วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่2 อาทิตย์ที่ 16:10:2011

หลังจากที่พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไปแล้ว เอลีชาก็ได้สืบทอดตำแหน่งผู้เผยพระวจนะต่อจากเอลียาห์ ครั้งที่แล้วในบทที่ 3 เอลีชาทำการอัศจรรย์หลายอย่างตามที่พระคำภีร์บันทึกไว้..เหมือนเป็นการรับรองจากพระเจ้าว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดของเอลียาห์อยู่กับเอลีชาแล้ว มาถึงบทที่ 4 ก็ยังคงเป็นเรื่องราวการทำอัศจรรย์ของเอลีชา..เรามาดูกันทีละเรื่อง

ดู 2พกษ4:1-2 ข้อนี้ บอกว่า มีผู้หญิงคนนึงที่สามีเพิ่งเสียชีวิตไป..มาหาเอลีชาเพื่อขอความช่วยเหลือ คือ สามีเธอก็เป็นผู้เผยพระวจนะคนนึง หญิงม่ายคนนี้บอกกับเอลีชาว่า“เจ้าหนี้จะมาเอาบุตรชายของเธอไปเป็นทาส” คือ สมัยก่อนผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เป็นคนหารายได้เข้าบ้าน 100% ส่วนผู้หญิงเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกกับทำงานในครัวเรือนอย่างเดียว ไม่เคยทำงานนอกบ้านเลย ทีนี้พอสามีเสียชีวิตไปก็ค่อนข้างที่จะเดือดร้อนเพราะไม่มีรายได้ สำหรับหญิงม่ายคนนี้เขาเป็นหนี้ด้วย สมัยก่อนพอไม่มีเงินใช้หนี้..เจ้าหนี้ก็จะมาเอาลูกไปทำงาน..เอาไปเป็นทาสรับใช้ พอฟังเรื่องทั้งหมดจากหญิงม่ายเอลีชาก็ถามว่า “มีอะไรเหลืออยู่ในบ้านบ้าง” หญิงม่ายบอก "สาวใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้านนอกจากน้ำมันหนึ่งไห" ทั้งเนื้อ ทั้งตัว เหลือน้ำมันติดบ้านอยู่ไหเดียว!

ดู 2พกษ.4:3-4 เอลีชาสั่งให้หญิงหม้ายไปยืมภาชนะจากเพื่อนบ้านมาให้มากที่สุด เสร็จแล้วก็ปิดประตูบ้านซะ จากนั้นก็ให้เทน้ำมันที่มีอยู่แค่ไหเดียวนั่นแหละลงในภาชนะที่หามาได้ หญิงม่ายก็ทำตามปรากฎว่า”เทได้จนเต็มภาชนะทุกใบ น้ำมันไหเดียวแต่เทได้ไม่หมด จนกระทั่งข้อที่ 6 เมื่อหญิงม่ายเรียกเอาภาชนะจากลูกชายอีก ลูกบอกว่า ไม่มีอะไรจะใส่แล้ว..น้ำมันถึงหยุดไหล เสร็จแล้วเธอก็ไปบอกเอลีชา..ว่าทำตามที่บอกเรียบร้อยแล้ว เอลีชาก็บอกว่า..ไปสิ เอาไปขาย แล้วเอาเงินไปใช้หนี้เขา เหลือเท่าไหร่ก็เก็บไว้เป็นทุน ฟังเรื่องนี้แล้ว อุ่นใจขึ้นมั๊ย..เราต้องกลัวอะไรอีกมั๊ย..ไม่ต้องกลัวเลย น้ำมันจะแพงหรือการกันดารอาหารจะรุนแรงแค่ไหน พระเจ้าเลี้ยงดูเราได้ ขอแค่เรา”เชื่อฟัง” เชื่อฟังเหมือนหญิงม่ายคนนี้ แม้บางครั้ง จะไม่เข้าใจก็ขอให้เชื่อและทำตาม เด็กๆต้องจำไว้นะคะ..ว่าพระเจ้าสำแดงแก่เรากี่ครั้งแล้ว หลายครั้งแล้วที่พระคำภีร์สำแดงให้เราทำตามทั้งที่ไม่เข้าใจ..ทำตามทั้งที่สถานการณ์มันขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าบอก เช่น “ตอนโยชูวาข้ามมาที่ฝั่งเมืองเยรีโค.. จริงๆตอนนั้นเป็นจังหวะที่ควรจะรีบบุกประจัญ แต่พระเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาเข้าสุนัต ถ้าชาวคานาอันบุกมาตอนนั้นอิสราเอลตายแน่” จากนั้น พระเจ้า ให้ทำอะไร ”สั่งให้เดินวนๆรอบกำแพงเมืองเสร็จแล้วโห่พร้อมกัน กำแพงเมืองเยรีโคก็ถล่มลงมา” อะไรต่างๆเหล่านี้มันไม่สมเหตุผลเลยในสายตามนุษย์ แต่พระเจ้าก็ประทานความสำเร็จให้ทุกครั้งที่พวกเขาเชื่อฟังและทำตาม ดังนั้น นี่คือวิถีที่เราต้องทำตามเหมือนกันเพื่อสำแดงว่าเราไว้ใจพระเจ้า

ดู 2พกษ.4: 8-10 เรื่องราวในข้อนี้มีอยู่ว่า เมื่อครั้งที่เอลีชาเดินทางผ่านไปที่เมืองชูเนม มีผู้หญิงคนนึงซึ่งฐานะค่อนข้างรวย ได้เปิดบ้านต้อนรับเอลีชาอย่างดี..จัดเตรียมทั้งข้าวปลาอาหาร แล้วในข้อที่ 9 ผู้หญิงคนนี้ปรึกษากับสามีว่า"ดูเถิด ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า เดินผ่านบ้านเราอยู่เนืองๆ ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนกำแพง วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น" ..ไม่ใช่แค่เลี้ยงข้าวแต่เตรียมทุกอย่างให้อย่างดีเหมือนเอลีชาเป็นสมาชิกคนนึงในครอบครัว..นี่ไม่ใช่ลักษณะการต้อนรับแบบขอไปที อันนี้ คือ การปรนนิบัติผู้รับใช้เหมือนเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง (ถ้ามีโอกาส) ข้อที่ 11 บอกว่า อยู่มาวันนึงเมื่อเอลีชามีโอกาสมาพักที่บ้านของหญิงชาวชูเนมคนนี้ เอลีชาก็รู้สึกอยากจะตอบแทนอะไรบ้าง เพราะต้อนรับดีเหลือเกิน..เลยให้คนรับใช้ไปถามว่าอยากให้เขาช่วยอะไรมั๊ย อยากให้เสนอความดีความชอบต่อกษัตริย์หรือแม่ทัพรึเปล่า แต่ผู้หญิงคนนี้ตอบว่า ”ดิฉันอยู่ในหมู่พวกพี่น้องของดิฉันค่ะ" แปลว่า เขาไม่ขาดอะไร..ไม่อยากได้อะไร..มีหมดแล้วทุกอย่าง

ดู 2พกษ.4:14-15 ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง" คือ เอลีชายังพยายามคิดอยู่ว่าจะตอบแทนผู้หญิงคนนี้ยังไงดี แต่แล้วเกหะซี..คนรับใช้ของเอลีชาก็นึกขึ้นได้ว่า “เออ..ผู้หญิงคนนี้นะอาจจะมีทุกอย่างพร้อมแล้วก็จริง แต่มีอยู่อย่างที่เธอไม่มี..คือ ไม่มีลูก” (สังเกตให้ดีนะคะ..ว่าเกหะซีคนนี้เนี่ย..ฉลาด แต่ฉลาดก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไป ) พอเกหะซีบอกอย่างงั้น เอลีชาบอก..ดี..งั้นไปเรียกเธอมา พอผู้หญิงคนนี้มา..เอลีชาก็บอกว่า "เดี๋ยวปีหน้าเธอจะมีลูก แล้วบอกด้วยว่าเป็นลูกชาย” หญิงชาวชูเนมคนนี้ฟังแล้วว่าไง "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน หามิได้ อย่ามุสาแก่สาวใช้ของท่านเลย" ประมาณว่า..อย่าพูดเป็นเล่นไป คือ ไม่เชื่อเลยเพราะเธอคงจะแต่งงานมานานแล้ว..และทำยังไงก็ไม่มีลูก แต่ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ท้องแล้วก็ได้ลูกชายอย่างที่เอลีชาบอกไว้จริงๆ แต่เรื่องมันก็ไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้น เด็กคนนี้ก็ตาย..หญิงชาวชูเนมคนนี้ก็ไปหาเอลีชา เอลีชาบอกเอาไม้เท้าไปวางบนตัวเด็ก แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอม ข้อที่ 30 ผู้หญิงคนนี้ บอกว่า “พระเยโฮวาห์ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่พรากจากท่านไป" คือ ไม่ยอมกลับไปโดยที่ไม่มีเอลีชาไปด้วย เอลีชาก็เลย โอเค..ไปก็ไป ในข้อที่ 31 ระบุว่า เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเอาไม้เท้าไปวางบนตัวเด็ก..แต่เด็กไม่ฟื้น พอเอลีชาไปถึงก็เข้าไปในห้อง..ปิดประตูอธิฐานต่อพระเจ้า แล้วขึ้นไปนอนบนตัวของเด็ก 2 ครั้ง ซักพักข้อที่ 35 บอกว่า เด็กคนนี้ก็จาม 7 ครั้งแล้วก็ฟื้น เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับที่เอลียาห์เคยทำตอนที่เขาไปอยู่กับหญิงม่ายในช่วงที่เกิดการกันดารอาหาร อันนี้ก็เป็นการการันตีจากพระเจ้าถึงสิทธิอำนาจของเอลีชาที่เทียบเท่ากับที่พระองค์เคยรับรองเอลียาห์

ดู 2พกษ.4:39-40 ข้อนี้ บอกว่า มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นที่กิลกาล สมัยนั้นถ้าเกิดการกันดาร ก็คือ “อด” ไม่มีทางให้เลือกเหมือนสมัยนี้ วิ่งไปกักตุนสินค้าตามซุปเปอร์มาเก็ตแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้..ไม่มีนะคะ ตอนนั้นเอลีชาก็บอกให้ลูกศิษย์ตั้งข้าว แล้วอีกคนก็ไปเก็บผักเก็บหญ้าในป่าซึ่งตอนนั้นคงไม่มีผักผลไม้แบบที่เคยกิน..ให้เก็บ เดินไปเดินมาไปเจอผลน้ำเต้าป่า..ไม่เคยกินหรอกแต่ก็เก็บเอามาต้มกับข้าว เพราะมันไม่มีอย่างอื่นให้เก็บ ปรากฎว่ามันเป็นพิษ ลูกศิษย์ของเอลีชาพูดว่า "โอ ท่าน คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้" ก็คือ ทำเสร็จแล้วแต่มันกินไม่ได้..กินแล้วตาย ในสถานการณ์แบบนั้นถ้าต้องทิ้งข้าวทั้งหม้อ..ก็คงจะเรื่องใหญ่ เอลีชาทำไง..เขาบอกเอาแป้งมา เสร็จแล้วก็เอาแป้งใส่ลงไปในหม้อ..พิษนั้นก็หายไป

อีกเรื่องนึงในข้อที่ 42-44 ของบทนี้ คือเป็นเรื่องที่เอลีชาเลี้ยงอาหารคนจำนวนมากด้วยอาหารเพียงเล็กน้อย อันนี้เหมือนที่พระเยซูทำเลย คือว่า “มีชายคนนึงมาจากบ้านบาอัลชาลีชาห์ เอาของมาให้เอลีชา เป็นขนมข้าวบาร์ลี่ 20 ก้อน กับ รวงข้าวใหม่กระสอบ..คงไม่ใหญ่นัก” เอลีชาก็บอกให้เขาเอาเสบียงนี้ทำอาหารให้คนหนึ่งร้อยรับประทาน ผู้ชายคนนี้ก็ตกใจ..แล้วก็พูดกับเอลีชาว่า..จะให้เขาเอาของแค่นี้ทำให้คนตั้งร้อยกินได้ไง..มันไม่พอหรอก ข้อที่ 43 เอลีชาบอกว่า “จงให้คนเหล่านั้นรับประทานเถิด เพราะพระเยโฮวาห์ตรัสสั่งดังนี้ว่า `เขาทั้งหลายจะได้รับประทานและยังเหลืออีก”..ไม่ใช่แค่จะได้กินอิ่มทุกคน แต่จะเหลือด้วย ข้อที่44 บอกว่า “เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็รับประทาน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระเจ้า”

ดู 2พกษ.5:1-3 ข้อนี้ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงแม่ทัพใหญ่ของซีเรีย ชื่อ”นาอามาน” พระคำภีร์บอกว่านาอามานเป็นคนมีเกียรติ มีเงินทอง ลาภยศ บารมี..ครบเลย เพราะเขาเป็นถึงผูบัญชาการกองทัพที่นำให้ซีเรียได้รับชัยชนะเหนืออิสราเอล แต่ถึงจะมีทุกอย่างพร้อม..นาอามานก็ใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์ เขามีหนามอันนึงที่ไม่เคยหลุดพ้น คือ เขาเป็นโรคเรื้อน..

พระคำภีร์บันทึกว่า ครั้งนึงที่ซีเรียยกไปปล้นอิสราเอล พวกเขาจับเด็กผู้หญิงคนนึงมาจากสะมาเรียแล้วส่งไปรับใช้ภรรยาของนาอามาน พอเด็กผู้หญิงคนนี้เห็นอาการโรคเรื้อนของนาอามานเธอก็บอกว่า “อยากให้เจ้านายของดิฉันไปอยู่กับผู้พยากรณ์ผู้ซึ่งอยู่ในสะมาเรีย ท่านจะได้รักษาโรคเรื้อนของเจ้านายเสียให้หาย" เพราะไร ใครๆก็เคยเห็นการอัศจรรย์ที่เอลีชาทำ คนตายยังอธิฐานให้ฟื้นได้เลย นับประสาอะไรกับแค่โรคเรื้อน..ใช่มะ พอนาอามานได้ยินที่เด็กหญิงชาวซามาเรียพูด..ก็เกิดมีความหวังขึ้นมา แม้จะมาจากปากของเด็กตัวเล็กๆคนนึง นาอามานก็อยากลอง ก็เลยไปกราบทูลกษัตริย์ซีเรียขอให้ทำหนังสือไปถึงกษัตริย์ของอิสราเอล ว่าไร..ให้กษัตริย์อิสราเอลหาทางรักษานาอามานให้หายจากโรคเรื้อน..ให้ได้

ดู 2พกษ.5:7 เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ ชายคนนี้จึงส่งสารมาให้เรารักษาคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อน..” พอกษัตริย์อิสราเอลอ่านสารจากก.ซีเรียแล้ว อยู่ไม่ติด..ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง แล้วก็บ่นประมาณว่า นี่เขาเห็นเราเป็นพระเจ้าหรือไงถึงจะได้รักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้หาย ก็รู้อยู่ว่าโรคเรื้อนมันไม่มีทางรักษา ขอใคร่ครวญดูเถิดว่า เขาแสวงหาเหตุพิพาทกับเราอย่างไร” ...ทำอย่างงี้มันหาเรื่องกันชัดๆ กษัตริย์อิสราเอลคิดว่าซีเรียคงหมดมุกแล้วมั้ง..อยากหาเรื่องจะยกมาตีสะมาเรีย แต่ไม่รู้จะอ้างอะไร เลยสั่งให้เขารักษาคนโรคเรื้อนให้หาย..มันจะเป็นไปได้ยังไง!!! ตรงนี้นะ อ่านแล้วเราเห็นอะไร น้าตุ๊กเห็นเลยว่ากษัตริย์อิสราเอล..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สู้เด็กผู้หญิงที่ถูกจับไปเป็นทาสบ้านนายพลนาอามาน..ก็ไม่ได้ ขนาดเด็ก..ยังรู้เลยว่าพระเจ้าทำการอัศจรรย์กับผู้คนของพระองค์มากมายขนาดไหน แต่กษัตริย์อิสราเอลกลับไม่รู้เรื่อง เป็นถึงกษัตริย์แต่หูตายังสว่างสู้เด็กไม่ได้..น่าอายจริงๆ เพราะฉะนั้น เด็กๆจำไว้นะคะ..ว่าเรื่องของความเชื่อ..มันตัดสินกันด้วยวัย..วุฒิภาวะ..หรือแม้แต่การศึกษาไม่ได้

ดู 2พกษ.5:8/9-10 ปรากฎว่า ข่าวความทุกข์ใจของกษัตริย์อิสราเอลที่ต้องรักษาโรคเรื้อนให้นาอามานได้ยินไปถึงหูเอลีชา เอลีชาเลยส่งคนไปบอกกษัตริย์ว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย ให้ส่งนาอามานไปหาเขา นาอามานก็เลยมาหาเอลีชา..มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ข้อที่10 บอกว่า..”เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า "ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด" เอลีชาไม่แม้แต่จะเปิดประตูต้อนรับนาอามาน แค่ใช้คนออกมาบอกให้นาอามานไปชุบตัวในน.จอร์แดน 7 ครั้ง พอนาอามานเจออย่างงั้นเข้าก็โกรธมากกก ”นี่เขาเป็นใคร..เขาเป็นคนใหญ่คนโตนะ เป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพของซีเรีย อุตส่าห์มาหาเอลีชาถึงบ้าน..ถือเป็นการให้เกียรติขนาดไหน..แล้วเอลีชาทำอย่างงี้ได้ไง แทนที่จะออกมาต้อนรับ กลับให้คนรับใช้มาบอกให้ไปอาบน้ำ!!!

สำหรับเอลีชา..ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่านาอามานจะใหญ่โตมาจากไหน..จะร่ำรวย มีเกียรติ มีเงินมาก เงินน้อยซักเท่าไหร่..ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษเลยสำหรับเอลีชาผู้ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า เพราะผู้รับใช้มีหน้าที่..ทำตามที่พระเจ้าบอกแล้วถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่ทำตามใจแล้วฉวยเกียรติยศไว้กับตัว เห็นคนนั้นรวย คนนี้จน แล้วจะเลือกปฎิบัติ..ไม่ได้

ดู 2พกษ.5:11-12 นาอามานบ่นว่า "ดูเถิด ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าเป็นแน่ และมายืนอยู่และออกพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นให้โรคเรื้อนหาย” ..คือ นาอามานคิดว่าเอลีชาน่าจะออกมาต้อนรับเขา..ออกพระนามพระเจ้าแล้วก็โบกมือไปมาทำท่าเหมือนจอมขมังเวทย์หรือทำอะไรให้มันดูขลังๆหน่อยบนร่างกายของเขา..แล้วเขาก็จะหาย นี่อะไร! มาถึงก็ไล่ให้ไปอาบน้ำในน.จอร์แดน ข้อที่12 นาอามานบอกว่า “ถ้างั้นน้ำในน. อาบานาและฟารปาร์แห่งดามัสกัสไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ” ..ก็แม่น้ำในซีเรียดีกว่าในอิสราเอลตั้งเยอะ ถ้ารู้ว่าเอลีชาจะให้ทำอย่างงี้นะ เขาไม่มาให้เมื่อยหรอก..เพราะแม่น้ำในดามัสกัสใหญ่แล้วก็สะอาดกว่านี้ตั้งเยอะ ทำไมเขาต้องดั้นด้นมาอาบน้ำในจอร์แดนด้วย..ไร้เหตุผลสิ้นดี “ ..ว่าแล้วนาอามานจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วย ”ความเดือดดาล”

เนี่ย !สติปัญญามนุษย์ คือ นาอามานคิดว่าถ้าพระเจ้าจะช่วยเขานะ พระองค์ต้องทำอย่างงี้ๆ 1..2..3..4 ออกแบบให้พระเจ้าเสร็จเลย..ว่าพระองค์ต้องทำไง (แล้วตกลงใครใหญ่..เก่งก็ทำเองสิ ถ้ารู้วิธีแล้วมาขอให้พระเจ้าช่วยทำไม..ใช่มะ) พวกเราก็เหมือนกัน เวลาเราอธิฐานขอพระเจ้าช่วย..ไม่ต้องเสนอ..ออกแบบ หรือดีไซน์วิธีคิด..วิธีทำให้พระเจ้าว่าพระองค์ควรจะช่วยเรายังไง..แบบไหน เพราะการทำอย่างงั้นเท่ากับเราบังอาจไปจำกัดพระปัญญาของพระเจ้า..

ดู 2พกษ.5:13-14 นาอามานโกรธมากที่เอลีชาไม่ให้เกียรติ..ไม่ทำอะไรให้อย่างที่ใจเขาคิดไว้..เขาหันหลังกลับด้วยความเดือดดาล แต่คนสนิทก็พูดให้นาอามานได้คิด ว่า”ถ้าคนของพระเจ้าสั่งให้ทำอะไรที่ยากกว่านี้เนี่ย..ท่านก็จะเต็มใจทำใช่มั๊ย แล้วทำไมไอเรื่องง่ายๆแค่นี้ถึงจะไม่ลองล่ะ ถ้าทำแล้วหายโรคอ่ะ..มันคุ้มรึเปล่า ปรากฎว่านาอามานคิดได้..เออ จริง!! ลองดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร คริสเตียนหลายคนก็อาการเหมือน”นาอามาน” อย่างเงี้ย มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ยังอีโก้เยอะ..ยังปล่อยให้ตัวตนของตัวเองมีความสำคัญเหนือพระเจ้า พระคำภีร์ก็ไม่กล้าถือ..ร้องเพลงปรบมือก็ไม่กล้าทำ เพราะไร ก็ชั้นป็นถึงผู้บริหาร.. ceo หรือจบตั้งปริญญาโท แล้วอยู่ดีๆให้มาทำอะไรหน่อมแน้มเหมือนเด็กๆอย่างงี้..รับไม่ได้ นาอามานก็คิดประมาณเนี้ย เขาเป็นถึงแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เคยแต่สั่งชี้เป็นชี้ตายคนอื่น..มาตอนนี้ถูกเอลีชา”สั่ง”..ให้ไปทำอะไร “โง่ๆ” (โง่..ในความคิดของเขานะ) นาอามานทำใจไม่ได้ เออ..ถ้าสั่งให้ไปหาน้ำอมฤตหรือพิชิตสัตว์ปะหลาดซักร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก็ โอ..ค่อยยังชั่ว!! ดูแล้วมันค่อยสมศักดิ์ศรีแม่ทัพอย่างเขาหน่อย หลายคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นเหมือนนาอามานนี่แหละ..บอกว่าแค่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้วได้ไปสวรรค์เลย “รับไม่ได้..มันง่ายไป” เออ..ถ้าบอกว่าให้ปีนเขาซีนายหรือเขาคิช..ขึ้นลงขึ้นลงซัก 100 รอบแล้วได้ไปสวรรค์ ดันเชื่อ!..รู้สึกมีเหตุผล แต่ขอบคุณพระเจ้า สำหรับนาอามาน เพราะสุดท้าย พอคนสนิทได้พูดให้คิด เขาก็กลับใจใหม่ ยอมทำตามที่เอลีชาบอก แล้วก็ปรากฎว่า..หาย ข้อที่ 14 บอก“ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนและเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด”

ดู2พกษ.5:15-16 ลองคิดดูว่า”นาอามาน”จะตื่นเต้นขนาดไหน โรคที่สร้างความอับอายและอยู่คู่กับเขามาตลอดชีวิต ตอนนี้..หายไปแล้ว เขาตื่นเต้นดีใจมากรีบกลับไปหาเอลีชาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ดูว่าเขาพูดอะไร “ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลกนอกจากที่ในอิสราเอล..” ตอนนี้ นาอามานยอมจำนนต่อพระเจ้าเลย เขายอมรับว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าเดียวที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นอกนั้นที่เขาเจอมา..ไม่ใช่พระเจ้าแท้ แล้วนาอามานก็อยากจะตอบแทนเอลีชาด้วยการมอบของกำนัลมีค่ามากมาย แต่เอลีชา..ไม่รับ ขยั้นขยอยังไง..ก็ไม่รับ เอลีชาบอกว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดเลยฉันนั้น” ตอนแรกมีท่าทียังไง..ตอนนี้ท่าทีของเอลีชาก็ยังเหมือนเดิม เอลีชายืนอยู่ในพระเจ้าอย่างเข้มแข็งมาก ไม่เคยหวั่นไหวไปกับเงินทองของกำนัล พระเจ้าไม่ให้รับ..ก็ไม่รับ การอัศจรรย์นี้ได้มาฟรี..เขาก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อไปฟรีๆเหมือนกัน (แต่มีบางคนแอบเสียดายของกำนัลของนาอามาน..เดี๋ยวจะได้เห็นกัน) *****

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น