วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่10 อาทิตย์ที่ 19:12:2010

กษัตริย์ดาวิดกำลังถูกพระเจ้าลงวินัย..ทั้งลูกคนแรกที่เกิดกับนางบัทเชบาก็ตายไปแล้ว มาตอนนี้พี่ข่มขืนน้องสาว น้องชายฆ่าล้างแค้นพี่ คราวก่อนน้าตุ๊กชี้ให้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสถานการณ์ให้เกิดขึ้นเพื่อ”ทำให้ดาวิดเห็นความบาปของตัวเองในมุมมองของคนอื่น” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเลย ดาวิดจะได้รู้ว่า “พระเจ้ารู้สึกยังไง” กับบาปที่เขาทำ

.... ดาวิดใช้อำนาจ ”กษัตริย์” ในทางที่ผิด ไปบังคับให้บัทเชบามานอนด้วย

.....อัมโนนก็ใช้อำนาจในฐานะของ “ลูกกษัตริย์” ฉวยโอกาสข่มขืนทามาร์

.....ดาวิดทำบาปด้วยการ”ฆ่าอุรีอาร์” อับซาโลม ก็ทำบาปด้วยการ “ฆ่าอัมโนน” ต่างกันที่อุรีอาร์ถูกฆ่า..เพราะยืนหยัดในความชอบธรรม แต่อัมโนนถูกฆ่าเพราะทำบาป

แต่จะยังไงก็ตาม ตอนนี้ดาวิดก็ได้รับประสบการณ์เดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เพราะทั้งคนทำและคนถูกกระทำ ก็คือ “ลูกของเขาทั้งหมด..พี่น้องกันทั้งนั้น”..ดาวิดจะได้รู้ซึ้งว่า”พระเจ้ารู้สึกยังไง” ที่เขาทำร้ายพี่น้องตัวเอง ดาวิดจะเข้าใจความรู้สึกของบัทเชบา เขาจะเข้าใจความรู้สึกของอุรีอาร์ โยอาบแล้วก็ทุกๆคนเลยที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง... ณ.จุดนี้ พูดได้คำเดียวว่า ”พระเจ้าสุดยอดมาก” แต่ยังไม่จบ..การพิพากษายังดำเนินต่อไป..

ดู 2ซมอ.13: 37-39 หลังจากที่ฆ่าอัมโนนแล้ว อับซาโลมก็หนีไปอยู่กับทัลมัยที่เมืองเกชูร์ ทัลมัยคือคุณตาของอับซาโลม ข้อที่ 39 บอกว่า..พอดาวิดคลายความเศร้าจากการคิดถึงอัมโนนแล้ว..เขาก็เริ่มคิดถึงอับซาโลม เพราะอะไร..ก็ลูกอ่ะ ถามว่าดาวิดผิดมะ..ที่ยังรักอับซาโลมอยู่..ไม่ผิดเลย พ่อแม่ก็อย่างงี้..จะให้ลูกชั่วช้าเลวทรามขนาดไหน..ก็รักอยู่ดี ณ.จุดนี้มันทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้ารู้สึกยังไง..ยังรักเรามั๊ยเมื่อเราทำผิดหรือทำบาป..รักแน่นอน มีก็แต่เรานี่แหละ..ที่คอยจะสงสัยว่า..พระเจ้าเหนื่อยมั๊ย เบื่อรึเปล่าที่ลูกทำผิดซ้ำซาก นิสัยแย่ๆก็แก้ไม่ได้ซักที..กลัวมากว่าซักวันนึง..พระเจ้าจะไม่ทนเรา..จะตัดเราทิ้งเข้าซักวัน มันไม่แปลกที่เราจะคิดอย่างงั้น เพราะเรายังเบื่อตัวเองเลย แต่พระเจ้าไม่เคยเบื่อ เมื่อพระองค์เลือกเราแล้วพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่..เพื่อเรา แต่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือ พระนามของพระองค์จะได้รับเกียรติ เพราะฉะนั้น ในบทเรียนต่อไปนี้ ถ้าเราเห็นแล้วว่าดาวิดยังรักอับซาโลมแค่ไหน ก็ขอให้รู้ไว้ว่าพระเจ้า..รักเรามากกว่านั้น

ดู 2ซมอ.14:1-3 ถึงดาวิดจะรักแล้วก็คิดถึงอับซาโลมแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมให้อับซาโลมกลับมาอยู่ที่เยรูซาเล็มโดยที่ไม่ลงโทษ แต่โยอาบมีแผน.. ดูเผินๆคล้ายจะหวังดี เพราะข้อนี้บอกว่า..โยอาบใช้อุบายให้ดาวิดต้องยอมให้อับซาโลมกลับมา โดยการส่งผู้หญิงชาวเทโคอาคนนึงไปร้องทุกข์ ทำทีว่ามาขอความช่วยเหลือ การมาของผู้หญิงคนนี้มีลักษณะคล้ายกับที่นาธันมาหาดาวิดแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง..แต่เจตนาและความถูกต้องชอบธรรมไม่เหมือนกัน เพราะ นาธัน..เป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ผู้หญิงคนนี้..ไม่ใช่ พระเจ้า..เป็นผู้ส่งนาธันมา แต่คนที่ส่งผู้หญิงคนนี้มาคือ..โยอาบ ที่สำคัญ เรื่องของนาธันถึงจะเป็นเรื่องเล่า..แต่ถูกต้องและเป็นความจริง แต่เรื่องเล่าของผู้หญิงคนนี้..ไม่ถูกต้องแล้วก็ไม่เป็นความจริงด้วย เรื่องเป็นยังไง..ให้เราดูต่อ

ดู 2ซมอ.14:4-6/7 ผู้หญิงที่โยอาบส่งมาเริ่มต้นด้วยการกราบทูลดาวิดว่า..เธอเป็นหญิงม่าย มีลูกชายสองคน..ลูกสองคนนี้ก็ไปทะเลาะกันในทุ่งนา แล้วก็ไม่มีใครห้ามเลยทำให้ลูกคนนึงถูกอีกคนฆ่าตาย ความหมายของผู้หญิงคนนี้ก็คือ ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์..ไม่มีพยาน..แล้วจะแน่ใจได้ไงว่าใครถูก..ใครผิด อาจจะเป็นการป้องกันตัวหรือฆ่าโดยไม่เจตนาก็ได้ใครจะไปรู้ แต่ญาติพี่น้องก็ไม่ยอม..แห่กันมาที่บ้านแล้วบอกให้เธอส่งตัวลูกคนอีกคน..ที่ฆ่าพี่ตายให้ไปรับโทษ แล้วหัวอกคนเป็นแม่จะทนได้ไง..ประมาณนั้น

ดู 2ซมอ.14:8-9 ดาวิดฟังแล้วก็ตอบหญิงคนนั้นว่า..กลับบ้านไปก่อน ขอเวลาเขาคิดให้รอบคอบซักหน่อย..เมื่อมีคำตอบแล้วจะแจ้งให้ทราบ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพยายามต่อไป ข้อที่9 เธอพูดประมาณว่า..ไม่เป็นไรๆ ถ้าเรื่องนี้มันยากเกินไป พระราชาก็อย่าลำบากใจเลย..เธอจะไปตามทางของเธออะไรจะเกิดขึ้นก็คงต้องยอมรับสภาพ

ดู 2ซมอ.14:10-11 ดาวิดบอกว่า..งั้นถ้ามีใครมาพูดอะไรกับเจ้าอีกก็พามาหาเรา เราจะจัดการให้..ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ช่วย พอได้ยินดาวิดพูดเข้าทาง..ผู้หญิงคนนี้ก็เริ่มรุกต่อ ข้อที่ 11 เธอบอกว่า..ขอแค่พระองค์ออกปากสาบานในนามพระเจ้า..ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องลูกชายของเธอ เพียงเท่านี้..ลูกของเธอก็จะปลอดภัยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ เพราะดาวิดเป็นกษัตริย์..แค่ออกปากก็ไม่มีใครกล้ายุ่งแล้ว วิธีนี้ง่ายจะตาย..ไม่ต้องไปตามเคลียร์กับคนที่จะมารบกวนเธอด้วย ดาวิดฟังแล้วก็ตกลง..รับปากไป..”ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผมของลูกเจ้าซักเส้นเดียวก็จะไม่มีใครกล้าแตะ” ( ติดกับอีกแล้ว..ดาวิด )

ดู 2ซมอ.14:12-13 ดาวิดก็รับปากไปแล้ว..แต่ผู้หญิงคนนี้ยังมีปัญหา “ข้าแต่พระองค์ ขอดิฉันพูดอีกซักคำเถอะ..” (ผู้หญิงคนนี้อยากพูดอะไร..) “เหตุใดพระองค์ทรงดำริอย่างงี้แก่ประชากรของพระเจ้า ในการตรัสเช่นนี้พระองค์ก็กล่าวโทษตัวเอง..ในการที่พระราชามิได้ทรงนำผู้ถูกเนรเทศกลับสู่พระราชสำนัก” (แปลว่าอะไร..) ทำไมดาวิดถึงสามารถทำแบบนี้กับเรื่องของคนอื่น แต่กลับไม่กล้าที่จะตัดสินใจอย่างงี้กับเรื่องของตัวเอง..เที่ยวไปปกป้องลูกของคนอื่นแต่กลับไม่ทำอย่างงี้กับอับซาโลม..ลูกของตัวเอง ถ้าดาวิดคุ้มครองให้ลูกเธอได้กลับมาอยู่บ้านอย่างปลอดภัยได้..อับซาโลมก็น่าจะได้สิทธิ์นั้นเหมือนกัน แล้วทำไมไม่เอาเขากลับมา..พระองค์เป็นพระราชาต้องคุ้มครองเค้าได้สิ (พูดมาตั้งนาน..เพิ่งจะเข้าเรื่อง)

ดู 2ซมอ.14:18-19 ดาวิดเพิ่งเก็ท อ้าวเฮ้ย...พูดไปพูดมาไหงกลายเป็นเรื่องของชั้น..ก็ทีแรกคุยกันมันเรื่องของแกไม่ใช่หรอ ดาวิดรู้ทันที..สงสัยเรื่องนี้ต้องมีโยอาบอยู่เบื้องหลัง ก็เลยคาดคั้นให้ผู้หญิงคนนี้พูดความจริง หญิงชาวเทโคอาก็เลยบอกว่า..เธอรู้อยู่แล้วว่าดาวิดต้องคิดออก ไม่มีใครหลอกกษัตริย์ที่ฉลาดหลักแหลมอย่างดาวิดได้ จริงๆเธอไม่ได้อยากทำอย่างงี้แต่ถูกโยอาบบังคับก็เลยจำเป็นต้องทำ เขาเป็นคนสอนให้พูดแล้วก็วางแผนทุกอย่าง..เธอไม่เกี่ยว

ดู 2ซมอ.14:20-21 หญิงชาวเทโคอาบอกต่อไปว่า..โยอาบทำอย่างงี้ก็เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์ให้มันดีขึ้น..เห็นดาวิดคิดไม่ตกซักที ทั้งที่ก็ทุกข์ใจมากเรื่องอับซาโลม โยอาบก็เลยอยากช่วย..ดาวิดจะได้ไม่ต้องลำบากใจ อะไรๆมันก็จะง่ายขึ้น เพราะถ้าอยู่ดีๆดาวิดก็ลุกขึ้นมายกโทษแล้วก็เรียกอับซาโลมกลับมา..มันก็จะน่าเกลียดหรือเป็นที่ครหา เพราะฉะนั้น แผนของโยอาบจะทำให้ดาวิดสามารถยกโทษให้อับซาโลมได้อย่างสมเหตุผล เพราะเห็นชัดเจนว่ากับคนอื่นดาวิดก็ยังยกโทษให้เหมือนกัน

ฟังอย่างงั้นแล้ว..ดาวิดเลยยอมตกลง..อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงเขาก็สั่งโยอาบให้ไปพาตัวอับซาโลมกลับมาที่เยรูซาเล็ม

ดู 2ซมอ.14:23-24 โยอาบรับคำสั่งดาวิด..ไปพาตัวอับซาโลมกลับมาอยู่ที่เยรูซาเล็ม อย่างเป็นที่รู้กัน..ว่าจะไม่มีใครกล้าแตะต้องอับซาโลม แต่เขาจะไม่ได้มีอิสระเหมือนคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำความผิด ดาวิดสั่งกักบริเวณ..ให้อับซาโลมอยู่แต่ในวังของตัวเอง ห้ามออกไปลอยหน้าลอยตาข้างนอก ความจริงดาวิดคงคิดรอบคอบแล้วล่ะ..ว่าการกักบริเวณน่าจะเป็นผลดีกับตัวอับซาโลม เพราะมันเป็นทางนึงที่สามารถป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้ายเขาได้ แต่ความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือ อับซาโลมเป็นฆาตกร เค้าฆ่าคนตาย..โดยเจตนา ถึงดาวิดไม่ลงโทษ..แต่พระเจ้าไม่มีทางปล่อยให้เขาลอยนวลแน่นอน

ดู 2ซมอ.14:25-27 พระคำภีร์ข้อนี้..ตั้งใจจะบอกให้เรารู้ว่าอับซาโลมเป็นคนที่รูปหล่อมาก เพื่อที่ต่อไปเราจะได้เข้าใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงประทับใจเขาง่ายจัง พระคำภีร์บอกว่า..”ในบรรดาคนอิสราเอลทั้งหมดไม่มีใครรูปงามเท่าอับซาโลม” ก็คงเป็นแบบพี่ก็หล่อน้องก็สวยเพราะพระคำภีร์ก็บอกไว้ว่าทามาร์น้องสาว..ก็สวยมาก การถูกข่มขืนคงการันตีเรื่องนี้ได้ ข้อที่26 บอกว่า..”เมื่อท่านตัดผมแล้วก็ชั่งผมของท่านได้หนักถึง 200 เชเขล” คือที่โดดเด่นที่สุดก็น่าจะเป็นผม..ที่เสริมให้อับซาโลมดูมีเสน่ห์มาก อับซาโลมจะไว้ผมยาวแล้วตัดปีละครั้ง คงจะหล่อผมสลวยน่าดู..ทำให้เรานึกถึง ”ออรันโด บลูม” ในเรื่องลอร์ด ออฟ เดอะ ลิง (เวอร์ชั่น ตะวันออกกลาง)

ดู 2ซมอ.14:28-30 อับซาโลมถูกกักบริเวณอยู่สองปี..ก็เริ่มทนไม่ไหว ทั้งโกรธ..ทั้งไม่พอใจสารพัด เพราะไปไหนมาไหน..ก็ไม่ได้ อับซาโลมเลยให้คนไปเรียกโยอาบมา ไปตามอยู่สองหน..โยอาบก็ทำเฉยไม่ยอมมา อับซาโลมเลยส่งคนไปเผานาของโยอาบซะเลย..ได้ผล โยอาบรีบแจ้นมาหาอับซาโลมทันทื มาถึงกะจะต่อว่าซะหน่อยแต่ถูกอับซาโลมโวยกลับ..”ให้คนไปตามตั้งสองครั้งละ..ทำไมไม่มา ข้อที่32 บอกว่า..อับซาโลมใช้ให้โยอาบไปหาพระราชา แล้วถามให้รู้เรื่องเลย..ว่าไปเอาตัวเขามาจากเกชูร์ทำไม ถ้าจะขังไว้อย่างงี้..ปล่อยให้เขาอยู่ที่เกชูร์ยังดีกว่า เพราะอยู่กับตามีอิสระทุกอย่าง นอกจากนี้ อับซาโลมยังให้โยอาบไปพูดกับดาวิดว่า”ถ้าเขาผิดก็ฆ่าเขาเลย”ถ้าไม่งั้นก็ปล่อยเขาซะ..จะเอาไงก็เอา..ประมาณนั้น โยอาบเลยต้องจำนน เอาเรื่องไปทูลดาวิดตามที่อับซาโลมบอก สรุปแล้ว ดาวิดก็ยอมให้อับซาโลมมาเข้าเฝ้า..เพราะตัวเองก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน

แต่ที่น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็น ก็คือ อับซาโลมกลับใจใหม่รึเปล่า..เปล่าเลย แล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการคืนดีหรือคืนสู่สภาพดีในขณะที่ไม่สำนึกหรือไม่มีการกลับใจ เราจะไม่มีวันถูกสร้างใหม่ในขณะที่เรายังไม่สำนึกหรือกลับใจอย่างแท้จริง แล้วนี่เป็นเงื่อนไขเดียวกันกับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นบทต่อไปเราจะได้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะโยอาบกับดาวิดยอมให้อับซาโลมข้ามขั้นตอนของการสำนึกผิด ยกโทษให้ทั้งที่เขายังไม่ได้กลับใจ ดังนั้น พระคำช่วงนี้จึงเป็นสิ่งที่เตือนให้พ่อแม่และคริสตจักรต้องตักเตือน..ลงวินัยเมื่อลูกหรือสมาชิกทำผิด เพื่อให้เกิดความสำนึกและกลับใจใหม่..ก่อนที่จะไปต่อ เพราะถ้าเราข้ามขั้นตอนนี้ไปจะไม่มีใครสามารถกลับคืนสู่สภาพดีได้เลย

ดู 2ซมอ.15: 1-3 หลังจากที่อับซาโลมได้รับอิสรภาพ..ทั้งๆที่ไม่ควรจะได้ เพราะเขายังไม่สำนึก..ว่าตัวเองผิด..ไม่ได้กลับใจใหม่ เพราะฉะนั้น รากของความกบฎที่ฝังอยู่ในใจ มันก็พร้อมที่จะผลิตผลของความบาปอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็เริ่มทำบางอย่าง..ตอนนี้อับซาโลมมีอิสระที่จะเข้านอกออกใน..ไปไหนก็ได้ตามใจชอบ เขาทำอะไร..ข้อนี้ บอกว่าอับซาโลมจะตื่นแต่เช้าไปประจำการอยู่ริมถนน..เส้นทางที่จะเข้าสู่พระราชวังของดาวิด ด้วยบุคลิกที่น่าประทับใจซะด้วย เพราะเวลาไปไหนมาไหนอับซาโลมจะมีรถรบกับทหารวิ่งนำหน้าขบวนเสด็จถึง 50 คน คงเหมือนขบวนเสด็จของกษัตริย์หรือเจ้านายคนสำคัญในสมัยนี้..ที่จะมีโรล สลอยส์หรือเมอร์ซิเดสวิ่งอารักขาหลายสิบคัน ข้อที่2บอกว่า..แล้วเวลาที่มีประชาชนผ่านมา..อับซาโลมก็จะเรียกแล้วถามว่ามาจากไหน มาหาพระราชามีธุระอะไร แล้วถ้าเป็นเรื่องคดีความอับซาโลมก็จะบอกว่าทุกเรื่องอยู่ในข่ายที่จะชนะทั้งนั้น แต่..น่าเสียดายที่กษัตริย์ดาวิดไม่ได้สนใจที่จะฟังเรื่องราวร้องทุกข์ของชาวบ้าน พระราชาไม่ได้ตั้งใครไว้คอยแก้ปัญหาให้ประชาชน นี่คือ ก้าวแรกที่อับซาโลมเริ่มสร้างความเสียหายให้ดาวิด

ดู 2ซมอ.15:4-6 อับซาโลมบอกกับหลายๆคนว่า..ถ้าเขาได้เป็นผู้พิพากษา (คือ กษัตริย์ของอิสราเอล)..เขาจะให้ความยุติธรรมกับทุกคน เขาจะไม่เพิกเฉยกับความเดือดร้อนของชาวบ้านเหมือนดาวิด..ดูมันใส่ร้ายพ่อตัวเอง (ขอโทษที่ไม่สุภาพ) ข้อที่5 บอกว่า..ถ้า”ชาวบ้านคนไหนจะเข้ามาถวายบังคมท่าน อับซาโลมก็จะยื่นมือออกไปจับคนนั้นไว้แล้วก็จุบ” เป็นการสร้างภาพให้ทุกคนประทับใจ..เหมือนนักการเมืองหาเสียง แล้วคิดว่าอับซาโลมจะได้ใจชาวบ้านมั๊ย..ทั้งหล่อ ทั้งดูดีมีระดับ แถมยังเป็นกันเองกับทุกคน..คะแนนเสียงน่าจะท่วมท้นเลย..ถ้าเป็นนักการเมือง

ดูต่อ 2ซมอ.15:7-9 “ครั้นล่วงมาได้สี่สิบปี” อันนี้มาจากต้นฉบับภาษาฮีบรู แต่ฉบับอื่นๆบันทึกไว้แค่ 4 ปีเท่านั้น ซึ่งน่าจะตรงกับความจริงมากกว่า.. ครั้นล่วงมาได้ 4 ปี..ที่อับซาโลมเทียวสร้างความเสียหายให้กับดาวิดแล้วก็สร้างคะแนนเสียงให้ตัวเอง (เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พ่อ) ตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะประกาศสงครามกับดาวิด อับซาโลมเลือกที่จะเริ่มต้นที่บ้านเกิดของตัวเองก่อน คือ เมือง ”เฮโบรน” เพราะน่าจะรู้ทางแล้วก็มีพรรคพวกอยู่มาก ข้อนี้ บอกว่า..อับซาโลมเข้าไปหาดาวิด..ขออนุญาตไปเฮโบรนโดยอ้างว่าตอนอยู่ที่เกชูร์เขาบนพระเจ้าไว้..ว่าถ้าได้กลับมาที่เยรูซาเล็ม..ก็จะไปนมัสการพระเจ้าที่เฮโบรน แน่นอน..ดาวิดก็ให้ไปเพราะไม่มีเหตุผลที่จะไม่อนุญาต

ดู 2ซมอ.15:10-12 ไปขออนุญาตดาวิดอย่างดี..เพื่อไร อยากให้ดาวิดนิ่งนอนใจ เขาจะได้ก่อการร้ายโดยที่ดาวิดไม่ทันระวังตัว และพอดาวิดให้ไป..อับซาโลมกลับส่งข่าวไปทั่วประเทศว่าถ้าได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไหร่..ให้รู้ไว้ว่าเขาได้เป็นกษัตริย์ของเฮโบรนแล้ว ข้อที่11 บอกว่า..อับซาโลมพาคนจากเยรูซาเล็มไปกับเขาด้วย 200 คน แต่คนพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย เหมือนถูกเชิญให้ไปร่วมขบวนเสด็จแต่จริงๆโดนหลอกให้ไปร่วมการกบฎ สิ่งสำคัญที่พระคำภีร์บันทึกไว้อีกอย่าง ก็คือ อับซาโลมสามารถชักจูง”อาหิโธเฟล” ให้มาร่วมขบวนการด้วย อาหิโธเฟลเป็นใคร..เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของดาวิด ซึ่งมีสติปัญญามาก คำปรึกษาของอาหิโธเฟลเป็นเหมือนบัญชาจากพระเจ้าเลย..มีค่ามาก เพราะฉะนั้นการที่ต้องเสียอาหิโธเฟลให้อับซาโลมไป..ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนคงสงสัยว่า..เอ๊ะ แล้วทำไมคนที่มีสติปัญญาอย่างงี้ถึงยอมไปเข้าพวกกับอับซาโลม คำตอบคือ พระเจ้าทรงอนุญาต..เพราะเดี๋ยวเราจะได้เห็นอาหิโธเฟลให้คำปรึกษา..แบบที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่วันยังค่ำ..ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ขอให้เด็กๆจำอาหิเฟลไว้ให้ดีๆ เพราะการแปรพักตร์ของเขานี้จะสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ชัดเจนมาก

ดู 2ซมอ.15:13-14 สายของดาวิดมารายงานว่า..ตอนนี้คนอิสราเอลส่วนใหญ่มีใจเข้าข้างอับซาโลม ความจริงดาวิดก็คงเตรียมใจไว้แล้ว..ว่าซักวันจะต้องเกิดเรื่องอย่างงี้ขึ้น ดาวิดก็คงไม่ได้หูหนวก ตาบอดจนไม่รู้ว่าอับซาโลมกำลังทำอะไรอยู่..ตรงกันข้าม น้าตุ๊กเชื่อว่าดาวิดรู้จักอับซาโลมดีด้วยซ้ำ ข้อที่14 บอกว่า..แต่ดาวิดพอได้ยินข่าวนั้น เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมหนีออกจากเยรูซาเล็ม อ่านถึงตรงนี้ปุ๊บ..น้าตุ๊กคิดออกอย่างเดียว..ทำไมหนีง่ายจัง แต่เหตุผลก็คงไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ดาวิดแค่ไม่อยากจะสู้กับลูกตัวเอง..และอีกอย่าง ดาวิดรู้อยู่แล้วว่าพระเจ้าจะให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับครัวเรือนของเขา..ถ้าจะยอมจำนนต่อพระเจ้าก็คงต้องหนีไป..ไม่ใช่เหยียดมือขึ้นต่อสู้ เพราะฉะนั้น อยู่ต่อไปไม่มีอะไรดีแน่นอน ถ้าจะสู้กันจริงๆ..ดาวิดอาจต้องเสียลูกไป แต่ถ้าออมมือให้..ก็คงถูกมันฆ่าตาย ดังนั้น แทนที่จะตั้งรับอับซาโลม ดาวิดเลยตัดสินใจหนีไปก่อน..ชั่วคราว ช่วงต่อไปที่ดาวิดต้องหนี..จะเป็นช่วงที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เพราะมันปวดในหัวใจ..ที่ลูกทำกับพ่อได้ถึงขนาดนี้ แล้วในวาระที่ลำบากที่สุด ก็มักจะมีอะไรมากมายให้เราได้เรียนรู้..คนที่จริงใจกับคนที่เสแสร้ง..ก็จะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ..อีกสองสัปดาห์พบกันใหม่นะคะ สัปดาห์หน้าจะเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลอง ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ..ให้เราชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์..ผู้ช่วยให้รอดของเรา อย่าให้การดื่มกิน..สังสรรค์มามีความสำคัญมากกว่าความจริงในข้อนี้นะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ 2ซามูเอล ครั้งที่9 อาทิตย์ที่ 12:12:2010

การพิพากษาครั้งแรกของดาวิดผ่านไปแล้ว ลูกที่เกิดกับนางบัชเชบาก็เสียชีวิตไป..ตามพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสไว้ทางนาธัน แต่นั่น..แค่เริ่ม ยังมีโศกนาฏกรรมจากความบาปของดาวิดอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพื่อให้เราเรียนรู้..

บทที่ 13 อัมโนน กับ ทามาร์

ดู2ซมอ.13:1-2 “อับซาโลม” ราชโอรสของดาวิดมีน้องสาวที่สวยสดงดงามมากชื่อ”ทามาร์” แล้ว”อัมโนน”ราชโอรสอีกคนของดาวิด..ก็หลงรักทามาร์อย่างหัวปักหัวปำ” อย่าเพิ่ง..งง ข้อนี้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงบุคคล 3 คน..ทั้งสามคนเป็นลูกของดาวิดหมดเลย แค่คนละแม่กันเท่านั้น..คือ อัมโนน เป็นลูกชายคนแรกของดาวิด..ที่เกิดจากนางอาหิโนอัมซึ่งเป็นภรรยาคนที่สอง..(ภรรยาคนแรก คือมีคาล..ลูกสาวซาอูล..เป็นหมัน..ไม่มีลูก) ส่วนอับซาโลม กับ ทามาร์ เป็นพี่น้องแท้ๆ แม่เดียวกัน..สองคนนี้ก็เป็นลูกของดาวิดที่เกิดจากนางมาอาคาห์ ข้อที่ 2 บอกว่า..อัมโนนถึงขนาดป่วยเป็นไข้ใจ เพราะหลงรักทามาร์น้องสาวต่างมารดา เขาก็เลยรู้สึกทุกข์ใจมาก เพราะตามธรรมบัญญัติของโมเสส..พูดง่ายๆก็คือ “พี่น้องห้ามสมสู่กันเด็ดขาด” แล้วถ้าสังเกตดูให้ดี พระคำภีร์ยังบอกว่า “ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี ก็เลยรู้สึกว่า”จะทำอะไรเธอไม่ได้เลย” ตรงจุดนี้เหมือนจะบอกเราว่า..อัมโนนแค่อยากได้ทามาร์เฉยๆ ไม่ได้คิดจะแต่งงานด้วยรึเปล่า” ดูกันต่อไป

ดู 2ซมอ.13:3-4 ข้อนี้บอกว่า..อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อ”โยนาดับ” เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน..เพราะโยนาดับเป็นลูกของลุง ข้อที่4 บอกว่า..โยนาดับเห็นอัมโนนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็เลยถามว่า “พระโอรสของพระราชา เป็นอะไรไป..ทำไมถึงดูซึมเซาขนาดนี้..มีอะไรก็เล่าให้เขาฟังบ้าง..บางทีเขาอาจจะช่วยได้” ประมาณนั้น อัมโนนก็เลยเล่าให้ฟังว่าเขาหลงรักทามาร์..น้องสาวต่างมารดา พระคำภีร์บอกว่า..โยนาดับเป็นคนเจ้าปัญญา สำหรับน้าตุ๊ก..คำว่าเจ้าเล่ห์กับเจ้าปัญญาแทบไม่ต่างกัน มันขึ้นกับว่า..จะเอาปัญญาไปใช้ทางไหน ถ้าใช้ในทางที่ดี..ก็เรียกว่า”มีวินิจฉัย” แต่ถ้าเอาไปใช้วางแผนชั่วร้าย..ก็คือ เจ้าเล่ห์..หัวหมอ..แล้วแต่จะเรียก แต่ทั้งคู่ก็คือฉลาดเหมือนกัน

ดู 2ซมอ.13:5 เพราะฉะนั้น อย่างโยนาดับจะเรียกว่าเจ้าเล่ห์หรือเจ้าปัญญา ตอนนี้..เด็กๆลองพิจารณาเองก่อน ข้อนี้ บอกว่า..พอโยนาดับฟังปัญหาของอัมโนนแล้ว เขาก็วางแผนให้อัมโนนแกล้งป่วยมากขนาดลุกจากเตียงไม่ได้..ดาวิดจะได้มาเยี่ยม แล้วพอดาวิดมา..โยนาดับก็บอกให้อัมโนนขออนุญาตดาวิดให้น้องสาวมาเฝ้าไข้ แล้วก็ทำอาหารให้รับประทาน ประมาณว่าคนอื่นทำแล้วกินไม่ลง ต้องฝีมือทามาร์เท่านั้น แล้วก็ต้องป้อนด้วย เพราะท้ายข้อที่5 โยนาดับเน้นว่า “อัมโนนจะได้รับประทานจากมือของเธอ” พอฟังมาถึงตรงนี้..สิ่งที่เรารู้สึกก็คือ เฮ้ย..เจตนาไม่ดีนะเนี่ย แต่จะมากน้อยแค่ไหน..ยังไม่รู้ แต่ทั้งหมดนี้คือแผนที่เกิดจากความเจ้าปัญญาของโยนาดับ..

ดู 2ซมอ.13:6-7 ปรากฎว่า อัมโนนเชื่อโยนาดับแล้วก็ทำตามที่เขาแนะนำทุกอย่าง คือแกล้งป่วยหนัก..พอดาวิดมาเยี่ยมก็เอ่ยปากขอให้ทามาร์..มาทำอาหารให้กิน ดาวิดก็มึน..ยอมให้มาซะงั้น..คือ ดาวิดอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ถ้าเป็นเราคงจะเฉลียวใจเหมือนกัน..ว่าทามาร์เนี่ยนะ!!จะทำอาหารอร่อยกว่าเชฟของพระราชวัง..หรือมันเป็นอะไรนักหนาถึงต้องให้น้องคนนี้มาป้อน..ถึงจะกินลง อันนี้น้าตุ๊กพูดตรงๆ..เราอาจจะขี้ระแวงก็ได้ แต่เรื่องนี้มันจะเป็นตัวอย่างว่าบางครั้ง..ระแวงไว้มั่งก็ดี

ดู 2ซมอ.13:8-10 “เพราะคำสั่งของดาวิด”ทามาร์เลยต้องไปที่วังของอัมโนน พอไปถึงทามาร์ก็จัดแจงนวดแป้งทำขนม..ในขณะที่อัมโนนก็นอนมองอยู่ พอปิ้งเสร็จทามาร์ก็ยกมาเสริฟ แต่แทนที่จะกินให้เสร็จๆไป อัมโนนกลับไล่คนอื่นออกไปจากห้อง..ทุกคนก็ต้องออกไปตามคำสั่งของรัชทายาทหมายเลขหนึ่ง...ทิ้งทามาร์ให้ต้องอยู่กับอัมโนนตามลำพัง มาถึงตรงนี้ เราเองยังเดาออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น..อัมโนนสั่งให้ทามาร์เอาอาหารมาป้อนที่เตียง แต่พอจะป้อนให้กลับขอให้ทามาร์นอนกับเขา เอาล่ะสิ..ทามาร์จะทำไง

ดูต่อไป 2ซมอ.13:12-13 จริงๆทามาร์ก็คงระแวงอยู่แล้ว..ว่ามันอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่ก็ขัดคำสั่งดาวิดไม่ได้ พออัมโนนออกลายปุ๊บ..เธอก็ปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ได้ดอก พระเชษฐา อย่าบังคับน้องเลย” ทามาร์ให้เหตุผลว่า.. สิ่งที่อัมโนนจะทำเนี้ย..ไม่มีใครในอิสราเอลเขาทำกันเพราะมันผิดธรรมบัญญัติ คิดให้ดีๆถ้าข่มขืนเธอ..อัมโนนจะต้องถูกเหยียดหยามว่าเป็นคนที่น่าอายที่สุดในอิสราเอลซึ่งไม่คุ้มเลย..เพราะอัมโนนเป็นถึงบุตรหัวปีของกษัตริย์ หมายความว่า ตอนนั้นเขาคือรัชทายาทหมายเลขหนึ่ง..ซึ่งมีโอกาสมากที่จะได้ครองบัลลังก์ต่อจากดาวิด ส่วนเธอก็จะต้องอับอายไปตลอดชีวิต..ทามาร์พยายามกล่อมให้อัมโนนเปลี่ยนใจ แต่ดูท่าแล้วอัมโนนคงไม่ฟังเพราะกำลังหน้ามืด เด็กๆจำไว้..นี่คืออาการที่ผู้ชายกำลังหน้ามืดอย่างแท้จริง ทามาร์เลยพยายามเบี่ยงเบนว่า..เออ งั้นไปขอพ่อให้เป็นเรื่องเป็นราวซะก่อนนะ..พ่อก็คงไม่ว่าไร คือคิดอะไรได้ก็พูดไป..ตอนนี้ ทามาร์ต้องการแค่อยากจะหลุดไปจากสถานการณ์นี้ก่อน แต่อัมโนนจะยอมมั๊ย..ดูต่อไป

ดู2ซมอ.13:14 ไม่ว่าทามาร์จะพยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ผล อัมโนนหน้ามืดเกินกว่าจะรับฟังอะไร ตัณหาที่เขา”ปล่อย”ให้มันกัดกินหัวใจมานานโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ..ตอนนี้ก็ถูกบ่มเพาะจนถึงขีดสุด..ถ้าไม่มีโอกาสก็แล้วไป แต่ “ถ้าอยู่ในสถานการณ์”ที่มีโอกาส”จะได้ทำตามความต้องการของเนื้อหนังเมื่อไหร่” จำไว้เลย..เอาไม่อยู่ ควบคุมตัวเองไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้ความบาปลักษณะนี้มันค้างอยู่..ไม่ยอมตัดใจหรือกำจัดมันไปให้สิ้นซาก ก็ขอให้ระลึกไว้ละกันว่า..เราก็มีโอกาสที่จะทำบาปในแบบเดียวกันกับอัมโนน ไม่ต้องมาคุยเลยว่า..ถึงชั้นจะตัดใจไม่ได้แต่ชั้นจะไม่ทำบาป ยังไม่มีโอกาส..พูดไม่ได้หรอก แล้วอันนี้ก็ไม่ใช่แค่เรื่องชู้สาวอย่างเดียว แต่หมายถึงบาปทุกประเภท ในที่สุดข้อนี้บอกว่า อัมโนนก็ใช้กำลังข่มขืนทามาร์จนได้

ประเด็นแรกเลยที่เรามองเห็นก็คือ ดาวิดกลายเป็น”สะพานที่ทอด”ให้อัมโนนมีโอกาสเข้าถึงทามาร์ เพราะเป็นคนสั่งให้”ทามาร์”ไปหา”อัมโนน” คล้ายๆกับที่เขาให้คนไปตาม ”บัทเชบา” แต่ครั้งนี้ คนที่ถูกกระทำเหมือนบัทเชบา คือลูกสาวตัวเอง..และกระทำโดย ลูกชายตัวเอง.. อันนี้คือแง่มุมแรกของการพิพากษา แต่ยังมีอีกหลายมุม ให้เราดูกันต่อไป..

ดู 2ซมอ.13:15-16 ได้ปุ๊บ..เบื่อปั๊บ!! พระคำภีร์บอกว่า พออัมโนนได้ทามาร์แล้ว เขาก็เบื่อหน้าแล้วก็เกลียดชังเธอด้วย เพราะอะไร เพราะมันคือ ความใคร่..มันไม่ใช่ความรัก สังเกตดูข้อที่ผ่านมา มีแต่บอกว่า..อัมโนนแค่อยากหลับนอนกับเธอ เขาไม่ได้พูดซักคำว่าอยากแต่งงานกับทามาร์..ให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็เหมือนที่ดาวิดได้บัทเชบาแล้ว..เขาทำไง ส่งกลับไป ไม่ได้คิดจะสานต่อความสัมพันธ์...อัมโนนก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราก็เลยไม่ต้องสงสัยแล้วว่า..ทำไมอัมโนนได้ทามาร์แล้วเบื่อทันที..ไล่กลับบ้านอีกต่างหาก ก็ดาวิดทำไว้อย่างเงี้ย.. ข้อที่ 16 บอกว่า ทามาร์อ้อนวอนอัมโนนว่า”อย่าทำอย่างงี้เลย ที่ข่มขืนเธอก็แย่พอแล้ว แต่ที่จะไล่ไปให้พ้น..ยิ่งแย่กว่า เพราะเท่ากับไม่ให้เกียรติกันเลย

ดู 2ซมอ.13:17-18 อัมโนนไม่สนใจคำอ้อนวอนของทามาร์เลยแม้แต่นิดเดียว เขาสั่งคนให้ไล่ทามาร์ออกไป แถมปิดประตูใส่หน้าอีกต่างหาก เราคงสงสัยกันว่า..ทำไมถึงเบื่อเร็วขนาดนี้ คือแทบจะทันทีที่ได้สมใจ..น้าตุ๊กจะเฉลยให้ เพราะอารมณ์ที่ ”อัมโนนอยากได้ทามาร์” กับ ที่ ”ดาวิดอยากได้บัทเชบา” มันอารมณ์เดียวกัน “ความเป็นสาวพรหมจรรย์” มีส่วนทำให้อัมโนนอยากได้ทามาร์มากขึ้น เหมือนที่ดาวิดก็อยากได้บัทเชบามากขึ้น..เมื่อรู้ว่า”เธอมีสามีแล้ว” ชอบ..อยากลองนักพวกของต้องห้ามเนี่ย เหมือนอาดามกับเอวา..ถึงตายก็ยอมขอให้ได้ลองซักทีเหอะ..ไอผลไม้ที่พระเจ้าห้ามเนี่ย ถามว่าอย่างอื่นมีให้กินมั๊ย..ผู้หญิงอื่นมีมั๊ย..ที่สวยกว่าบัทเชบามีมั๊ย สวยกว่าทามาร์มีรึเปล่า..มีเยอะแยะ แต่ชั้นอยากกินอันที่ไม่ให้กิน..อยากได้ผู้หญิงต้องห้าม..เห็นภาพรึยัง เพราะฉะนั้น นี่คือธรรมชาติบาปของมนุษย์ซึ่งมีทุกคน..แค่มากน้อยต่างกันไป แต่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้..ว่าอะไรที่ท้าทาย..นอกกรอบ..สนุกตื่นเต้น..ส่วนใหญ่มนุษย์จะชอบมากเพราะ”เราเป็นเหมือนบรรพบุรุษ” มนุษย์ส่วนใหญ่ถึงชอบเรื่องผาดโผน ตั้งแต่ขับรถแข่ง โดดร่ม เดินป่า ปีนเขา บันจี้จั๊มป์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ รถไฟเหาะ เจสสกี บานานา โบ๊ทของบ้านเราที่เด็กๆชอบ..นั่นก็รูปแบบหนึ่งของการแสวงหาความตื่นเต้นเล็กๆน้อยแบบไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ให้เราจำไว้ว่าความสุขจากความบาปมันจะฉาบฉวย..ได้ไม่คุ้มเสีย “ต้องจ่ายแพงแต่สนุกแป๊บเดียว” แล้วก็จะเบื่อ ทามาร์ถึงโดนไล่ออกมาจากวังแทบจะทันที..ที่อัมโนนได้สมใจ เมื่อทำไรไม่ได้ทามาร์เลยร้องไห้ ฉีกเสื้อผ้า เอาขี้เถ้าโรยหัว..เดินกลับบ้านไป

ดู 2ซมอ.13:20-22 อย่าลืมเด็ดขาด!!..ว่าทามาร์มีพี่ชายแท้ๆคนนึงชื่อ”อับซาโลม” ข้อนี้ บอกว่า เมื่อทามาร์กลับมาอยู่ที่วังของพี่ชาย อับซาโลม..ก็แค่ถามเรียบๆว่า “พี่อัมโนนได้อยู่กับน้องหรือ..(หมายความว่าได้ร่วมหลับนอนกันใช่มั๊ย) แล้วอับซาโลมก็ปลอบใจทามาร์ ประมาณว่า..ช่างมันเถอะ อย่าร้องไห้เลย เพราะยังไง..อัมโนนก็เป็นพี่ คือ ถ้าดูภายนอก ก็เหมือนว่าอับซาโลมไม่ได้โกรธแค้นอะไรมากมาย ข้อที่ 21 บอกว่า..ส่วนดาวิด พอรู้เรื่องเข้า..ก็โกรธมาก แต่ไม่ทำอะไรเลย..ไม่ได้ลงโทษอัมโนนอย่างที่ควรจะทำ เพียงแต่แสดงออกว่าโกรธมาก..แค่นั้น ต่างกับอับซาโลม..ที่ดูจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า..ไม่ได้แสดงออกมากมาย ไม่ได้ต่อว่าอัมโนนเลยด้วยซ้ำ เค้าทำเหมือนอัมโนนไม่มีตัวตน แต่ข้อที่ 22 ยืนยันว่า..เขาเกลียดอัมโนนมาก..ที่บังอาจมาข่มขืนทามาร์..น้องสาวเขา

ดู 2ซมอ.13:23-25 สองปีผ่านไป ในขณะที่อัมโนนยังลอยนวลอยู่เทศกาลตัดขนแกะก็มาถึง..อับซาโลมก็กำลังเตรียมงานฉลอง ข้อนี้ก็บอกว่า..เขาเชิญลูกทุกคนของดาวิดไปร่วมงาน แล้วก็เชิญให้ดาวิดไปร่วมงานด้วย..ที่เมืองอัลฮาโซร์ แต่ดาวิดไม่อยากไป เพราะเมืองนี้จะอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20 ไมล์..คือ ไกลพอสมควร ดาวิดเลยกลัวว่าจะไปสร้างภาระให้อับซาโลมเพราะถ้าเขาไป..กษัตริย์ก็ต้องมีผู้ติดตามอีกขบวนใหญ่ อับซาโลมก็จะต้องเตรียมทั้งที่อยู่ที่กินซึ่งจะวุ่นวายมาก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะคะยั้นคะยอยังไง..ดาวิดก็ไม่ไปแค่อวยพรให้เฉยๆ พออับซาโลมเห็นแน่แล้วว่าดาวิดไม่ไป เค้าก็ออกปากขอให้อัมโนนไปร่วมงานกับเค้า ดาวิดก็คงสงสัยเหมือนกันว่า..ทำไมต้องอยากให้อัมโนนไปด้วย แต่อับซาโลมก็อ้างเหตุผล..คะยั้นคะยอจนดาวิดยอมตกลง

ดู 2ซมอ.13:28-29 ข้อนี้บอกว่า..พอดาวิดรับปากให้อัมโนนกับลูกทุกคนไปร่วมงานฉลองแล้ว อับซาโลมก็วางแผนต่อทันที..เค้าสั่งให้คนมอมเหล้าอัมโนน ”จนเมื่อเขาเพลิดเพลินด้วยเหล้าองุ่นแล้ว”...ก็ฆ่าทิ้งซะ!!! ข้อที่29 บอกว่า..มหาดเล็กก็ทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมสั่งทุกอย่าง..คือ มอมเหล้าจนได้ที่แล้วก็ตีเค้าจนตาย..

ถ้าเรามองให้ดีจะเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้สถานการณ์เดิมๆมาตีสอนดาวิด..อีกแล้ว เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ”ดาวิดเลือกที่จะอยู่บ้าน..”อีกครั้ง” แล้วส่งคนอื่นไปทำหน้าที่แทน แล้วผลจากการอยู่บ้านครั้งนี้ก็ทำให้อัมโนนถูกฆ่า ยังไง..โดนมอมเหล้าก่อน เหมือนที่เขาเคยมอมอุรีอาร์..แต่พอทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวังดาวิดก็ฆ่าอุรีอาร์ทิ้ง ต่างกันแค่..ครั้งนี้คนที่ถูกมอมเหล้าแล้วฆ่าทิ้ง คือลูกชายตัวเอง..ส่วนลูกคนอื่นๆพอเห็นอัมโนนถูกฆ่าก็กลัว เพราะไม่รู้ว่าอับซาโลมจะฆ่าใครมั่ง พอขึ้นล่อได้ก็หนีกันกระจาย

ดู 2ซมอ.13:30-31 ปรากฎว่าข่าวลือเรื่องนี้ไปถึงหูดาวิดเร็วมาก..ทั้งที่ทุกคนก็เผ่นกลับบ้านทันทีที่เห็นอัมโนนถูกฆ่า..แต่ข่าวนี้ไปถึงก่อน แล้วลือกันว่าไง..”อับซาโลมฆ่าลูกดาวิดหมดทุกคนเลย” เนี่ยข่าวลือ..ขนาดเรื่องของกษัตริย์ยังรายงานกันผิดพลาดขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ต่อไปถ้าได้ยินอะไรที่เป็นคำร่ำลือ..ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อหรือตีโพยตีพาย เพราะข่าวแรกบางทีก็ยังไม่ได้กรอง..เหมือนข้อนี้ ข่าวที่ถึงหูดาวิดก่อน บอกว่าลูกทุกคนของเขาถูกอับซาโลมฆ่าหมดแล้ว จริงๆแล้ว..ใช่มะ..ไม่ใช่ แต่พอดาวิดได้ยินอย่างงั้น..ลมแทบจับ เราลองนึกถึงใจดาวิดสิ..ว่าตอนได้ยินข่าวนี้จะทุกข์ทรมานขนาดไหน ข้อที่31 บอกว่า..ดาวิดฉีกเสื้อผ้าของตัวเองแล้วนอนลงกับพื้นทันที ทำเหมือนตอนที่ลูกคนแรก..ที่เกิดกับบัทเชบากำลังจะตาย แต่ครั้งนี้สาหัสกว่ามากมายหลายเท่า..กว่าจะรู้ว่าข่าวนั้นไม่จริง

ดู2ซมอ.13:32 จำ”โยนาดับ”ได้มะ..ลูกลุงที่วางแผนให้อัมโนนแกล้งป่วย..จนทามาร์โดนข่มขืนอ่ะ ไอนี่มาอีกละ..ข้อนี้บอกว่า โยนาดับทูลดาวิดว่าอย่าตกใจจนเกินไป..อัมโนนเท่านั้น..ที่ตาย เพราะอับซาโลมวางแผนไว้ตั้งแต่ที่เค้าข่มขืนทามาร์แล้ว (แสดงว่าโยนาดับรู้แผนการของอับซาโลมทุกอย่าง แล้วรู้จริงด้วย..) แต่ไม่คิดจะแก้ไขอะไร..ยอมให้เรื่องร้ายเกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะสนิทรักใคร่กันดี แต่กลับปล่อยให้อัมโนนถูกฆ่าตาย..แล้วค่อยสวมรอยว่าตัวเองเหนือชั้น..ทำหน้าที่เป็นคนเอาข่าวดีมาโปรด..ให้ดาวิดมีความหวัง (ประมาณว่า..อย่าตกใจๆ จริงๆแล้วอัมโนนตายคนเดียว เชื่อเหอะ เขารู้จริง ) เพราะฉะนั้น ให้เรามาเรียนรู้คนลักษณะอย่างงี้กันนิดนึง เพราะนี่คือตัวอย่างของคนเลวที่ให้คำปรึกษาผิดๆ..และหว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้องอย่างแท้จริง

ดู สภษ.27:5-6 “ว่ากันต่อหน้า ดีกว่ารักกันลับๆ บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต แต่การจุบของศัตรูนั้นมากเกินความจริง” หมายความว่า..เพื่อนแท้หรือเพื่อนที่ดีจริงๆจะต้องแสดงความรักกันอย่างเปิดเผย แล้วยังไงที่เรียกว่ารักกันจริง..ก็ต้องชี้นำในสิ่งที่ถูกแล้วก็กล้าคัดค้านหรือขัดขวางถ้าเห็นเพื่อนกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ “โยนาดับ” ไม่ใช่...ตั้งแต่ที่รู้ว่าอัมโนนอยากได้ทามาร์ เขาก็ช่วยวางแผนชั่วทั้งที่รู้ว่ามันผิด..จนทามาร์โดนข่มขืน แล้วมาตอนนี้ก็แสดงชัดเจนอีกว่า..ตัวเองรู้แผนการของอับซาโลมแต่ไม่คิดจะห้ามปรามหรือทำอะไรเพื่อยับยั้งอับซาโลมเลย ลอยหน้าอยู่จนอัมโนนถูกฆ่าตาย แล้วมาทำคล้ายๆว่าตัวเองรู้ดีกว่าใคร..จะได้เป็นคนสำคัญ..เพราะฉะนั้น โยนาดับ คือตัวอย่างของเพื่อนที่ไม่หวังดี..ไม่มีความรักแบบพระเจ้า

ดู 1โครินธ์ 13:4-7 เพราะส่วนหนึ่งของความรักที่แท้จริงจะต้อง “ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว (ใครจะตายก็ตายชั้นไม่เกี่ยว..ไม่ใช่) และต้องไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่จะชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ..เท่านั้น” ส่วนความจริงของโลกนี้ ก็คือ มนุษย์ไม่ชอบคนขัดใจ ส่วนใหญ่ถูกเตือนแล้ว..โกรธ..ไม่ชอบ ก็ชั้นชอบเที่ยวกลางคืน อีเพื่อนก็เตือนอยู่ได้ เจอหน้าทีไรมันว่าให้ทุกที รำคาญจริงๆเพื่อนคนนี้..เลิกคบซะเลย ส่วนใหญ่จะเป็นหยั่งงี้ เพราะฉะนั้น มันไม่ยากหรอกที่เราจะมีเพื่อนเยอะแยะ เราเองก็อาจจะเป็นเพื่อนของใครๆหลายคน แต่..เพื่อนที่ดีจริงๆ และการจะเป็นเพื่อนที่ดี..มันไม่ง่าย นอกจากต้องมีรักแท้..”แบบพระเจ้า” แล้ว..เพื่อนที่ดีต้องกล้าหาญและเสียสละด้วย เพราะเตือนไปก็ไม่ได้อะไร ดีไม่ดีแกมาเกลียดชั้นอิก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หนักแน่นจริงๆ ส่วนใหญ่ก็เลิกเตือน เพราะมันง่ายดี..ไม่เหนื่อยด้วย (แกจะตายก็ตายไปชั้นไม่เกี่ยว) แต่อย่างงี้..ไม่ใช่เพื่อนแท้..

เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กขอฝากเรื่องนี้ไว้ อยากให้เด็กๆทุกคนมีวินิจฉัยในการที่จะอยู่”เพื่อกันและกัน” คนไหนที่ถูกเตือน..ก็ขอให้เข้าใจว่าเพื่อนหวังดี เพื่อนที่ดีไม่ใช่คนที่ตามใจเราทุกอย่าง ส่วนคนไหนที่ต้องเตือนเค้า..ก็ขอให้เตือนด้วย”ความรักและถ่อมสุภาพ”แล้วก็หวังดีกับเค้าจริงๆ ไม่ใช่ชั้นหมั่นไส้มานานละ..ดีเลย แกพลาดตรงนี้ น้าตุ๊กบอกให้เตือนได้ เลยด่ามันซะเลย..หรือพูดแบบกระแนะกระแหน..ไม่ใช่ ให้จำไว้เสมอว่า..”วิธีพูด สำคัญพอๆกับสิ่งที่เราจะพูด” ถ้าจำเป็นต้องเตือนกัน ก็ให้ทำทุกอย่างด้วยความรัก ถ้าไม่แน่ใจว่ารักเค้าจริงๆ..ก็อย่าเตือน..ไม่ต้องพูดเลยดีกว่า..เพราะมันไม่มีประโยชน์ น้าตุ๊กจะย้ำเรื่องนี้บ่อยมากเพราะอยากให้เด็กๆถูกหล่อหลอมอย่างถูกต้อง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า..เพราะดำรัสของพระองค์ คือรักพระเจ้าด้วยสุดใจ และรักซึ่งกันและกัน ถึงแม้เราจะไม่มีกำลัง ไม่มีเงินทอง ไม่มีแม้สมองจะช่วยผู้อื่น..แต่เรามีความรักแบบพระเจ้าให้เค้า..นั่นคือ เพียงพอ ในทางกลับกัน..ต่อให้เรามีศักยภาพมากมาย..มีเงินทอง มีสมอง มีเรี่ยวแรงที่จะให้ออกไป..แต่ไม่มีความรักและความถ่อมสุภาพ นั่นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลยในสายพระเนตรพระเจ้า ถ้าไม่มีความรัก..เก็บเงินของคุณไว้เถอะ และถ้าไม่มีความรัก..ด้วยความเคารพ..ช่วยเก็บปากเก็บคำของคุณไว้ก่อน จนกว่าพระเจ้าจะทรงชันสูตรใจว่าเราจะทำทุกอย่างด้วยความรักแบบพระองค์ ฝากไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ