงได้ประทานผู้วินิจฉัยชื่อ”เดโบราห์”ให้มาช่วยคนอิสราเอล
ในข้อนี้บอกว่า เดโบราห์ ได้สั่งให้”บาราค”แม่ทัพของอิสราเอล นำกองทัพขึ้นไปบนเขาทาโบร์ เป็นอุบายที่จะทำให้”สิเสรา”แม่ทัพของศัตรูคิดว่าอิสราเอลกำลังกบฎ จะได้นำรถรบกับกองทหารไล่ตามออกมาตรงที่ราบข้างๆลำธารคีโซน ซึ่งบริเวณนั้นอยู่ข้างล่างของเขาทาโบร์
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเดโบราห์ ฝ่ายศัตรูยกรถรบออกมา900คันในขณะที่อิสราเอลไม่มีรถรบเลย แต่ในข้อที่๑๕บอกว่าพระเจ้าทรงทำให้กองทัพของศัตรูเกิดการโกลาหล แตกตื่นพ่ายแพ้อิสราเอล แล้วสิเสราแม่ทัพของศัตรูก็หนีไป
สิเสราหนีไปซ่อนตัวที่เต๊นท์ของเพื่อนเก่า หวังว่าจะปลอดภัยแต่พอไปถึงเพื่อนไม่อยู่ อยู่แต่ภรรยาชื่อ”ยาเอล” ยาเอลก็เชิญให้สิเสราเข้าไปพักผ่อน หาน้ำให้ดื่มต้อนรับขับสู้อย่างดีแต่พอสิเสราหลับยาเอลก็เอาหลักขึงเต๊นท์ตอกขมับเขาตายคาที่ ทำไมถึงเป็ยหยั่งงี้ เพราะสิ่งหนึ่งที่สิเสราไม่รู้ก็คือยาเอลอยู่ฝ่ายอิสราเอล เขาก็เลยเหมือนหนีเสือปะจระเข้โดยไม่รู้ตัว

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

หนังสือผู้วินิจฉัย ครั้งที่1

พระธรรมผู้วินิจฉัย เป็นหนังสือบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่โยชูวานำชาติอิสราเอลเข้ามาอยู่ในคานาอันแล้วประมาณ 200 ปี
จุดประสงค์ของหนังสือ “ผู้วินิจฉัย”
1.เพื่อให้ประชากรของพระเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า ความรักและสัตย์ซื่อในพระเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด
2.เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพชีวิตและเสถียรภาพของชาติอิสราเอลหลังจากที่โยชูวาสิ้นชีวิตไปแล้ว
3.เพื่อสำแดงให้เห็นถึงพระกรุณาอันชอบธรรม อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า เพราะไม่ว่าคนของพระองค์จะทำผิดซ้ำซากมากแค่ไหน แต่เมื่อพวกเขากลับใจใหม่....ร้องหาพระเจ้า พระองค์ก็ทรงอภัยให้และช่วยเหลือลูกๆของพระองค์เสมอ
ประเด็นหนึ่งที่อยากให้เด็กๆมองภาพของหนังสือผู้วินิจฉัย ก็คือ หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว อิสราเอลก็ไม่มีผู้นำ.........
ในเวลาที่อิสราเอลขาดผู้นำหลังจากที่โยชูวาตายไปแล้วนั้น ขณะเดียวกันพวกเขาตกอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะหลังจากที่ได้แบ่งเขตแดนกันแล้ว รูปแบบความเป็นอยู่ทางสังคมของอิสราเอลก็เปลี่ยนไป พวกเขาต้องแยกกันอยู่หลังจากที่เคยอยู่รวมกันมานาน จากที่เคยมีผู้นำคอยบอกให้ไปซ้ายไปขวา คอยตักเตือนในเวลาที่พวกเขาทำผิด หรืออธิฐานเพื่อพวกเขาเสมอในเวลาที่พวกเขาหมดหนทาง ตอนนี้ก็ไม่มี.... ต้องอยู่แบบตัวใครตัวมัน นอกจากนี้ ยังต้องอยู่ปะปนกับชาวคานาอันด้วย เพราะในหนังสือยชว.บอกไว้ชัดเจนว่าอิสราเอลไม่สามารถขับไล่หรือทำลายชาวคานาอันให้หมดสิ้นไปได้ และในผวฉ.ก็บอกไว้เช่นกัน
อ่าน ผวฉ.1:21 ผวฉ. 1:27 ผวฉ. 1:29-30 ผวฉ.1:32-33
ข้อพระคำภีร์เหล่านี้ยืนยันว่า อิสราเอลต้องอยู่ร่วมกับคนคานาอัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่ แล้วบางทีก็ต้องยืมวัฒนธรรมของคนพื้นเมืองเดิมมาใช้ (เด็กๆอาจจะคิดว่า เอ๊ะ!แล้วทำไมต้องยืมของเขามาใช้ด้วย เพราะน้าตุ๊กเคยบอกว่าวัฒนธรรมหรือประเพณีนั้นเป็นสิทธิอำนาจที่พึ่งพาไม่ได้)
เพราะบางครั้ง วัฒนธรรมก็เป็นเรื่องของภูมิปัญญาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละท้องถิ่น หมายความว่า บางทีมันก็มีส่วนทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แล้วถ้ามันไม่ขัดกับทางของพระเจ้า....อิสราเอลก็สามารถจะยืมมาใช้ได้ อย่างเช่น ปัจจุบันนี้...บางท้องถิ่นอาจจะมีการช่วยเหลือกันในฤดูเก็บเกี่ยว ผลัดกันไปช่วยเพื่อนบ้านเกี่ยวข้าว ถือเป็นวัฒนธรรมหรือประเพณีของท้องถิ่น อันนี้โอเค เพราะมันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เป็นผลดีกับทุกคนและไม่ขัดกับพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ไม่ใช่...พอช่วยกันไปช่วยกันมา ก็สนิทกันมาก เลยเกรงใจกันมาก ถึงเวลาเขาชวนไปทอดกฐินทำบุญเ้ก้าวัด....ก็ไปกับเขาซะงั้น เนี่ย...ที่ปัญหามันเกิดขึ้นมันก็เริ่มมาอย่างเงี้ย เกรงใจเพื่อน.....ไม่แยกให้ขาด ว่าอันไหนเอาอย่างได้ แล้วอันไหนที่ไปร่วมกับเขาไม่ได้
ดูผวฉ.2:8-10 “...อีกชาติพันธ์หนึ่งก็เกิดขึ้นตามมา เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้ราชกิจที่พระเจ้าได้กระทำเพื่ออิสราเอล” นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะทำให้เรามองภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเราได้รู้ว่าหลังจากสมัยของโยชูวาแล้ว อิสราเอลที่เป็นคนรุ่นใหม่ในสมัยผู้วินิจฉัยนั้นไม่ได้ติดสนิทกับพระเจ้า แต่ละเผ่าก็คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วก็เริ่มคล้อยตามความเชื่อของชาวคานาอัน
ดู ผวฉ2:11-13/14-15 คำว่า “อิสราเอลกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า” นั้นเป็นสำนวนที่หมายถึงการที่อิสราเอลละทิ้งพระเจ้าไปกราบไหว้พระบาอัลหรือพระอื่น (ให้เด็กๆเข้าใจไว้เลย) ทำให้พระเจ้าลงโทษพวกเขาด้วยการให้ชนชาติต่างๆนั้นมารุกรานอิสราเอล
ก่อนที่จะเรียนหนังสือโยชูวา น้าตุ๊กสอนเคยเรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนคานาอันรวมถึงพระต่างๆที่พวกเขากราบไหว้ไปแล้ว อย่างพระบาอัลก็เป็นพระที่ชาวคานาอันเชื่อว่ามีฤทธิ์สามารถทำให้ทุกสิ่งที่มีชีวิตนั้นเกิดผลหรือมีความอุดมสมบูรณ์ และในที่ๆพวกเขาประกอบพิธีกรรมก็จะมีชายหญิงอยู่ประจำสำหรับร่วมประเวณีในพิธีกรรมทางศาสนาด้วย (เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์)
เพราะฉะนั้น เมื่ออิสราเอลหลงไปกระทำตาม ก็เท่ากับว่า พวกเขาล่วงประเวณีทั้งทางฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าข้อที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้
ย้อนไปดูผวฉ.2:1-3 “..เขาจะเป็นหอกข้างแคร่ และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า”
จริงๆแล้วการที่พระเจ้ายังปล่อยให้มีคนคานาอันเหลืออยู่เนี่ย เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอิสราเอล ทั้งในเรื่องการดูแลทรัพยากรให้ดำรงอยู่ (ทั้งต้นไม้ ต้นข้าวที่ออกดอกออกผลหล่อเลี้ยงชีวิตคน) เพราะถ้าไม่มีชาวถิ่นเดิมที่เป็นงานเหลืออยู่เลย อิสราเอลคงจะลำบากเพราะยังดูแลผลผลิตไม่เป็น อย่าลืมว่าอิสราเอลเคยชินกับการเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารหลายสิบปี เพราะฉะนั้น การเลี้ยงสัตว์หรือการปลูกพืชต่างๆ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่เป็นหลักเป็นฐานเหมือนกับตอนที่เข้ามาอยู่ในคานาอัน หรือแม้แต่..การระวังสัตว์ร้ายที่อยู่ตามป่าตามเขา ก็ต้องเรียนรู้ทักษะการระแวดระวังจากคนพื้นที่ เพราะฉะนั้น การมีคนถิ่นเดิมอยู่ด้วย จริงๆแล้ว...ก็เป็นเรื่องจำเป็น
และในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อไหร่ที่อิสราเอลละทิ้งพระเจ้าหรือละเมิดพันธสัญญา พระเจ้าจะทรงบันดาลให้ชาวเมืองที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น หันมาเป็นศัตรูทำร้ายอิสราเอล แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ข้อคิดและเรียนรู้จากเรื่องนี้ “ว่าพระเจ้าทำได้ทุกอย่าง” ทั้งเปลี่ยนสิ่งร้ายกลายเป็นดี หรือเปลี่ยนสิ่งดีๆให้ร้ายสุดๆ พระองค์ก็ทำได้ถ้าเราไม่เชื่อฟัง
ดูผวฉ.2:16-18 “พระเจ้าทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย...”
ผู้วินิจฉัย คือใคร
ผู้วินิจฉัย ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า judge ที่แปลว่า ผู้พิพากษา ตัดสินหรือภาษากฎหมายก็เรียกว่า “ตุลาการ” แต่ในพระคำภีร์ของเรา ผู้วินิจฉัย คือ บุคคลที่พระเจ้าทรงเรียกมาให้เป็นผู้ปลดปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากอำนาจของศัตรูในสถานการณ์ต่างๆ
ดูผวฉ.2:19-20/21-23 พระคำช่วงนี้ คือการบอกเล่าถึงวงจรการดำเนินชีวิตของอิสราเอล ที่หลงผิดละทิ้งพระเจ้า พอทนทุกข์หนักเข้าเพราะถูกลงโทษก็หันหน้ากลับมาร้องขอพระกรุณาจากพระองค์ แต่พอพระเจ้าส่งผู้วินิจฉัยมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ได้อยู่ดีมีสุขก็กลับหลงลืม หันหลังให้พระองค์อีก พระเจ้าก็ลงโทษอีก พอเกิดความทุกข์ยากอิสราเอลก็สำนึกผิดหันกลับมาหาพระองค์ใหม่พระองค์ก็ทรงประทานผู้วินิจฉัยมาปลดปล่อย วนเวียนอยู่อย่างงี้ตั้งแต่ต้นจนจบ รวมแล้วจำนวนผู้วินิจฉัยที่พระเจ้าปประทานให้ทั้งหมดมี ๑๒ คน