วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความสำคัญและฤทธิ์เดชของ”คำพยาน” อาทิตย์ที่ 25:11:2012


เมื่อพูดถึงการเป็นพยาน  หลายครั้งเรานึกถึงการเป็นพยานในการได้รับพระพรฝ่ายโลก เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้   สอบสัมภาษณ์ผ่านได้งานทำ  ได้รถ ได้บ้าน ได้ครอบครัวที่อบอุ่น  ได้หายโรค  อะไรต่างๆเหล่านี้  ก็เป็นคำพยาน แต่ สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่หัวใจที่แท้จริงของคำพยาน  แต่การเป็นพยานที่น้าตุ๊กจะกล่าวถึงในวันนี้  หมายถึง การเป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  อันมีเนื้อหาที่มีใจความสำคัญคือ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า  มายอมตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระมวลมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย  จากนั้นอีกสามวันพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์มีชัยชนะเหนือความตาย เราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ร่มกับพระองค์ด้วย”    
คำพยาน หรือ การเป็นพยานมีความสำคัญอย่างไร  จำเป็นแค่ไหน..ที่เราจะต้องทำสิ่งนี้  คำตอบง่ายๆที่น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็น ก็คือ พระเจ้าสั่งอะไรไว้ก็จงทำ  ถ้าเราอยากรู้ว่าพระเจ้าสั่งให้เราทำอะไรบ้าง  ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในพระคำภีร์  หรืออีกทาง..พระองค์ทรงสำแดงความสมบูรณ์แบบในทางของพระองค์ไว้ใน”องค์พระเยซูคริสต์” ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น1:14  “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”  คือ ข้อนี้บอกว่า..พระวจนะพระเจ้าหรือพระดำรัสของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์  คือ “พระเยซูคริสต์”  หมายความว่า พระเจ้าทรงสำแดงน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ไว้ในพระเยซูคริสต์   ดังนั้น พระเยซูคริสต์ทำอะไร..นั่นคือ สิ่งที่คริสเตียนพึงต้องเดินตาม  และสิ่งนึงที่พระเยซูคริสต์ทำและสำคัญมากที่เราต้องทำตามก็คือ..”การประกาศข่าวประเสริฐ”  พระองค์สั่งให้เราประกาศกับใครบ้าง..
ดู ลูกา 5:30-32  ข้อนี้ พวกธรรมมาจารย์และฟาริสีมาต่อว่าพระเยซูประมาณว่า..ทำไมพระองค์ถึงเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับคนไม่ดีอย่างพวกคนบาปและคนเก็บภาษี” การเก็บภาษีสมัยก่อนทำคล้ายๆเป็นการสำปะทาน คือ ไปประมูลมา..สมมติเหมาจ่ายให้รัฐบาลโรม 1 แสน  เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องเก็บภาษีจากประชาชนให้ได้มากกว่า 1 แสน  จะเป็น 2 แสน 3 แสนหรือมากกว่านั้นก็แล้วแต่..เพื่อให้ได้กำไร  ส่วนใหญ่ก็เรียกเก็บแพงๆเพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์  คนเก็บภาษีส่วนมากก็จะโหด  น่าจะประมาณพวกที่เก็บค่าคุ้มครองสมัยนี้  ต่างกันที่การเก็บภาษี..ถูกกฎหมาย   แต่ถ้าไม่โหดก็เป็นคนเก็บภาษีไม่ได้  เพราะจะขาดทุน..ไม่มีกำไร   ดังนั้น เมื่อพระคำภีร์พูดถึงคนเก็บภาษี  ก็จะหมายถึงคนไม่ดีไปโดยปริยาย...
พระเยซูตรัสตอบพวกฟาริสีว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ พระองค์มิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่ เด็กๆลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่พระเยซูพูด..มันจริงมั๊ย  จริงแท้แน่นอน  เพราะสังเกตได้เลย..ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดี..ตัวเองเก่ง..ตัวเองฉลาด  เขาจะไม่ฟังคนอื่นหรอก  อย่าบังอาจไปสอนเขา..เหมือนพวกธรรมาจารย์และฟาริสีนี่แหละ..ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม แล้วเลยเห็นคนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเอง..ผิดบาปไปซะหมด  เปิดไปดูข้อพระคำที่สนับสนุนเรื่องนี้กันใน.....
ดู มัทธิว 5:43-45 / 46-48  ข้อนี้ บอกว่าเราทั้งหลายคุ้นเคยแต่กับคำสอนที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู”  ก็คือ ให้รักพี่น้องของตัวเอง..คนกันเอง..พวกกัน..คนบ้านเดียวกัน  ข้อที่ 44 พระเยซูบอกว่า “จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน   เพราะมันจะมีประโยชน์อะไร  ถ้าเราจะรักแต่คนที่ดีกับเรา..หรือคนที่น่ารัก...เพื่อนคนไหนทำถูกใจ  เอาใจ  เราก็ตั้งป้อมเลยว่า..ชั้นจะคบคนนี้  จะยุ่งกับคนนี้เท่านั้น  ส่วนที่ชอบนินทา  ปากว่าตาขยิบ  เราก็ตีกรอบเลย..อย่าหวังว่าฉันจะเสวนาด้วย  ต่อให้มาคุกเข่าตรงหน้าก็อย่าหวังว่าจะเห็นใจ..อะไรประมาณนี้..มันไม่ถูกต้อง  เพราะสำหรับพระเจ้า..มันไม่ใช่  ก็คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาก็ทำกันอย่างงั้น..จริงมั๊ย      สังคมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น..ยอมรับแต่คนที่ดี  เด็กดี  ส่วนคนไม่ดี  เด็กนิสัยแย่ๆ หรือคนที่ทำผิด  ก็มักจะไม่ค่อยได้รับโอกาสหรือความเห็นใจจากคนรอบข้างหรือจากสังคม  อันนี้ คือเรื่องจริง..สังคมของคนที่ไม่มีพระเจ้าส่วนใหญ่..ก็จะเป็นแบบนี้  แต่สำหรับพระเจ้า..ไม่ใช่  พระเยซูสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง   
ดู โรม 1:13-15  “..ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกชาวป่าด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลา”  นี่คือ คำพูดของอ.เปาโล  เป็นสำนวนว่าเขาเป็นหนี้คนทั้งโลก  ทำไมเปาโลถึงบอกว่าเขาเป็นหนี้คนมากมาย  เพราะเปาโลรู้ซึ้งว่า ”ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์”  มีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน  พระเจ้า..พระบิดาไม่ได้เตรียมทางรอดในพระเยซูคริสต์ไว้เพื่อใครคนใดคนเดียว  พระองค์ไม่ได้เลือกแค่คนกลุ่มเดียว  ชนชาติเดียว..อิสราเอลอย่างเดียว..ไม่ใช่  แต่ พระเจ้าให้โอกาสทุกคน และเปาโลซาบซึ้งในเรื่องนี้เป็นอย่างดี  เพราะอะไร..เมื่อก่อนเขาเป็นขุนนางของพวกยิว..เป็นหัวหอกในการต่อต้านพระคริสต์และข่มเหงคริสตจักร    จนวันนึงเมื่อพระเจ้าเปิดตาเขา..พระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองต่อหน้าเปาโล..เปาโลกลับใจใหม่ทันที   เขาเริ่มรับใช้พระเจ้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะประกาศข่าวประเสริฐออกไปให้มากที่สุด..ไกลที่สุด  เพราะเปาโลรู้ดีว่าสิ่งนี้ คือ “น้ำพระทัยของพระเจ้า”   ในเมื่อเขาได้ความรอดมาฟรีๆ  เขาก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อสิ่งที่ดีนี้ให้คนอื่นบ้าง..เขาจะเห็นแก่ตัวเก็บเอาไว้คนเดียว..ไม่ได้ 
ดู โรม 1:16-17  ข้อนี้อ.เปาโลบอกว่า “..ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์..”  อ.เปาโลบอกว่าเขาไม่อายที่จะบอกกับทุกคนว่า”พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ  มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับเรา  เพราะฉะนั้น ได้โปรดเชื่อในพระองค์แล้วรับเอาความรอดไว้..ช่วยรับไว้หน่อยเถอะ”ฟรี”..ไม่เสียค่าใช้จ่าย   เด็กๆว่าพูดแล้วคนที่ฟังเชื่อทุกคนมั๊ย..ไม่เลย  ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังแล้วจะเชื่อ  แต่มันแค่บางคนเท่านั้นเอง   แล้วที่สำคัญ ไอพวกที่ไม่เชื่อก็มักจะมองเรื่องที่พระเยซูทำบนไม้กางเขน..”เป็นเรื่องโง่”  อ.เปาโลถึงต้องใช้คำพูดว่า”เขาไม่อาย”  เพราะหลายคน”อาย”..ที่จะพูดเรื่องราวของพระเยซู    
แล้วอ.เปาโลไม่ใช่แค่ไม่อายนะ  แต่ตลอดชีวิตเขาทุ่มเทรับใช้จนข่าวประเสริฐถูกแผ่ออกไปเกือบครึ่งโลก   จริงๆต้องบอกว่าทั่วโลกเพราะทุกวันนี้ถ้อยคำของอ.เปาโลยังอยู่มั๊ย..ยังอยู่ให้เราได้อ่านได้เรียนกันอยู่นี่ไง  
ดู โรม 10:14 ข้อนี้บอกว่า “..แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อจะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐจะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีใครประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินอย่างไรได้”...เด็กๆ ลองนึกภาพดู ถ้าอัครทูตเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระเยซู..ไม่ทุ่มเทหรือเห็นความสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐ   เด็กๆว่าผู้คนมากมายในสมัยนี้..รวมทั้งเราด้วยจะรู้จักพระเจ้ามั๊ย..ไม่รู้จัก  และในเมื่อไม่รู้จัก..ก็จะได้รอดมั๊ยล่ะ..ไม่รอด  เพราะไม่มีใครมาบอกข่าวประเสริฐ  แล้วทีนี้ลองคิดต่อไป ถ้าเราเพิกเฉยไม่ทำหน้าที่อันเดียวกันนี้  ผู้คนมากมายทั้งในสมัยนี้และลูกหลานเหลนที่จะอยู่ในอนาคตจะรับความรอดได้ยังไง  เมื่อเราได้รับข่าวประเสริฐ..ได้รับความรอดแล้ว  เราเก็บเอาไว้คนเดียว  ไม่สนใจคนอื่นที่เขาต้องพินาศไปในบึงไฟนรก  นั่นคือ เราเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ 
ดู 2ทิโมธี 4:2-4  “..จงขมักเขม้นที่จะทำการทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส..”  ..หมดข้ออ้าง เพราะหลายคนมีปัญหากับการประกาศข่าวประเสริฐ..คิดไปเองว่า “ไม่มีโอกาส”  แต่ความจริง คือ เราพูดได้ทุกโอกาส  เพราะความเชื่อเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้า  ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับพระองต์  ไม่ใช่เพราะเราพูดเก่ง  ไม่ใช่เพราะเราดูดีน่าเชื่อถือ..เขาถึงได้เชื่อ  ไม่ใช่..อย่าเข้าใจผิด   พระคำภีร์ข้อนี้จึงหนุนใจให้เราขมักเขม้น..ทุ่มเทเพื่อข่าวประเสริฐ  ใครที่ไม่เคยทำเลย..ก็หัดทำซะบ้าง  ใครที่ทำน้อยเกินไป..ก็ตั้งใจทำให้มากขึ้น    เพราะ..ข้อที่ 3 บอกว่า “..จะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนอันถูกต้องไม่ได้ (เพราะถูกมารล่อลวงจนหลงเจิ่นไป) แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง..”..ทุกวันนี้เราชอบฟังอะไร..seed 97.5 , 93 คูลเอฟเอ็ม   ข่าววันใหม่ที่มีสารพัดภัยพิบัติ..อาชญากรรม  อะไรอีก..เดอะ โว๊ยซ์  ชอบดูมั๊ย..น้าตุ๊กก็ชอบ ยิ่งในอินเตอร์เน็ท..จะเอาอะไรมีหมด  อากู๋รู้ทุกอย่าง ..ใช่มะ  สื่อในปัจจุบันนี้ไปไกลมาก  เราตามทันมั๊ย..สติปัญญาฝ่ายโลกอาจจะตามทัน  แต่ฝ่ายวิญญาณ..ไม่มีทาง ถ้าเราไม่ระวัง    เราก็เสพเข้าไปแล้วก็ติดใจมาก    แต่ถึงกระนั้น  ก็จะไม่มีข่าวไหนเลยที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด..พ้นจากความพินาศ  นอกจาก..ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู  พระคำภีร์ถึงบอกว่า “..มนุษย์จะรวบรวมครูไว้ให้สอนใน”สิ่งที่เขาชอบฟัง”  ไปฟังแต่ที่ชอบๆ ตามความปรารถนาของตนเอง และจะบ่ายหูจากความจริงเรื่องข่าวประเสริฐในองค์พระคริสต์ หันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ”
กิจการ 1:6-8  ข้อนี้ บรรดาอัครสาวกได้ทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ"  พระเยซูตอบพวกเขาว่า  “ไม่ใช่ธุระของท่าน..”  ..ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องตะเกียกตะกายรู้ให้ได้..ว่าพระเจ้าจะพิพากษาโลกนี้เมื่อไหร่ อีกนานมั๊ยกว่า พระองค์จะจัดตั้งอาณาจักรใหม่ให้ผู้ชอบธรรม   พระเยซูบอกว่าเรื่องนี้..ไม่ใช่ธุระของเรา  แล้วธุระหน้าที่ของเรา คืออะไร..ข้อที่ 8 บอกว่า  “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา..”  คือ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือเรา..สถิตอยู่กับเรา  แล้วเราจะ”เป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์”  นี่คือ หัวใจสำคัญเมื่อเราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์   พระเจ้าไม่ได้บอกว่าเมื่อเรามีพระวิญญาณเราต้องขับผีออก  รักษาคนให้หาย  ห้ามลม  ห้ามฝนหรือเสกไฟลงมาจากฟ้าเหมือนเอลียาห์  แต่..เราจะเป็นพยานในข่าวประเสริฐ 
เพราะงั้น ถ้าใครไม่เคยที่จะอยากพูดเรื่องพระเจ้ากับเพื่อนหรือคนรู้จักเลย  น้าตุ๊กแนะนำว่า “ต้องเช็คตัวเองแล้ว”  ว่าเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจจริงๆรึยัง  เพราะโดยธรรมชาติของคนที่มีพระวิญญาณ..ยังไงก็ต้องทำสิ่งนี้ คือ “เป็นพยาน”  จะมากจะน้อย หรือแม้จะแค่คิดอยู่ในใจ..ยังไงก็ต้องทำ เช่น.. เห็นเพื่อนบางคนมีปัญหา  เศร้าใจ  ไม่มีความสุขก็..เออ อยากชวนเขาไปโบสถ์นะ  อยากให้เขาเชื่อพระเจ้า  อะไรประมาณนี้..ต้องมี 
ดู ฟิลิปปี 1:21-23  ข้อนี้เปาโลบอกว่า “เขาลังเลใจ..จะอยู่หรือจะตายดี  เพราะถ้าอยู่..ก็อยู่เพื่อพระคริสต์  อยู่ต่อไปเขาก็สามารถประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างเกิดผล   ส่วนถ้าตายก็ได้กำไร..อีกใจเปาโลก็อยากจะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก”..เลยเลือกไม่ถูก  นี่คือ ตัวอย่างของคนที่อยู่อย่างมีคุณภาพ  ไม่ใช่อยู่หายใจทิ้งไปวันๆ อยู่เพื่อกิน  อยู่เพื่อเที่ยว วันๆคิดแต่จะหาสิ่งมาปรนเปรอเนื้อหนัง  สุดท้าย อ.เปาโลก็สรุปได้ว่าการที่เขามีชีวิตอยู่  มันมีความจำเป็นมากกว่าสำหรับพี่น้อง  ข้อที่ 24 เปาโลบอกว่า “เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่กับท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ”
นี่คือ สาเหตุเดียวที่ทำให้อ.เปาโลยังอยากมีชีวิตอยู่ คือ อยู่เพื่อเป็นพยานในข่าวประเสริฐ  เพื่อที่มนุษย์อีกมากมายจะได้จำเริญขึ้น..ได้รับความรอดและพบกับสันติสุขที่แท้จริง  หรือน้าตุ๊กจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ ถ้าปราศจากการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว  เราก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร  
  หมดเวลาแล้วค่ะ สัปดาห์หน้ามาต่อกันเกี่ยวกับ"ท่าทีของการประกาศข่าวประเสริฐ"   ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเพื่อให้เกิดพลัง อาทิตย์ที่ 28:10:2012


“สามัคคีธรรม” คือ การเข้าไปมีส่วนร่วม..แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน  ธรรม ในที่นี้ เราหมายถึง ทางของพระเจ้า  รวมกันก็คือ  การเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อที่จะดำเนินอยู่ในทางพระเจ้า   ซึ่งมีอยู่ 3 ขั้นตอนที่สำคัญสำหรับคริสเตียน
ดู 1เธสะโลนิกา 5:17-18  วิธีแรกที่เราจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ก็คือ “การอธิฐาน”  การอธิฐานสำคัญมากสำหรับคริสเตียน  เราถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็ก  ให้อธิฐานทุกวัน  อย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง คือ ตื่นนอนขึ้นมาก็ต้องอธิฐานเลย..เป็นอย่างแรก  กับ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน  เด็กๆต้องทำให้เป็นนิสัยนะคะ  ข้อที่ 18 บอกว่า “..เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย  ฟังดีๆ “เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในพระคริสต์” ข้อนี้มีความหมายตามนั้นจริงๆ  เพราะพระเยซูอุตส่าห์ยอมมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อเรา  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนม่านในวิหารก็ขาดออก..เป็นสัญลักษณ์ว่าโดยความเชื่อในพระเยซู..ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเรากับพระเจ้าได้อีกต่อไป    เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยการอธิฐานได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ  ไม่เหมือนในพันธสัญญาเดิม..ที่มีแต่มหาปุโรหิตเท่านั้น..ที่สามารถเข้าไปเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถาน  และกว่าจะเข้าเฝ้าได้ก็ต้องเตรียมการกันอย่างยุ่งยากซับซ้อนมากมายหลายชั่วโมง  เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ค่อยอธิฐานหรือทำไม่สม่ำเสมอ..ก็ให้กลับใจใหม่นะคะ เพราะสิ่งนี้มีค่ามาก  แล้วการที่จะอธิฐานกับพระเจ้าทุกวันนี้ก็ง่ายดายมาก  ทำได้ทุกที่..ทุกเวลาที่เราต้องการ..ผ่านทางพระเยซูคริสต์    แล้วถ้าเรายังไม่ทำอีก..เราจะไม่มีวันเข้าถึงพระเจ้าได้  เพราะง่ายขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าหา..แล้วจะไปเข้าทางไหน   สุดท้ายแล้ว เราจะไม่มีวันที่จะทำอะไรได้สำเร็จอย่างถูกต้องด้วย..ถ้าเราไม่อธิฐาน   (เดี๋ยวเด็กๆโตขึ้น  ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นเอง  เพราะจะมีประสบการณ์ตรง)  ทีนี้ มาดูว่าพระเยซูสอนเกี่ยวกับเรื่องการอธิฐานไว้อย่างไรบ้าง   อย่างแรกเลยเปิดไปดู..
ดู มัทธิว 6:1-2  “จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น  ถ้าทำอย่างนั้น  เราจะไม่ได้รับบำเน็จจากพระเจ้า”  คำว่า “ศาสนกิจ” น้าตุ๊กคิดว่าหมายถึงทุกอย่าง..ที่เกี่ยวกับงานของพระเจ้า  และรวมถึงการทำดีให้เป็นที่ถวายเกียรติ..เป็นที่ชอบพระทัยต่อพระพักตร์พระองค์   ทั้งการช่วยงานทุกอย่างในโบสถ์  การทำทาน..การช่วยเหลือคนอื่นทุกรูปแบบ  หรือแม้แต่การอธิฐาน  พระเยซูบอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น   อย่าทำแล้วไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้..ว่าฉันถวายเยอะ   ฉันบริจาคเงินช่วยเหลือคนน้ำท่วมไป..กี่หมื่นกี่แสน  หรือตอนสร้างโบสถ์ฉันก็ช่วยออกเงินเยอะมาก..น่าจะเอาชื่อฉันไปติดไว้ที่หน้าโบสถ์  อะไรต่างๆเหล่านี้..ก็เป็นการป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ทั้งสิ้น  พระเยซูทรงบอกว่า..อย่าทำ   (เพราะงั้น เราจะไม่ได้เห็นชื่อหรือรูปถ่ายของคนที่บริจาคหรือถวายเงินในการสร้างสิ่งต่างๆตามผนังโบสถ์เหมือนที่เห็นกันตามวัด)   หรือ แม้แต่เวลาที่เราอธิฐานพระเยซูก็บอกว่า..อย่าทำเพื่ออวดคนอื่น..  ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน  ปิดประตูให้เรียบร้อย  แล้วก็อธิฐาน..ถ้าเป็นได้   แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเราอธิฐานนอกบ้านไม่ได้..ไม่ใช่  เราควรอธิฐานตลอดเวลาด้วยซ้ำไปแต่เราแค่อธิฐานในใจ  สงบใจแล้วระลึกถึงพระเจ้า..คุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว  อย่าไปยืนทำท่าโฮลี่  โบกไม้..โบกมือ  โหวกเหวกโวยวายอยู่ตามที่สาธารณะ  เหมือนคนเคร่งศาสนาซะเต็มประดาอะไรอย่างนั้น..อย่าทำ  (หรือแม้แต่ในห้องประชุม  พระคำภีร์บอกว่าต้องมีระเบียบ  อันไหนที่ไม่มีระเบียบ..ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า)
ดู 1ซามูเอล 3:20-21  “..เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชีโลห์ โดยพระดำรัสของพระเยโฮวาห์”  ข้อนี้ บอกว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์โดย..”พระดำรัส” เพราะฉะนั้น วิธีที่สอง..ที่จะทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้นก็คือ การใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์..ในพระคำภีร์..ไม่ใช่ทุกวันนะแต่ควรจะทำทั้งวัน   น้าตุ๊กเคยบอกแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่เราจะสนิทกับใครหรือไว้ใจใครได้โดยที่ไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักไม่ดีพอ  ดังนั้น  เราควรจะสามัคคีธรรมกับพระเจ้าตลอดเวลา
แต่..พอได้ยินคำว่าสามัคคีธรรมแล้ว  เด็กๆอย่าไปคิดถึงภาพพิธีกรรมที่ลึกลับซับซ้อน  หรือภาพนักบวชบำเพ็ญตะบะที่ต้องออกๆไปปลีกวิเวกตามป่าตามเขาห่างไกลแสงสีความเจริญ..ไม่ใช่   คริสเตียนสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกตินี่แหละ    โดยการสงบใจอธิฐานหรือคิดจดจ่อซ้ำไปซ้ำมาอยู่กับถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าจะตอนนั่งอยู่บนรถ   ทานอาหาร  ออกกำลังกาย   หรือแม้แต่กำลังเดินอยู่ตามทาง   เด็กๆสามารถเริ่มต้นฝึกได้ด้วยการหัดจำพระคำภีร์สักข้อนึง..เริ่มจากสั้นๆก่อนก็ได้  แล้วก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้   ตัวอย่างเช่น
.....เวลาที่มีรายได้ลดลง  แล้วเรากลัวว่าจะขัดสนมีรายรับไม่พอรายจ่าย  เราก็ท่องเลย สดุดี  23
           “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ”  ไม่อดตายแน่แต่เราจะอุดมสมบูรณ์เหมือนแกะที่ผู้เลี้ยงพาไปกินหญ้าในทุ่งที่หญ้าเขียวสดและริมธารน้ำแดนสงบ..คือ อุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำและอาหาร..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับใคร 
.....หรือในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ  แผ่นดินไหว  น้ำท่วมโคลนถล่ม  มีโรคระบาดแปลกๆเยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้  หลายครั้งเราก็อดที่จะนึกกลัวไม่ได้  ก็ท่องเลย สดุดี 91:1-8 
    “..พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์และป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์จะไว้วางใจ" 
        “..พันคนจะล้มอยู่ที่ข้างๆท่าน หมื่นคนที่มือขวาของท่าน แต่ภัยนั้นจะไม่มาใกล้ท่าน ท่านจะมองดูด้วยตาเท่านั้น..”  เพราะฉะนั้น ยิ่งสิ่งที่ตามองเห็น..ทำให้เรากลัวมากขนาดไหน  เรายิ่งต้องจำถ้อยคำของพระเจ้าไว้ให้ขึ้นใจ  พกไว้เหมือนเป็นอาวุธที่พร้อมจะหยิบขึ้นมาไล่ความกลัวได้ตลอดเวลา       
ดู โรม 12:1-2  “..อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม” ... เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า..เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่   เพราะฉะนั้น  ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้ามาหลายปีแต่นิสัย  ความคิด..จิตใจไม่เปลี่ยนเลย  (หมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น..เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น)  ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองว่าเราติดสนิทกับพระเจ้าน้อยเกินไปรึเปล่า   คำว่า   ”จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่” ในข้อนี้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มาจาก  ”การทรงสถิต”  รับเชื่อแล้ว..พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา  และการที่เราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ก็เป็นมาโดยพระวิญญาณที่อยู่กับเรา เราไม่สามารถเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการทำเลียนแบบ  ถ้าต้องทำให้เหมือน..ก็เท่ากับการที่ต้องทำตามกฎบัญญัติอย่างครบถ้วน  ซึ่งไม่มีวันเป็นไปได้  เพราะเราไม่มีกำลังมากพอ   แต่คริสเตียนทำได้..ด้วยการพึ่งในพระคุณของพระวิญญาณ  และเราสามารถให้ความร่วมมือกับพระเจ้าได้..ด้วยการติดสนิทกับพระองค์ผ่านการอธิฐาน..ทูลขอ..และใคร่ครวญข้อพระคำภีร์อยู่เป็นประจำ   ข้อที่ 2 บอกว่า “..เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าอะไรดี  อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรดียอดเยี่ยม”  เด็กๆดูดีๆ สิ่งที่ดีในข้อนี้มันมีหลาย level  ไม่ได้มีแค่ good แต่มี excellent ด้วย  และในทางพระเจ้า..น้าตุ๊กขอบอกว่า  เราควรจะทำแบบ excellent  คือ เป็นที่ชอบพระทัยอย่างยอดเยี่ยม  แต่ก่อนจะเป็นได้เราต้องรู้ก่อนว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร  และคู่มือเล่มเดียวที่จะบอกเราได้ก็คือ พระคำภีร์ 
ดู ยอห์น 13:34-35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน แล้วคนทั้งปวงก็จะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”  การจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนของพระเจ้า..เป็นสาวกของพระคริสต์ ก็คือ “เราต้องรักซึ่งกันและกัน”  ไม่ใช่การถือพระคำภีร์เล่มโตมาโบสถ์  ไม่ใช่การรู้พระคำภีร์ทั้งเล่ม  หรือแม้แต่การที่เราถวายอย่างมากมาย  ก็ไม่ได้เป็นข้อบ่งบอกถึงการเป็นสาวกของพระคริสต์  แต่พระเจ้าบอกชัดเจน ว่า”ให้เรารักซึ่งกันและกัน” อย่างงั้นเราถึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระองค์
พระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพากันในการสามัคีธรรม..เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน  เราไม่สามารถที่จะเติบโตไปคนเดียวเพียงลำพัง  ฉันรอดแล้ว..ฉันไม่สนใจคนอื่น..ไม่ได้  ดังนั้น นอกเหนือจากการอธิฐานและอ่านพระคำภีร์เพื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์แล้ว  พระเจ้าต้องการให้เรามีปฎิสัมพันธ์กับพี่น้อง  หลายๆศาสนามักจะมีค่านิยมว่า “คนที่จะเติบโตหรือพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าทางฝ่ายวิญญาณ..จะต้องหนีไปปลีกวิเวกอยู่คนเดียว  ไปขึ้นเขาลงห้วย  หรืออย่างน้อยที่สุดต้องรู้จักตัดทางโลกไปทำสมาธิ..หรือเดินจงกลมอยู่ตามวัดวาอาราม  แต่สำหรับคริสเตียน..ไม่ใช่  พระเจ้าสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง  เราไม่สามารถเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ได้..ด้วยการไปปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียว  หรือเอาแต่นั่งอธิฐานอยู่ในบ้านโดยไม่ออกมาพบปะผู้คนเลย 
ดู ยอห์น 15:4-6  “..ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ...ไม่ได้จริงๆ  เพราะงั้น เราทุกคนจึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร  เราต้องมีส่วนร่วมและมีความสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ครอบครัวผู้เชื่อ  เพราะพระเจ้าทรงใช้  ”พฤติกรรม และสถานการณ์” เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างอุปนิสัยของเราทุกคน  เด็กๆลองคิดดู..ว่าเราจะแข็งแรงได้ยังไงถ้าเราไม่เคยเจอปัญหา..ไม่เคยเจอคนนิสัยแย่ๆ  ถ้าทั้งชีวิตของเราวางอยู่บนความสุขสบาย  เจอแต่คนดีๆ ช่างเอาอกเอาใจ  เราไม่มีทางเติบโตหรอก  เพราะเราจะไม่รู้จักอดทน  ไม่รู้จักแบ่งปัน  ไม่รู้จักอดกลั้น ไม่รู้จักการรอคอย  ที่สำคัญเราจะรักใครไม่เป็น   เราจะไม่มีทางได้ฝึกฝนหรือเรียนรู้ที่จะรักแบบพระเยซู   เพราะพระเยซูไม่ได้เลือกที่จะรักเฉพาะคนดีๆหรือคนที่น่ารักเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงรักคนบาป..อย่างพวกเราและมนุษย์ทุกคน  เพราะฉะนั้น  ถ้าไม่ออกจากบ้าน..มาปฎิสัมพันธ์กับพี่น้องที่โบสถ์  ไม่มีส่วนร่วมกับชุมชนหรือสังคมไหนๆเลย   เราก็จะไม่ได้เจอคนที่เห็นแก่ตัว  ไม่ได้เจอคนขี้โกง  ขี้อิจฉา  ขี้ใจน้อย  ขี้บ่น  คือเราจะไม่มีโอกาสเจอคนนิสัยแย่ๆ..แล้วเราจะไปฝึกความอดทนตอนไหน..
ดู 2โครินธ์ 4:16-17  “..เพราะการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆบนโลกนี้เรารับแค่ประเดี๋ยวเดียว  แต่จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรนิรันดร์”  ซึ่งมันคุ้มจะตาย   เด็กๆจำไว้ว่า..ปัญหาเป็นแค่เครื่องมือที่พระเจ้าใช้ในการฝึกฝนให้เรารู้จักอดทน  ดึงให้เราเข้าใกล้และไว้วางใจพระองค์มากขึ้น   เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เราออกห่างพระเจ้า  หรือเผลอไปให้ความสำคัญกับบางสิ่งมากกว่าพระองค์  พระเจ้าก็จะเอาสิ่งนั้น..ออกไปจากชีวิตเราแล้วใส่ปัญหาเข้ามาแทน  และในเวลาที่เราไม่เหลืออะไร  ไม่มีใครช่วยได้  หรือมองไม่เห็นทาง  เราก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจนที่สุด   
ดังนั้น อย่าท้อถอยหรืออ่อนระอาใจในเวลาที่เกิดปัญหา  เพราะข้อที่ 16 บอกว่า “..ถึงกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” ...ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มสุดๆ  เพราะกายภายนอกมันเป็นสิ่งที่จะอยู่แค่ชั่วคราว  แต่จิตวิญญาณที่จำเริญขึ้นใหม่ต่างหาก..ที่จะอยู่กับเราถาวรนิรันดร์  เพราะงั้น บนโลกนี้เราจะมีรูปร่างหน้าตาหรือมีอาชีพอะไร..ฐานะจะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ  เพราะสิ่งที่เราจะเอาติดไปสวรรค์คือ จิตวิญญาณที่ถูกสร้างใหม่ให้มีความไพบูลย์เหมือนพระคริสต์  ไม่ใช่อาชีพ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเงินทอง
หัวข้อสุดท้ายที่เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนอีกสักนิด ก็คือ “เรื่องของการรับบัพติศมาในน้ำ” 
ดู มัทธิว 28:18-20  “..เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”  การรับบัพติศมาของคริสเตียนเป็นการแสดงออกทางภายนอก..ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในชีวิตและจิตวิญญาณของผู้เชื่อ  เล็งถึงการมีส่วนร่วมในการวายพระชนม์ของพระคริสต์  การฝัง  รวมถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์    
บัพติศมาในน้ำเป็นขั้นตอนการสำแดงออกถึงความเชื่อฟัง  หลังจากที่เรารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว  พระคำภีร์บอกว่า “..ให้ทุกคนที่เชื่อรับบัพติศมาด้วยน้ำ  ไม่ใช่แค่นั้น  พระเยซูเองก็ยังทำเป็นตัวอย่าง  ด้วยการไปรับบัพติศมากับยอห์น “   เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องสำคัญมาก    ถามว่า รับเชื่อแล้ว  ไม่บัพติศมาแล้วจะไม่รอดหรือ  น้าตุ๊กว่า..ก็ไม่ใช่  แต่การบัพติศมาเป็นเหมือนกับการแสดงออกหรือการประกาศตัวว่าเราเป็น”คนของพระเยซู”  ได้รับการไถ่จากการตายที่ไม้กางเขนของพระองค์แล้ว   แต่ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ต้องเปรียบการรับเชื่อในพระคริสต์เป็นการแต่งงาน  ส่วนบัพติศมาเป็นเหมือนการสวมแหวนแต่งงาน   ซึ่งถ้าเราแต่งงานแล้ว  แค่ไม่สวมแหวน..เราก็ยังเป็นคนที่แต่งงานแล้วอยู่ดี    แต่การสวมแหวนเป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่า”ฉันแต่งงานแล้ว”  “ฉันมีเจ้าของแล้ว” “ฉันเป็นของพระเจ้า” ประมาณนั้น 
แต่สรุปก็คือ ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้  เราต้องทำตามอย่างเคร่งครัด   ไม่ใช่เพราะน้ำที่ใช้ในการบัพติศมาเป็นน้ำวิเศษหรือศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฏิหารย์อะไร..ไม่ใช่   แต่หัวใจที่เราจะได้รับความรอดมันอยู่ที่”การเชื่อฟัง”   พระเจ้าสั่งอะไร..ทำตาม  จะเข้าใจ..ไม่เข้าใจก็ทำตาม  อย่างนั้นถึงจะได้ชื่อว่า “มีความเชื่อ” 
                              ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรอด


       ความรอด คือ อะไร
เด็กๆคิดว่า ”ความรอด” คืออะไร...???
หลายคนยังไม่เข้าใจชัดเจน ถึงความหมายของคำว่า “ความรอด”  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่มีพระเจ้า..จะไม่มีวันเข้าใจความหมายของคำว่าความรอด..ได้อย่างถูกต้องแน่นอน   
ความรอดเป็น  Main Target คือ เป็นเป้าหมายหลักของคริสเตียน  เพราะงั้น ถ้ามี”ความรอด” นั่นหมายถึง ก็ต้องมีสภาวะที่ “ไม่รอด”ด้วย   สำหรับพระคำภีร์ ความไม่รอด คือ สภาวะที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  ในภาษากรีกแปลออกมาแล้วมีความหมายว่า missing target  ก็คือ พลาดเป้าหมาย..ผิดวัตถุประสงค์  พระคำภีร์อธิบายโทษของความบาปว่าเป็น“การตายฝ่ายวิญญาณ”  
พระคำภีร์ของเราเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุประมาณ 3000 ปี..เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ “พระผู้ทรงสร้าง” ทั้งฟ้าสวรรค์..แผ่นดินโลกรวมถึงทุกอย่างที่อยู่บนโลก พระคำภีร์เป็นหนังสือเล่มเดียวที่บันทึกที่มาที่ไปทั้งของมนุษย์และจักรวาล”   และพระคำภีร์เป็นความจริง  ยิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าไหร่..ความจริงในพระคำภีร์ก็ถูกสำแดงให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นเช่น ในหนังสือ โยบ 26:7 พระองค์ทรงคลี่ทางเหนือออกคลุมที่เวิ้งว้าง และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า”   สมัยก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกเป็นยังไงคะ..”แบน”   บางกระแสก็ว่ามีปลาวาฬอยู่ใต้โลกอะไรซักอย่างเนี่ย   แล้วมนุษย์ก็เพิ่งมารู้ว่าโลกกลมอย่างเป็นทางการเมื่อโคลัมบัสค้นพบทวืปอเมริกา....
แต่หนังสือโยบที่เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคศ.  กลับบันทึกเรื่องนี้ไว้แล้ว..พระเจ้าบอกไว้ก่อนแล้วว่าโลกไม่ได้วางอยู่บนปลาวาฬหรืออะไรทั้งนั้น แต่มันลอยอยู่ในอากาศ   โอเค..มันเป็นความรู้ทั่วๆไปของทุกวันนี้ว่าโลกกลมและลอยอยู่ในจักรวาล  แต่..มันไม่ใช่เรื่องที่รู้กันทั่วไปในสมัย 5-6 พันปีที่แล้ว   เพราะสมัยนั้นไม่มีดาวเทียม  แล้ววิทยาการอะไรต่างๆก็ยังไม่ก้าวหน้า   จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้เกี่ยวกับความจริงในพระคำภีร์    แต่น้าตุ๊กไม่อยากให้เรายึดติดกับความเป็นเหตุ..เป็นผลตามสติปัญญามนุษย์.. มากจนเกินไป  เพราะหลายครั้ง ในทางพระเจ้า..ไม่ต้องมีเหตุผล  ความสมเหตุ..สมผลตามสคิปัญญามนุษย์เอามาเป็นบรรทัดฐานของพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวงและมนุษย์ไม่สามารถเอาสติปัญญาอันน้อยนิดไปจำกัดพระเจ้าได้  เรามีหน้าที่แค่เชื่อฟัง..ทุกอย่างที่พระองค์บอกไว้ในพระคำภีร์
ทีนี้ เรากลับมาพูดถึงสภาวะที่ไม่ได้รับความรอดของมนุษย์  หรือที่พระคำภีร์เรียกว่า  “การตายฝ่ายวิญญาณ”...ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  ย้อนกลับไปในปฐมกาลเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงสร้างโลก  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะมีสายสัมพันธ์กับมนุษย์แบบ “พ่อกับลูก”  เปิดไปที่...
ปฐก.3:17-19  การล้มลงไปในความบาปของมนุษย์ในครั้งนั้น  อ.เปาโลได้บันทึกความจริงข้อนี้ไว้ในหนังสือ โรม 3:23 ว่า..”เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ความหมายในข้อนี้ พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือปฐมกาลว่า  ความไม่เชื่อฟังของอาดามและเอวาทำให้ “มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่ว”   ความหมายในข้อนี้  ส่วนตัวของน้าตุ๊กเชื่อว่า  “ถ้าอาดามกับเอวาไม่ทำบาป  มนุษย์น่าจะไร้เดียงสาเหมือนสัตว์ต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น”  คือ มันจะทำอะไรเลวร้าย..น่าเกลียดขนาดไหน  ก็ไม่มีใครประนามมันจริงจัง  เพราะรู้สึกว่ามันทำตามสัญชาตญาณ  อย่างสัตว์ป่าในอเมซอน..ที่อยู่ตามในทุ่งหญ้าซาวานาหรือที่ไหนก็ตาม...ถ้าเด็กๆจะเคยดูดิสคัฟเวอรี หรือแอนนิมอลแพลนเน็ต..ก็น่าจะเห็นภาพชัดเจน เวลาที่พวกสัตว์นักล่าไม่ว่าจะเป็นชีตาร์..สิงโต  หรือสัตว์อะไรก็ตามมันล่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม    มีใครประนามมั๊ย..ว่ามันเป็นฆาตกร..ไม่มี   แต่ถ้าเป็นคนฆ่ากันตายล่ะ  มันคนละฟิลเลยอ่ะ..จริงมะ    หรืองูบางชนิดที่กินงูด้วยกันเอง..ก็ไม่เห็นมีใครจะว่ามันวิปริตผิดธรรมชาติ    มีแต่บอกว่า..เออ ! มันก็อย่างเงี้ยแหละ  งูบางชนิดมันก็กินกันเอง  มันแค่ทำตามสัญชาตญาณ   แต่ถ้าคนกินคนเป็นไง...รับไม่ได้ รู้สึกว่ามันวิปริต ผิดธรรมชาติอะไรประมาณนี้  เด็กๆพอเห็นภาพมั๊ย  พระเจ้าจึงทรงบอกว่า “มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเรา..อาจจะเหมือนพระองค์หรือจะรวมทูตสวรรค์อะไรด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ”  แต่ที่แน่ๆ..การที่พระเจ้าพูดแบบนี้แสดงว่าพระองค์ไม่ได้ตั้งใจหรือมีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์เป็นแบบนี้..แบบไหน “ที่จะรู้จักความดีและความชั่ว”
โรม 3:22-23 ..โดยความชอบธรรมที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์   เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว “ทุกคนไม่ต่างกัน” ทุกคนล้วนทำบาป  แล้วบาป ก็คือ บาป   ไม่มีบาปมาก..บาปน้อย  ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน..มันก็บาปเท่ากันตามมาตรฐานของพระเจ้า
เด็กๆลองนึกภาพ   เชื้อบาป..ก็เหมือนเชื้อโรคชนิดนึง   อย่างเชื้อหวัด 2009 เนี่ย  แต่ละคนที่ติดก็ออกอาการไม่เท่ากัน..ไม่เหมือนกัน  บางคนเป็นไช้แค่นิดหน่อย  บางคนปวดหัว  ตัวร้อน ร้อนมาก..ร้อนน้อย  บางคนอาการหนักต้องแอดมิทนานหรือถึงตายก็มี   ทั้งที่เชื้อตัวเดียวกัน..แต่ติดแล้วออกอาการไม่เหมือนกัน  เชื้อบาปก็เช่นกัน  ติดแล้ว..บางคนก็แอบมีความคิดชั่วเล็กๆน้อยๆ ขี้อิจฉา ขี้โกง ขี้ขโมย แต่บางคนเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปเลย..ก็มี  นี่ก็เชื้อบาปตัวเดียวกัน  แต่ออกอาการมากน้อยไม่เท่ากันเพราะภูมิคุ้มกันและรายละเอียดทุกอย่างของความเป็นหนึ่งชีวิต..มันต่างกัน
หรืออย่างเชื้อเอดส์เนี่ย  ก็สามารถทำให้เราเห็นภาพการติดเชื้อบาปจากบรรพบุรุษได้อย่างชัดเจน  เพราะอะไร..หลายครั้ง บางคนเกิดมายังไม่ได้ทำอะไรเลย...ก็ติดเชื้อแล้วเพราะพ่อแม่เป็นเอดส์    ข้อที่ 23 พระเจ้าจึงทรงบอกว่า..”เพราะว่า ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”   แปลว่า มนุษย์ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้าทุกคน  จะออกอาการมาก..น้อยไม่เกี่ยว  แต่ที่แน่ๆบาปทุกคน
ดู โรม 3:24-25 “..แต่พระเจ้าทรงประทานพระกรุณา  ให้เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า”  แปลว่า ให้ฟรีๆ  ทำไมพระเจ้าต้องทำอย่างนี้..เพราะมนุษย์มักล้มเหลวในการรักษาสัญญา  ล้มเหลวในการทำตามพระบัญญัติ  ไม่ว่าจะบัญญัติไหนก็ตาม..แม้แต่คำสอนที่ดีที่สุดของมหาศาสดา..ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้ชอบธรรมได้..
ตลอดประวัติศาสตร์ในพระคำภีร์พิสูจน์ได้ให้เห็นแล้วว่า..  ”พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสัตย์ซื่อ   ส่วนมนุษย์..ไม่”  เด็กๆที่เรียนประวัติศาสตร์กับน้าตุ๊กมาน่าจะเห็นภาพชัดเจน  ตั้งแต่ปฐมกาล อพยพ กันดารวิถี ผู้วินิฉัย เรื่อยมาจนถึง 2พงศ์กษัตริย์  อิสราเอลล้มเหลวตลอด  ไม่เคยรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้าได้คงเส้น..คงวาเลย  ดีแป๊บเดียว..เดี๋ยวก็ทำบาปอีกแล้ว   เพราะฉะนั้น ถ้าเงื่อนไขของการได้ไปสวรรค์  มันต้องขึ้นอยู่กับความดีที่มนุษย์ทำ  คิดว่า จะมีซักคนมั๊ย..ที่จะได้ไป  ไม่มีทาง  เพราะมาตรฐานของพระเจ้าคือ แค่คิดก็ผิดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นบาปข้อไหนก็ตาม..ลักทรัพย์..ล่วงประเณี..หวานความแตกร้าว..เป็นพยานเท็จ  ทุกข้อ..แค่คิดก็ผิดแล้ว  (สมมติ เราเดินผ่านบ้านนึง  เห็นต้นมะม่วงมีลูกเต็มต้นเลย แล้วก็แอบคิดในใจ  โอโห..น่าไปเด็ดมากิน..ผิดแล้วนะ  ขโมยยัง..ยัง  แต่มาตรฐานของพระเจ้า “แค่คิดก็ผิดแล้ว” เพราะงั้น..ไม่มีซักคนเดียวที่จะสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง)
เพราะอย่างนี้ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องเตรียมทางรอดไว้ให้มนุษย์ด้วยพระคุณของพระองค์  แล้วต้องเป็น”พระคุณซ้อนพระคุณ”เท่านั้น  หมายความว่า “เป็นทางที่จัดเตรียมโดยพระองค์และต้องสำเร็จได้โดยพระองค์เอง เพราะถ้าต้องให้มนุษย์ตะเกียกตะกายทำเอง..ไม่มีทางสำเร็จ   และ”พระเยซูคริสต์เจ้า” คือ ทางนั้น..ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้
ข้อที่ 25 บอกว่า  “พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์   นี่คือ ทางที่เหนือชั้น..ที่พระเจ้าเตรียมไว้เพื่อให้มนุษย์ได้ไปสวรรค์  คือ แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์  เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์  ยอมตายที่ไม้กางเขนหลั่งพระโลหิตชำระเราให้หลุดพ้นจากความผิดบาปทั้งปวง..ง่ายๆแค่นี้เอง  เรามาดูข้อพระคำภีร์ที่สนับสนุนความจริงในเรื่องนี้กัน
ดู ยอห์น 3:16  “เพราะพระเจ้าทรงรักโลก..”  นี่คือ เหตุผลว่าทำไม..พระเจ้าต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยมนุษย์  แล้วพระคำภีร์ข้อนี้ก็คุ้นหูเราที่สุด  แต่ไม่แน่ใจว่า..ทุกคนจะซาบซึ้งกับคำนี้จริงๆมั๊ย  และอีกครั้ง..ที่เทคโนโลยีมีส่วนยืนยันความจริงในข้อนี้  เพราะเมื่อมนุษย์สามารถประดิษฐ์กล้องที่ทำให้มองเห็นพื้นผิวของดาวต่างๆที่อยู่ไกลๆ  หรือแม้กระทั่งสามารถเดินทางไปยังดาวต่างๆได้มากขึ้นและไกลขึ้น  ทั้งดาวศุกร์ ดาวอังคาร หรือแม้แต่ดวงจันทร์  มันทำให้เรารู้ว่า  ในดวงดาวต่างๆเหล่านั้น..มันไม่มีต้นไม้  ไม่มีสัตว์  ไม่มีอากาศ  ไม่มีแม่น้ำหรือทะเล  แม้แต่น้ำซักหยด..ก็ไม่มี  มีแต่ก้อนกรวด ก้อนหิน สีดำ สีเทา สีน้ำตาล  ซึ่งแตกต่างกับโลกอย่างสิ้นเชิงเพราะโลกมีแต่สิ่งทรงสร้างที่สวยงามอยู่เต็มไปหมด  เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักโลกจริงมั๊ย..ถ้าไม่รัก..คงจะไม่บรรจงสร้างไว้สวยงามขนาดนี้
และในบรรดสิ่งที่ทรงสร้าง “มนุษย์” คือ สิ่งที่พระเจ้ารักที่สุด  แต่มนุษย์ก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองแทนที่จะเชื่อฟังพระเจ้า   แล้วพอตกลงไปในความบาปมนุษย์ก็ทำร้ายกันเอง  รวมทั้งทำลายสิ่งสวยงามที่พระเจ้าสร้างไว้แทบทุกอย่าง   แต่ถามว่าพระเจ้ายังรักมนุษย์มั๊ย..คำตอบคือ รัก..อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง   จนได้ประทานพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวให้มาไถ่บาปให้แก่เรา    ทำไมการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ถึงช่วยให้เราหลุดพ้นจากความบาปและอำนาจของมารได้  พระเจ้าทรงบอกเราเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ไว้อย่างไร  เปิดๆไปดู
เอเฟซัส 1:17-19   อันนี้คือ คำอธิฐานของอ.เปาโล  “..คือพระบิดาผู้ทรงสง่าราศี จะทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และประจักษ์แจ้งในเรื่องราวของพระเจ้า”  คำว่า สติปัญญาในข้อนี้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “spirit of wisdom” หมายถึง สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับไอคิว  ความรู้หรือความสามารถของมนุษย์  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า..ที่เราสามารถเพิ่มพูนได้   โดยการให้ความร่วมมือกับพระองค์..อย่างไร  ก็ด้วยการอธิฐานอย่างสม่ำเสมอ..ฟังถ้อยคำเยอะ  แล้วก็ให้ไวต่อเสียงเตือนจากพระเจ้า  (ในส่วนนี้ ต่อไปเราคงได้เรียนกันอย่างละเอียดอีกครั้ง)   
ข้อที่ 18  บอกว่า “ขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านจะได้รู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไรสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ”   พระเยซูคริสต์มีอำนาจเหนือมาร  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่บาป  พระองค์เกิดจากหญิงพรมจารีโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากการปฎิสนธิของมนุษย์  พระเยซูคริสต์จึงไม่ทรงเกี่ยวข้องใดๆกับเชื้อบาปที่อาดามกับเอวาทำไว้   แล้วตลอดเวลาที่ดำเนินอยู่บนโลกจนถูกเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน..พระเยซูก็ไม่เคยทำบาปเลยไม่ว่าจะถูกทดลองกี่ครั้งก็ตาม    
ดู เอเฟซัส 1:19-22  ข้อที่ 20 บอกว่า “..พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เองในสวรรคสถาน” เมื่อพระเยซูทรงยอมตายที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่เราแล้ว  สิ่งสำคัญสุดที่ยืนยันว่าพระองค์มีอำนาจเหนือมารก็คือ การเป็นขึ้นมาจากความตายและทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์   สิ่งนี้เป็นการกรันตีจากพระเจ้าว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์   บริสุทธิ์แต่ยอมถูกฆ่า..ก็เพื่อที่จะจ่ายราคาแทนเรา   ข้อที่ 21 บอกว่า “พระเยซูได้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า  สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอบครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น..”  ชัดเจนว่า  พระเยซูใหญ่กว่าเทพทั้งปวง  อยู่เหนือนามทุกนาม  ไม่ใช่แค่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย   
ดังนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับทุกอย่างร่วมกับพระองค์   เพราะข้อที่ 22 บอกว่า พระคริสต์ ประมุขแห่งคริสตจักรพระเจ้า  ได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร”   พูดง่ายๆว่า อะไรที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู  เราจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วยเพราะพระคริสต์เป็นบุตรหัวปี..แล้วเราเป็นน้อง   อ.เปาโลถึงอยากให้เรารูว่า  “มรดกสำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมเพียงไร”  ทั้งมีชัยชนะเหนือมาร  ทั้งอยู่สูงกว่าเทพทั้งปวงที่มีในโลกนี้และโลกหน้า   เพราะฉะนั้น  ไม่ต้องกลัวผีนะคะ เพราะขนาดเทพทั้งปวง..เราก็ยังสูงกว่าเลย   ที่น้าตุ๊กพูดอย่างงี้ก็เพื่อที่จะให้เรามั่นใจในฐานะตัวเอง..แต่ต้องไม่เอาไปเย่อหยิ่งหรือเกทับใครนะคะ
ดู 1ยอห์น 3:9-10  “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้าผู้นั้นไม่ทำบาป..”  นี่คือ สภาวะที่จะติดตัวผู้เชื่อมา  เพราะเมื่อเรารับเชื่อพระเยซู..เราก็ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้า    และเมล็ดของพระองค์ซึ่งก็คือ       ”พระวิญญาณบริสุทธิ์” ก็ดำรงอยู่ในเรา   ถึงแม้บางครั้งเราอาจจะพลาดพลั้งทำผิดไป..ไม่บางครั้งล่ะ..หลายครั้ง  แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งของคริสเตียนก็คือ เราจะสำนึก..เราจะไม่ชิลด์กับความบาปหรือเหยียดยาวอยู่กับมันได้โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว      เพราะงั้น แม้จะผิดพลาดไปบ้างแต่ยังไงคริสเตียนก็จะกลับใจใหม่  แล้วก็หันเข้ามาในทางพระเจ้าได้ในที่สุด 
    วันนี้หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า..เราจะมาต่อกันเรื่อง  “การสามัคคีธรรมกับพระเจ้า”      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
  

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์


เรื่องที่น้าตุ๊กอยากจะสอนในวันนี้  เป็นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและชัดเจนขึ้น   เพราะคริสเตียนหลายคนมีจิตวิญญาณที่หยุดชะงักไปในจุดใดจุดหนึ่ง..ขณะที่ยังไม่โตเต็มที่..ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ดังนั้น หัวข้อที่น้าตุ๊กจะสอนในวันนี้ก็คือ “จงเติบโตขึ้นในพระเยซูคริสต์”  เด็กๆเปิดไปที่หนังสือเอเฟซัส..
ดู เอเฟซัส 4:10-11“..พระองค์ผู้เสด็จลงไปนั้น ก็คือพระองค์ผู้ที่เสด็จขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ) พระองค์จึงให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์   
ข้อนี้ พูดถึงพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก..เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาปและมีชีวิตนิรันดร์  และพระประสงค์ที่พระองค์สำแดงอย่างชัดเจน ก็คือ พระองค์ไม่ต้องการให้ใครพินาศเลยสักคนเดียว   พระเยซูคริสต์ถึงสั่ง..ให้เราออกไปบอกข่าวดีนี้แก่มนุษย์ทุกคน..ไม่ใช่บางคน  จากนั้น ใครก็ตามที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว..ก็จะถูกเรียกมา อยู่รวมกันในคริสตจักร  ข้อที่ 11 บอกว่า “บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ประกาศ  เป็นครู เป็นคนดูแลโบสถ์ เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการหรืออะไรก็ตาม  แต่ทุกคนคือ ส่วนหนึ่งของคริสตจักรและเป็นกายเดียวกันหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในคริสต์        เด็กๆคงจะได้ยินคำว่า ”เป็นหนึ่งเดียวกัน”บ่อยมาก นั่นแสดงว่า พระเจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากจริงๆ..ทำไม
ข้อที่ 12 บอกว่า “เพื่อเตรียมวิสุทธิชนให้ดีรอบคอบ เพื่อช่วยในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น” แล้ววิธีการที่พระเจ้าใช้ในการขัดเกลาคริสเตียน ก็คือ เรียกให้พวกเรามาอยู่ร่วมกัน หมายความว่า พระเจ้าไม่ได้แค่บอกให้เรามาเชื่อ..แล้วจบ  พอได้รับความรอดแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย..ไม่ใช่ แต่พระองค์อยากให้เรารับรางวัลอย่าง”สง่างาม”  หรือพูดง่ายๆว่า พระองค์อยากให้เราดีพอ..เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์   เพื่อเวลาที่เข้าไปในสวรรค์แล้วจะได้ไม่มีใครหรือนามไหนพูดได้..ว่า โอโห คนอย่างเงี้ยหรอที่พระเจ้าเลือก.. 
ดู เอเฟซัส 4:13-14  ข้อนี้ บอกว่า ไม่ว่าใครจะมีหน้าที่อะไรก็ตาม  แต่ก็ทำงานเพื่อจุดหมายเดียวกัน คือ มีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันและไปสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์     พระเจ้าไม่เคยบอกว่าเชื่อแล้วจบ..เอาแค่รอดนะลูก..ไม่เคย   ดังนั้น เมื่อถูกเลือกมาแล้วทุกคนยังต้องทำหน้าที่ของตัวเองผ่าน..สถานการณ์ที่ต่างกัน  และไม่ว่าเราจะมีสถานะ..คุณสมบัติหรือต้องเจอกับสถานการณ์ไหน..ก็ให้เรายอมรับและเลือกทำในสิ่งที่พระเจ้าพอใจ   อย่ามัวเปรียบเทียบกัน  เพราะ”การเปรียบเทียบ” เป็นตัวการสำคัญอันนึงที่จะทำให้เราสะดุดและจิตวิญญาณไม่เติบโต    เราต้องยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คำว่ายกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง..บางทีมันก็เข้าใจยาก..ทำยาก  แต่ให้รู้ว่า ถ้าเรายกพระเจ้าเป็นศูนย์กลางจริงๆ  สิ่งนึงที่จะเป็นบุคลิกของ ก็คือ เราจะยอมรับในความแตกต่างที่พระเจ้ากำหนดไว้   เราจะเชื่ออยู่ทุกลมหายใจว่าพระเจ้าคือผู้สร้างและควบคุมทุกอย่างอยู่   ไม่ว่าคนอื่นจะดีกว่า..แย่กว่า  รวยกว่า..จนกว่า  เก่งกว่า..ไม่ค่อยฉลาด หรือดูแล้วขัดใจเราแค่ไหน..พระเจ้าก็ควบคุมอยู่  ถ้าพระองค์ยังไม่มีปัญหากับคนเหล่านั้นเลย..แล้วเราจะมีปัญหาอะไร 
ข้อที่ 14 บอกว่า “เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเห..มาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง    เพราะในยุคสุดท้ายที่เราดำเนินอยู่ขณะนี้ มารซาตานทำงานหนักมาก  คำสอนเทียมเท็จแล้วก็อุบายต่างๆของโลกเยอะมาก  แล้วถ้าจิตวิญญาณเราไม่โต..เราจะถูกล่อลวงง่ายมาก  ไปเจอคำสอนเทียมเท็จเราก็แยกไม่ออก  ไม่มีวินิจฉัยเลยว่าอันไหนจริง..อันไหนปลอม  อันไหนที่สอนตกขอบ..สุดขั้ว ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า..เราจะแยกไม่ออก   สุดท้ายเราก็จะถูกซัดไป ซัดมาอย่างที่พระคำภีร์บอก  ดีไม่ดี..ก็ถูกซัดจนหลุดจากทางพระเจ้าไปเลย  แล้วมารมันก็..บิงโก !!!   
นอกเหนือจากความไม่พอใจในตัวเองแล้ว อีกปัจจัยนึงที่เป็นตัวการคอยดึงเราไม่ให้โตในทางพระเจ้า ก็คือ..
ดู มัทธิว 13:19-21  ข้อนี้เป็นคำอุปมาที่เราได้ยินกันบ่อยมาก  พระเยซูทรงเปรียบเทียบพระคำของพระองค์เป็นเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน 4 ประเภท  ซึ่งก็คือ ลักษณะของการตอบสนองที่แตกต่างกันของคน..เวลาที่ได้ยินพระวจนะพระเจ้า  ประเภทที่ 1 ก็คือ ได้ยินแล้ว..ไม่เข้าหัวเลย..ไม่สนใจ..จบแค่นั้น  ประเภทที่ 2 พอได้ยินก็ตื่นเต้นมาก  รับไว้แป๊บนึง แต่พอเชื่อพระเจ้าแล้ว..ยังลำบาก ไม่รวย ไม่ถูกหวย หรือโดนญาติพี่น้องดูถูก หาว่านอกคอก..ก็ทนไม่ได้ ไม่เอาแล้ว  กลับไปเชื่ออย่างเดิมหรือไปไหว้พระเดิม  ส่วนประเภทที่ 3 กับประเภทที่ 4 น่าสนใจมาก  ทั้งสองประเภทนี้..เชื่อพระเจ้าทั้งคู่ แบบประเภทที่ 4 ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะถึงจะเกิดผลมากบ้าง..น้อยบ้าง  แต่ยังไงก็เกิดผล..โตไปเรื่อยๆตามเวลาของพระเจ้า  ที่น้าตุ๊กอยากพูดถึง คือ ดินชนิดที่ 3...
ดู มัทธิว 13:22-23   “ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล”   ถามว่าคนประเภทนี้เชื่อพระเจ้ามั๊ย..เชื่อ  แล้วยังดำเนินอยู่กับพระองค์ด้วย  แต่ปล่อยให้ต้นหนามที่พระคำภีร์กล่าวถึง คือ “ความกังวลตามธรรมดาโลก”  ให้เข้ามามีบทบาทในชีวิต..มากเกินไป   ถามว่าเรากังวลได้รึเปล่า..ได้   ส่วนใหญ่ก็ยังกังวลอยู่ไม่มาก..ก็น้อย  แต่ถ้ามากเกินไป..ก็แปลว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องฝ่ายโลกมากกว่าพระวจนะคำของพระเจ้า  สุดท้ายความกระวนกระวายเหล่านั้นก็จะเป็นต้นหนามที่เจริญงอกงาม..รกรุงรังพันอยู่รอบชีวิตของเรา    แล้วก็คอยฉุด คอยดึงไม่ให้เราโต.. 
ความกังวลตามธรรมดาโลก ก็เช่น ต่อไปชีวิตจะเป็นยังไง  จะสอบเข้ามหาลัยได้มั๊ย  จบไปจะมีงานทำรึเปล่า  เงินเดือนจะพอกิน  จะมีบ้าน มีรถ มีความสุขสบายแค่ไหน  อะไรต่างๆเหล่านี้เป็นต้น  ซึ่งจริงๆแล้วเรากังวลได้..ได้แบบพอประมาณ  เรายังต้องวางแผนเพื่ออนาคตบ้าง  เรายังต้องรอบคอบในการดำเนินชีวิตทุกเรื่อง  น้าตุ๊กยังยืนยันว่า เด็กๆยังจำเป็นต้องขยันหมั่นเพียรและกระตือรือล้นในการศึกษาหาความรู้..อย่างสุดกำลัง  ทำให้สุดกำลัง..ไม่ใช่กังวลจนสุดกำลัง  แค่ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด  แล้วได้แค่ไหน..แค่นั้น..จบ ไม่ต้องกังวล  เพราะส่วนที่เกินกำลังของเรา พระเจ้าจะทรงกระทำให้สำเร็จ..ตามน้ำพระทัยของพระองค์    แต่หลายคนไม่ใช่อย่างงี้ หลายคน สิ่งที่ควรทำ..ไม่ทำ พ่อแม่ก็พูดไปเหอะ  แต่ยังเฉย..ขี้เกียจ..เหยียดยาว  เสร็จแล้วก็กังวลแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง..เมื่อไหร่จะได้มือถือใหม่  มอเตอร์ไซ ไอโฟน ไอนู่น ไอนี่ อยากได้ไปหมด   ความอยากได้ที่มากเกินไปนี่แหละ คือ ต้นหนามในชีวิตที่คอยฉุด คอยดึง ทำให้เราไม่มีสมาธิที่จะอยู่กับพระเจ้า  แล้วพระวจนะคำจะเกิดผลในชีวิตเราได้ยังไง  ในเมื่อเรามัวแต่สนใจแต่เรื่องฝ่ายโลก  มีเวลาดิ้นรนในทุกอย่าง..ยกเว้นทางของพระเจ้า..กับเรื่องเรียน  น้าตุ๊กไม่ได้หมายความว่า เราห้ามอยากได้อะไรทั้งนั้นหรือห้ามสนใจเทคโนโลยีเด็ดขาด..ไม่ใช่ เทคโนโลยีดีมั๊ย..ดี  ดีมากด้วย  ถ้าเรารู้จักใช้  เด็กๆสามารถใช้อะไร..ก็ได้ทั้งนั้น  แต่เราต้องชันสูตรใจตัวเองด้วย..ว่า “อยากได้จนทำให้พ่อแม่เดือดร้อน..รึเปล่า”... “อยากได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น..หรือไม่ อะไรใหม่ออกมา..ก็อยากได้”  แล้ว“อัตถะประโยชน์ของของสิ่งนั้น..แท้จริงแล้ว คืออะไร..เราต้องการเพราะมันมีประโยชน์กับเราจริงๆ หรือ แค่เห็นคนอื่นมี..ก็อยากได้บ้าง”   นี่คือ สิ่งที่เราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลานะคะเด็กๆ  เพราะว่า ในยุคสมัยนี้ มันมีสิ่งที่ออกมาล่อลวงเราเยอะมาก..อะไรก็โดนใจไปหมด    มาดูว่าพระเยซูสอนวิธีแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าไง..
ดู มัทธิว 6:26-27 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสม แต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้..” ..จริงหรือไม่  เด็กๆเคยเห็นนกมันสะสมหนอนไว้ในรัง  เพราะกลัววันข้างหน้าจะไม่มีกิน..เคยเห็นมั๊ย  ไม่มีเลย มีแต่คน..ที่ชอบทำอย่างนี้  แล้วต้นตำรับหรือภูมิปัญญาอะไรต่างๆเกี่ยวกับการถนอมอาหารก็เกิดขึ้นเพราะ “มนุษย์กลัวจะไม่มีกิน กลัววันข้างหน้าจะขาดแคน”   แต่พระเยซูทรงชี้ให้เราเห็นถึงความจริงที่เรามักมองข้ามไป  คือ ตราบใดที่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงดูสัตว์ต่างๆโดยระบบนิเวศน์แล้ว  เราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ก็ประเสริฐกว่ามากมายนัก  พระเจ้าทรงสร้างสรรพสัตว์และระบบนิเวศน์ทั้งปวงไว้เพื่อปรนนิบัติเรา  หมายความว่า เราสำคัญกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงบนโลกนี้ พระองค์รักเรามากกว่าสัตว์พวกนั้นอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ..แล้วทำไมเราต้องกลัว    ที่เรากลัวก็เพราะ เราจะไม่ได้พอใจแค่นั้น   มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้พอใจแค่อาหารหรือปัจจัยสี่   แต่เราต้องการมากกว่านั้น  มันถึงรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจกันอยู่ตลอดเวลา
ข้อที่ 27 บอกว่า “มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย อาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ กังวลแล้วมันช่วยอะไรมั๊ย..ไม่ช่วยเลย  สมมติว่า วันนี้บ้านเราไม่มีอาหารเลย  ทำไง..ก็ออกไปทำงาน ทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวก็ได้เงินมาซื้อข้าว  แต่ส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดเลย..มันไม่ใช่อย่างงี้  ส่วนใหญ่คือ ถามว่าวันนี้มีข้าวกินมั๊ย..มีครบสามมื้อ  มีเสื้อผ้าใส่รึเปล่า..มีเยอะ เต็มตู้แต่ไม่รู้จะใส่อะไร   แต่ก็ยังกังวล..เพราะสิ่งที่นอกเหนือความจำเป็น เช่น ไม่รู้เดือนนี้จะมีเงินผ่อนรถรึเปล่า อยากได้มือถือใหม่..จะไปหาเงินที่ไหนมาซื้อดี  อะไรประมาณนี้
ดู มัทธิว 6:31-33  “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน  แต่หลายคนเข้าใจความหมายของการแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า..ผิด   ผู้เชื่อใหม่หลายคนก็มักจะมีปัญหา..ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาเรื่องเงินๆทองๆ    แล้วก็ชอบมาถามน้าตุ๊กว่าจะต้องทำยังไงพระเจ้าถึงจะตอบคำอธิฐานหรือช่วยให้เขาหลุดจากปัญหาต่างๆ   แรกเลย น้าตุ๊กก็จะให้พระคำภีร์ข้อเนี้ย..” จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน แล้วอย่างอื่นก็ตามมา”    ทุกคนก็จะบอกว่า..ทำแล้ว แสวงหาแล้ว.แต่พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย  น้าตุ๊กก็ถามว่า..ทำไง  ส่วนใหญ่ก็บอกว่า “เนี่ย ก็มาโบส์ แล้วก็อธิฐาน..ทุกวันเลย”  
จริงๆแล้ว ถ้าทำแค่นี้..ยังไม่ใช่ทั้งหมดของการแสวงหาแผ่นดินพระเจ้านะคะ  เพราะท่าทีการมาโบสถ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน  บางคนสักแต่ว่ามา..เวลาฟังเทศน์ไม่หลับ..ก็คุย  บางคนไม่ได้มาหาพระเจ้า  แต่อยู่บ้านแล้วเหงา..ก็เลยมาหาเพื่อน หรือบางคนคุณพ่อคุณแม่บังคับให้มา..ก็มี  แล้วเวลานมัสการ..ใจคุณคิดอะไร คุณอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยท่าทีแบบไหน  เวลาที่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผู้ทรงเมตตาและน่าหวาดเกรงที่สุดประทับอยู่ต่อหน้าในเวลาที่เรานมัสการ  คุณนั่งท่าไหน..ความสำนึกและยำเกรงในความยิ่งใหญ่ของพระองค์อยู่ในหัวของคุณบ้างรึเปล่า    นี่ก็เป็นท่าทีที่ต่างกัน..แต่มาโบสถ์เหมือนกัน  และพระเจ้าทรงดูที่เจตนา..ว่าคุณตั้งใจมาหาพระองค์หรือถูกบังคับให้มา   มาแล้ว..เราถ่อมลงพร้อมหัวใจที่ก้มกราบพระองค์..ถวายการนมัสการด้วยจิตวิญญาณรึเปล่า  หรือเรายังห่วงลุคตัวเอง..ยืนอยู่ต่อพระพักตร์โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง   
แล้วเวลาอธิฐาน..เราอธิฐานยังไง สมมติว่าตอนนี้ตกงาน ไม่มีรายได้แต่ค่าใช้จ่ายมากมายรออยู่ คนส่วนใหญ่ก็จะอธิฐานอย่างเข้มข้นเลยนะ..ว่า “พระเจ้าช่วยลูกด้วย  พระองค์ทำไงก็ได้ให้ลูกมีกิน มีใช้ มีจ่ายค่า 1 2 3 4  อะไรก็ว่าไป..เสร็จแล้วก็บอกว่า ชั้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว เพราะไปโบสถ์ก็แล้ว อธิฐานก็แล้ว..แต่ไม่เห็นตอบเลย    น้าตุ๊กจะตอบแทน..ว่าแบบนี้เขาไม่เรียกว่าแสวงหาแผ่นดินพระเจ้านะคะ เค้าเรียกว่าแสวงหา”ขนมปัง”  คือ หาแต่วิธีที่จะให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ   แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า..ทำแล้ว  ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆแล้ว..เราจะมีท่าทียังไง
2 ทิโมธี 1:12-13  “เปาโลเชื่อมั่นในพระคริสต์อย่างไม่สั่นคลอน  เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ และไม่ละอาย คือ ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆแล้ว..เราจะเชื่อมั่นในพระองค์  เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และตระหนักคิดได้ว่าสารพัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่..ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับน้ำพระทัยอันสูงส่งของพระเจ้า     เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อพระเจ้า..ไม่ใช่ตัวเองหรือเพื่อขนมปัง  เพราะไรอ.เปาโลถึงเชื่อได้ขนาดนี้  ข้อนี้บอกต่อไปว่า “..เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้น”  หมายความว่า  ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆ เราต้องรู้จักพระลัษณะของพระองค์  เราต้องรู้ว่าพระเจ้าชอบอะไร..ไม่ชอบอะไร  เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย  ที่เราจะบอกว่า..”ไว้ใจใครซักคนในขณะที่เราไม่รู้จักเขาเลยหรือรู้จักเพียงแค่ผิวเผิน”..จริงมั๊ย    มันเป็นไปไม่ได้เลย..ที่เราจะเพิ่งรู้จักใครซักคนแล้วก็บอกว่า..ชั้นไว้ใจเขามาก   ไว้ใจทั้งที่แทบจะไม่รู้จักเขาเลย..มันเป็นไปไม่ได้    
เพราะฉะนั้น ถ้าเราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์แล้ว  เราต้องรู้..ว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า  มุมมองและการดำเนินชีวิตของเราจะเปลี่ยนไป  เราจะยกพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง คือ เลิกเอาความต้องการของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน  แต่เราจะไว้ใจพระเจ้ามากขึ้น  แล้ว ณ.จุดนั้น นั่นแหละที่พระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้กับเรา  ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เงินซื้อ..ไม่ได้  เด็กๆอย่าเข้าใจว่า “สิ่งทั้งปวง” เนี่ย..จะต้องหมายถึง ทรัพย์สินบนโลกเท่านั้น..ไม่ใช่ 
สุดท้าย มาดูว่าพระเยซูสอนให้เราอธิฐานยังไง  (มันเรื่องเก่าแต่ต้องเรียนใหม่ทั้งนั้น)
ดู มัทธิว 6:9-13 (อ่านพร้อมกัน)  ย้อนไปดูข้อที่ 7 นิดนึง พระคำภีร์ บอกว่า  “เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าใช้คำซ้ำซากไร้ประโยชน์เหมือนคนต่างชาติ  เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระถึงจะฟังพระคำภีร์บอกว่าเราอย่าไปทำอย่างเขา  คือ พูดย้ำแต่ความต้องการของตัวเองอยู่นั่นแหละ เพราะกลัวว่าถ้าพูดไม่ละเอียด แล้วเดี๋ยวพระจะเข้าใจไม่ถูกต้อง  แล้วส่งความช่วยเหลือมาผิดวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ  พระเจ้าบอกว่าอย่าทำอย่างงั้น เพราะอะไรที่จำเป็นสำหรับเรา..พระองค์รู้หมดแล้ว  ไม่ต้องอ้าปากพูด..ก็รู้แล้ว    แต่ให้เราอธิฐานอย่างนี้ว่า...
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ  ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์  เพราะ ถ้าขอให้เป็นไปตามใจเรา แสดงว่า..ใครใหญ่  เหมือนคนที่ไม่เชื่อเขาไปบนพระของเขาแล้วบอกว่า ”ถ้าทำให้เขาได้ 1..2..3..4 ตามที่เขาขอนะ..จะเอาอันนั้น อันนี้ มาถวาย  แปลว่า..ถ้าไม่ทำให้สมใจเขา..อด  ความเชื่อแบบนี้น้าตุ๊กเรียกว่า “เชื่อแบบหมูไปไก่มา”  แล้วถ้าพระเหล่านั้นต้องคอยทำตามใจมนุษย์ ไม่ว่าพวกเขาจะขออะไร..แล้วตกลงใครใหญ่   ถ้าพระหรือนามไหนก็ตามเป็นอย่างนี้..ดิชั้นขอแนะนำว่า..เอาตัวเองให้รอดก่อนดีมั๊ย     ดังนั้น ถ้าเราอธิฐานเหมือนคนต่างชาติ  แสดงว่า  เราคิดว่าเราเก่งกว่าพระเจ้า  เราคิดว่าพระเจ้า..ไม่รู้หรอกว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดีกับชีวิตเรา  เวลาอธิฐานเราถึงต้องคอยกำกับพระองค์อยู่ตลอด   เพราะฉะนั้น จงขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย..เชื่อในความยิ่งใหญ่ว่าพระองค์ทรงดูแลชีวิตเรา..ได้ดีกว่าเราดูแลตัวเอง แน่นอน 
ข้อที่ 11  “ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้”  หลายคนไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ แล้ว  เพราะไร ก็มีกินทุกวัน..ไม่เคยอด  การมีข้าวสามมื้อกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว  น้าตุ๊กจะไม่พูดถึงคนไม่มีความเชื่อ..เพราะมันไม่เกี่ยวกับเรา  แต่น้าตุ๊กรู้สึกว่า คริสเตียนส่วนใหญ่สมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะตื่นเต้นชื่นชมยินดีกับข้าวสามมื้อที่พระเจ้าประทานให้..เท่าที่ควร  เพราะทุกคนไม่เคยอด..ไม่เหมือนคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร..ที่ไม่เคยลืมอธิฐานเลยในเวลาที่รอมานาตกจากฟ้า  ดังนั้น หลายครั้งพระเจ้าจำเป็นต้องเอาความขาดแคลนใส่เข้ามาในชีวิตเราบ้าง  เพื่อที่เราจะได้ไม่ลืม..ว่าการเลี้ยงดูนั้น มาจากพระเจ้า  
ข้อที่ 12  และขอทรงโปรดยกความบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”  ข้อนี้ ก็ทำให้เราไม่ลืม..ว่าสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ ความรอด..ที่พระเจ้าประทานให้เราแล้ว  พระองค์ไม่ถือสาความผิดบาปทุกอย่างที่เราได้ทำ  ดังนั้น เราเองก็ต้องยกโทษให้คนอื่นด้วย  และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้าย  เหตุว่าอาณาจักรและฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์” 
นี่คือ แบบอย่างการอธิฐานที่พระเยซูสอนไว้  ซึ่งเรายังสามารถที่จะกราบทูลทุกเรื่องที่เราอยากบอกแก่พระเจ้าได้   แต่ให้อยู่ในบรรทัดฐานนี้ที่พระองค์สอน  อยากได้..อยากมี..อยากเป็นอะไร ก็ว่าไป แล้วอย่าลืมลงท้ายว่า.. แต่ขอให้เป็นไปตาม”น้ำพระทัยของพระองค์ “ และก็ต้องหมายความตามนั้นจากใจจริงด้วย 
                ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ