วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่3 อาทิตย์ที่ 4:12:2011

พระธรรม2พกษ.เริ่มต้น ด้วยการบันทึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับก.อาหัสยาห์ที่พลัดตกลงมาจากหน้าต่างของห้องชั้นบนในกรุงสะมาเรีย..คงจะบาดเจ็บสาหัส อาหัสยาห์เลยให้คนไปถามพระบาอัล..ว่าเขาจะมีโอกาสหายมั๊ย พระเจ้าเลยใช้เอลียาห์ไปเผยพระวจนะกับผู้สื่อสารของอาหัสยาห์..ว่าในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าแล้วหรือไง ถึงต้องไปถามพระบาอัล เพราะฉะนั้น อาหัสยาห์จะไม่ได้ลุกจากที่นอนอีกเลย ..ความหมายของพระเจ้าก็คือ นี่เราไม่รู้จักกันแล้วใช่มั๊ย..ยูถึงมองข้ามพระเจ้า..หันหน้าไปหาพระบาอัล ถ้างั้น..ก็นอนไปเลย ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีก..ประมาณนี้ ! พอคำพิพากษาของเอลียาห์รู้ถึงหูอาหัสยาห์..อาหัสยาห์โกรธมาก..สั่งให้ทหารไปจับตัวเอลียาห์..เอลียาห์เสกไฟในนามพระเจ้าให้ตกมาเผาทหาร 2 ชุดแรก..100 คน..ตายเกลี้ยง จากนั้น อาหัสยาห์ก็ส่งชุดที่ 3 มาอีก ปรากฎว่า ชุดนี้..กลัวตาย เพราะเห็นแล้วว่าสองชุดแรกถูกเอลียาห์เผาเกลี้ยง ก็เลยกลัวตัวเองจะถูกเผาเหมือน2ชุดแรก พวกเขาก็เลย..คุกเข่าลงขอชีวิตจากเอลียาห์ เอลียาห์ก็เลยลงมาจากภูเขาแล้วก็พิพากษาอาหัสยาห์ จากนั้นไม่นาน อาหัสยาห์ก็ตาย

จากนั้น ในบทที่ 2 ก็เป็นเรื่องราวการสืบทอดสิทธิอำนาจของ”เอลียาห์” ไปสู่ “เอลีชา”พระคำภีร์บันทึกว่าเอลีชาได้เห็นเอลียาห์ถูกรับขึ้นไปทั้งที่ยังมีชีวิตโดยรถม้าเพลิงของพระเจ้า แล้วพระคำภีร์ก็ยังกล่าวถึงการอัศจรรย์มากมายที่พระเจ้าทรงทำผ่านเอลีชา เพื่อเป็นการการันตีว่าพระองค์ทรงเลือกเอลีชาให้เป็นคนของพระองค์ต่อจากเอลียาห์ ด้วย”ส่วนของสิทธิบุตรหัวปีคือ เป็นสองเท่าของเอลียาห์

และสุดท้ายที่เราเรียนค้างไว้ในบทที่ 5 เป็นเรื่องของนาอามาน แม่ทัพใหญ่ของซีเรีย..ที่เป็นโรคเรื้อน..แล้วมาขอให้เอลีชารักษาให้ จนในที่สุด นาอามานก็หายจากโรคเรื้อน แล้วเขาก็กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า..หันมานมัสการพระเจ้าของอิสราเอลแต่เพียงพระองค์เดียว ก็นับเป็นโชคดีของเขาจริงๆที่ได้รู้ข่าวดีนี้จากเด็กหญิงชาวสะมาเรีย นอกจากนั้น พอนาอามานหายแล้วเขาก้อยากจะมอบของกำนัลมากมายให้เอลีชา..แต่เอลีชาไม่รับ เพราะเอลีชาถือว่าของประทานในการรักษานี้เขาได้มาฟรีๆ ก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อไป..ฟรีๆเหมือนกัน เพราะแท้จริงแล้วพระเจ้าคือผู้รักษา..ไม่ใช่เอลีชา เรื่องอย่างนี้พวกเราต้องไม่ลืม ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราก็ได้มาฟรีทั้งนั้น อะไรที่ให้ออกไปได้..ก็จงให้ออกไป แล้วไม่ต้องคิดเยอะ ให้แล้วจบ..ไม่ต้องไปเจ้ากี้เจ้าการหรือถือเป็นบุญคุณกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราถวายกลับคืนสู่พระเจ้า ..ในพระนิเวศน์ของพระองค์ หลายคนชอบวิพากย์วิจารณ์ในเวลาที่คริสตจักรจะใช้สอยในราชกิจของพระเจ้า “ทำไมไม่ซื้ออันนั้น มาซื้ออันนี้ทำไม” “ซื้ออันนี้ทำไมไม่เห็นจำเป็น”..อย่างนี้ เป็นต้น..”อย่าทำ” จำไว้..ไม่ว่าคุณจะถวายเยอะขนาดไหน คุณก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินคริสตจักรหรือผู้รับใช้ เพราะแท้จริงแล้วทุกอย่างที่เรามีมันของพระเจ้าทั้งนั้น..แม้ว่าเราจะเป็นคนออกแรงไปหามาก็ตาม แล้วถ้าผู้นำกระทำสิ่งที่ไม่สมควร นั่นคือปัญหาของเขา..ที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า..ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเหยียดมือออกไปแตะต้องผู้รับใช้ (เรื่องนี้ จริงๆต้องสอนกันอีกยืดยาว แต่ตอนนี้ขอทดไว้ก่อน)

ดู 2พกษ.5:17-18 ในเมื่อเซ้าซี้ยังไงเอลีชาก็ไม่ยอมรับของกำนัล นาอามานเลยบอกว่า ”มิฉะนั้นขอท่านได้โปรดให้ดินบรรทุกล่อสักสองตัวให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแก่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระเจ้าเท่านั้น” เราอยากเห็นมนุษย์ทุกชาติพันธ์พูดคำนี้นะคะ “..จากนี้ไปนาอามานจะไม่กราบไหว้พระอื่นอีกเลย แต่เขาจะนมัสการพระเจ้าของอิสราเอลองค์เดียวเท่านั้น” อามานบอกเอลีชาว่า ถ้างั้นเขาขอดินที่ดินแดนอิสราเอลใส่ล่อสองตัวเอากลับไปบ้านด้วย เอาไปทำไม..ดิน เพราะคนสมัยนั้นเขาเชื่อว่า “พระเจ้าทรงผูกพันอยู่กับดินแดนอิสราเอล(หรือปาเลสไตน์)” เพราะฉะนั้น เขาเลยถือว่า..ดินในเขตแดนของอิสราเอล..เนี้ย เป็นดินศักดิ์สิทธิ์..เป็นดินของพระเจ้า แล้วในปฐก.28:10-13 ก็บอกว่า ”ที่เมืองฮาราน” (ซึ่งก็คือที่ดินแดนคานาอัน) ยาโคปหลับไป..แล้วฝันเห็นพระเจ้าประทับอยู่เหนือบันได..ที่ซึ่งทูตสวรรค์ขึ้นลงอยู่ แล้วเขาเลยเรียกที่นั่นว่า”เบธเอล” อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ยิวยังยึดติดแล้วก็หวงดินแดนปาเลสไตน์มาก เพราะเขาเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้าแล้วจุดเชื่อมหรือประตูแห่งฟ้าสวรรค์ก็อยู่ตรงนั้น..ที่คานาอัน เพราะฉะนั้น นาอามานเลยตั้งใจว่าจะขอดินแห่งอิสราเอลกลับไป เพื่อที่เวลานมัสการพระเจ้าเขาจะได้คุกเข่าลงต่อหน้าดินนั้น (คงจะให้ความรู้สึกเหมือนได้นมัสการอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ประมาณนั้น..)

ข้อที่18 นาอามานบอกต่อไปว่า..”แต่ขอพระเจ้ายกโทษให้เขาด้วย ที่เขายังต้องเข้าไปในวิหารพระริมโมน เพราะกษัตริย์ซีเรียจะเข้าไปนมัสการในนิเวศของพระริมโมน แล้วพระองค์ต้องพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้า” ..นาอามานมีหน้าที่ต้องประคองเวลาที่กษัตริย์จะก้มคำนับพระริมโมน ดังนั้น เมื่อเขาโน้มตัวลงต่อหน้าพระริมโมนนั้นขอพระเจ้ายกโทษและเข้าใจเขาด้วยว่า..เขาไม่ได้ก้มลงกราบไหว้พระริมโมนนะ..เขาแค่ทำตามหน้าที่

ดู 2พกษ.5:20-21/22 แทนที่เรื่องจะจบลงอย่างแฮปปี้ดีพร้อม มันก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้นจนได้ ข้อนี้ บอกว่า “เกหะซี คนรับใช้ของเอลีชา พอได้เห็นของกำนัลที่นาอามานเอามาแล้ว..อยากได้ มันติดตาจนลืมไม่ลง ทั้งเงินทอง เสื้อผ้าอย่างดี เห็นแล้ว..อยากได้จนทนไม่ไหว..เลยวิ่งตามไป ไปถึงก็แต่งเรื่องเสร็จสรรพเลย..บอกว่า”พอดีมีเพื่อนที่เป็นผู้เผยพระวจนะมาจากเทือกเขาเอฟราอิม เลยอยากจะมาขอเงินนาอามานซักตะลันต์นึง (ประมาณ 34 กิโล) กับ เสื้อผ้าดีๆอีก 2 ชุด..ไปกำนัลเพื่อน นาอามานพอได้ยินอย่างงั้น บอก..เอาไปเลย 2 ตะลันต์ แถมให้คนช่วยขนไปส่งด้วยเพราะ 2 ตะลันต์เยอะมาก 60 กว่ากิโล พอกลับมาเกหะซีก็เอาเงินสองตะลันต์กับเสื้อผ้าเริ่ดๆอีกสองชุดไปเก็บเงียบเรียบร้อย เสร็จแล้วก็ออกมาดูแลรับใช้เอลีชาตามปกติ..ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระเจ้ารู้มั๊ย รู้..เห็นทั้งหมดแล้วพระองค์ก็บอกเอลีชาเรียบร้อยละ..ว่าเกหะซีไปทำไรมา พอเกหะซีมาอยู่ต่อหน้า..เอลีชาก็ถามว่า "เกหะซี เจ้าไปไหนมา" ถามว่าเอลีชารู้มั้ยว่าเกหะซีไปไหน..รู้..แล้วถามทำไม เวลาที่เด็กๆทำความผิดแล้วคุณพ่อ คุณแม่หรือผู้ใหญ่ถาม..อย่านึกว่าเขาไม่รู้ว่าเราทำอะไร แต่ที่ถามเนี่ย ! ก็เพื่อให้โอกาส..เผื่อว่าจะกลับใจแล้วยอมรับผิดมาตรงๆ เพราะน้าตุ๊กสอนหลายครั้งแล้วว่าคนเรามันผิดกันได้ ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์เราก็มักทำผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญที่พระเจ้าสอนเรา คือ ให้เราสำนึกและกลับใจใหม่ อิสราเอลกับยูดาห์ก็ต่างกันแค่นี้เอง แต่เกหะซี บอก..เปล่า ไม่ได้ไปไหนเลย ถ้าภาษาน้าตุ๊กอย่างงี้เขาเรียกว่า”อุตส่าห์ทอดสะพานให้ แต่ยังไม่ยอมเดินข้ามมา” ยังอยากจะไปเดินวกวนจนหาที่ลงไม่ได้ เกหะซีไม่มีทีท่าที่จะสำนึกผิดหรือตะขิดตะขวงใจเลย ข้อที่ 26 เอลีชาบอกว่า “..นั่นเป็นเวลาควรที่จะรับเงิน รับเสื้อผ้า สวนต้นมะกอกเทศ และสวนองุ่น แกะและวัว และคนใช้ชายหญิงหรือ..” ..มันเป็นโอกาสที่ควรจะไปรับสิ่งตอบแทนจากเขาหรือไง..การอัศจรรย์นี้พระเจ้าทรงประทานให้ฟรีๆ เพราะงั้น จริงๆแล้วที่นาอามานหาย..ใครเป็นผู้รักษา ใช่เอลีชามั๊ย..ไม่ใช่ แต่พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้รักษาให้หาย เพราะฉะนั้น จะมาฉวยโอกาสเอาเงินทองของกำนัลจากเขา..ไม่ได้ “..ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่ที่เจ้าและที่เชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์ (ซรวยเลย) ขอโทษที่ไม่สุภาพ แต่ไม่สามารถหาคำอื่นแทนคำนี้ได้จริงๆ แล้วเกหะซีก็ออกไปจากหน้าท่านเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ” สุดท้าย เกหะซีเลยต้องเป็นโรคเรื้อนแทนนาอามาน..คุ้มมั๊ยคะ ไม่คุ้มเลยจริงๆ ได้เงิน 2 ตะลันต์ เยอะจริงอยู่..แต่ต้องเป็นโรคเรื้อนทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต

มาถึง บทที่ 6 ข้อที่1-7 เป็นการอัศจรรรย์ที่เกิดขึ้นตรงน.จอร์แดน เรื่องก็คือ..”มีลูกศิษย์คนนึงของเอลีชาทำหัวขวานตกลงไปในน้ำ..แม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นน้ำจืดมีขุ่นโคลน เอลีชาก็ทำการอัศจรรย์โดยเอากิ่งไม้โยนลงไป..หัวขวานทำด้วยเหล็ก..ซึ่งหนักมากก็กลับลอยขึ้นมา (อันนี้ ก็เป็นการอัศจรรย์เล็กๆน้อยๆ อีกอันที่พระคำภีร์บันทึกไว้)

ดู 2พกษ.6:8-9 ข้อนี้พูดถึงกองทัพซีเรียที่พยายามจะยกมาโจมตีอิสราเอล..หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เพราะ! เอลีชารู้ทันตลอด ข้อที่ 9 บอกว่า“คนแห่งพระเจ้าส่งข่าวไปยังกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า "ขอพระองค์ทรงระวังอย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น"...คือ ไม่ว่ากษัตริย์ซีเรียจะวางแผนโจมตีทางไหน..เอลีชารู้หมด แล้วเอลีชาก็คอยบอกให้กษัตริย์อิสราเอลรู้ตัว..ว่าซีเรียจะมาไม้ไหน..โจมตีทางไหน แล้วกษัตริย์ก็จะสั่งให้ทหารคอยตั้งรับและตอบโต้กองทัพซีเรียได้ทันท่วงที..ซีเรียเลยเจาะไม่เข้า ในที่สุดกษัตริย์ซีเรียก็สงสัย เพราะมันไม่ใช่ครั้ง..สองครั้ง แต่อิสราเอลรู้ทันแผนการของเขาทุกครั้ง ข้อที่ 11 กษัตริย์ซีเรียเลยเรียกข้าราชการทั้งหมดมาถาม..ว่า "พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนใดในพวกเราที่อยู่ฝ่ายกษัตริย์แห่งอิสราเอล" แปลว่าไร.. คือ กษัตริย์ซีเรียเริ่มสงสัยว่าลูกน้องตัวเองจะเป็นไส้ศึก เพราะมันจะเป็นได้ไง..ที่ไม่ว่าเขาจะยกไปกี่ครั้ง กษัตริย์อิสราเอลก็รู้ทันตลอด อาการแบบนี้มันต้องมีไส้ศึกแหงๆ แต่ที่ปรึกษาคนนึงบอกว่า “ไม่มีใครเป็นไส้ศึกหรอก แต่ที่ป็นอย่างงี้เนี่ย..ก็เพราะเอลีชา ข้อที่ 12 บอกว่า”..แต่เอลีชาผู้พยากรณ์ซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์ให้แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล" ...ไม่ว่ากษัตริย์ซีเรียจะพูดอะไรหรือวางแผนอะไร..เป็นความลับขนาดไหน..เอลีชาก็ได้ยิน (นี่ก็คือ อัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านเอลีชา)

ดู 2พกษ.6:13-14 กษัตริย์ซีเรียพอรู้ว่าเอลีชาเป็นต้นเหตุ..ที่ทำให้แผนการทุกอย่างของเขาล้มเหลว เลยสั่งให้ทหารไปสืบดูว่าเอลีชาอยู่ไหน ตอนนั้นเอลีชาอยู่ที่เมือง”โดธาน” ข้อที่ 14 กษัตริย์ซีเรียสั่งให้นำทั้ง”ม้า รถรบ แล้วก็กองทัพใหญ่” ไปล้อมจับเอลีชา..แล้วย่องไปตอนกลางคืนด้วย นี่จะจับคนๆเดียวนะ..แต่กษัตริย์ซีเรียทำเหมือนจะไปรบกับคนทั้งกองทัพ แสดงว่าเขากลัวเอลีชามาก กษัตริย์ซีเรียต้องรู้สึกว่า”คนๆนี้ไม่ธรรมดา” จะจับให้ได้ต้องใช้คนทั้งกองทัพแล้วก็ต้องย่องไปตอนเผลอ เขาถึงยกไปตอนกลางคืน ถามว่า..เอลีชารู้มั๊ย..รู้แน่นอน ข้อที่ 15 บอกว่า ตอนเช้ามืด พอคนรับใช้ของเอลีชา..(ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เกหะซีแล้วนะ) ออกมาเปิดหน้าต่างแค่นั้นแหละ..แทบล้มทั้งยืน เพราะไร..ก็เปิดไปปั๊บ!เห็นกองทัพซีเรียขนาดมหึมาล้อมรอบบ้าน..ตกใจรีบวิ่งมาหาเอลีชา บอกว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี" กองทัพใหญ่ขนาดนี้..เราเห็นทีจะแย่แน่ เอลีชาฟังแล้วว่าไง ข้อที่ 16 เอลีชาบอก “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าเขา” ฟังแล้ว..คิดว่าคนรับใช้ของเอลีชาจะรู้สึกยังไง เอ๊ะ! นายเรา ตื่นรึยังเนี่ย ก็เห็นอยู่ว่าเรามีกัน 2 คน ส่วนกองทัพซีเรีย..นับไม่ถ้วน แล้วเอลีชาเอาอะไรมาพูดว่าเรามีมากกว่า เอลีชาก็รู้ทันว่าคนรับใช้คงจะงง..ที่เขาพูด ข้อที่ 18 เอลีชาเลยทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" จากนั้น พระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิฐาน คนรับใช้ของเอลีชาเลยได้เห็น..ว่าบนภูเขาเต็มไปด้วยกองทัพทูตสวรรค์ทั้งม้า..รถรบเพลิงล้อมอยู่รอบเอลีชาเต็มไปหมด..เยอะกว่าของซีเรียจริงๆ

ดู 2พกษ.6:18-19 ข้อนี้ บอกว่า พอกองทัพซีเรียเริ่มรุกเข้ามา เอลีชาก็อธิฐานต่อพระเจ้า..ว่าไร "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" เสร็จปุ๊บ! ทุกคนที่อยู่ในกองทัพซีเรียก็ตาบอดหมดเลย..ฟังแล้วเด็กๆอาจคิดในใจ โอโห! มันเหลือเชื่อ..แต่จงเชื่อ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกอย่าง..ตามสไตน์ของพระองค์..ไม่ใช่สไตน์เรา เพราะฉะนั้น พระคำภีร์บอกอะไรไว้ นั่นคือ ความจริงทั้งหมดเพราะพระเจ้าการันตีแล้วว่าพระคำภีร์คือ พระวจนะของพระองค์ ทีนี้..หลังจากที่คนซีเรียตาบอดแล้ว เอลีชาก็บอกพวกเขาว่า..มาผิดทางแล้ว คนที่พวกคุณจะจับอ่ะ..ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก..อยู่อีกเมืองนึงเดี๋ยวจะพาไป พวกซีเรียก็เชื่อเพราะอย่าลืมว่าตอนนี้ตาบอดกันหมด..ไม่มีทางเลือกแล้วก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะควบคุมสถานการณ์ได้..ก็เลยตามเอลีชาไป ปรากฎว่าเอลีชาพาไปที่สะมาเรีย เอลีชาพากองทัพซีเรียมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารอิสราเอลที่สะมาเรีย แล้วเขาก็อธิฐานอีกครั้งนึง..ขอพระเจ้าเปิดตาพวกเขาให้มองเห็นอย่างเดิม พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานให้กองทัพซีเรียกลับมองเห็นอย่างเดิม พอตาสว่างขึ้นมาคราวนี้..ก็กระดิกไปไหนไม่ได้แล้วเพราะถูกกองทัพอิสราเอลบล็อกไว้

ดู 2พกษ.6:21-22 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลเห็นอย่างงั้น ก็ถามเอลีชาว่า “บิดาของข้าพเจ้า จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ" คือ กษัตริย์อิสราเอลให้เกียรติเอลีชามาก..เรียกเอลีชาว่าบิดา เขาถามเอลีชาว่าจะให้ทำไงกับทหารซีเรียพวกนี้จะให้ฆ่าทิ้งเลยมั๊ย เอลีชาตอบว่าไง ข้อที่ 22 เอลีชาบอกว่า "ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย..แต่ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำต่อหน้าเขา เพื่อให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด" ไม่ให้ฆ่า..เอลีชาไม่ให้ฆ่า กลับบอกให้กษัตริย์อิสราเอลเลี้ยงอาหารศัตรู เด็กๆสังเกตให้ดี..ว่าเอลีชาเปิดเผยน้ำพระทัยพระเจ้าเหมือนที่หนังสือโรมบันทึกไว้ (12:20) “ เหตุฉะนั้น ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม..” เด็กๆเห็นมั๊ยว่า “ พระคำภีร์ใหม่จะถูกซ่อนเร้นอยู่ในพระคำภีร์เดิม แล้วพระคำภีร์เดิมก็ถูกเปิดเผยในพระคำภีร์ใหม่” ทั้งที่ คนละคนเขียน แล้วก็เขียนคนละเวลา..ห่างกันเป็นร้อยเป็นพันปี ต่างเวลา..ต่างสถานที่ แต่เขียนเรื่องเดียวกัน นี่คือ ความอัศจรรย์ของพระคำภีร์

แล้วก็ปรากฎว่า..กษัตริย์อิสราเอลก็เชื่อฟังเอลีชา ข้อที่ 23 บอกว่า “พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขากลับซีเรียไป..” ผลจากการกระทำของเอลีชาครั้งนั้น ทำให้แผ่นดินพักสงบอยู่ชั่วระยะเวลานึง พวกทัพซีเรียไม่ยกมาโจมตีอิสราเอลอีกเลย แต่ก็แค่ชั่วระยะเวลาเดียวเท่านั้น...

ดู 2พกษ.6:24-25 ในที่สุดอีกหลายปีต่อมา ซีเรียก็ยกทัพมาล้อมอิสราเอลไว้อีกครั้ง พวกเขาคงลืมไปแล้วว่าอิสราเอลเคยเลี้ยงอาหาร แล้วก็ไว้ชีวิตปล่อยกองทัพตาบอดของพวกให้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย เมื่อถูกล้อมเมืองไว้การกันดารอาหารก็เกิดขึ้น..อย่างรุนแรง ข้าวยากหมากแพงถึงขนาดหัวลาตัวนึงขายกันตั้ง 80 เชเขล แล้ว 80 เชเขลเยอะแค่ไหน ก็เทียบเอา 1 เชเขล คือ เงินหนัก 11.5 กรัม แล้วก็มีค่าเท่ากับค่าแรง 2 เดือน เพราะงั้นต้องทำงานกี่เดือนถึงจะซื้อหัวลาได้..เด็กๆก็ลองนึกดู แล้วถึงอิสราเอลจะเป็นประเทศที่ทำการเกษตรได้อย่างผลิดอกออกผลแต่ยังไงก็ไม่สามารถค้ำจุนคนทั้งประเทศได้ในเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้ เพราะการขนส่งที่จะนำเสบียงไปหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศถูกตัดขาด เหมือนอะไร..ประเทศไทยที่เกิดน้ำท่วมตอนนี้ไง ถามว่าปลูกข้าวได้มั๊ย เลี้ยงสัตว์ได้รึเปล่า..ได้ บางที่ยังคงทำได้ แต่ถ้าขนส่งไม่ได้..หลายที่ก็ต้องขาดแคลนอยู่ดี นึกออกใช่มั๊ยคะ แล้วผลจากการกันดารอาหารครั้งนี้ก็รุนแรงจนถึงขีดสุดเพราะ”แม่ถึงขั้นต้องกินลูกตัวเอง” ซึ่งเหตุการณ์นี้ พระเจ้าทรงตรัสบอกไว้ล่วงหน้าแล้วในหนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ 28:49-57 (โน้ตไว้ แล้วไปอ่านเอง อ่านเพื่อไร..จะได้รู้ว่าพระวจนะทุกคำของพระเจ้าจะต้องเกิดขึ้น..จริง !)

ดู 2 พกษ.6:26-27/28-29 ข้อนี้บอกว่า “ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงผ่านไปบนกำแพง มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทูลพระองค์ว่า "โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงช่วย” และกษัตริย์ก็ถามนางว่า "เจ้าเป็นอะไรไป" นางทูลตอบว่า "หญิงคนนี้บอกข้าพระองค์ว่า `เอาลูกชายของเจ้ามาให้เรากินเสียวันนี้เถิด และเราจะกินลูกชายของฉันวันพรุ่งนี้'” คือ มีการตกลงกันว่าวันนี้ต้มลูกเธอก่อน แล้วเอามาแบ่งกันกิน เสร็จแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตาลูกชั้น ต้มแล้วชั้นจะแบ่งเธอ เด็กๆคิดดูว่าแม่คนที่ยอมต้มลูกตัวเองก่อนเนี่ย..มันต้องหิวขนาดไหน หิวจนฆ่าคนได้ก็ยังไม่เท่านี้นะ..อันนี้ มันหิวจนฆ่าลูกตัวเองได้อ่ะ แล้วก็ปรากฎว่า เมื่อหญิงคนนี้ต้มลูกตัวเองแบ่งให้อีกคนกินแล้ว พอวันรุ่งขึ้นผู้หญิงอีกคน..เบี้ยว เอาลูกตัวเองไปซ่อน ไม่ยอมเอามาต้มแบ่งให้อีกคน เพราะไร..ก็อิ่มแล้วไง คนเราถ้าไม่หิวจนได้ที่จริงๆ มันฆ่าลูกตัวเองไม่ได้หรอก กษัตริย์อิสราเอลฟังแล้วพูดได้คำเดียว..อยากฆ่าเอลีชา อ้าว..มันเกี่ยวกันยังไง ก็ตอนนั้นเอลีชาเป็นคนบอกให้เขาปล่อยทหารซีเรียกลับบ้านไป ถ้าตอนนั้น ฆ่าพวกซีเรียทิ้งให้หมด..วันนี้ เรื่องน่าเศร้าอย่างงี้มันคงไม่เกิดขึ้น กษัตริย์อิสราเอลคิดอย่างงั้น..

เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กอยากจะบอกว่าภัยพิบัติอะไรต่างๆที่มันเกิดขึ้นตอนนี้นะ..มันยังไม่รุนแรงจริงหรอก แค่ผิวๆเอง แล้วน้าตุ๊กก็อธิฐานขอพระเจ้าเมตตาอย่าให้ความหิวโหยที่รุนแรงขนาดนั้นมันเกิดขึ้นในโลกนี้อีกเลย แต่พวกเราไม่ต้องกลัว..ยึดพระเจ้าให้มั่น แต่ละวันอย่าให้มันไร้สาระมากนัก ไร้สาระคือยังไง ก็คือ จดจ่อแต่เรื่องฝ่ายโลก วางแผนการชีวิตคิดแต่จะตะเกียกตะกายเป็นนั่น เป็นนี่ อยากได้นั่น..อยากได้นี่ “มากกกจนเกินไป” จนลืมไปว่าเราอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร ถามว่าเราวางแผนการชีวิตได้มั๊ย..ได้ แต่ให้ขอการทรงนำจากพระเจ้า..แล้วก็ฟังเสียงเตือนจากพระองค์ คอยสังเกตว่าในแต่ละวัน”อะไร..ที่มันอยู่ในหัวเรามากที่สุด” นั่นก็คือ เรายึดติดกับสิ่งนั้น แน่นอน เรายังคงต้องเรียนหนังสือ ทำงาน ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง แต่ขอให้เราติดสนิทกับพระเจ้าเข้าไว้ ให้พระองค์เป็นเรื่องราวส่วนใหญ่ในแต่ละวันของเรา..แล้วเราจะปลอดภัย จนกว่าจะพบกันใหม่..ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่2 อาทิตย์ที่ 16:10:2011

หลังจากที่พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปแล้ว เอลีชาก็ได้สืบทอดตำแหน่งผู้เผยพระวจนะต่อจากเอลียาห์ ครั้งที่แล้วในบทที่ 3 เอลีชาทำการอัศจรรย์หลายอย่างตามที่พระคำภีร์บันทึกไว้..เหมือนเป็นการรับรองจากพระเจ้าว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดของเอลียาห์อยู่กับเอลีชาแล้ว มาถึงบทที่ 4 ก็ยังคงเป็นเรื่องราวการทำอัศจรรย์ของเอลีชา..เรามาดูกันทีละเรื่อง

ดู 2พกษ4:1-2 ข้อนี้ บอกว่า มีผู้หญิงคนนึงที่สามีเพิ่งเสียชีวิตไป..มาหาเอลีชาเพื่อขอความช่วยเหลือ คือ สามีเธอก็เป็นผู้เผยพระวจนะคนนึง หญิงม่ายคนนี้บอกกับเอลีชาว่า“เจ้าหนี้จะมาเอาบุตรชายของเธอไปเป็นทาส” คือ สมัยก่อนผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เป็นคนหารายได้เข้าบ้าน 100% ส่วนผู้หญิงเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกกับทำงานในครัวเรือนอย่างเดียว ไม่เคยทำงานนอกบ้านเลย ทีนี้พอสามีเสียชีวิตไปก็ค่อนข้างที่จะเดือดร้อนเพราะไม่มีรายได้ สำหรับหญิงม่ายคนนี้เขาเป็นหนี้ด้วย สมัยก่อนพอไม่มีเงินใช้หนี้..เจ้าหนี้ก็จะมาเอาลูกไปทำงาน..เอาไปเป็นทาสรับใช้ พอฟังเรื่องทั้งหมดจากหญิงม่ายเอลีชาก็ถามว่า “มีอะไรเหลืออยู่ในบ้านบ้าง” หญิงม่ายบอก "สาวใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้านนอกจากน้ำมันหนึ่งไห" ทั้งเนื้อ ทั้งตัว เหลือน้ำมันติดบ้านอยู่ไหเดียว!

ดู 2พกษ.4:3-4 เอลีชาสั่งให้หญิงหม้ายไปยืมภาชนะจากเพื่อนบ้านมาให้มากที่สุด เสร็จแล้วก็ปิดประตูบ้านซะ จากนั้นก็ให้เทน้ำมันที่มีอยู่แค่ไหเดียวนั่นแหละลงในภาชนะที่หามาได้ หญิงม่ายก็ทำตามปรากฎว่า”เทได้จนเต็มภาชนะทุกใบ น้ำมันไหเดียวแต่เทได้ไม่หมด จนกระทั่งข้อที่ 6 เมื่อหญิงม่ายเรียกเอาภาชนะจากลูกชายอีก ลูกบอกว่า ไม่มีอะไรจะใส่แล้ว..น้ำมันถึงหยุดไหล เสร็จแล้วเธอก็ไปบอกเอลีชา..ว่าทำตามที่บอกเรียบร้อยแล้ว เอลีชาก็บอกว่า..ไปสิ เอาไปขาย แล้วเอาเงินไปใช้หนี้เขา เหลือเท่าไหร่ก็เก็บไว้เป็นทุน ฟังเรื่องนี้แล้ว อุ่นใจขึ้นมั๊ย..เราต้องกลัวอะไรอีกมั๊ย..ไม่ต้องกลัวเลย น้ำมันจะแพงหรือการกันดารอาหารจะรุนแรงแค่ไหน พระเจ้าเลี้ยงดูเราได้ ขอแค่เรา”เชื่อฟัง” เชื่อฟังเหมือนหญิงม่ายคนนี้ แม้บางครั้ง จะไม่เข้าใจก็ขอให้เชื่อและทำตาม เด็กๆต้องจำไว้นะคะ..ว่าพระเจ้าสำแดงแก่เรากี่ครั้งแล้ว หลายครั้งแล้วที่พระคำภีร์สำแดงให้เราทำตามทั้งที่ไม่เข้าใจ..ทำตามทั้งที่สถานการณ์มันขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าบอก เช่น “ตอนโยชูวาข้ามมาที่ฝั่งเมืองเยรีโค.. จริงๆตอนนั้นเป็นจังหวะที่ควรจะรีบบุกประจัญ แต่พระเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาเข้าสุนัต ถ้าชาวคานาอันบุกมาตอนนั้นอิสราเอลตายแน่” จากนั้น พระเจ้า ให้ทำอะไร ”สั่งให้เดินวนๆรอบกำแพงเมืองเสร็จแล้วโห่พร้อมกัน กำแพงเมืองเยรีโคก็ถล่มลงมา” อะไรต่างๆเหล่านี้มันไม่สมเหตุผลเลยในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าก็ประทานความสำเร็จให้ทุกครั้งที่พวกเขาเชื่อฟังและทำตาม ดังนั้น นี่คือวิถีที่เราต้องทำตามเหมือนกันเพื่อสำแดงว่าเราไว้ใจพระเจ้า

ดู 2พกษ.4: 8-10 เรื่องราวในข้อนี้มีอยู่ว่า เมื่อครั้งที่เอลีชาเดินทางผ่านไปที่เมืองชูเนม มีผู้หญิงคนนึงซึ่งฐานะค่อนข้างรวย ได้เปิดบ้านต้อนรับเอลีชาอย่างดี..จัดเตรียมทั้งข้าวปลาอาหาร แล้วในข้อที่ 9 ผู้หญิงคนนี้ปรึกษากับสามีว่า"ดูเถิด ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า เดินผ่านบ้านเราอยู่เนืองๆ ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนกำแพง วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น" ..ไม่ใช่แค่เลี้ยงข้าวแต่เตรียมทุกอย่างให้อย่างดีเหมือนเอลีชาเป็นสมาชิกคนนึงในครอบครัว..นี่ไม่ใช่ลักษณะการต้อนรับแบบขอไปที อันนี้ คือ การปรนนิบัติผู้รับใช้เหมือนเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง (ถ้ามีโอกาส) ข้อที่ 11 บอกว่า อยู่มาวันนึงเมื่อเอลีชามีโอกาสมาพักที่บ้านของหญิงชาวชูเนมคนนี้ เอลีชาก็รู้สึกอยากจะตอบแทนอะไรบ้าง เพราะต้อนรับดีเหลือเกิน..เลยให้คนรับใช้ไปถามว่าอยากให้เขาช่วยอะไรมั๊ย อยากให้เสนอความดีความชอบต่อกษัตริย์หรือแม่ทัพรึเปล่า แต่ผู้หญิงคนนี้ตอบว่า ”ดิฉันอยู่ในหมู่พวกพี่น้องของดิฉันค่ะ" แปลว่า เขาไม่ขาดอะไร..ไม่อยากได้อะไร..มีหมดแล้วทุกอย่าง

ดู 2พกษ.4:14-15 ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง" คือ เอลีชายังพยายามคิดอยู่ว่าจะตอบแทนผู้หญิงคนนี้ยังไงดี แต่แล้วเกหะซี..คนรับใช้ของเอลีชาก็นึกขึ้นได้ว่า “เออ..ผู้หญิงคนนี้นะอาจจะมีทุกอย่างพร้อมแล้วก็จริง แต่มีอยู่อย่างที่เธอไม่มี..คือ ไม่มีลูก” (สังเกตให้ดีนะคะ..ว่าเกหะซีคนนี้เนี่ย..ฉลาด แต่ฉลาดก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไป ) พอเกหะซีบอกอย่างงั้น เอลีชาบอก..ดี..งั้นไปเรียกเธอมา พอผู้หญิงคนนี้มา..เอลีชาก็บอกว่า "เดี๋ยวปีหน้าเธอจะมีลูก แล้วบอกด้วยว่าเป็นลูกชาย” หญิงชาวชูเนมคนนี้ฟังแล้วว่าไง "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน หามิได้ อย่ามุสาแก่สาวใช้ของท่านเลย" ประมาณว่า..อย่าพูดเป็นเล่นไป คือ ไม่เชื่อเลยเพราะเธอคงจะแต่งงานมานานแล้ว..และทำยังไงก็ไม่มีลูก แต่ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ท้องแล้วก็ได้ลูกชายอย่างที่เอลีชาบอกไว้จริงๆ แต่เรื่องมันก็ไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้น เด็กคนนี้ก็ตาย..หญิงชาวชูเนมคนนี้ก็ไปหาเอลีชา เอลีชาบอกเอาไม้เท้าไปวางบนตัวเด็ก แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอม ข้อที่ 30 ผู้หญิงคนนี้ บอกว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่พรากจากท่านไป" คือ ไม่ยอมกลับไปโดยที่ไม่มีเอลีชาไปด้วย เอลีชาก็เลย โอเค..ไปก็ไป ในข้อที่ 31 ระบุว่า เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเอาไม้เท้าไปวางบนตัวเด็ก..แต่เด็กไม่ฟื้น พอเอลีชาไปถึงก็เข้าไปในห้อง..ปิดประตูอธิฐานต่อพระเจ้า แล้วขึ้นไปนอนบนตัวของเด็ก 2 ครั้ง ซักพักข้อที่ 35 บอกว่า เด็กคนนี้ก็จาม 7 ครั้งแล้วก็ฟื้น เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับที่เอลียาห์เคยทำตอนที่เขาไปอยู่กับหญิงม่ายในช่วงที่เกิดการกันดารอาหาร อันนี้ก็เป็นการการันตีจากพระเจ้าถึงสิทธิอำนาจของเอลีชาที่เทียบเท่ากับที่พระองค์เคยรับรองเอลียาห์

ดู 2พกษ.4:39-40 ข้อนี้ บอกว่า มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นที่กิลกาล สมัยนั้นถ้าเกิดการกันดาร ก็คือ “อด” ไม่มีทางให้เลือกเหมือนสมัยนี้ วิ่งไปกักตุนสินค้าตามซุปเปอร์มาเก็ตแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้..ไม่มีนะคะ ตอนนั้นเอลีชาก็บอกให้ลูกศิษย์ตั้งข้าว แล้วอีกคนก็ไปเก็บผักเก็บหญ้าในป่าซึ่งตอนนั้นคงไม่มีผักผลไม้แบบที่เคยกิน..ให้เก็บ เดินไปเดินมาไปเจอผลน้ำเต้าป่า..ไม่เคยกินหรอกแต่ก็เก็บเอามาต้มกับข้าว เพราะมันไม่มีอย่างอื่นให้เก็บ ปรากฎว่ามันเป็นพิษ ลูกศิษย์ของเอลีชาพูดว่า "โอ ท่าน คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้" ก็คือ ทำเสร็จแล้วแต่มันกินไม่ได้..กินแล้วตาย ในสถานการณ์แบบนั้นถ้าต้องทิ้งข้าวทั้งหม้อ..ก็คงจะเรื่องใหญ่ เอลีชาทำไง..เขาบอกเอาแป้งมา เสร็จแล้วก็เอาแป้งใส่ลงไปในหม้อ..พิษนั้นก็หายไป

อีกเรื่องนึงในข้อที่ 42-44 ของบทนี้ คือเป็นเรื่องที่เอลีชาเลี้ยงอาหารคนจำนวนมากด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย อันนี้เหมือนที่พระเยซูทำเลย คือว่า “มีชายคนนึงมาจากบ้านบาอัลชาลีชาห์ เอาของมาให้เอลีชา เป็นขนมข้าวบาร์ลี่ 20 ก้อน กับ รวงข้าวใหม่กระสอบ..คงไม่ใหญ่นัก” เอลีชาก็บอกให้เขาเอาเสบียงนี้ทำอาหารให้คนหนึ่งร้อยรับประทาน ผู้ชายคนนี้ก็ตกใจ..แล้วก็พูดกับเอลีชาว่า..จะให้เขาเอาของแค่นี้ทำให้คนตั้งร้อยกินได้ไง..มันไม่พอหรอก ข้อที่ 43 เอลีชาบอกว่า “จงให้คนเหล่านั้นรับประทานเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสสั่งดังนี้ว่า `เขาทั้งหลายจะได้รับประทานและยังเหลืออีก”..ไม่ใช่แค่จะได้กินอิ่มทุกคน แต่จะเหลือด้วย ข้อที่44 บอกว่า “เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็รับประทาน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระเจ้า”

ดู 2พกษ.5:1-3 ข้อนี้ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงแม่ทัพใหญ่ของซีเรีย ชื่อ”นาอามาน” พระคำภีร์บอกว่านาอามานเป็นคนมีเกียรติ มีเงินทอง ลาภยศ บารมี..ครบเลย เพราะเขาเป็นถึงผูบัญชาการกองทัพที่นำให้ซีเรียได้รับชัยชนะเหนืออิสราเอล แต่ถึงจะมีทุกอย่างพร้อม..นาอามานก็ใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์ เขามีหนามอันนึงที่ไม่เคยหลุดพ้น คือ เขาเป็นโรคเรื้อน..

พระคำภีร์บันทึกว่า ครั้งนึงที่ซีเรียยกไปปล้นอิสราเอล พวกเขาจับเด็กผู้หญิงคนนึงมาจากสะมาเรียแล้วส่งไปรับใช้ภรรยาของนาอามาน พอเด็กผู้หญิงคนนี้เห็นอาการโรคเรื้อนของนาอามานเธอก็บอกว่า “อยากให้เจ้านายของดิฉันไปอยู่กับผู้พยากรณ์ผู้ซึ่งอยู่ในสะมาเรีย ท่านจะได้รักษาโรคเรื้อนของเจ้านายเสียให้หาย" เพราะไร ใครๆก็เคยเห็นการอัศจรรย์ที่เอลีชาทำ คนตายยังอธิฐานให้ฟื้นได้เลย นับประสาอะไรกับแค่โรคเรื้อน..ใช่มะ พอนาอามานได้ยินที่เด็กหญิงชาวซามาเรียพูด..ก็เกิดมีความหวังขึ้นมา แม้จะมาจากปากของเด็กตัวเล็กๆคนนึง นาอามานก็อยากลอง ก็เลยไปกราบทูลกษัตริย์ซีเรียขอให้ทำหนังสือไปถึงกษัตริย์ของอิสราเอล ว่าไร..ให้กษัตริย์อิสราเอลหาทางรักษานาอามานให้หายจากโรคเรื้อน..ให้ได้

ดู 2พกษ.5:7 เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ ชายคนนี้จึงส่งสารมาให้เรารักษาคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อน..” พอกษัตริย์อิสราเอลอ่านสารจากก.ซีเรียแล้ว อยู่ไม่ติด..ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง แล้วก็บ่นประมาณว่า นี่เขาเห็นเราเป็นพระเจ้าหรือไงถึงจะได้รักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้หาย ก็รู้อยู่ว่าโรคเรื้อนมันไม่มีทางรักษา ขอใคร่ครวญดูเถิดว่า เขาแสวงหาเหตุพิพาทกับเราอย่างไร” ...ทำอย่างงี้มันหาเรื่องกันชัดๆ กษัตริย์อิสราเอลคิดว่าซีเรียคงหมดมุกแล้วมั้ง..อยากหาเรื่องจะยกมาตีสะมาเรีย แต่ไม่รู้จะอ้างอะไร เลยสั่งให้เขารักษาคนโรคเรื้อนให้หาย..มันจะเป็นไปได้ยังไง!!! ตรงนี้นะ อ่านแล้วเราเห็นอะไร น้าตุ๊กเห็นเลยว่ากษัตริย์อิสราเอล..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สู้เด็กผู้หญิงที่ถูกจับไปเป็นทาสบ้านนายพลนาอามาน..ก็ไม่ได้ ขนาดเด็ก..ยังรู้เลยว่าพระเจ้าทำการอัศจรรย์กับผู้คนของพระองค์มากมายขนาดไหน แต่กษัตริย์อิสราเอลกลับไม่รู้เรื่อง เป็นถึงกษัตริย์แต่หูตายังสว่างสู้เด็กไม่ได้..น่าอายจริงๆ เพราะฉะนั้น เด็กๆจำไว้นะคะ..ว่าเรื่องของความเชื่อ..มันตัดสินกันด้วยวัย..วุฒิภาวะ..หรือแม้แต่การศึกษาไม่ได้

ดู 2พกษ.5:8/9-10 ปรากฎว่า ข่าวความทุกข์ใจของกษัตริย์อิสราเอลที่ต้องรักษาโรคเรื้อนให้นาอามานได้ยินไปถึงหูเอลีชา เอลีชาเลยส่งคนไปบอกกษัตริย์ว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย ให้ส่งนาอามานไปหาเขา นาอามานก็เลยมาหาเอลีชา..มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ข้อที่10 บอกว่า..”เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า "ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด" เอลีชาไม่แม้แต่จะเปิดประตูต้อนรับนาอามาน แค่ใช้คนออกมาบอกให้นาอามานไปชุบตัวในน.จอร์แดน 7 ครั้ง พอนาอามานเจออย่างงั้นเข้าก็โกรธมากกก ”นี่เขาเป็นใคร..เขาเป็นคนใหญ่คนโตนะ เป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพของซีเรีย อุตส่าห์มาหาเอลีชาถึงบ้าน..ถือเป็นการให้เกียรติขนาดไหน..แล้วเอลีชาทำอย่างงี้ได้ไง แทนที่จะออกมาต้อนรับ กลับให้คนรับใช้มาบอกให้ไปอาบน้ำ!!!

สำหรับเอลีชา..ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่านาอามานจะใหญ่โตมาจากไหน..จะร่ำรวย มีเกียรติ มีเงินมาก เงินน้อยซักเท่าไหร่..ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษเลยสำหรับเอลีชาผู้ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า เพราะผู้รับใช้มีหน้าที่..ทำตามที่พระเจ้าบอกแล้วถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่ทำตามใจแล้วฉวยเกียรติยศไว้กับตัว เห็นคนนั้นรวย คนนี้จน แล้วจะเลือกปฎิบัติ..ไม่ได้

ดู 2พกษ.5:11-12 นาอามานบ่นว่า "ดูเถิด ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าเป็นแน่ และมายืนอยู่และออกพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นให้โรคเรื้อนหาย” ..คือ นาอามานคิดว่าเอลีชาน่าจะออกมาต้อนรับเขา..ออกพระนามพระเจ้าแล้วก็โบกมือไปมาทำท่าเหมือนจอมขมังเวทย์หรือทำอะไรให้มันดูขลังๆหน่อยบนร่างกายของเขา..แล้วเขาก็จะหาย นี่อะไร! มาถึงก็ไล่ให้ไปอาบน้ำในน.จอร์แดน ข้อที่12 นาอามานบอกว่า “ถ้างั้นน้ำในน. อาบานาและฟารปาร์แห่งดามัสกัสไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ” ..ก็แม่น้ำในซีเรียดีกว่าในอิสราเอลตั้งเยอะ ถ้ารู้ว่าเอลีชาจะให้ทำอย่างงี้นะ เขาไม่มาให้เมื่อยหรอก..เพราะแม่น้ำในดามัสกัสใหญ่แล้วก็สะอาดกว่านี้ตั้งเยอะ ทำไมเขาต้องดั้นด้นมาอาบน้ำในจอร์แดนด้วย..ไร้เหตุผลสิ้นดี “ ..ว่าแล้วนาอามานจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วย ”ความเดือดดาล”

เนี่ย !สติปัญญามนุษย์ คือ นาอามานคิดว่าถ้าพระเจ้าจะช่วยเขานะ พระองค์ต้องทำอย่างงี้ๆ 1..2..3..4 ออกแบบให้พระเจ้าเสร็จเลย..ว่าพระองค์ต้องทำไง (แล้วตกลงใครใหญ่..เก่งก็ทำเองสิ ถ้ารู้วิธีแล้วมาขอให้พระเจ้าช่วยทำไม..ใช่มะ) พวกเราก็เหมือนกัน เวลาเราอธิฐานขอพระเจ้าช่วย..ไม่ต้องเสนอ..ออกแบบ หรือดีไซน์วิธีคิด..วิธีทำให้พระเจ้าว่าพระองค์ควรจะช่วยเรายังไง..แบบไหน เพราะการทำอย่างงั้นเท่ากับเราบังอาจไปจำกัดพระปัญญาของพระเจ้า..

ดู 2พกษ.5:13-14 นาอามานโกรธมากที่เอลีชาไม่ให้เกียรติ..ไม่ทำอะไรให้อย่างที่ใจเขาคิดไว้..เขาหันหลังกลับด้วยความเดือดดาล แต่คนสนิทก็พูดให้นาอามานได้คิด ว่า”ถ้าคนของพระเจ้าสั่งให้ทำอะไรที่ยากกว่านี้เนี่ย..ท่านก็จะเต็มใจทำใช่มั๊ย แล้วทำไมไอเรื่องง่ายๆแค่นี้ถึงจะไม่ลองล่ะ ถ้าทำแล้วหายโรคอ่ะ..มันคุ้มรึเปล่า ปรากฎว่านาอามานคิดได้..เออ จริง!! ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร คริสเตียนหลายคนก็อาการเหมือน”นาอามาน” อย่างเงี้ย มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ยังอีโก้เยอะ..ยังปล่อยให้ตัวตนของตัวเองมีความสำคัญเหนือพระเจ้า พระคำภีร์ก็ไม่กล้าถือ..ร้องเพลงปรบมือก็ไม่กล้าทำ เพราะไร ก็ชั้นป็นถึงผู้บริหาร.. ceo หรือจบตั้งปริญญาโท แล้วอยู่ดีๆให้มาทำอะไรหน่อมแน้มเหมือนเด็กๆอย่างงี้..รับไม่ได้ นาอามานก็คิดประมาณเนี้ย เขาเป็นถึงแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เคยแต่สั่งชี้เป็นชี้ตายคนอื่น..มาตอนนี้ถูกเอลีชา”สั่ง”..ให้ไปทำอะไร “โง่ๆ” (โง่..ในความคิดของเขานะ) นาอามานทำใจไม่ได้ เออ..ถ้าสั่งให้ไปหาน้ำอมฤตหรือพิชิตสัตว์ปะหลาดซักร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก็ โอ..ค่อยยังชั่ว!! ดูแล้วมันค่อยสมศักดิ์ศรีแม่ทัพอย่างเขาหน่อย หลายคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นเหมือนนาอามานนี่แหละ..บอกว่าแค่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้วได้ไปสวรรค์เลย “รับไม่ได้..มันง่ายไป” เออ..ถ้าบอกว่าให้ปีนเขาซีนายหรือเขาคิช..ขึ้นลงขึ้นลงซัก 100 รอบแล้วได้ไปสวรรค์ ดันเชื่อ!..รู้สึกมีเหตุผล แต่ขอบคุณพระเจ้า สำหรับนาอามาน เพราะสุดท้าย พอคนสนิทได้พูดให้คิด เขาก็กลับใจใหม่ ยอมทำตามที่เอลีชาบอก แล้วก็ปรากฎว่า..หาย ข้อที่ 14 บอก“ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนและเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด”

ดู2พกษ.5:15-16 ลองคิดดูว่า”นาอามาน”จะตื่นเต้นขนาดไหน โรคที่สร้างความอับอายและอยู่คู่กับเขามาตลอดชีวิต ตอนนี้..หายไปแล้ว เขาตื่นเต้นดีใจมากรีบกลับไปหาเอลีชาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ดูว่าเขาพูดอะไร “ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลกนอกจากที่ในอิสราเอล..” ตอนนี้ นาอามานยอมจำนนต่อพระเจ้าเลย เขายอมรับว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าเดียวที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นอกนั้นที่เขาเจอมา..ไม่ใช่พระเจ้าแท้ แล้วนาอามานก็อยากจะตอบแทนเอลีชาด้วยการมอบของกำนัลมีค่ามากมาย แต่เอลีชา..ไม่รับ ขยั้นขยอยังไง..ก็ไม่รับ เอลีชาบอกว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดเลยฉันนั้น” ตอนแรกมีท่าทียังไง..ตอนนี้ท่าทีของเอลีชาก็ยังเหมือนเดิม เอลีชายืนอยู่ในพระเจ้าอย่างเข้มแข็งมาก ไม่เคยหวั่นไหวไปกับเงินทองของกำนัล พระเจ้าไม่ให้รับ..ก็ไม่รับ การอัศจรรย์นี้ได้มาฟรี..เขาก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อไปฟรีๆเหมือนกัน (แต่มีบางคนแอบเสียดายของกำนัลของนาอามาน..เดี๋ยวจะได้เห็นกัน) *****

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่1 อาทิตย์ที่ 9:10:2011

ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่1 จบลงที่การสิ้นพระชนม์ของก.อาหับ แต่เยเซเบล..ยัง ยังไม่ตาย จากนั้น พระคำภีร์ก็บอกว่า”อาหัสยาห์” โอรสของอาหับก็ขึ้นครองอิสราเอลแทนพ่อ ใน1พกษ.ตอนท้ายบันทึกไว้ว่า “อาหัสยาห์โอรสของอาหับครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครอบครองเหนืออิสราเอลแค่สองปี และพระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาและในมรรคาแห่งราชมารดา คือ กราบไหว้พระบาอัลตามพระนางเยเซเบล นั่นเอง

แต่เดิมนั้นพงศ์กษัตริย์เป็นหนังสือเล่มเดียว..เหมือนหนังสือซามูเอล แต่ด้วยความที่มันยาวมากก็ เวลาจะหยิบมาใช้ก็ยาก เขาเลยแบ่งเป็นสองเล่ม แล้วอีกอย่างสมัยก่อนพระคำภีร์ไม่ได้พิมพ์เป็นเล่มๆ..หาซื้อง่ายแล้วก็พกพาสะดวกเหมือนสมัยนี้ แต่จะเป็นม้วนๆทำจากหนังสัตว์ ต้องจ้างเขาคัดลอกกัน..กว่าจะเสร็จแต่ละฉบับยากเย็นแสนเข็ญมาก เพราะอะไร..ทุกครั้งที่เขาจะเขียนคำว่า ”พระเจ้า”หรือ”พระเยโฮวาห์” เขาจะต้องวางปากกาแล้วไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ปากกาใหม่ แล้วคิดดูในพระคำภีร์มีคำว่าพระเจ้ากี่ครั้ง..เยอะมาก แล้วถ้ามีการเขียนผิด..เผาทิ้งเลย เพราะฉะนั้น กว่าจะคัดเสร็จแต่ละเล่มๆ โอโห..ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เลยไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพระคำภีร์ได้ ต้องระดับพระราชาหรือมหาเศรษฐีเท่านั้น เพราะแพงมาก..ฟังแล้วเราเห็นคุณค่าของพระคำภีร์ที่อยู่ในมือมากขึ้นมั๊ย เพราะฉะนั้น ไปไหนก็พกเถอะค่ะ ขยันอ่านให้สมกับที่พระเจ้าทรงอุตรส่าห์เอาถ้อยคำของพระองค์ใส่ไว้ถึงมือของเรา ขอบคุณพระเจ้า..ที่เดี๋ยวนี้เราสามารถมีพระคำภีร์กันได้เกือบทุกคน

ดู2พกษ.1:1-2 พระธรรม2พกษ.เริ่มต้น ด้วยการบันทึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับก.อาหัสยาห์ ในข้อที่2 บอกว่า”อาหัสยาห์ทรงตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่าย คือ “หน้าต่าง” จากห้องชั้นบนของในกรุงสะมาเรีย แล้วก็ป่วยเพราะบาดเจ็บ ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกี่มากน้อยแต่ก็คงจะหนักพอสมควร พระองค์จึงใช้คนไปถามพระบาอัล อันนี้ จะสมัยไหนก็เหมือนกันหมด..ที่เวลาอยากจะรู้อะไรคนทั่วไปก็จะไปถามสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือศรัทธา อย่างอาหัสยาห์เขานับถือพระบาอัลตามพ่อกับแม่ ก็เลยให้คนไปถามพระบาอัลว่าเขาจะหายมั๊ย แต่ยังไม่ทันได้ถามพระบาอัล..ข้อที่3 บอกว่า พระเจ้าก็ใช้เอลียาห์ให้เผยพระวจนะกับผู้สื่อสารของอาหัสยาห์..ว่า”ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าแล้วหรือ ถึงต้องไปถามพระบาอัล เพราะฉะนั้น อาหัสยาห์จะไม่ได้ลุกจากที่นอนอีกเลย” แปลว่า จะไม่มีทางหายจากอาการป่วย ไม่ต้องไปถามใครทั้งนั้น ตอนนี้พระเจ้าตอบแล้ว..คำไหน คำนั้น พวกผู้สื่อสารเลยเอาถ้อยคำของเอลียาห์ไปทูลก.อาหัสยาห์

ดู2พกษ.1:7-8 เมื่ออาหัสยาห์ได้ยินสิ่งที่ผู้สื่อสารเอามาบอกแล้ว..ก็ทรงถามว่า คนที่เผยพระวจนะนี้ รูปร่างหน้าตายัง พวกเขาก็ตอบพระองค์ว่า.. "ท่านมีขนมากและมีหนังคาดเอวของท่านไว้" พอฟังดูลักษณะ ปุ๊บ!อาหัสยาห์รู้ทันทีว่าเป็น”เอลียาห์” อาหัสยาห์เลยสั่งให้ทหารไปจับตัวเอลียาห์..อันนี้คงเป็นอิทธิพลของพระมารดา (เยเซเบล) พระคำภีร์บันทึกว่าทหารของอาหัสยาห์ชุดแรกไปกันห้าสิบคน ตอนนั้นเอลียาห์อยู่บนภูเขา พวกนี้ก็แสดงอำนาจบาทใหญ่ไม่สนใจจะให้เกียรติ..ทั้งที่เอลียาห์เป็นคนของพระเจ้า ไปถึงก็ตะโกนเรียกให้เอลียาห์ลงมา แต่เอลียาห์ไม่ลง เอลียาห์ว่าไง "ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ขอให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์เผาผลาญพวกเจ้าทั้งห้าสิบคนเถิด" เอลียาห์อธิฐานต่อพระเจ้า บอกว่าถ้าเขาเป็นคนของพระองค์ ก็ขอพระเจ้าคุ้มครองด้วยการส่งไฟลงมาเผาทหารทั้งห้าสิบคนที่จะมาจับตัวเขา และข้อที่10 บอกว่า “แล้วไฟก็ลงมาจากฟ้าสวรรค์และเผาผลาญทหารทั้งห้าสิบคนนั้น ตายเกลี้ยง ดูต่อไปว่าอาหัสยาห์จะทำยังไง..

ดู2พกษ.1:13 เด็กๆดูตามในข้อที่11 ก่อนนะคะ หลังจากที่เอลียาห์เสกไฟในนามพระเจ้าให้ตกมาเผาผลาญทหารชุดแรกทั้งห้าสิบคนแล้ว อาหัสยาห์ยังไม่สำนึกนะคะ ข้อที่11 บอกเขาส่งชุดใหม่ไปอีกห้าสิบคน พอชุดที่สองไปถึงก็ทำเหมือนเดิมเลย คือ ตะโกนเรียกเอลียาห์ให้ลงมา.. เอลียาห์ไม่ลง แล้วเอลียาห์ก็ทำอย่างเดิม..เหมือนกัน คือ สั่งไฟให้ตกลงมาเผาทหารชุดที่สองอีกห้าสิบตายเกลี้ยง..รวมเป็นหนึ่งร้อยละ เห็นอย่างงั้นแล้วอาหัสยาห์ถอยมั๊ย..ไม่เลย ข้อที่13 บอก..เขายังส่งชุดที่สามไปอีก..คือ จะจับเอลียาห์ให้ได้..ร้ายจริงๆเหมือนแม่ไม่มีผิด แล้วเด็กๆคิดว่า..ทหารชุดที่สามนี้จะออกอาการยังไง เพราะอีสองชุดแรกที่ส่งไป..ตายเรียบไม่มีเหลือ แต่กษัตริย์สั่งให้ไป..ก็ต้องไป พอไปถึงพวกเขาแทบจะเดินเข่าเข้าไปเลยนะ..เพราะกลัวมาก กลัวเอลียาห์จะใจเร็วสั่งไฟตกจากฟ้ามาเผาพวกเขาอีก ก็เลยอ้อนวอนเอลียาห์ให้ไว้ชีวิต พระเจ้าก็เลยบอกเอลียาห์ว่า “ลงไปเถอะ..ลงไปได้แล้ว รับรองไม่มีใครกล้าทำอะไรเอลียาห์แน่นอน” เอลียาห์ก็เลยลงไปแล้วก็เผยพระวจนะพิพากษาอาหัสยาห์..”ว่า เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปยังบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน ทำเหมือนไม่มีพระเจ้าแล้วในอิสราเอลที่จะทูลถาม เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่' แล้วในข้อที่17 อาหัสยาห์ก็สิ้นพระชนม์..สำเร็จตามที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ทางเอลียาห์

มาถึงบทที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องราวการสืบทอดสิทธิอำนาจของ”เอลียาห์” มาสู่”เอลีชา”

ดู2พกษ.2:1-2 ข้อที่1 บอกว่าเวลาของเอลียาห์กำลังจะหมดลงแล้ว พระเจ้ากำลังจะรับเขาไปแล้ว และในการที่เอลีชาจะได้รับสิทธิอำนาจเป็นสองเท่าต่อจากเอลียาห์นั้น สิ่งนึงที่เขาต้องถือปฏิบัติก็คือ เอลีชาจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับเอลียาห์จนถึงวาระสุดท้าย ..ให้ได้ เขาถึงจะมีโอกาสได้รับพระพร ดังนั้น ในข้อที่2 ขณะที่เอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางไปที่กิลกาล เอลียาห์ก็พูดคล้ายๆจะลองใจเอลีชา บอกว่า..ให้คอยอยู่ที่นี่ก่อนนะ เพราะพระเจ้าใช้เขาไปที่เบธเอล แต่เอลีชาตอบว่าไง..ไม่!ไม่มีวัน"พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เขาจะไม่มีทางทิ้งเอลียาห์ไปไหน" แล้วเอลียาห์ก็ทดสอบเอลีชาอย่างงี้ถึงสามครั้ง..ในข้อ4 กับข้อ6 แต่ปรากฎว่า เอลีชาสอบผ่านตลอด เขาไม่ยอมให้เอลียาห์คลาดสายตาเลย

ดู 2พกษ.2:8-9 ข้อนี้บอกว่า เอลียาห์เอาเสื้อคลุมของเขาม้วนแล้วฟาดลงไปที่น.จอร์แดน น้ำในน.จอร์แดนก็แยกออก เอลียาห์กับเอลีชาก็เดินไปบนดินแห้ง..ข้ามไปทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน พอได้เวลาที่พระเจ้าจะมารับแล้ว..เอลียาห์ก็พูดกับเอลีชาว่า “จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไป” เอลีชาบอกว่า “ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี” ซึ่งก็คือ “สองเท่า” เอลีชาขอฤทธิ์เดชที่พระเจ้าเจิมอยู่เหนือเอลียาห์ให้มาอยู่ที่เขาสองเท่า (โอโห!ไฟแรงมาก) ข้อที่10 เอลียาห์บอกว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก..ยากจริงๆ เพราะอย่างเอลียาห์นี้พระเจ้าก็เจิมมากเหลือเกินแล้ว ดูการอัศจรรย์ที่เขาทำแต่ละอย่าง..ไม่มีกี่คนที่จะได้รับการเจิมเหมือนเอลียาห์ แล้วโดยส่วนตัวน้าตุ๊กคิดว่าตำแหน่งหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง..ก็มักจะมาพร้อมกับ”ภาระอันยิ่งใหญ่ด้วย”..อวยพรมาก..พระเจ้าก็ใช้มากเป็นเรื่องธรรมดา เอลียาห์ถึงบอกว่าเอลีชาขออะไรที่ยากมากนะ..แต่เอลียาห์ก็โอเค ข้อที่10 เอลียาห์บอกว่า “ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าถูกรับขึ้นไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าท่านไม่เห็น ก็จะไม่ได้นะ" จากนั้น ข้อ11 บอกว่า “ขณะที่ทั้งสองคนเดินคุยกันอยู่ ก็มีรถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกทั้งสองคนออกจากกัน แล้วเอลียาห์ก็ได้ขึ้นไปโดยลมหมุนเข้าสวรรค์..ต่อหน้า ต่อตาเอลีชา” หมายความว่า พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปทั้งที่เขายังไม่ตาย..ยังมีชีวิตอยู่ นี่คือ สิทธิที่พิเศษจริงๆที่พระเจ้าประทานให้ ในประวัติศาสตร์พระคำภีร์มีแค่สองคนเท่านั้นที่ได้ไปสวรรค์โดยไม่ต้องพบกับความตาย คนที่1 คือ “เอโนค”ที่ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาล แล้วอีกคนก็ ”เอลียาห์” นี่แหละ น่าตื่นเต้นจริงๆ

ดู 2พกษ.2:12-13 สรุปแล้วเอลีชาได้เห็นเอลียาห์ถูกรับขึ้นไปมั๊ย..เห็นกับตาเลย ข้อนี้ บอกว่า เอลีชาได้เห็นและร้องขึ้นว่า"คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า ผู้เป็นราชรถและพลม้าของอิสราเอล" คือ เขานับถือเอลียาห์เป็นเหมือนพ่อ..ฝ่ายวิญญาณแล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นเอลียาห์ หลังจากที่เอลียาห์ลับตาไปแล้ว เอลีชาก็ฉีกเสื้อตัวเองแล้วก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ขึ้นมา การได้ครอบครองเสื้อคลุมก็เป็นเครื่องหมายของการสืบทอดตำแหน่งหน้าที่ต่อจากเอลียาห์ (เพราะเสื้อคลุมเป็นสัญญลักษณ์ของสิทธิอำนาจ) ข้อที่14 บอกว่า เอลีชาเอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ฟาดลงไปที่น.จอร์แดน น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง คือ ตอนนี้เอลีชาทำได้เหมือนเอลียาห์ทุกอย่าง จุดนี้แสดงให้เห็นว่า ”ฤทธิ์อำนาจหรือสิทธิอำนาจของเอลียาห์ตกมาอยู่ที่เอลีชาเรียบร้อยแล้ว” พอเอลีชาเดินข้ามมา พวกผู้เผยพระวจนะที่รออยู่ทางฝั่งเมืองเยรีโคก็มาต้อนรับเอลีชาแล้วทุกคนก็ซบหน้าลงถึงดิน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็พยายามตามหาเอลียาห์ เพราะคงยังสงสัยว่า..เอ๊ะ พระเจ้ารับเอลียาห์ไปจริงๆเหรอ ลึกๆแล้วคือไม่เชื่อนั่นแหละ..ว่าเอลียาห์จะถูกรับไปแบบนี้จริงๆ ทั้งที่เอลีชาบอก”ไม่ต้องไปหาหรอก..ไม่อยู่แล้ว”แต่พวกผู้เผยพระวจนะก็ยังเที่ยวตามหากันอยู่ถึงสามวัน..แต่ก็ไม่เจอ

ดู2พกษ.2:19-20 ในข้อที่19-25 จะเป็นเนื้อหาที่ยืนยันว่าสิทธิอำนาจของเอลียาห์มาอยู่ที่เอลีชาแล้ว ข้อนี้ บันทึกเกี่ยวกับการอัศจรรย์อีกอันที่เอลีชาทำ คือ ที่เมืองนั้นเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ คนดื่มเข้าไปแล้วแท้งลูก เอลีชาก็สั่งให้เอาเกลือมาใส่ชามจากนั้นก็เทลงไปที่น้ำ ปรากฎว่าน้ำที่เป็นพิษก็กลายเป็นน้ำดี แล้วในข้อที่23 ก็เป็นเหตุการณ์ตอนที่เอลีชากำลังเดินทางไปเมืองเบธเอล ระหว่างทางก็มีเด็กมาล้อเลียนเขา พูดว่า”อ้ายหัวล้าน อ้ายหัวล้าน” เอลีชาก็เลยแช่งเด็กๆพวกนั้นในนามพระเจ้า จากนั้นก็มีหมีสองตัวออกมาจากป่าฉีกเด็กพวกนั้นตายไป42คน ตรงนี้หลายคนไม่เข้าใจอีกแล้วว่าทำไมต้องขนาดนั้น เพราะฟังๆดูเหมือนเด็กพวกนั้นก็ล้อเล่นหน่อยเดียว แต่นักวิชาการบอกว่า เด็กพวกนี้ไม่ได้แค่ล้อเลียนแต่พวกเขาใช้คำพูดในลัษณะที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม..เพราะทุกคนรู้ดีว่าเอลีชาเป็นคนของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ลักษณะที่เด็กวัยรุ่นพวกนี้ล้อเลียน จึงเป็นการดูหมิ่นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่เหนือเอลีชา แล้วการแตะต้องคนของพระเจ้า ก็เท่ากับแตะต้องพระเจ้าด้วย อีกอย่างเราต้องไม่ลืมว่า”เบธเอล”นี้มันเป็นศูนย์กลางที่อิสราเอลไหว้รูปเคารพ เพราะฉะนั้น การต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าก็คงจะเข้มข้นพอสมควร

จากนั้น ในบทที่3 เมื่ออาหัสยาห์สิ้นพระชนม์แล้ว “เยโฮรัม”น้องชายก็ขึ้นครองอิสราเอลแทนเพราะอาหัสยาห์ครองราชย์ได้แค่ 2 ปียังไม่ทันมีลูก..ก็ตาย

ดู 2 พกษ.3:4-6/7 พระคำภีร์ระบุว่าก.เยโฮรัมนั้นเป็นคนอธรรม ข้อที่2 บอกว่า “พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์” คือ ชั่วเหมือนกันแต่คนละแบบ..อาหับกับเยเซเบลออกไปทางขับเคลื่อนการไหว้พระบาอัลแบบสุดฤทธิ์ ส่วนเยโฮรัมเนี่ย..เขาทำลายพวกเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลทิ้งแต่ยังเกาะติดกับการไหว้รูปวัวทองคำที่เยโรโบอัมเริ่มไว้

ข้อที่4 บอกว่า กษัตริย์โมอับเกิดแข็งข้อกับอิสราเอล คือ ในสมัยของอาหับ..โมอับเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล แต่พออาหับตายไปโมอับก็คิดจะกบฎ..ไม่ส่งเครื่องบรรณาการให้ เยโฮรัมก็เลยจะยกไปรบกับโมอับ ข้อที่7 บอกว่า พระองค์ส่งสารไปถึงเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์..ว่าไร ชวนให้ไปรบด้วยกัน..อีกแล้ว เยโฮชาฟัทก็ไม่เข็ดนะ คราวก่อนโดนอาหับหลอกไปถูกยำทีละ..ถ้าไม่โวยวายขึ้นมาเยโฮชาฟัทคงตายแทนอาหับไปแล้ว มาคราวนี้ ลูกของอาหับชวน..ก็ไปกะเขาอีก เยโฮชาฟัทตอบรับเหมือนเดิมเลย ”เราเป็นเหมือนที่ท่านเป็น..คนของเราก็เหมือนคนของท่าน..ม้าของเราก็เป็นม้าของท่าน..ว่าไงว่าตามกัน”..ว่าแล้วอิสราเอล..ยูดาห์พร้อมทั้งเอโดมก็รวมกำลังกัน..ยกไปรบกับโมอับ

ดู 2พกษ.3:9-10 เมื่อพร้อมใจกันจะไปรบกับโมอับ เยโฮชาฟัทก็ถามเยโฮรัม..ว่าจะไปทางไหน เยโฮรัมบอกว่า..ให้อ้อมลงใต้ไปทางเอโดม ซึ่งปกติแล้วเวลาที่อิสราเอลจะยกไปรบกับโมอับ..เขาจะข้ามน.จอร์แดนไปเลย..คือไปตรงๆ แต่ตอนนี้โมอับก็มีการป้องกันอย่างดี..มีการสร้างป้อมค่ายไว้อย่างแข็งแรง ถ้าอิสราเอลยกไปตีทางเดิม..ก็เจาะยาก เยโฮรัมเลยให้เดินอ้อมถิ่นทุรกันดารกะว่าจะไปตีตลบหลัง แต่ระยะทางค่อนข้างไกลแล้วก็แห้งแล้งมากเพราะเป็นถิ่นทุรกันดาร พอเดินไปนานๆก็เกิดปัญหา..เพราะหาน้ำให้ทหารดื่มไม่ได้ กองทัพใหญ่คนยิ่งเยอะก็ยิ่งลำบาก ลักษณะที่ทหารอิสราเอลเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คล้ายๆกับตอนที่เยอรมันยกไปตีรัสเซียสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ฮิตเลอร์มั่นใจมากว่าตัวเองต้องชนะ เพราะตีได้ไปเกือบครึ่งโลกแล้ว.. แล้วจริงๆตอนนั้นรัสเชียสู้ก็ไม่ได้หรอกแต่เขาฉลาดล่อให้เยอรมันบุกเข้าไปๆจนถึงมอสโค ดึงเวลาให้พอดีกับช่วงฤดูหนาวแล้วเสบียงอะไรก็ส่งไม่ถึง สุดท้ายทหารเยอรมันทนความหนาวไม่ไหว..อุณหภูมิที่มอสโคประมาณ -30 องศา แต่พวกรัสเซียสบายมากเพราะเขาชินกับอากาศบ้านเขา เยอรมันก็เลยแพ้

คล้ายๆกับกองทัพอิสราเอลตอนนี้ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก อุตส่าห์รวมกองทัพมาถึงสามประเทศ..สุดท้าย จะต้องมาตายในถิ่นทุรกันดารรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะถ้าโมอับรู้แกวบุกมาตอนนี้..ตายแน่เพราะทหารอิสราเอลกำลังอ่อนกำลัง

ดู 2พกษ.3:11-12 ในที่สุดเยโฮชาฟัทก็เลยถามขึ้นมา..ว่า”ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าให้เราทูลถามบ้างเลยหรือ..” ทหารของเยโฮรัมก็บอกมีคนนึงชื่อ”เอลีชา” คนนี้เคยเป็นผู้ช่วยหรือลูกศิษย์ของเอลียาห์ พอได้ยินว่าเป็นลูกศิษย์ของเอลียาห์เยโฮชาฟัทมั่นใจทันทีว่าคนนี้คือผู้เผยพระวจนะแท้ของพระเจ้า กษัตริย์ทั้งสามองค์ก็เลยไปหาเอลีชา ข้อที่13 บอกว่า..พอเอลีชาเห็นหน้า ”เยโฮรัม” ลูกชายอาหับกับเยเซเบล ปุ๊บ! เขาว่าไง.."ข้าพระองค์มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์ เสด็จไปหาผู้พยากรณ์ของเสด็จพ่อและผู้พยากรณ์ของเสด็จแม่ของพระองค์เถิด" ประมาณว่า นี่! เรารู้จักกันเหรอ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนี่ ไปหาผู้พยากรณ์ของพระบาอัลดีกว่ามั้ง คือ..เอลีชาประชดอ่ะ..ถอดแบบเอลียาห์มาเป๊ะเลย!สมเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์กันจริงๆ (เลยทำให้น้าตุ๊กอดคิดไม่ได้..ว่า..อีกหน่อยพวกเธอจะนิสัยยังไงนะ555 เพราะนี่น้าตุ๊กก็สอนมาสามปีกว่าละ คุณพ่อคุณแม่คงต้องทำใจเนอะ) ส่วน..เยโฮรัมพอได้ยินเอลีชาพูดอย่างงั้นก็ตอบว่า..”หามิได้ ด้วยพระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” เยโฮรัมตอบเอลีชาประมาณว่า...”อย่าพูดอย่างงั้นเลย ก็เห็นอยู่..ว่าตอนนี้ พวกเขาอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด..ถึงได้บากหน้ามาหาเอลีชาอยู่นี่ไง” คือ ตอนนี้เยโฮรัมก็เหมือนจะยอมจำนนแล้วก็เรียกหาพระเจ้าเหมือนกัน..

ดู 2พกษ.3:14-15 ขนาดเยโฮรัมพูดง้องอนซะขนาดนั้น เอลีชายังบอกว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระองค์มิได้เคารพคารวะต่อพระพักตร์เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย คือ เอลีชาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลเลยเพราะพวกเขากราบไหว้พระบาอัล นี่ถ้าไม่เห็นแก่”เยโฮชาฟัท” นะ เอลีชาจะไม่สนใจพวกเขาเลย.. เยโฮรัมจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวกะเขา แต่..เพื่อเห็นแก่เยโฮชาฟัทที่รักพระเจ้า..เอลีชาก็เลยจะช่วย ข้อที่15 ดูดีๆว่า..เอลีชาเรียกหาอะไร เอลีชาบอก “ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระองค์สักคนหนึ่ง" เอลีชาเรียกหาคนเล่นดนตรีถวายพระเจ้า “..และต่อมาเมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลงแล้ว พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ก็มาเหนือท่าน พอเล่นดนตรีถวาย..พระเจ้าก็ส่งการเจิมมาเหนือเอลีชา พระคำภีร์ตอกย้ำกับเราอีกครั้ง..ว่าพระเจ้าจะส่งการเจิมลงมา..เมื่อเราถวายนมัสการพระองค์ด้วยดนตรีและเสียงเพลง

ดู 2พกษ.3:16-17 พระเจ้าตรัสผ่านเอลีชา”ให้พวกเขาทำหุบเขานี้ให้เป็นสระทั่วไปหมด” คือ สั่งให้ขุดแอ่งน้ำไว้จนทั่วทั้งหุบเขา ขุดไว้แห้งๆแบบนั้นแหละ ข้อที่17 เอลีชาบอกว่า “พวกท่านจะไม่ได้เห็นลมหรือฝนเลย แต่เดี๋ยวจะมีน้ำอยู่เต็มในแอ่งที่พวกเขาขุดไว้” อันนี้ คือ การอัศจรรย์จากพระเจ้า ถึงฝนไม่ตกก็ทำให้มีน้ำได้ แล้วก็มีมากพอที่จะเลี้ยงทั้งคนและฝูงสัตว์ในกองทัพอิสราเอลทั้งหมด (เพราะฉะนั้น ถึงน้ำจะมากขนาดไหน พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้มันสลายไปได้ ถ้าเป็นน้ำพระทัยพระองค์) ข้อที่18 บอกว่า”เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระเจ้า เพราะไม่ใช่แค่อิสราเอลจะมีน้ำกิน แต่พระเจ้าจะทรงบันดาลให้อิสราเอลชนะโมอับด้วย..อิสราเอลจะโจมตีเมืองที่มีป้อมและเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ลงทุกต้น และจะจุกน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาที่ดีทุกแปลงให้เสียด้วยหิน สรุปก็คือ โมอับจะถูกอิสราเอลทำลายพินาศย่อยยับ..จนไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วข้อที่ 20 ก็บอกว่า.. ”และอยู่มาพอรุ่งเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องธัญญบูชา ดูเถิด มีน้ำมาจากทางเมืองเอโดม จนแผ่นดินมีน้ำเต็มหมด” ประมาณบ่ายสามโมงของอีกวันน้ำก็ไหลมาจนเต็มแอ่งที่พวกเขาขุดไว้ ไม่รู้มาจากไหน..พระคำภีร์บอกน้ำไหลมาจากทางเอโดม..ที่เมื่อวานเห็นอยู่..ว่ามันยังแล้งอยู่เลย มาวันนี้น้ำมาจากไหน..ไหลมาได้ไงก็ไม่รู้..เพราะฝนก็ไม่ได้ตก..แม้แต่ลมก็ไม่มี

ดู 2พกษ.3:21-22 ปรากฎว่า น้ำที่ไหลมาจนเต็มบ่อที่พวกอิสราเอลขุดไว้เนี่ย..ตอนเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น..พวกโมอับมองมาก็เห็นแสงสะท้อนเป็นสีแดง..เลยนึกว่า”เลือด” เขาไม่คิดว่าเป็นน้ำหรอกเพราะตอนนี้มันแล้งมาก..ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้จะมีน้ำได้ไง (เผลอๆโมอับเองก็กำลังแย่เพราะภัยแล้งเหมือนกันแต่ว่าอยู่ในเมืองไง ก็เลยไม่ลำบากเท่าอิสราเอลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร) พอเห็นสีแดงนองเต็มทั่วหุบเขา..พวกโมอับก็คิดว่ากษัตริย์ทั้งสามองค์คงจะรบกันเองจนเลือดนองไปหมด แล้วเลือดเยอะขนาดนี้..น่าจะตายกันเกือบหมดกองแล้วมั้ง ก็เลยฉวยโอกาสจะเข้าไปริบของในกองทัพอิสราเอล แต่พอเข้าไปจริงแล้ว..กลับถูกทหารอิสราเอลไล่ฆ่าจนต้องหนีไม่เป็นท่า เพราะตอนที่รุกเข้ามาพวกโมอับไม่ได้จัดระเบียบกองทัพอย่างที่ควรทำ คือ เข้าไปแบบกระจัดกระจายก็เลยสู้ทหารอิสราเอลไม่ได้ จากนั้น อิสราเอลก็ไล่ตามโมอับเข้าไปในเมืองแล้วก็ทำลายบ้านเมืองของโมอับจนพินาศยับเยิน..สำเร็จตามพระคำของพระเจ้า

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ