วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่1 อาทิตย์ที่ 9:10:2011

ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่1 จบลงที่การสิ้นพระชนม์ของก.อาหับ แต่เยเซเบล..ยัง ยังไม่ตาย จากนั้น พระคำภีร์ก็บอกว่า”อาหัสยาห์” โอรสของอาหับก็ขึ้นครองอิสราเอลแทนพ่อ ใน1พกษ.ตอนท้ายบันทึกไว้ว่า “อาหัสยาห์โอรสของอาหับครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครอบครองเหนืออิสราเอลแค่สองปี และพระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาและในมรรคาแห่งราชมารดา คือ กราบไหว้พระบาอัลตามพระนางเยเซเบล นั่นเอง

แต่เดิมนั้นพงศ์กษัตริย์เป็นหนังสือเล่มเดียว..เหมือนหนังสือซามูเอล แต่ด้วยความที่มันยาวมากก็ เวลาจะหยิบมาใช้ก็ยาก เขาเลยแบ่งเป็นสองเล่ม แล้วอีกอย่างสมัยก่อนพระคำภีร์ไม่ได้พิมพ์เป็นเล่มๆ..หาซื้อง่ายแล้วก็พกพาสะดวกเหมือนสมัยนี้ แต่จะเป็นม้วนๆทำจากหนังสัตว์ ต้องจ้างเขาคัดลอกกัน..กว่าจะเสร็จแต่ละฉบับยากเย็นแสนเข็ญมาก เพราะอะไร..ทุกครั้งที่เขาจะเขียนคำว่า ”พระเจ้า”หรือ”พระเยโฮวาห์” เขาจะต้องวางปากกาแล้วไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ปากกาใหม่ แล้วคิดดูในพระคำภีร์มีคำว่าพระเจ้ากี่ครั้ง..เยอะมาก แล้วถ้ามีการเขียนผิด..เผาทิ้งเลย เพราะฉะนั้น กว่าจะคัดเสร็จแต่ละเล่มๆ โอโห..ไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เลยไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพระคำภีร์ได้ ต้องระดับพระราชาหรือมหาเศรษฐีเท่านั้น เพราะแพงมาก..ฟังแล้วเราเห็นคุณค่าของพระคำภีร์ที่อยู่ในมือมากขึ้นมั๊ย เพราะฉะนั้น ไปไหนก็พกเถอะค่ะ ขยันอ่านให้สมกับที่พระเจ้าทรงอุตรส่าห์เอาถ้อยคำของพระองค์ใส่ไว้ถึงมือของเรา ขอบคุณพระเจ้า..ที่เดี๋ยวนี้เราสามารถมีพระคำภีร์กันได้เกือบทุกคน

ดู2พกษ.1:1-2 พระธรรม2พกษ.เริ่มต้น ด้วยการบันทึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับก.อาหัสยาห์ ในข้อที่2 บอกว่า”อาหัสยาห์ทรงตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่าย คือ “หน้าต่าง” จากห้องชั้นบนของในกรุงสะมาเรีย แล้วก็ป่วยเพราะบาดเจ็บ ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกี่มากน้อยแต่ก็คงจะหนักพอสมควร พระองค์จึงใช้คนไปถามพระบาอัล อันนี้ จะสมัยไหนก็เหมือนกันหมด..ที่เวลาอยากจะรู้อะไรคนทั่วไปก็จะไปถามสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือศรัทธา อย่างอาหัสยาห์เขานับถือพระบาอัลตามพ่อกับแม่ ก็เลยให้คนไปถามพระบาอัลว่าเขาจะหายมั๊ย แต่ยังไม่ทันได้ถามพระบาอัล..ข้อที่3 บอกว่า พระเจ้าก็ใช้เอลียาห์ให้เผยพระวจนะกับผู้สื่อสารของอาหัสยาห์..ว่า”ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าแล้วหรือ ถึงต้องไปถามพระบาอัล เพราะฉะนั้น อาหัสยาห์จะไม่ได้ลุกจากที่นอนอีกเลย” แปลว่า จะไม่มีทางหายจากอาการป่วย ไม่ต้องไปถามใครทั้งนั้น ตอนนี้พระเจ้าตอบแล้ว..คำไหน คำนั้น พวกผู้สื่อสารเลยเอาถ้อยคำของเอลียาห์ไปทูลก.อาหัสยาห์

ดู2พกษ.1:7-8 เมื่ออาหัสยาห์ได้ยินสิ่งที่ผู้สื่อสารเอามาบอกแล้ว..ก็ทรงถามว่า คนที่เผยพระวจนะนี้ รูปร่างหน้าตายัง พวกเขาก็ตอบพระองค์ว่า.. "ท่านมีขนมากและมีหนังคาดเอวของท่านไว้" พอฟังดูลักษณะ ปุ๊บ!อาหัสยาห์รู้ทันทีว่าเป็น”เอลียาห์” อาหัสยาห์เลยสั่งให้ทหารไปจับตัวเอลียาห์..อันนี้คงเป็นอิทธิพลของพระมารดา (เยเซเบล) พระคำภีร์บันทึกว่าทหารของอาหัสยาห์ชุดแรกไปกันห้าสิบคน ตอนนั้นเอลียาห์อยู่บนภูเขา พวกนี้ก็แสดงอำนาจบาทใหญ่ไม่สนใจจะให้เกียรติ..ทั้งที่เอลียาห์เป็นคนของพระเจ้า ไปถึงก็ตะโกนเรียกให้เอลียาห์ลงมา แต่เอลียาห์ไม่ลง เอลียาห์ว่าไง "ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ขอให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์เผาผลาญพวกเจ้าทั้งห้าสิบคนเถิด" เอลียาห์อธิฐานต่อพระเจ้า บอกว่าถ้าเขาเป็นคนของพระองค์ ก็ขอพระเจ้าคุ้มครองด้วยการส่งไฟลงมาเผาทหารทั้งห้าสิบคนที่จะมาจับตัวเขา และข้อที่10 บอกว่า “แล้วไฟก็ลงมาจากฟ้าสวรรค์และเผาผลาญทหารทั้งห้าสิบคนนั้น ตายเกลี้ยง ดูต่อไปว่าอาหัสยาห์จะทำยังไง..

ดู2พกษ.1:13 เด็กๆดูตามในข้อที่11 ก่อนนะคะ หลังจากที่เอลียาห์เสกไฟในนามพระเจ้าให้ตกมาเผาผลาญทหารชุดแรกทั้งห้าสิบคนแล้ว อาหัสยาห์ยังไม่สำนึกนะคะ ข้อที่11 บอกเขาส่งชุดใหม่ไปอีกห้าสิบคน พอชุดที่สองไปถึงก็ทำเหมือนเดิมเลย คือ ตะโกนเรียกเอลียาห์ให้ลงมา.. เอลียาห์ไม่ลง แล้วเอลียาห์ก็ทำอย่างเดิม..เหมือนกัน คือ สั่งไฟให้ตกลงมาเผาทหารชุดที่สองอีกห้าสิบตายเกลี้ยง..รวมเป็นหนึ่งร้อยละ เห็นอย่างงั้นแล้วอาหัสยาห์ถอยมั๊ย..ไม่เลย ข้อที่13 บอก..เขายังส่งชุดที่สามไปอีก..คือ จะจับเอลียาห์ให้ได้..ร้ายจริงๆเหมือนแม่ไม่มีผิด แล้วเด็กๆคิดว่า..ทหารชุดที่สามนี้จะออกอาการยังไง เพราะอีสองชุดแรกที่ส่งไป..ตายเรียบไม่มีเหลือ แต่กษัตริย์สั่งให้ไป..ก็ต้องไป พอไปถึงพวกเขาแทบจะเดินเข่าเข้าไปเลยนะ..เพราะกลัวมาก กลัวเอลียาห์จะใจเร็วสั่งไฟตกจากฟ้ามาเผาพวกเขาอีก ก็เลยอ้อนวอนเอลียาห์ให้ไว้ชีวิต พระเจ้าก็เลยบอกเอลียาห์ว่า “ลงไปเถอะ..ลงไปได้แล้ว รับรองไม่มีใครกล้าทำอะไรเอลียาห์แน่นอน” เอลียาห์ก็เลยลงไปแล้วก็เผยพระวจนะพิพากษาอาหัสยาห์..”ว่า เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปยังบาอัลเซบูบพระแห่งเอโครน ทำเหมือนไม่มีพระเจ้าแล้วในอิสราเอลที่จะทูลถาม เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่' แล้วในข้อที่17 อาหัสยาห์ก็สิ้นพระชนม์..สำเร็จตามที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ทางเอลียาห์

มาถึงบทที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องราวการสืบทอดสิทธิอำนาจของ”เอลียาห์” มาสู่”เอลีชา”

ดู2พกษ.2:1-2 ข้อที่1 บอกว่าเวลาของเอลียาห์กำลังจะหมดลงแล้ว พระเจ้ากำลังจะรับเขาไปแล้ว และในการที่เอลีชาจะได้รับสิทธิอำนาจเป็นสองเท่าต่อจากเอลียาห์นั้น สิ่งนึงที่เขาต้องถือปฏิบัติก็คือ เอลีชาจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับเอลียาห์จนถึงวาระสุดท้าย ..ให้ได้ เขาถึงจะมีโอกาสได้รับพระพร ดังนั้น ในข้อที่2 ขณะที่เอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางไปที่กิลกาล เอลียาห์ก็พูดคล้ายๆจะลองใจเอลีชา บอกว่า..ให้คอยอยู่ที่นี่ก่อนนะ เพราะพระเจ้าใช้เขาไปที่เบธเอล แต่เอลีชาตอบว่าไง..ไม่!ไม่มีวัน"พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เขาจะไม่มีทางทิ้งเอลียาห์ไปไหน" แล้วเอลียาห์ก็ทดสอบเอลีชาอย่างงี้ถึงสามครั้ง..ในข้อ4 กับข้อ6 แต่ปรากฎว่า เอลีชาสอบผ่านตลอด เขาไม่ยอมให้เอลียาห์คลาดสายตาเลย

ดู 2พกษ.2:8-9 ข้อนี้บอกว่า เอลียาห์เอาเสื้อคลุมของเขาม้วนแล้วฟาดลงไปที่น.จอร์แดน น้ำในน.จอร์แดนก็แยกออก เอลียาห์กับเอลีชาก็เดินไปบนดินแห้ง..ข้ามไปทางฝั่งตะวันออกของน.จอร์แดน พอได้เวลาที่พระเจ้าจะมารับแล้ว..เอลียาห์ก็พูดกับเอลีชาว่า “จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่านก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไป” เอลีชาบอกว่า “ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี” ซึ่งก็คือ “สองเท่า” เอลีชาขอฤทธิ์เดชที่พระเจ้าเจิมอยู่เหนือเอลียาห์ให้มาอยู่ที่เขาสองเท่า (โอโห!ไฟแรงมาก) ข้อที่10 เอลียาห์บอกว่า “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก..ยากจริงๆ เพราะอย่างเอลียาห์นี้พระเจ้าก็เจิมมากเหลือเกินแล้ว ดูการอัศจรรย์ที่เขาทำแต่ละอย่าง..ไม่มีกี่คนที่จะได้รับการเจิมเหมือนเอลียาห์ แล้วโดยส่วนตัวน้าตุ๊กคิดว่าตำแหน่งหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง..ก็มักจะมาพร้อมกับ”ภาระอันยิ่งใหญ่ด้วย”..อวยพรมาก..พระเจ้าก็ใช้มากเป็นเรื่องธรรมดา เอลียาห์ถึงบอกว่าเอลีชาขออะไรที่ยากมากนะ..แต่เอลียาห์ก็โอเค ข้อที่10 เอลียาห์บอกว่า “ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าถูกรับขึ้นไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าท่านไม่เห็น ก็จะไม่ได้นะ" จากนั้น ข้อ11 บอกว่า “ขณะที่ทั้งสองคนเดินคุยกันอยู่ ก็มีรถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกทั้งสองคนออกจากกัน แล้วเอลียาห์ก็ได้ขึ้นไปโดยลมหมุนเข้าสวรรค์..ต่อหน้า ต่อตาเอลีชา” หมายความว่า พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปทั้งที่เขายังไม่ตาย..ยังมีชีวิตอยู่ นี่คือ สิทธิที่พิเศษจริงๆที่พระเจ้าประทานให้ ในประวัติศาสตร์พระคำภีร์มีแค่สองคนเท่านั้นที่ได้ไปสวรรค์โดยไม่ต้องพบกับความตาย คนที่1 คือ “เอโนค”ที่ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาล แล้วอีกคนก็ ”เอลียาห์” นี่แหละ น่าตื่นเต้นจริงๆ

ดู 2พกษ.2:12-13 สรุปแล้วเอลีชาได้เห็นเอลียาห์ถูกรับขึ้นไปมั๊ย..เห็นกับตาเลย ข้อนี้ บอกว่า เอลีชาได้เห็นและร้องขึ้นว่า"คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า ผู้เป็นราชรถและพลม้าของอิสราเอล" คือ เขานับถือเอลียาห์เป็นเหมือนพ่อ..ฝ่ายวิญญาณแล้วนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นเอลียาห์ หลังจากที่เอลียาห์ลับตาไปแล้ว เอลีชาก็ฉีกเสื้อตัวเองแล้วก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ขึ้นมา การได้ครอบครองเสื้อคลุมก็เป็นเครื่องหมายของการสืบทอดตำแหน่งหน้าที่ต่อจากเอลียาห์ (เพราะเสื้อคลุมเป็นสัญญลักษณ์ของสิทธิอำนาจ) ข้อที่14 บอกว่า เอลีชาเอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ฟาดลงไปที่น.จอร์แดน น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง คือ ตอนนี้เอลีชาทำได้เหมือนเอลียาห์ทุกอย่าง จุดนี้แสดงให้เห็นว่า ”ฤทธิ์อำนาจหรือสิทธิอำนาจของเอลียาห์ตกมาอยู่ที่เอลีชาเรียบร้อยแล้ว” พอเอลีชาเดินข้ามมา พวกผู้เผยพระวจนะที่รออยู่ทางฝั่งเมืองเยรีโคก็มาต้อนรับเอลีชาแล้วทุกคนก็ซบหน้าลงถึงดิน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็พยายามตามหาเอลียาห์ เพราะคงยังสงสัยว่า..เอ๊ะ พระเจ้ารับเอลียาห์ไปจริงๆเหรอ ลึกๆแล้วคือไม่เชื่อนั่นแหละ..ว่าเอลียาห์จะถูกรับไปแบบนี้จริงๆ ทั้งที่เอลีชาบอก”ไม่ต้องไปหาหรอก..ไม่อยู่แล้ว”แต่พวกผู้เผยพระวจนะก็ยังเที่ยวตามหากันอยู่ถึงสามวัน..แต่ก็ไม่เจอ

ดู2พกษ.2:19-20 ในข้อที่19-25 จะเป็นเนื้อหาที่ยืนยันว่าสิทธิอำนาจของเอลียาห์มาอยู่ที่เอลีชาแล้ว ข้อนี้ บันทึกเกี่ยวกับการอัศจรรย์อีกอันที่เอลีชาทำ คือ ที่เมืองนั้นเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ คนดื่มเข้าไปแล้วแท้งลูก เอลีชาก็สั่งให้เอาเกลือมาใส่ชามจากนั้นก็เทลงไปที่น้ำ ปรากฎว่าน้ำที่เป็นพิษก็กลายเป็นน้ำดี แล้วในข้อที่23 ก็เป็นเหตุการณ์ตอนที่เอลีชากำลังเดินทางไปเมืองเบธเอล ระหว่างทางก็มีเด็กมาล้อเลียนเขา พูดว่า”อ้ายหัวล้าน อ้ายหัวล้าน” เอลีชาก็เลยแช่งเด็กๆพวกนั้นในนามพระเจ้า จากนั้นก็มีหมีสองตัวออกมาจากป่าฉีกเด็กพวกนั้นตายไป42คน ตรงนี้หลายคนไม่เข้าใจอีกแล้วว่าทำไมต้องขนาดนั้น เพราะฟังๆดูเหมือนเด็กพวกนั้นก็ล้อเล่นหน่อยเดียว แต่นักวิชาการบอกว่า เด็กพวกนี้ไม่ได้แค่ล้อเลียนแต่พวกเขาใช้คำพูดในลัษณะที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม..เพราะทุกคนรู้ดีว่าเอลีชาเป็นคนของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ลักษณะที่เด็กวัยรุ่นพวกนี้ล้อเลียน จึงเป็นการดูหมิ่นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่เหนือเอลีชา แล้วการแตะต้องคนของพระเจ้า ก็เท่ากับแตะต้องพระเจ้าด้วย อีกอย่างเราต้องไม่ลืมว่า”เบธเอล”นี้มันเป็นศูนย์กลางที่อิสราเอลไหว้รูปเคารพ เพราะฉะนั้น การต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าก็คงจะเข้มข้นพอสมควร

จากนั้น ในบทที่3 เมื่ออาหัสยาห์สิ้นพระชนม์แล้ว “เยโฮรัม”น้องชายก็ขึ้นครองอิสราเอลแทนเพราะอาหัสยาห์ครองราชย์ได้แค่ 2 ปียังไม่ทันมีลูก..ก็ตาย

ดู 2 พกษ.3:4-6/7 พระคำภีร์ระบุว่าก.เยโฮรัมนั้นเป็นคนอธรรม ข้อที่2 บอกว่า “พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์ แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์” คือ ชั่วเหมือนกันแต่คนละแบบ..อาหับกับเยเซเบลออกไปทางขับเคลื่อนการไหว้พระบาอัลแบบสุดฤทธิ์ ส่วนเยโฮรัมเนี่ย..เขาทำลายพวกเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลทิ้งแต่ยังเกาะติดกับการไหว้รูปวัวทองคำที่เยโรโบอัมเริ่มไว้

ข้อที่4 บอกว่า กษัตริย์โมอับเกิดแข็งข้อกับอิสราเอล คือ ในสมัยของอาหับ..โมอับเป็นเมืองขึ้นของอิสราเอล แต่พออาหับตายไปโมอับก็คิดจะกบฎ..ไม่ส่งเครื่องบรรณาการให้ เยโฮรัมก็เลยจะยกไปรบกับโมอับ ข้อที่7 บอกว่า พระองค์ส่งสารไปถึงเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์..ว่าไร ชวนให้ไปรบด้วยกัน..อีกแล้ว เยโฮชาฟัทก็ไม่เข็ดนะ คราวก่อนโดนอาหับหลอกไปถูกยำทีละ..ถ้าไม่โวยวายขึ้นมาเยโฮชาฟัทคงตายแทนอาหับไปแล้ว มาคราวนี้ ลูกของอาหับชวน..ก็ไปกะเขาอีก เยโฮชาฟัทตอบรับเหมือนเดิมเลย ”เราเป็นเหมือนที่ท่านเป็น..คนของเราก็เหมือนคนของท่าน..ม้าของเราก็เป็นม้าของท่าน..ว่าไงว่าตามกัน”..ว่าแล้วอิสราเอล..ยูดาห์พร้อมทั้งเอโดมก็รวมกำลังกัน..ยกไปรบกับโมอับ

ดู 2พกษ.3:9-10 เมื่อพร้อมใจกันจะไปรบกับโมอับ เยโฮชาฟัทก็ถามเยโฮรัม..ว่าจะไปทางไหน เยโฮรัมบอกว่า..ให้อ้อมลงใต้ไปทางเอโดม ซึ่งปกติแล้วเวลาที่อิสราเอลจะยกไปรบกับโมอับ..เขาจะข้ามน.จอร์แดนไปเลย..คือไปตรงๆ แต่ตอนนี้โมอับก็มีการป้องกันอย่างดี..มีการสร้างป้อมค่ายไว้อย่างแข็งแรง ถ้าอิสราเอลยกไปตีทางเดิม..ก็เจาะยาก เยโฮรัมเลยให้เดินอ้อมถิ่นทุรกันดารกะว่าจะไปตีตลบหลัง แต่ระยะทางค่อนข้างไกลแล้วก็แห้งแล้งมากเพราะเป็นถิ่นทุรกันดาร พอเดินไปนานๆก็เกิดปัญหา..เพราะหาน้ำให้ทหารดื่มไม่ได้ กองทัพใหญ่คนยิ่งเยอะก็ยิ่งลำบาก ลักษณะที่ทหารอิสราเอลเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คล้ายๆกับตอนที่เยอรมันยกไปตีรัสเซียสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ฮิตเลอร์มั่นใจมากว่าตัวเองต้องชนะ เพราะตีได้ไปเกือบครึ่งโลกแล้ว.. แล้วจริงๆตอนนั้นรัสเชียสู้ก็ไม่ได้หรอกแต่เขาฉลาดล่อให้เยอรมันบุกเข้าไปๆจนถึงมอสโค ดึงเวลาให้พอดีกับช่วงฤดูหนาวแล้วเสบียงอะไรก็ส่งไม่ถึง สุดท้ายทหารเยอรมันทนความหนาวไม่ไหว..อุณหภูมิที่มอสโคประมาณ -30 องศา แต่พวกรัสเซียสบายมากเพราะเขาชินกับอากาศบ้านเขา เยอรมันก็เลยแพ้

คล้ายๆกับกองทัพอิสราเอลตอนนี้ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก อุตส่าห์รวมกองทัพมาถึงสามประเทศ..สุดท้าย จะต้องมาตายในถิ่นทุรกันดารรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะถ้าโมอับรู้แกวบุกมาตอนนี้..ตายแน่เพราะทหารอิสราเอลกำลังอ่อนกำลัง

ดู 2พกษ.3:11-12 ในที่สุดเยโฮชาฟัทก็เลยถามขึ้นมา..ว่า”ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าให้เราทูลถามบ้างเลยหรือ..” ทหารของเยโฮรัมก็บอกมีคนนึงชื่อ”เอลีชา” คนนี้เคยเป็นผู้ช่วยหรือลูกศิษย์ของเอลียาห์ พอได้ยินว่าเป็นลูกศิษย์ของเอลียาห์เยโฮชาฟัทมั่นใจทันทีว่าคนนี้คือผู้เผยพระวจนะแท้ของพระเจ้า กษัตริย์ทั้งสามองค์ก็เลยไปหาเอลีชา ข้อที่13 บอกว่า..พอเอลีชาเห็นหน้า ”เยโฮรัม” ลูกชายอาหับกับเยเซเบล ปุ๊บ! เขาว่าไง.."ข้าพระองค์มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์ เสด็จไปหาผู้พยากรณ์ของเสด็จพ่อและผู้พยากรณ์ของเสด็จแม่ของพระองค์เถิด" ประมาณว่า นี่! เรารู้จักกันเหรอ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนี่ ไปหาผู้พยากรณ์ของพระบาอัลดีกว่ามั้ง คือ..เอลีชาประชดอ่ะ..ถอดแบบเอลียาห์มาเป๊ะเลย!สมเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์กันจริงๆ (เลยทำให้น้าตุ๊กอดคิดไม่ได้..ว่า..อีกหน่อยพวกเธอจะนิสัยยังไงนะ555 เพราะนี่น้าตุ๊กก็สอนมาสามปีกว่าละ คุณพ่อคุณแม่คงต้องทำใจเนอะ) ส่วน..เยโฮรัมพอได้ยินเอลีชาพูดอย่างงั้นก็ตอบว่า..”หามิได้ ด้วยพระเยโฮวาห์ทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ” เยโฮรัมตอบเอลีชาประมาณว่า...”อย่าพูดอย่างงั้นเลย ก็เห็นอยู่..ว่าตอนนี้ พวกเขาอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด..ถึงได้บากหน้ามาหาเอลีชาอยู่นี่ไง” คือ ตอนนี้เยโฮรัมก็เหมือนจะยอมจำนนแล้วก็เรียกหาพระเจ้าเหมือนกัน..

ดู 2พกษ.3:14-15 ขนาดเยโฮรัมพูดง้องอนซะขนาดนั้น เอลีชายังบอกว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระองค์มิได้เคารพคารวะต่อพระพักตร์เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย คือ เอลีชาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับกษัตริย์อิสราเอลเลยเพราะพวกเขากราบไหว้พระบาอัล นี่ถ้าไม่เห็นแก่”เยโฮชาฟัท” นะ เอลีชาจะไม่สนใจพวกเขาเลย.. เยโฮรัมจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวกะเขา แต่..เพื่อเห็นแก่เยโฮชาฟัทที่รักพระเจ้า..เอลีชาก็เลยจะช่วย ข้อที่15 ดูดีๆว่า..เอลีชาเรียกหาอะไร เอลีชาบอก “ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระองค์สักคนหนึ่ง" เอลีชาเรียกหาคนเล่นดนตรีถวายพระเจ้า “..และต่อมาเมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลงแล้ว พระหัตถ์ของพระเยโฮวาห์ก็มาเหนือท่าน พอเล่นดนตรีถวาย..พระเจ้าก็ส่งการเจิมมาเหนือเอลีชา พระคำภีร์ตอกย้ำกับเราอีกครั้ง..ว่าพระเจ้าจะส่งการเจิมลงมา..เมื่อเราถวายนมัสการพระองค์ด้วยดนตรีและเสียงเพลง

ดู 2พกษ.3:16-17 พระเจ้าตรัสผ่านเอลีชา”ให้พวกเขาทำหุบเขานี้ให้เป็นสระทั่วไปหมด” คือ สั่งให้ขุดแอ่งน้ำไว้จนทั่วทั้งหุบเขา ขุดไว้แห้งๆแบบนั้นแหละ ข้อที่17 เอลีชาบอกว่า “พวกท่านจะไม่ได้เห็นลมหรือฝนเลย แต่เดี๋ยวจะมีน้ำอยู่เต็มในแอ่งที่พวกเขาขุดไว้” อันนี้ คือ การอัศจรรย์จากพระเจ้า ถึงฝนไม่ตกก็ทำให้มีน้ำได้ แล้วก็มีมากพอที่จะเลี้ยงทั้งคนและฝูงสัตว์ในกองทัพอิสราเอลทั้งหมด (เพราะฉะนั้น ถึงน้ำจะมากขนาดไหน พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้มันสลายไปได้ ถ้าเป็นน้ำพระทัยพระองค์) ข้อที่18 บอกว่า”เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับพระเจ้า เพราะไม่ใช่แค่อิสราเอลจะมีน้ำกิน แต่พระเจ้าจะทรงบันดาลให้อิสราเอลชนะโมอับด้วย..อิสราเอลจะโจมตีเมืองที่มีป้อมและเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ลงทุกต้น และจะจุกน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาที่ดีทุกแปลงให้เสียด้วยหิน สรุปก็คือ โมอับจะถูกอิสราเอลทำลายพินาศย่อยยับ..จนไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วข้อที่ 20 ก็บอกว่า.. ”และอยู่มาพอรุ่งเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องธัญญบูชา ดูเถิด มีน้ำมาจากทางเมืองเอโดม จนแผ่นดินมีน้ำเต็มหมด” ประมาณบ่ายสามโมงของอีกวันน้ำก็ไหลมาจนเต็มแอ่งที่พวกเขาขุดไว้ ไม่รู้มาจากไหน..พระคำภีร์บอกน้ำไหลมาจากทางเอโดม..ที่เมื่อวานเห็นอยู่..ว่ามันยังแล้งอยู่เลย มาวันนี้น้ำมาจากไหน..ไหลมาได้ไงก็ไม่รู้..เพราะฝนก็ไม่ได้ตก..แม้แต่ลมก็ไม่มี

ดู 2พกษ.3:21-22 ปรากฎว่า น้ำที่ไหลมาจนเต็มบ่อที่พวกอิสราเอลขุดไว้เนี่ย..ตอนเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น..พวกโมอับมองมาก็เห็นแสงสะท้อนเป็นสีแดง..เลยนึกว่า”เลือด” เขาไม่คิดว่าเป็นน้ำหรอกเพราะตอนนี้มันแล้งมาก..ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้จะมีน้ำได้ไง (เผลอๆโมอับเองก็กำลังแย่เพราะภัยแล้งเหมือนกันแต่ว่าอยู่ในเมืองไง ก็เลยไม่ลำบากเท่าอิสราเอลที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร) พอเห็นสีแดงนองเต็มทั่วหุบเขา..พวกโมอับก็คิดว่ากษัตริย์ทั้งสามองค์คงจะรบกันเองจนเลือดนองไปหมด แล้วเลือดเยอะขนาดนี้..น่าจะตายกันเกือบหมดกองแล้วมั้ง ก็เลยฉวยโอกาสจะเข้าไปริบของในกองทัพอิสราเอล แต่พอเข้าไปจริงแล้ว..กลับถูกทหารอิสราเอลไล่ฆ่าจนต้องหนีไม่เป็นท่า เพราะตอนที่รุกเข้ามาพวกโมอับไม่ได้จัดระเบียบกองทัพอย่างที่ควรทำ คือ เข้าไปแบบกระจัดกระจายก็เลยสู้ทหารอิสราเอลไม่ได้ จากนั้น อิสราเอลก็ไล่ตามโมอับเข้าไปในเมืองแล้วก็ทำลายบ้านเมืองของโมอับจนพินาศยับเยิน..สำเร็จตามพระคำของพระเจ้า

หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น