เมื่อพูดถึงการเป็นพยาน หลายครั้งเรานึกถึงการเป็นพยานในการได้รับพระพรฝ่ายโลก
เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
สอบสัมภาษณ์ผ่านได้งานทำ ได้รถ
ได้บ้าน ได้ครอบครัวที่อบอุ่น ได้หายโรค อะไรต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นคำพยาน แต่ สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่หัวใจที่แท้จริงของคำพยาน แต่การเป็นพยานที่น้าตุ๊กจะกล่าวถึงในวันนี้ หมายถึง
การเป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์
อันมีเนื้อหาที่มีใจความสำคัญคือ “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มายอมตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระมวลมนุษย์ทุกคนให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย จากนั้นอีกสามวันพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์มีชัยชนะเหนือความตาย เราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ร่มกับพระองค์ด้วย”
คำพยาน
หรือ การเป็นพยานมีความสำคัญอย่างไร
จำเป็นแค่ไหน..ที่เราจะต้องทำสิ่งนี้
คำตอบง่ายๆที่น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็น ก็คือ พระเจ้าสั่งอะไรไว้ก็จงทำ ถ้าเราอยากรู้ว่าพระเจ้าสั่งให้เราทำอะไรบ้าง ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในพระคำภีร์ หรืออีกทาง..พระองค์ทรงสำแดงความสมบูรณ์แบบในทางของพระองค์ไว้ใน”องค์พระเยซูคริสต์”
ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือ ยอห์น1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา
บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ
พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”
คือ ข้อนี้บอกว่า..พระวจนะพระเจ้าหรือพระดำรัสของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ คือ “พระเยซูคริสต์” หมายความว่า พระเจ้าทรงสำแดงน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ไว้ในพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พระเยซูคริสต์ทำอะไร..นั่นคือ
สิ่งที่คริสเตียนพึงต้องเดินตาม และสิ่งนึงที่พระเยซูคริสต์ทำและสำคัญมากที่เราต้องทำตามก็คือ..”การประกาศข่าวประเสริฐ” พระองค์สั่งให้เราประกาศกับใครบ้าง..
ดู ลูกา
5:30-32 ข้อนี้
พวกธรรมมาจารย์และฟาริสีมาต่อว่าพระเยซูประมาณว่า..ทำไมพระองค์ถึงเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับคนไม่ดีอย่างพวกคนบาปและคนเก็บภาษี”
การเก็บภาษีสมัยก่อนทำคล้ายๆเป็นการสำปะทาน คือ ไปประมูลมา..สมมติเหมาจ่ายให้รัฐบาลโรม
1 แสน
เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะต้องเก็บภาษีจากประชาชนให้ได้มากกว่า 1 แสน จะเป็น 2 แสน 3 แสนหรือมากกว่านั้นก็แล้วแต่..เพื่อให้ได้กำไร ส่วนใหญ่ก็เรียกเก็บแพงๆเพราะมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ คนเก็บภาษีส่วนมากก็จะโหด น่าจะประมาณพวกที่เก็บค่าคุ้มครองสมัยนี้ ต่างกันที่การเก็บภาษี..ถูกกฎหมาย แต่ถ้าไม่โหดก็เป็นคนเก็บภาษีไม่ได้ เพราะจะขาดทุน..ไม่มีกำไร ดังนั้น
เมื่อพระคำภีร์พูดถึงคนเก็บภาษี ก็จะหมายถึงคนไม่ดีไปโดยปริยาย...
พระเยซูตรัสตอบพวกฟาริสีว่า
“คนปกติไม่ต้องการหมอ
แต่คนเจ็บต้องการหมอ พระองค์มิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม
แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่” เด็กๆลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่พระเยซูพูด..มันจริงมั๊ย จริงแท้แน่นอน
เพราะสังเกตได้เลย..ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดี..ตัวเองเก่ง..ตัวเองฉลาด เขาจะไม่ฟังคนอื่นหรอก อย่าบังอาจไปสอนเขา..เหมือนพวกธรรมาจารย์และฟาริสีนี่แหละ..ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม
แล้วเลยเห็นคนอื่นที่ไม่เหมือนตัวเอง..ผิดบาปไปซะหมด เปิดไปดูข้อพระคำที่สนับสนุนเรื่องนี้กันใน.....
ดู
มัทธิว 5:43-45 /
46-48 ข้อนี้
บอกว่าเราทั้งหลายคุ้นเคยแต่กับคำสอนที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้าน
และเกลียดชังศัตรู” ก็คือ ให้รักพี่น้องของตัวเอง..คนกันเอง..พวกกัน..คนบ้านเดียวกัน ข้อที่ 44 พระเยซูบอกว่า “จงรักศัตรูของท่าน
จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน”
เพราะมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราจะรักแต่คนที่ดีกับเรา..หรือคนที่น่ารัก...เพื่อนคนไหนทำถูกใจ เอาใจ
เราก็ตั้งป้อมเลยว่า..ชั้นจะคบคนนี้
จะยุ่งกับคนนี้เท่านั้น ส่วนที่ชอบนินทา ปากว่าตาขยิบ เราก็ตีกรอบเลย..อย่าหวังว่าฉันจะเสวนาด้วย
ต่อให้มาคุกเข่าตรงหน้าก็อย่าหวังว่าจะเห็นใจ..อะไรประมาณนี้..มันไม่ถูกต้อง เพราะสำหรับพระเจ้า..มันไม่ใช่ ก็คนที่ไม่มีพระเจ้าเขาก็ทำกันอย่างงั้น..จริงมั๊ย สังคมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น..ยอมรับแต่คนที่ดี เด็กดี
ส่วนคนไม่ดี เด็กนิสัยแย่ๆ
หรือคนที่ทำผิด ก็มักจะไม่ค่อยได้รับโอกาสหรือความเห็นใจจากคนรอบข้างหรือจากสังคม อันนี้
คือเรื่องจริง..สังคมของคนที่ไม่มีพระเจ้าส่วนใหญ่..ก็จะเป็นแบบนี้ แต่สำหรับพระเจ้า..ไม่ใช่ พระเยซูสอนให้เราทำต่างอย่างสิ้นเชิง
ดู โรม
1:13-15 “..ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกชาวป่าด้วย
เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลา” นี่คือ คำพูดของอ.เปาโล เป็นสำนวนว่าเขาเป็นหนี้คนทั้งโลก ทำไมเปาโลถึงบอกว่าเขาเป็นหนี้คนมากมาย เพราะเปาโลรู้ซึ้งว่า ”ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์”
มีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน พระเจ้า..พระบิดาไม่ได้เตรียมทางรอดในพระเยซูคริสต์ไว้เพื่อใครคนใดคนเดียว พระองค์ไม่ได้เลือกแค่คนกลุ่มเดียว ชนชาติเดียว..อิสราเอลอย่างเดียว..ไม่ใช่ แต่ พระเจ้าให้โอกาสทุกคน
และเปาโลซาบซึ้งในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
เพราะอะไร..เมื่อก่อนเขาเป็นขุนนางของพวกยิว..เป็นหัวหอกในการต่อต้านพระคริสต์และข่มเหงคริสตจักร จนวันนึงเมื่อพระเจ้าเปิดตาเขา..พระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองต่อหน้าเปาโล..เปาโลกลับใจใหม่ทันที เขาเริ่มรับใช้พระเจ้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะประกาศข่าวประเสริฐออกไปให้มากที่สุด..ไกลที่สุด เพราะเปาโลรู้ดีว่าสิ่งนี้ คือ
“น้ำพระทัยของพระเจ้า” ในเมื่อเขาได้ความรอดมาฟรีๆ เขาก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อสิ่งที่ดีนี้ให้คนอื่นบ้าง..เขาจะเห็นแก่ตัวเก็บเอาไว้คนเดียว..ไม่ได้
ดู โรม
1:16-17 ข้อนี้อ.เปาโลบอกว่า “..ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์..”
อ.เปาโลบอกว่าเขาไม่อายที่จะบอกกับทุกคนว่า”พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ มายอมตายที่ไม้กางเขน
เพื่อชำระบาปให้กับเรา เพราะฉะนั้น ได้โปรดเชื่อในพระองค์แล้วรับเอาความรอดไว้..ช่วยรับไว้หน่อยเถอะ”ฟรี”..ไม่เสียค่าใช้จ่าย เด็กๆว่าพูดแล้วคนที่ฟังเชื่อทุกคนมั๊ย..ไม่เลย ไม่ใช่ทุกคนที่ฟังแล้วจะเชื่อ แต่มันแค่บางคนเท่านั้นเอง แล้วที่สำคัญ
ไอพวกที่ไม่เชื่อก็มักจะมองเรื่องที่พระเยซูทำบนไม้กางเขน..”เป็นเรื่องโง่” อ.เปาโลถึงต้องใช้คำพูดว่า”เขาไม่อาย”
เพราะหลายคน”อาย”..ที่จะพูดเรื่องราวของพระเยซู
แล้วอ.เปาโลไม่ใช่แค่ไม่อายนะ แต่ตลอดชีวิตเขาทุ่มเทรับใช้จนข่าวประเสริฐถูกแผ่ออกไปเกือบครึ่งโลก
จริงๆต้องบอกว่าทั่วโลกเพราะทุกวันนี้ถ้อยคำของอ.เปาโลยังอยู่มั๊ย..ยังอยู่ให้เราได้อ่านได้เรียนกันอยู่นี่ไง
ดู โรม
10:14 ข้อนี้บอกว่า
“..แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อจะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐจะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้
และเมื่อไม่มีใครประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินอย่างไรได้”...เด็กๆ ลองนึกภาพดู
ถ้าอัครทูตเหล่านั้นไม่เชื่อฟังพระเยซู..ไม่ทุ่มเทหรือเห็นความสำคัญของการประกาศข่าวประเสริฐ
เด็กๆว่าผู้คนมากมายในสมัยนี้..รวมทั้งเราด้วยจะรู้จักพระเจ้ามั๊ย..ไม่รู้จัก
และในเมื่อไม่รู้จัก..ก็จะได้รอดมั๊ยล่ะ..ไม่รอด เพราะไม่มีใครมาบอกข่าวประเสริฐ แล้วทีนี้ลองคิดต่อไป ถ้าเราเพิกเฉยไม่ทำหน้าที่อันเดียวกันนี้ ผู้คนมากมายทั้งในสมัยนี้และลูกหลานเหลนที่จะอยู่ในอนาคตจะรับความรอดได้ยังไง
เมื่อเราได้รับข่าวประเสริฐ..ได้รับความรอดแล้ว เราเก็บเอาไว้คนเดียว ไม่สนใจคนอื่นที่เขาต้องพินาศไปในบึงไฟนรก นั่นคือ เราเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่
ดู 2ทิโมธี 4:2-4 “..จงขมักเขม้นที่จะทำการทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส..” ..หมดข้ออ้าง เพราะหลายคนมีปัญหากับการประกาศข่าวประเสริฐ..คิดไปเองว่า
“ไม่มีโอกาส” แต่ความจริง คือ
เราพูดได้ทุกโอกาส
เพราะความเชื่อเป็นของประทานที่มาจากพระเจ้า ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ..มันขึ้นอยู่กับพระองต์ ไม่ใช่เพราะเราพูดเก่ง ไม่ใช่เพราะเราดูดีน่าเชื่อถือ..เขาถึงได้เชื่อ ไม่ใช่..อย่าเข้าใจผิด พระคำภีร์ข้อนี้จึงหนุนใจให้เราขมักเขม้น..ทุ่มเทเพื่อข่าวประเสริฐ ใครที่ไม่เคยทำเลย..ก็หัดทำซะบ้าง ใครที่ทำน้อยเกินไป..ก็ตั้งใจทำให้มากขึ้น เพราะ..ข้อที่ 3 บอกว่า
“..จะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนอันถูกต้องไม่ได้ (เพราะถูกมารล่อลวงจนหลงเจิ่นไป)
แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง..”..ทุกวันนี้เราชอบฟังอะไร..seed
97.5 , 93 คูลเอฟเอ็ม ข่าววันใหม่ที่มีสารพัดภัยพิบัติ..อาชญากรรม อะไรอีก..เดอะ โว๊ยซ์ ชอบดูมั๊ย..น้าตุ๊กก็ชอบ ยิ่งในอินเตอร์เน็ท..จะเอาอะไรมีหมด อากู๋รู้ทุกอย่าง ..ใช่มะ สื่อในปัจจุบันนี้ไปไกลมาก เราตามทันมั๊ย..สติปัญญาฝ่ายโลกอาจจะตามทัน แต่ฝ่ายวิญญาณ..ไม่มีทาง ถ้าเราไม่ระวัง เราก็เสพเข้าไปแล้วก็ติดใจมาก แต่ถึงกระนั้น ก็จะไม่มีข่าวไหนเลยที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด..พ้นจากความพินาศ นอกจาก..ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู พระคำภีร์ถึงบอกว่า “..มนุษย์จะรวบรวมครูไว้ให้สอนใน”สิ่งที่เขาชอบฟัง”
ไปฟังแต่ที่ชอบๆ ตามความปรารถนาของตนเอง และจะบ่ายหูจากความจริงเรื่องข่าวประเสริฐในองค์พระคริสต์
หันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ”
กิจการ
1:6-8 ข้อนี้ บรรดาอัครสาวกได้ทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้หรือ" พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของท่าน..” ..ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องตะเกียกตะกายรู้ให้ได้..ว่าพระเจ้าจะพิพากษาโลกนี้เมื่อไหร่
อีกนานมั๊ยกว่า พระองค์จะจัดตั้งอาณาจักรใหม่ให้ผู้ชอบธรรม พระเยซูบอกว่าเรื่องนี้..ไม่ใช่ธุระของเรา แล้วธุระหน้าที่ของเรา คืออะไร..ข้อที่ 8 บอกว่า “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์เดช
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา..”
คือ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือเรา..สถิตอยู่กับเรา
แล้วเราจะ”เป็นพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์” นี่คือ หัวใจสำคัญเมื่อเราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าไม่ได้บอกว่าเมื่อเรามีพระวิญญาณเราต้องขับผีออก รักษาคนให้หาย
ห้ามลม ห้ามฝนหรือเสกไฟลงมาจากฟ้าเหมือนเอลียาห์ แต่..เราจะเป็นพยานในข่าวประเสริฐ
เพราะงั้น
ถ้าใครไม่เคยที่จะอยากพูดเรื่องพระเจ้ากับเพื่อนหรือคนรู้จักเลย น้าตุ๊กแนะนำว่า “ต้องเช็คตัวเองแล้ว” ว่าเราเชื่อด้วยปากและรับด้วยใจจริงๆรึยัง เพราะโดยธรรมชาติของคนที่มีพระวิญญาณ..ยังไงก็ต้องทำสิ่งนี้
คือ “เป็นพยาน” จะมากจะน้อย
หรือแม้จะแค่คิดอยู่ในใจ..ยังไงก็ต้องทำ เช่น.. เห็นเพื่อนบางคนมีปัญหา เศร้าใจ
ไม่มีความสุขก็..เออ อยากชวนเขาไปโบสถ์นะ
อยากให้เขาเชื่อพระเจ้า
อะไรประมาณนี้..ต้องมี
ดู ฟิลิปปี 1:21-23 ข้อนี้เปาโลบอกว่า “เขาลังเลใจ..จะอยู่หรือจะตายดี เพราะถ้าอยู่..ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ อยู่ต่อไปเขาก็สามารถประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างเกิดผล ส่วนถ้าตายก็ได้กำไร..อีกใจเปาโลก็อยากจะจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์
ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก”..เลยเลือกไม่ถูก นี่คือ ตัวอย่างของคนที่อยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่อยู่หายใจทิ้งไปวันๆ อยู่เพื่อกิน อยู่เพื่อเที่ยว
วันๆคิดแต่จะหาสิ่งมาปรนเปรอเนื้อหนัง สุดท้าย
อ.เปาโลก็สรุปได้ว่าการที่เขามีชีวิตอยู่
มันมีความจำเป็นมากกว่าสำหรับพี่น้อง ข้อที่ 24 เปาโลบอกว่า “เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่กับท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านจำเริญขึ้นและชื่นชมยินดีในความเชื่อ”
นี่คือ สาเหตุเดียวที่ทำให้อ.เปาโลยังอยากมีชีวิตอยู่ คือ
อยู่เพื่อเป็นพยานในข่าวประเสริฐ
เพื่อที่มนุษย์อีกมากมายจะได้จำเริญขึ้น..ได้รับความรอดและพบกับสันติสุขที่แท้จริง หรือน้าตุ๊กจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ ถ้าปราศจากการประกาศข่าวประเสริฐแล้ว
เราก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร
หมดเวลาแล้วค่ะ สัปดาห์หน้ามาต่อกันเกี่ยวกับ"ท่าทีของการประกาศข่าวประเสริฐ" ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ