วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

เฉลยบททดสอบ หนังสือ2ซามูเอล อาทิตย์ที่27:3:2011

1.ตอบ ค.ทั้งซาอูลและดาวิดค่ะ ไม่ใช่ดาวิดคนเดียว..แต่ซาอูลก็เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้เป็นผู้นำของเรา ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ผู้นำประเทศ คุณครู สามี หรือแม้แต่นายจ้าง คนเหล่านี้ไม่ว่าเขาจะดีจะร้าย จะสมบูรณ์แบบหรือบกพร่องแค่ไหน พระเจ้าก็เลือกแล้วให้เขาเป็นผู้นำเรา..ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาตเขาจะเข้ามาในวงจรชีวิตเราไม่ได้

2.ตอบ. ค.ผู้ที่มีสติปัญญาในทางพระเจ้าต้องพูดแต่สิ่งที่ควรพูดแล้วก็ในเวลาที่เหมาะสมด้วย ข้อก.บอกว่าต้องพูดทุกเรื่องที่รู้..อันนี้ไม่ใช่แน่ ถ้าเด็กๆพูดทุกเรื่อง..เด็กๆจะกลายเป็นคนที่..เหมือนมีป้ายเขียนว่า”จงสนใจชั้นเดี๋ยวนี้”..แขวนไว้ที่คอ อันนี้เป็นมุกของฝรั่ง ซึ่งแปลว่าการทำตัวเป็นผู้รู้ไปซะทุกเรื่อง และสำแดงความรู้ของตัวเองตลอดเวลานั้น จริงๆแล้วมันเป็นบุคลิกของคนที่เรียกร้องความสนใจ หรืออยากเป็นคนสำคัญซึ่งไม่น่ารักและไม่ควรทำเลย แล้วเราควรจะวางตัวยังไง ก็ให้เราเก็บความรู้ของเราไว้เหมือนเก็บนาฬิกาพก..นาฬิกาพกนะ..ไม่ใช่ข้อมือหรือแขวนคอ แล้วถ้ามีคนถามเวลา..ก็ค่อยควักมันออกมาแล้วบอกเขา อันนี้ก็เป็นภาษิตของฝรั่งเหมือนกัน หมายความว่า ให้เราเก็บงำสิ่งที่เรารู้ไว้ ต่อเมื่อมีคนถามก็ค่อยบอก ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่ต้องออกอาวุธให้มันมากนัก แต่ประเด็นนี้ก็ยังมีข้อยกเว้น คือถ้าเราเป็นพ่อแม่ เป็นผู้ใหญ่หรือเป็นครูอย่างน้าตุ๊กเนี่ย ก็จะมัวเก็บงำความรู้ไว้ไม่ได้เพราะมีหน้าที่ต้องถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆโดยตรง ถ้ามัวแต่รอให้ถาม ก็คงไม่ต้องสอนกัน..(เหมือนชั้นเรียนเราเนี่ย)

ส่วนข้อที่บอกว่า..ต้องพูดตรงไปตรงมา..ใช่ แต่ไม่ใช่ตรงตลอดเวลา เราต้องดูกาละเทศะด้วย เวลาและสถานที่เหมาะสมมั๊ย พูดไปแล้วเขาจะอายมั๊ย อยู่ในที่สาธารณะรึเปล่า เราจะเห็นว่าดาวิดไม่เคยนินทาซาอูลเลย ไม่เคยบ่น ไม่เคยว่าลับหลัง..เท่าที่เห็นในพระคำภีร์นะ แล้วคำที่ดาวิดกล่าวไว้อาลัยซาอูลใน2ซมอ.1:17-27 ดาวิดก็ไม่ได้พูดถึงความผิดของซาอูลเลยแม้แต่คำเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องพูดตรงตลอดเวลา..สุนทรพจน์ทั้งในงานแต่งงานและงานไว้อาลัย คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าภาพน่าดู

3.ตอบ ก.อธิฐานซะก่อน..เสมอ แล้วเช็คดูก่อนว่าเรารักเขารึเปล่า..รักจริงๆมะ ถ้าไม่มีความรักก็จบไปเลยไม่ต้องเตือนเพราะมันไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าแน่ใจว่ารักเขาหวังดีจริงๆไม่พูดไม่ได้แล้วเดี๋ยวเพื่อนจะเสียคนไปมากกว่านี้..ก็เตือนได้ แต่ต้องเตือนด้วย”ความถ่อม และ ต้องสุภาพ” อย่ามาอ้างว่าเอ๊ย..สนิทกัน หรือ ไอนี่ต้องพูดแรงๆ..ไม่จริง พระคำภีร์บอกต้องถ่อมและสุภาพ เพราะลำพังถูกเตือนเขาก็รู้สึกแย่พอแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าใช้วิธีที่ดูเหมือนไปซ้ำเติมเขา น้าตุ๊กยังจำได้Ps.นครเคยเทศน์ว่าคริสเตียนปากร้ายใจดีไม่มี คริสเตียนต้องใจดีแล้วก็พูดดีด้วย เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่ดาวิดจะไขข้อข้องใจและชี้ให้ซาอูลเห็นความผิดของตัวเอง”ดาวิดจะพูดต่อหน้าซาอูลแล้วก็พูดด้วยความถ่อมสุภาพตลอด เวลาเรียกซาอูลดาวิดไม่เคยหยาบคายหรือตีเสมอ เจอหน้าซาอูลก็เรียก..”พระราชาเจ้านายของฝ่าพระบาท”..ทุกคำ ทั้งที่ตอนนั้นพระเจ้าเจิมตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์แล้ว แต่ดาวิดก็ไม่เคยสำคัญตัว..ยังถ่อมสุภาพเสมอ

4ตอบข.อับเนอร์สถาปนาอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์..ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งดาวิดไว้ แต่ยังบังอาจยกอิชโบเชทขึ้นมาถือว่าตั้งใจจะขัดคำสั่งพระเจ้า หลายคนตอบก.ชาวยาเบชกิเลอาดไปเอาศพซาอูลกับโยนาธานกลับมาฝังที่อิสราเอล อันนี้ไม่ถือว่าไม่เชื่อฟังหรือขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาแค่แสดงความกตัญญูและมีน้ำใจกับซาอูล..ไม่ผิดอะไร

5.ตอบ ก.ดาวิดไม่เคยฉวยโอกาสกับซาอูลเลย เพราะถ้าดาวิดเป็นคนฉวยโอกาส..เขาก็คงไม่โกรธแค้นจนต้องฆ่าชาวอามาเลขที่วิ่งเอามงกุฎกับหอกของซาอูลมาให้ แล้วเขาก็คงไม่ฆ่าคนที่ลอบสังหารอิชโบเชทด้วย แต่เพราะดาวิดไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นประโยชน์กับเขา ซาอูลตายก็ดีนี่..เขาจะได้เป็นกษัตริย์ซะที อิชโบเชทถูกลอบฆ่า..ก็ดีแล้วเขาก็หมดเสี้ยนหนามไปโดยที่ไม่ต้องลงมือเอง แต่ดาวิดไม่เคยคิดอย่างงั้น เขาไม่เคยฉวยโอกาส เพราะเขารักซาอูลจากใจจริง.. ส่วนคำตอบที่เป็นไปไม่ได้เลยคือ ข.เพราะถ้ามีความรักจริงๆจะไม่มีวันฉวยโอกาส ถ้าเป็นคนฉวยโอกาสก็แปลว่าไม่มีความรัก..สองอย่างนี้มันไปคนละทาง

6.ตอบ ค.การรอคอยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสเตียน อับราฮัมต้องรอคอยนานมากกว่าอิสอักจะเกิดมาตามสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้..ยาโคปต้องทำงานรอถึง14ปีกว่าที่จะได้เรเชลมาเป็นภรรยา..โยเซฟต้องตกระกำลำบากนานหลายปีกว่าที่พระเจ้าจะทรงยกเขาขึ้น..ยิวหรืออิสราเอลต้องรอนแรมอยู่ในถิ่นทุรกันดารนานหลายสิบปีกว่าจะได้อยู่ในดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้..ดาวิดเองก็ต้องรอนานมากกว่าจะได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล และพวกเราก็เช่นกันที่ยังรอคอยวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา ข้อก.บอกว่า..การเป็นคนไม่ฉวยโอกาสทำให้เราต้องรอบางอย่างนานเกินไป..อาจจะใช่ แต่การรอคอยโดยไม่ฉวยโอกาสจะให้ผลลัพธ์ที่งดงามกว่าและดีกว่าสำหรับเราเสมอ ที่สำคัญการเป็นคนฉวยโอกาสไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแน่นอน คริสเตียนไม่เคยถูกสอนให้เป็นคนฉวยโอกาส

7 ตอบ ก.เยรูซาเล็ม

8.ตอบ ข.เพราะดาวิดขอการทรงนำจากพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับว่าเขาเก่งแค่ไหน ศัตรูจะอ่อนแอหรือเข้มแข็งกว่า ถ้าพระเจ้าทรงนำอยู่ข้างหน้า..เราก็จะชนะแน่นอน

9.ตอบ ค.พระเจ้าไม่เคยตรัสเลยว่าประสงค์พระนิเวศ พระองค์ไม่เคยให้ความสำคัญกับอาคารสถานที่หรือสิ่งที่ดูดีแค่ภายนอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรพระองค์ทรงมองที่หัวใจและเจตนาของเราเสมอ พระเจ้าไม่เคยตัดสินสิ่งใดจากภายนอก เพราะฉะนั้น คริสเตียนก็ต้องเดินตามแนวทางนี้..ที่พระเจ้าสำแดงไว้เช่นกัน คือ อย่าตัดสินการอยู่ด้วยของพระเจ้าจากอาคารสถานที่ เช่น พอเห็นโบสถ์ใหญ่โตสวยงามก็คิดไปเองว่า..โอโห ดูศักดิ์สิทธิ์จังเลย แต่พอเห็นโบสถ์เล็กๆเก่าๆ ก็รู้สึกไปเอง..ว่าดูไม่น่าศรัทธา อย่างงี้ไม่ใช่แล้ว..อย่างงี้เรียกว่าเราตัดสินจากภาพที่เห็นภายนอก แล้วก็เช่นเดียวกันอย่ามองคนที่ฐานะ การศึกษา การแต่งตัวหรือชื่อเสียงเกียรติยศที่ประดับตัวเขาอยู่ แต่เราต้องมองที่หัวใจและการดำเนินชีวิตของเขา

10 ตอบ ค.พระองค์ตั้งใจจะเตือนให้รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ควบคุมและเป็นผู้มอบทุกอย่างให้ พระเจ้ายังไม่ต้องการวิหารใหญ่โต ถ้าพระองค์ต้องการ..พระองค์จะสั่งเองเหมือนตอนที่ให้สร้างพลับพลา เด็กๆต้องพยายามเข้าใจให้ได้ว่าตอนนี้ ดาวิดกำลังล้ำเส้นไปนิดนึง..ถ้าพระเจ้าปล่อยให้เขาทำอย่างที่ตั้งใจ ต่อไปดาวิดอาจจะปฏิบัติกับพระเจ้าเหมือนที่พวกต่างชาติทำกับพระของเขา โอเค..ทีแรกที่ได้รับพระพรก็รู้สึกเต็มล้นอยากตอบแทน สร้างนู่น..ถวายนี่ แต่ในการมอบถวายของอิสราเอลกับคนต่างชาติ..มันไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือ “ท่าทีในใจ” เพราะคนต่างช่าติเขาจะไหว้พระของเขาเพื่อ..ขอนู่น นี่ นั่น ถ้าให้ชั้น..อันนี้ แล้วชั้นจะถวายอันนั้น หมูเห็ดเป็ดไก่หรืออะไรก็ว่าไป..เป็นการตอบแทน ถ้าเป็นอย่างงี้ เราลองคิดให้ดีว่าใครควบคุมใคร..แล้วตกลงใครใหญ่ แต่สำหรับอิสราเอลแล้วไม่ใช่..

เปิดไปดู บทเพลงของนางฮันนาห์..1ซมอ.2:6-9 “พระเจ้าทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง..เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังตนก็หาไม่”แปลว่าจริงๆแล้วพระเจ้าคือผู้ควบคุม..พระองค์เป็นผู้ประทานทุกอย่างให้..แล้วจะให้หรือไม่ให้ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เรามีหน้าที่ขอบพระคุณไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ตาม..เราก็จะยอมจำนนเพราะน้ำพระทัยของพระเจ้าดีที่สุดเสมอ ถ้าคริสเตียนรู้สึกเต็มล้นมากมายเหลือเกิน อยากจะทดแทนพระคุณพระองค์..สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ”รักพระเจ้าให้มากๆแล้วก็รักซึ่งกันและกัน” แค่นั้นพอ อย่างอื่น..ไม่ต้อง เพราะคำว่าโดยมนุษย์เพื่อพระเจ้านั้น..ไม่มี มีแต่โดยพระองค์เพื่อพระองค์ แต่ถ้าพระเจ้าประสงค์จะให้เราทำอะไรเป็นพิเศษ..พระองค์จะบอกเอง เพราะฉะนั้น การที่ดาวิดอยากสร้างนิเวศน์ให้พระเจ้า..ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าพระเจ้าปล่อยให้เขาทำ จุดนี้อาจเป็นชนวนที่ทำให้ท่าทีในใจมันเพี้ยนไปโดยที่เขาไม่ตั้งใจ แล้วอีกอย่างดาวิดคงเผลอคิดไปหรือไม่ก็คงรู้สึกเกรงใจพระเจ้าที่ตอนนั้นเขาได้อยู่ในวังที่โอ่อ่า แต่พลับพลาของพระเจ้าดูไปแล้วมันซอมซ่อเหลือเกิน เลยหวังดีจะสร้างให้ใหม่ นี่คือจุดที่ทำให้ดาวิดหลงประเด็นไป..เลยคิดจะทำในสิ่งที่พระเจ้ายังไม่ได้สั่ง พระเจ้าเลยต้องติงไว้..ว่า I ต่างหาก!! ที่เป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ you..

11.ตอบ ก.เพราะต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้เพื่อตอบแทนโยนาธาน ไม่ใช่เพราะอยากจะลบล้างความผิดอะไรทั้งนั้น เพราะดาวิดไม่เคยทำผิดต่อซาอูล เพราะฉะนั้น เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อลบล้างความผิด

12.ตอบ ค.มนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนหรือใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่บกพร่องฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่ที่อาดามกับเอวาตกลงไปในความบาป มนุษย์ทุกคนก็มีเชื้อของความบาปติดมาแล้วตั้งแต่เกิด แล้วโดยความบาปนี้เองที่ทำให้เราบกพร่องฝ่ายวิญญาณเหมือนกันหมดทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น

13.ตอบ ข.ดาวิดเห็นนางบัทเชบา..ก็รู้สึกชอบขึ้นมาทันที>> เลยสั่งให้คนไปสืบมาว่าเธอเป็นใคร>>เสร็จแล้วก็รู้ว่าเขามีสามีแล้ว แต่ก็ยังให้คนไปพาตัวมา>>เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง น้าตุ๊กนำเสนอข้อนี้ ไม่ใช่เพื่อจะตอกย้ำความผิดของดาวิด แต่เพื่อให้เด็กๆได้เห็นกลไกการก่อร่างสร้างตัวของความบาปอย่างชัดเจน..ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่..ไปไง..มาไง..แล้วทำไมถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา..เราควรจะตัดมันทิ้งตั้งแต่ตอนไหน มันถึงจะไม่ลุกลามออกไป

14.ตอบ ก.ความบาปเกิดขึ้นเพราะเรายอมออมชอมและไปต่อยอดให้กับมัน แล้วความบาปก็เกิดจากเนื้อหนังของเราเองไม่เกี่ยวกับมาร..มารทำได้แค่ล่อลวง เพราะฉะนั้น ความบาปจุดเล็กๆที่เกิดจากเนื้อหนังจะลุกลามใหญ่โตได้ก็เพราะเราเองที่ไปต่อยอดให้กับมัน ถามว่าเราห้ามความบาปไม่ให้มันก่อกิเลสกับเนื้อหนังตัวเองได้100%มั๊ย (ใครบอกชั้นห้ามได้..ก็ไม่เป็นไร ขอเชิญคนที่ห้ามได้ไปพรูฟตัวเองที่หน้าบัลลังก์พระเจ้าเลยก็แล้วกัน..เราจะไม่ยุ่งกับคุณ) แต่สำหรับน้าตุ๊ก..น้าตุ๊กห้ามไม่ได้100% ตราบใดที่วิญญาณยังไม่ออกจากร่าง คงไม่มีวันเป็นอิสระจากบาปในเนื้อหนัง..ทำได้อย่างมากก็สู้กันจนแหลกไปข้างนึง และความจริงก็คือไม่มีใครไม่บาป อันนี้พระคำภีร์บอก..น้าตุ๊กไม่ได้พูดเอง..

เปิดไปดูหนังสือโรม2:10-18/19-20 “เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้” เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เมื่อเนื้อหนังจะเริ่มทำบาป..ก็รีบตัดวงจรของมันซะ พยายามหยุดมันจนสุดกำลัง..แต่สุดกำลังของเราแค่ไหนพระเจ้าก็จะเป็นผู้ชันสูตรหัวใจว่าเราสุดจริง..หรือเหยาะแหยะ ถ้าเต็มที่จริงๆแล้วแค่ไหนก็แค่นั้น เพราะพระเยซูคริสต์จะทรงแก้ต่างให้กับเรา นี่คือพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

15.ตอบ ค.ทั้งความสำเร็จฝ่ายโลกและจิตวิญญาณที่เติบโตไม่ได้เป็นเกราะป้องกันความบาปได้เลย หลายคนตอบก. หมายความว่ายังเข้าใจว่าเมื่อจิตวิญญาณเติบโตแล้วเราจะไม่ทำบาป..แต่จริงๆไม่ใช่นะคะ เพราะดาวิดก็มีจิตวิญญาณที่เติบโตแต่ก็ยังทำบาป..

เปิดไปดู 1โครินธ์10:12-13 “คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง” เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่า..ชั้นเป็นคนดี ชั้นรู้พระคำภีร์ ชั้นมีความเชื่อ ชั้นรู้สึกมั่นใจ ชั้นเป็นผู้รับใช้ ชั้นเป็นผู้ชอบธรรม ถ้าคำว่า”ชั้น”นำหน้าเมื่อไหร่..รู้ไว้เลยว่าอันตรายแล้ว เพราะเรากำลังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแทนพระเจ้า..สังเกตได้จากคำว่า”ชั้น” เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกมั่นคง ดีพอ หรือปลอดภัย..นั่นคือไม่ปลอดภัย เพราะตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้เนื้อหนังจะต่อสู้พระวิญญาณตลอดเวลา เราจะรู้สึกผิด..รู้สึกกลัว..รู้สึกแย่เป็นส่วนใหญ่ แล้วถ้าพระเจ้ายิ่งให้เราเห็นการสำแดงมากแค่ไหน..เราจะยิ่งเห็นความผิดบาปและความอ่อนแอของตัวเองมากขึ้น..ไม่ใช่เห็นความดีของตัวเองหรือรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะอารมณ์ที่มั่นใจหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี..มันเกิดจากความภาคภูมิของเนื้อหนัง เป็นสัญญาณว่าเรากำลังปล่อยให้ตัวตนครอบงำแทนพระวิญญาณอย่างเต็มขนาด คำพูดของเราเลยสื่อถึงตัวเองมากกว่า”พระเจ้า”

16.ตอบ ข.หลายครั้งภาวะสุขสบายก็อัยตรายต่อจิตวิญญาณ แปลว่าในภาวะที่สุขสบายมนุษย์มักเผลอทำบาปบ่อยๆ..ถ้าไม่เตือนตัวเองให้ติดสนิทกับพระเจ้า ข้อก.บอกว่าพระเจ้าทรงอวยพรดาวิดทุกด้าน..ถูกต้อง แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับบริบทนี้ ส่วนค.บอกว่าเมื่อประสบความสำเร็จทุกคนต้องทำบาปเหมือนดาวิด..ไม่จำเป็น ข้อนี้ไม่ถูกเสมอไป ถ้าเราประสบความสำเร็จแล้วเราคอยระวังย่างเท้าของเรา ให้ติดสนิทกับพระเจ้าอยู่เสมอ ไม่หลงไปวางใจกับชื่อเสียงเกียรติยศหรือทรัพย์สินเงินทอง..ไม่หลุดจากทางของพระเจ้า เราก็อาจจะไม่ทำบาป

17.ตอบ ข.นาธันมาหาดาวิดด้วยการเล่าเรื่อง..จนดาวิดติดกับพลั้งปากพิพากษาตัวเองออกไป>>เสร็จแล้วก็ชี้ให้ดาวิดเห็นความบาปของตัวเอง>>แล้วถึงได้พิพากษาเขาตามพระบัญชาของพระเจ้า ไม่มีการกล่าวโทษ ไม่มีการประจานให้อาย แล้วก็ไม่ก้าวร้าว นี่คือแบบอย่างที่เราต้องจำไว้ ต่อไปถ้าจำเป็นต้องเตือนเพื่อนหรือชี้ให้เขาเห็นความผิดของตัวเองก็จงจำแบบอย่างนี้ไว้ ต้องสุภาพ ถ่อมใจ และที่สำคัญต้องเตือนกันด้วยความรัก

18.ตอบ ข.สำนึกและยอมจำนน ดาวิดเองอาจจะเคยทำผิดหลายครั้งแต่สิ่งที่เราได้เห็นและเรียนรู้จากเขาก็คือ ทุกครั้งที่ถูกเตือนดาวิดจะยอมรับและกลับใจใหม่ทันที ไม่เคยเถียง ไม่เคยแก้ตัว ไม่เคยเฉไฉหรือโยนความผิดไปให้ใครแม้แต่ครั้งเดียว นี่ก็คืออีกเรื่องนึงที่เด็กๆต้องเรียนรู้และเอาเยี่ยงอย่าง เพราะคนเรามันผิดกันได้..ไม่เป็นไร แต่สำคัญคือผิดแล้วต้องยอมรับ กลับใจใหม่ ไม่ต้องโทษนู่น..โทษนี่ให้เสียเวลา เตือนแล้วต้องฟัง..ไม่ใช่เถียง แล้วที่สำคัญอีกอย่าง คือ ทั้งคนเตือนและคนที่ถูกเตือนต้อง”เน้นการแก้ปัญหา” ไม่เน้นการประนามหรือชี้ตัวคนผิดเพื่อเอาแพ้..เอาชนะ

19.ตอบ ก.พระเจ้าทรงยกโทษให้ เพราะพระองค์มีความรักมั่นคงและทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ ถ้าพระองค์เลือกแล้วพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัย ถ้าพระองค์ตรัสแล้วทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้นจริงเสมอ แล้วพระเจ้าตรัสอะไรบ้าง..ก็ทั้งหมดใน“พระคำภีร์”นี่แหละ คือ พระวจนะของพระเจ้า ส่วนข้อข.บอกว่าดาวิดไม่ได้ทำผิด..ข้อนี้ไม่ใช่แน่ เพราะดาวิดก็ผิดพลาดหลายครั้งอยู่ ค.บอกว่าเพราะดาวิดทำดีมากกว่าคนอื่น อันนี้ยิ่งไม่เกี่ยวเลย เปิดไปดูเอเฟซัส 2:8-10 “ท่านทั้งหลายนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา เพื่อไม่ให้คนหนึ่งคนใดอวดได้..” เพื่อไม่ให้ดาวิดอวดได้..เพื่อไม่ให้น้าตุ๊กอวดได้..เพื่อไม่ให้เด็กๆอวดได้..ว่าที่พระเจ้าทรงยกโทษให้และชั้นก็ได้ไปสวรรค์เพราะชั้นทำได้ดีกว่าคนอื่น..ชั้นเก่งกว่าคนอื่น..ชั้นพิเศษกว่าคนอื่น เห็นมะคำว่า ”ชั้น”มาอีกละ

20.ตอบ ค.เพื่ออธิฐานจนถึงที่สุด เผื่อว่าพระเจ้าจะกลับพระทัยไม่ลงโทษ จำไว้..ถึงพระเจ้าจะทรงพิพากษาแล้วก็จงอธิฐานในขณะที่ยังมีความหวัง..เผื่อว่าพระเจ้าจะกลับพระทัยไม่ลงโทษ เหมือนอับราฮัมอธิฐานเพื่อเมืองโสโดมและโกโมราห์ เหมือนโมเสสอธิฐานเพื่อคนอิสราเอล เหมือนที่ดาวิดอธิฐานในบริบทนี้ อย่าทำเหมือนเอลี..ที่เพิกเฉยต่อคำพิพากษาของพระเจ้า

21.ตอบ ค.เพราะนั่นเป็นการสำแดงถึงการยอมรับ..ยอมจำนนในน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร..จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ นั่นก็คือคำตอบจากพระเจ้าที่เราต้องยอมรับเพราะฉะนั้นข้อก.เลยไม่ใช่ข้อที่ถูกเพราะพระเจ้าทรงตอบแล้ว แต่คำตอบแค่ไม่โดนใจ..ไม่ได้แปลว่า..ไม่ตอบ ส่วนข.บอกว่าดาวิดไม่เสียใจที่ลูกตาย..จริงมะ ไม่จริง..ดาวิดเสียใจมากเพราะลูกตายไปทั้งคน แต่เขาจำเป็นต้องมีท่าทีที่ถูกต้องในการยอมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า

22.ตอบ ข.เริ่มจากอัมโนนอยากได้ทามาร์>>แล้วเขาก็เยียดยาวกับความบาป..ปล่อยให้ความบาปมันเกาะกินหัวใจอยู่อย่างงั้นโดยไม่คิดที่จะตัดใจ >>สุดท้ายก็ทำบาปจนได้ แบบเดียวกับดาวิดเป๊ะ เริ่มต้นเหมือนกัน ต่อยอดให้ความบาปเหมือนกัน สุดท้ายก็ทำบาปพอกันในลักษณะเดียวกัน สิ่งที่เรามองเห็นในจุดนี้ก็คือ พระเจ้าทรงทำให้ดาวิดเห็นความบาปของตัวเองในมุมมองของพระองค์และมุมมองของผู้อื่น ดาวิดจะได้รู้ซึ้งว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำ

23.ตอบ ก.เจ้าเล่ห์ ไม่หวังดีกับใคร และมักหว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง โยนาดับไม่ได้รักใครเลยแล้วไม่เคยหวังดีกับใครด้วย เพราะถ้ามีความรักเขาจะไม่ชี้นำให้อัมโนนทำผิด และเขาต้องพยายามยับยั้งอับซาโลมไม่ให้ฆ่าอัมโนนด้วย เพราะเขารู้ก่อนแล้วว่าอับซาโลมจะทำอะไร แต่เขาก็ปล่อยให้อัมโนนถูกฆ่าจนตาย..นี่แหละที่เข้าข่ายชอบเห็นคนอื่นเขาแตกแยกกัน

24.ตอบ ค.ดาวิดปล่อยให้อับซาโลมหนีไปอยู่กับคุณตา คือทัลมัย โดยไม่ทันได้ลงวินัยและไม่คิดจะไปเอาตัวกลับมาลงโทษด้วย เหมือนจะปล่อยให้ลอยนวลแบบเนียนๆซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะความผิดของอับซาโลมก็อุกฉกรรจ์อยู่ ถึงกะฆ่าพี่ตัวเองตาย..ถ้าไม่ลงโทษให้สำนึกหรือกลับใจ..ซักวันมันจะฆ่าพ่อตัวเอง น้าตุ๊กคิดอย่างงี้จริงๆนะ แต่บังเอิญพระคำภีร์ก็บันทึกไว้แล้วว่าอับซาโลมก็เกือบจะฆ่าดาวิดแล้วจริงๆ เรื่องนี้เราต้องจำให้ดี..รักวัวให้ผูก รักลูกก็ต้องกล้าที่จะอบรมสั่งสอนเขา แล้วพูดแต่ปากอย่างเดียวไม่พอต้องมีไม้เรียวด้วยถ้าจำเป็น อย่าใจอ่อน..ปล่อยเลยตามเลยเพราะเขาจะไม่สำนึก..ไม่กลับใจ แล้วสุดท้ายเขาจะกล้าทำอีก ที่สำคัญเขาจะกล้าทำผิดมากกว่าเดิมเหมือนอับซาโลมด้วย เพราะไม่มีใครที่สามารถกลับคืนสู่สภาพดีได้โดยที่ยังไม่กลับใจใหม่

25.ตอบ ค.ดาวิดยอมยกโทษให้อับซาโลมโดยที่เขายังไม่สำนึกผิดและกลับใจใหม่

26.ตอบ ก.คำแนะนำของอาหิโธเฟลไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า และถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า..ต่อให้คำปรึกษานั้นดีเยี่ยมหรือน่าเชื่อถือขนาดไหน..ก็ไม่มีวันเกิดผล อับซาโลมถึงได้เมินต่อคำปรึกษาของอาหิโธเฟล ทั้งที่ถ้าดูตามรูปการแล้วทางเลือกของอาหิโธเฟลน่าจะเวริคและเป็นผลดีต่ออับซาโลม แต่อับซาโลมก็มองไม่เห็นเพราะพระเจ้าทรงกำหนดแล้วให้เป็นไปอีกทาง

27.ตอบ ค.พระเจ้าทรงประสงค์ให้ดาวิดเห็นความบาปของตนเองในมุมมองของผู้อื่น ข้อก.บอกว่า เพราะดาวิดไม่รักครอบครัว ไม่จริงเพราะดาวิดเป็นคนรักพระเจ้า แล้วคนที่รักพระเจ้าก็ต้องรักครอบครัว รักพี่น้อง รักเพื่อนมนุษย์ รักแม้กระทั่งศัตรูได้..ในที่สุด ข้อข.บอก เพราะพระเจ้าต้องการให้ดาวิดเจ็บปวด..อันนี้ก็ไม่ใช่ พระเจ้าลงวินัยเราก็เพราะอยากให้เรางดงาม..เป็นที่ถวายเกียรติต่อพระองค์มากขึ้น แล้วสารพัดที่พระเจ้า..พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเราก็เพราะพระองค์อยากให้เราหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากความบาป พระองค์ไม่เคยอยากเห็นเราเจ็บปวด เพราะถ้าเราเจ็บ..พระเจ้าก็เจ็บด้วย แล้วน้าตุ๊กว่านะ..พระเจ้ารักเรามากว่าเรารักตัวเองด้วยซ้ำ

28.ตอบ ข.ดาวิดยังคงรักและยกโทษให้อับซาโลม..เหมือนพระเจ้าที่ยังคงรักและยกโทษให้เราเสมอ เพราะพระเจ้าเป็นเหมือนพ่อของเรา เหมือนที่ดาวิดเป็นพ่อของอับซาโลม ถึงลูกจะผิดจะพลาดขนาดไหน..ก็ยังรักอยู่ดี ใครจะว่ายังไงก็ช่าง..ก็นี่มันลูกชั้น ชั้นรักของชั้นตัดไม่ตายขายไม่ขาด นี่คือ ภาพที่พระเจ้าประสงค์จะสื่อกับเราผ่านพระคำภีร์ตอนนี้

29.ตอบ ค.พระเยซูทรงไถ่บาปเพื่อเราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลายคนสับสนไปตอบข้อ ข.เพราะไปติดภาพที่ดาวิดถูกพิพากษา เด็กๆต้องทำความเข้าใจใหม่ให้ชัดเจนว่าความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นความรอดฝ่ายวิญญาณ และการไถ่ของพระองค์ก็เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ส่วนการพิพากษาของพระเจ้าที่บันทึกไว้ให้เราเห็นในพระคำภีร์นี้..มันเป็นการพิพากษาฝ่ายโลก และแน่นอน เราเองถ้าทำผิด เราก็ยังต้องกินผลหรือถูกพระเจ้าตีสอนบนโลกใบนี้ แต่ยังไงวิญญาณของเราก็จะรอดถ้าเราเชื่อพระเยซู (ถ้าเราไม่หลงเจิ่นไป จนขนาดที่พระเจ้าต้องตัดทิ้งนะ..เราก็จะรอด) เพราะฉะนั้น เด็กๆอย่าสับสนต้องเข้าใจให้ชัดเจน..แยกแยะให้ได้ระหว่างการถูกพิพากษาบนโลกใบนี้ กับ การถูกพิพากษาฝ่ายวิญญาณ มันคนละเรื่องกันนะ..อย่างง

30.ตอบ ข.ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์คือของประทานที่มีค่าสุดแล้วสำหรับคริสเตียน และพระเจ้าก็ทรงประทานให้พวกเราแล้วอย่างทั่วหน้าและเท่าเทียมกัน (จริงๆแล้ว”ความรอด”มีค่าที่สุดสำหรับมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้นเอง คนที่เชื่อก็จะรับไว้เหมือนพวกเรา ที่ไม่เชื่อเราก็คงช่วยอะไรไม่ได้) ส่วนการเผยพระวจนะ หรือ การทำอัศจรรย์ก็ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการความรอดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้มนุษย์ เป็นแค่ของประทานเล็กๆน้อยเท่านั้นเอง ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อเรา แต่บางครั้ง หลายคนก็หลงไปให้ความสำคัญกับของประทานพวกนี้มากเกินไป เพราะไร..มันเป็นสิ่งที่เราจับต้องมองเห็นได้..ก็เลยตอบสนองความต้องการของเนื้อหนังได้ดี ขณะที่ความรอดนั้น..ต้องใช้ความเชื่อเพราะเรายังมองไม่เห็น..ยังไม่ได้ชิม..ไม่ได้สัมผัส..ไม่ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง หลายครั้ง..ความรอดก็เลยเป็นของประทานที่ถูกลดความสำคัญลงไปหรือน่าสนใจน้อยกว่าของประทานอื่น..สำหรับบางคน

31.ตอบ ค.เพราะดาวิดหลงลืมพระเจ้า..เขานับกำลังพลเพื่อตอบสนองความภาคภูมิใจของตัวเอง ก.บอก เพราะดาวิดกำลังจะทำสงคราม..ไม่ใช่ เพราะดูตามพระคำภีร์แล้ว ตอนนั้นไม่มีสงคราม แล้วถึงจะทำสงครามก็ไม่ได้เป็นความบาป ข.บอกว่า เพราะประชาชนต้องไปรบด้วยความไม่เต็มใจ..ข้อนี้ก็ไม่ใช่คำตอบ เท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่เต็มใจทุกครั้งที่ต้องไปร่วมรบ แต่ถึงไม่เต็มใจก็ต้องไป ถ้าเป็นเวลาที่บ้านเมืองมีศึกสงคราม..ทุกคนต้องช่วยกัน

32.ตอบ ก.เพราะเป็นการพิพากษาที่มาจากพระหัตถ์พระเจ้า..ไม่ใช่เพราะเวลาสั้นที่สุด แต่ดาวิดเลือกที่จะวางใจในพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ ดาวิดแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยมากกว่าเพราะการตีสอนของพระเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตา..ไม่ใช่ตั้งใจจะฆ่าเราให้ตายเหมือนศัตรู ค.บอกว่า ดาวิดอยากให้ประชาชนถูกลงโทษ อันนี้ไม่ใช่แน่นอน..ดาวิดห่วงคนอิสราเอลมากเขาขอร้องให้การพิพากษาตกมาที่เขาคนเดียวด้วยซ้ำ

33.ตอบ ก.พระเยซูคริสต์ คือ อาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ นามเดียวเท่านั้นไม่มีนามอื่น

34.ตอบ ค.ดาวิดเชื่อว่าเราต้องเสียสละบางอย่างในการถวายบูชาพระเจ้า เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่สละอะไรเลยซักอย่าง..ในการถวายบูชา แล้วสำหรับพวกเราในยุคพระคุณสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเราก็เล็กน้อยมากและเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ได้ เพราะมันไม่ใช่เงินทองหรือของถวายอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นชีวิตและจิตวิญญาณของเรา..ที่ต้องมอบถวายแด่พระองค์100% ก.บอก เพราะที่ดินของอาราวนาห์แพง แพง..ไม่แพง ไม่รู้ พระคำภีร์ไม่ได้บอกแต่จะถูกจะแพง..ดาวิดก็ไม่รับฟรีๆอยู่แล้ว ข.บอก อาราวนาห์ไม่เต็มใจมอบให้..ข้อนี้ไม่ใช่เลย เพราะจริงๆแล้วเขาเต็มใจมากแถมเครื่องใช้ไม้สอยให้อีกต่างหาก

35.ตอบ ก.หัวใจที่จดจ่อและยอมจำนนต่อพระเจ้า อย่าเข้าไปนมัสการแต่ตัว..พกเอาหัวใจที่จดจ่อกับพระเจ้าเข้าไปด้วย หลายคนเข้าไปแต่ตัวเพราะในหัวคิดเรื่องอื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วที่แย่กว่านั้นก็คือคุยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย..อย่าทำเลยนะน้าตุ๊กขอร้อง ไม่ใช่ว่าเราพูดไม่ได้เลย..ในห้องประชุม..พูดได้ค่ะ แต่อย่าเยอะ..อย่ายาวแล้วก็อย่าให้มันดังมาก คุยกันคำสองคำ..ไม่เป็นไร ขอให้ส่วนใหญ่หัวใจของเราจดจ่อ..โฟกัสที่พระเจ้าก็แล้วกัน เพราะสิ่งนี้เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าพอพระทัย

เป็นอันว่าเด็กๆก็ได้เช็คตัวเองกันเรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนใหญ่ทุกคนทำคะแนนได้ดีมาก จะมีพลาดไปบ้างก็บางจุดที่แยกแยะได้ไม่ชัดเจน แต่น้าตุ๊กยืนยันว่าการเรียนการสอนของเราก็สัมฤทธิ์ผลค่อนข้างดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่างไรก็ตามสิ่งที่เรารู้ก็จะไม่มีวันเกิดผลถ้าเราไม่นำไปใช้กับชีวิตประจำวันของเรา ขอพระเจ้าประทานกำลังและสติปัญญาให้เด็กๆเติบโตและงดงามเป็นที่ชอบพระทัย เป็นไปตามน้ำพระทัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้านะคะ หลังจากสัปดาห์นี้แล้วน้าตุ๊กจะพักการสอนหนึ่งเดือนโดยประมาณ ระหว่างนี้ครูหนุ่ยจะเข้ามาสอนพวกเราในชั้นเรียนยุวชนนะคะ ส่วนในบล็อกทีนคลาสนี้น้าตุ๊กอาจจะเข้ามาคุยด้วยเป็นบางครั้งจนกว่าจะเข้าสู่บทเรียนในหนังสือพงศ์กษัตริย์ แล้วพบกันค่ะ..ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

บททดสอบ หนังสือ 2 ซามูเอล

1.ใครคือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้

ก.ซาอูล ข.ดาวิด ค.ทั้งซาอูล และดาวิด

2.เราได้ข้อคิดอะไรจาก “คำคร่ำครวญของดาวิดเพื่อซาอูลและโยนาธาน” (2ซมอ.1:17-27) โดยเชื่อมโยงกับหนังสือสุภาษิต10:8-11 / 13:3 / 15:2 /18:6-7

ก.ผู้มีสติปัญญาในทางพระเจ้าต้องพูดทุกเรื่องที่รู้

ข.ผู้มีสติปัญญาในทางพระเจ้าต้องเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา”ตลอดเวลา”

ค.ผู้มีสติปัญญาในทางพระเจ้าต้องเลือกพูดแต่สิ่งที่ควรพูด และ พูดในเวลาที่ถูกที่ควร

3.ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีในการตักเตือนผู้กระทำผิด โดยสัมพันธ์กับ หนังสือกาลาเทีย6:1-2 ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.อธิฐาน..แล้วเตือนด้วยความรักและถ่อมสุภาพ

ข.อธิฐาน..แล้วเตือนด้วยการประจานและชี้ความผิดอย่างตรงไปตรงมา

ค.อธิฐาน..แล้วเตือนด้วยความรักและท่าทีที่แข็งกร้าวเพื่อให้เขาสำนึก

4.การกระทำในข้อไหน สำแดงให้เห็นถึงความ”ไม่เชื่อฟังในพระเจ้า”

ก.ชาวยาเบชกิเลอาดไปเอาศพซาอูลกับโยนาธานกลับมาฝังที่กิเลอาด

ข.อับเนอร์สถาปนาอิชโบเชทขึ้นเป็นกษัตริย์ ค.ชาวยูดาห์สถาปนาดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์

5.จาก2ซมอ.1:11-16 และ 2ซมอ.4:10-12 สำแดงให้เห็นอุปนิสัยด้านใดของดาวิด

ก.ดาวิดไม่ใช่คนฉวยโอกาสและเขารักซาอูลอย่างจริงใจ

ข.ดาวิดเป็นคนฉวยโอกาสแต่เขารักซาอูลอย่างจริงใจ

ค.ดาวิดเป็นคนฉวยโอกาสและไม่จริงเคยใจกับซาอูล

6.การที่ดาวิดต้องอดทนและรอคอยอย่างยาวนาน..ในการที่จะได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ให้ข้อคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคริสเตียน

ก.การเป็นคนที่ไม่ฉวยโอกาส ทำให้เราต้องรอบางอย่างนานเกินไป

ข.การรอคอยเป็นเรื่องบังเอิญ และไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า

ค.การรอคอยไม่ใช่เรื่อบังเอิญ แต่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสเตียน

7.จาก 2ซมอ.5:9 “เมืองของดาวิด” หมายถึงเมืองใด

ก.เยรูซาเล็ม ข.เฮโบรน ค.กิลกาล

8.จาก2ซมอ.5:17-25 เด็กๆคิดว่าดาวิดสามารถชนะฟิลิสเตียได้ถึงสองครั้งเพราะอะไร

ก.ดาวิดเริ่มชำนาญในการรบ ข.ดาวิดขอการทรงนำจากพระเจ้า ค.ฟิลิสเตียเริ่มอ่อนกำลัง

9. “..เราไม่เคยอยู่ในนิเวศ นับแต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ แต่เราก็ไปมากับเต็นท์และพลับพลา เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอลคนใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเราหรือว่า “ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา” จาก2ซมอ.7:5-7 ข้อใดคือความหมายที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เรา

ก.พระองค์ทรงบอกผู้วินิจฉัยของอิสราเอลหลายคนให้สร้างนิเวศเพื่อพระองค์..แต่ไม่มีใครทำ

ข.มีบางคนได้สร้างนิเวศถวายพระเจ้าแต่ไม่เป็นที่โปรดปราน เพราะไม่ได้สร้างด้วยไม้สนสีดาร์

ค.พระเจ้าค์ไม่ทรงประสงค์พระนิเวศ พระองค์ไม่เคยให้ความสำคัญกับอาคารสถานที่หรือสิ่งที่ดูดีแต่เพียงภายนอก

10.จาก 2ซมอ.7:8-11 พระเจ้าทรงชี้ให้เห็นความจริงในข้อใด เมื่อดาวิดจะสร้างพระนิเวศถวายพระองค์

ก.ดาวิดไม่มีความสามารถพอที่จะสร้างนิเวศเพื่อพระองค์ ข.พระเจ้าทรงตำหนิว่าดาวิดคิดเรื่องนี้ช้าเกินไป ค.พระเจ้าทรงเตือนให้รู้ว่าพระองค์เป็นผู้ควบคุม..และทรงเป็นผู้มอบทุกอย่างให้

11.ทำไมดาวิดถึงมีความกรุณาต่อ ”เมฟีโบเชท” (2ซมอ.9:1-7)

ก.เพราะต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้เพื่อตอบแทนโยนาธาน

ข.เพราะต้องการลบล้างความผิดที่ทำไว้กับซาอูล ค.ถูกทั้ง ก.และ ข.

12.ดาวิดเป็นภาพจำลองของพระคริสต์ ส่วนเมฟีโบเชท เป็นภาพที่สำแดงให้เห็นถึง”ผู้ที่เป็นง่อยฝ่ายวิญญาณ”..หมายถึงใคร

ก.ซาอูล ข.คริสเตียน ค.มนุษย์ทุกคน

13.ข้อใดเรียงลำดับเหตุการณ์และกล่าวได้ถูกต้อง

ก.ดาวิดเห็นนางบัทเชบา>>ดาวิดอธิฐานต่อพระเจ้า>>ดาวิดพยายามต่อสู้กับความบาป>>แต่ในที่สุดดาวิดก็ล้มลงในความบาป

ข.ดาวิดเห็นนางบัทเชบา>>ดาวิดสั่งให้คนไปสอบถามว่าเธอเป็นใคร>>ดาวิดสั่งให้คนไปนำตัวบัทเชบามาที่พระราชวัง>>และดาวิดก็ล้มลงในความบาปจนถึงที่สุด

ค.ดาวิดเห็นนางบัทเชบา>>ดาวิดอธิฐานต่อพระเจ้า>>ดาวิดพยายามต่อสู้กับความบาป>>ดาวิดสามารถเอาชนะเนื้อหนังตัวเองได้และไม่ทำบาป

14.จาก2 ซมอ.11:2-5 ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.ความบาปเกิดขึ้นเพราะเรายอมออมชอมและต่อยอดให้กับมัน

ข.มารเป็นฝ่ายหยิบยื่นความบาปให้มนุษย์ ค.ถูกทั้งก.และ ข.

15.ภาพความสำเร็จของดาวิดกับบาปที่เขาทำกับนางบัทเชบา ให้ข้อคิดอะไรแก่เรา

ก.ความสำเร็จฝ่ายโลก ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันความบาป

ข.จิตวิญญาณที่เติบโตสามารถป้องกันความบาปได้

ค.ทั้งความสำเร็จฝ่ายโลก และจิตวิญญาณที่เติบโตไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการทำบาป

16.จุดที่ดาวิดล้มลงในความบาปเนื่องด้วยเรื่องนางบัทเชบา หลังจากที่เขาได้รับความสำเร็จทางโลก..ได้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลพรั่งพร้อมทั้งชื่อเสียงและเงินทอง..ให้ข้อคิดอะไรแก่เรา

ก.พระเจ้าทรงอวยพรดาวิดในทุกด้าน ข.หลายครั้งภาวะสุขสบายก็อันตรายต่อจิตวิญญาณ

ค.เมื่อประสบความสำเร็จทุกคนต้องทำบาปเหมือนดาวิด

17.ผู้เผยพระวจนะ”นาธัน”มาหาดาวิดในลักษณะใด (2ซมอ.12:1-12)

ก.กล่าวโทษรุนแรง>>ประจานให้อาย>>พิพากษา ข.เล่าเรื่อง>>ชี้ให้ดาวิดเห็นความบาป>>พิพากษา

ค.เล่าเรื่อง>>ประจานให้อาย>>พิพากษา

18.เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาดาวิดผ่านทางนาธัน ดาวิดมีท่าทีอย่างไร (2ซมอ.12:13)

ก.ไม่สนใจคำพูดของนาธัน ข.สำนึกและยอมจำนน ค.โกรธ

19.เด็กๆคิดว่าพระเจ้าทรงยกโทษให้ดาวิดเพราะเหตุใด

ก.พระเจ้าทรงมีความรักมั่นคงและสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ

ข.ดาวิดไม่ได้ทำผิด ค..ดาวิดทำความดีมากกว่าคนอื่น

20.ในขณะที่บุตรคนแรกที่เกิดกับนางบัทเชบาป่วยอยู่และยังไม่เสียชีวิต เด็กๆคิดว่าดาวิดอดอาหารเพื่ออะไร (2ซมอ.12:15-17)

ก.เพื่อประท้วงพระเจ้า ข.เพื่อให้นางบัทเชบาเห็นใจ

ค.เพื่ออธิฐานจนถึงที่สุด เผื่อว่าพระเจ้าจะกลับพระทัยไม่ลงโทษ..และบุตรของเขาจะไม่ตาย

21.เพราะเหตุใดดาวิดจึงเลิกอดอาหารทันทีที่บุตรชายคนแรกที่เกิดกับนางบัทเชบาเสียชีวิต (2ซมอ.12:18-21)

ก.เพราะพระเจ้าไม่ตอบคำอธิฐาน ข.เพราะความจริงดาวิดไม่เสียใจที่ลูกเสียชีวิต

ค.เพราะดาวิดยอมรับในน้ำพระทัยของพระเจ้า

22. เกี่ยวกับความบาปที่อัมโนนกระทำต่ดทามาร์ (2ซมอ.13:1-14) ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.อัมโนนอยากได้ทามาร์>>อัมโนนอธิฐานต่อพระเจ้า>>อัมโนนพยายามตัดใจ>>อัมโนนข่มขืนทามาร์ในที่สุด

ข.อัมโนนอยากได้ทามาร์>>อัมโนนเหยียดยาวกับความบาป..ปล่อยให้ตัญหากัดกิน>>อัมโนนวางแผนชั่ว>>อัมโนนข่มขืนทามาร์

ค.อัมโนนอยากได้ทามาร์>>อัมโนนอธิฐานต่อพระเจ้า>>อัมโนนพยายามตัดใจ>>อัมโนนเอาชนะเนื้อหนังได้และไม่ทำบาป

23.จาก 2ซมอ.13:3-5/ 13:32 เด็กๆคิดว่า”โยนาดับ”เป็นคนอย่างไร

ก.เจ้าเล่ห์ ไม่เคยหวังดีกับใคร และมักหว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง

ข.มีความรัก หวังดีและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ค.มีความรักแต่มักหว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง

24.ดาวิดทำอย่างไรกับอับซาโลมเมื่อเขาฆ่าอัมโนน (2ซมอ.13:34-39)

ก.ดาวิดสั่งให้คนไปตามจับอับซาโลม ข.ดาวิดประกาศตัดความสัมพันธ์กับอับซาโลม

ค.ดาวิดปล่อยให้อับซาโลมไปอาศัยอยู่กับทัลมัยและไม่ได้ลงวินัยอับซาโลม

25.เด็กๆคิดว่า..ปัจจัยทางโลกข้อใดที่มีส่วนทำให้อับซาโลมทำบาปจนถึงที่สุด

ก.ดาวิดลงโทษอับซาโลมรุนแรงเกินไป

ข.ดาวิดไม่ยอมยกโทษให้อับซาโลมเมื่อเขาสำนึกผิดและกลับใจใหม่

ค.ดาวิดยอมยกโทษให้อับซาโลมโดยที่เขายังไม่สำนึกผิดและยังไม่กลับใจใหม่

26.จาก 2ซมอ.17:1-14 เด็กๆคิดว่า..ครั้งนี้อับซาโลมไม่เชื่อคำแนะนำของอาหิโธเฟลเพราะเหตุใด

ก.คำแนะนำของอาหิโธเฟลไม่ใช้น้ำพระทัยพระเจ้า ข.คำแนะนำของอาหิโธเฟลไม่น่าเชื่อถือ

ค.คำแนะนำของอาหิโธเฟลไม่เป็นประโยชน์ต่ออับซาโลม

27.เด็กๆคิดว่าเหตุใดพระเจ้าจึงมีน้ำพระทัยให้การพิพากษาตกมาที่ครัวเรือนของดาวิด

ก.เพราะดาวิดไม่รักครอบครัวของเขา

ข.เพราะพระเจ้าทรงต้องการให้ดาวิดเจ็บปวด

ค.เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้ดาวิดเห็นความบาปของตนเองในมุมมองของผู้อื่น

28.ท่าทีของดาวิดที่มีต่ออับซาโลม.. ให้ข้อคิดอะไรแก่เรา

ก.ดาวิดมักลงโทษอับซาโลม..เหมือนพระเจ้ามักลงโทษเรา

ข.ดาวิดยังคงรักและยกโทษให้อับซาโลม..เหมือนพระเจ้าที่ยังคงรักและยกโทษให้เราเสมอ

ค.ดาวิดไม่รักอับซาโลม..ลูกที่มักกระทำผิด..เหมือนพระเจ้าที่ไม่ทรงรักผู้ที่ทำบาป

29.จากหนังสือโรม8:31-33 ข้อใดกล่าวถูกต้อง

ก.พระเยซูทรงไถ่บาปที่เราเคยทำในอดีตและปัจจุบัน

ข.พระเยซูทรงไถ่บาปที่เราจะทำในอนาคต แต่เราต้องถูกพิพากษาบาปที่เราเคยทำในอดีต

ค.พระเยซูทรงไถ่บาปเพื่อเราทั้งในอดีต..ปัจจุบัน..และอนาคต

30.จากหนังสือ 1โครินธ์12:27-31 “..ของประทานอันยิ่งใหญ่กว่านั้น” หมายถึงข้อใด

ก.การเผยพระวจนะ ข.ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์

ค.การกระทำการอัศจรรย์

31.จาก 2ซมอ.24:1-9 เหตุใดการนับจำนวนพลของดาวิดจึงเป็นความบาป

ก.เพราะดาวิดกำลังจะทำสงคราม

ข.เพราะประชาชนต้องไปรบทั้งที่ไม่เต็มใจ

ค.เพราะดาวิดหลงลืมพระเจ้า..จึงนับกำลังพลเพื่อสนองความภาคภูมิใจของตัวเอง

32.เหตุใดดาวิดจึงเลือกให้พระเจ้าลงโทษด้วยการให้เกิดโรคระบาดในอิสราเอล(2ซมอ.24:14)

ก.เพราะเป็นการพิพากษาที่มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า

ข.เพราะเป็นการพิพากษาที่ระยะเวลาสั้นที่สุด

ค.เพราะดาวิดต้องการให้ประชาชนถูกลงโทษ

33.จากยอห์น 6:27 ข้อใดคือความหมายของ “อาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์”

ก.พระเยซูคริสต์ ข.กษัตริย์ดาวิด ค.ยอห์น

34.เหตุใดดาวิดจึงไม่รับข้อเสนอของอาราวนาห์ (2ซมอ.24:22-24)

ก.เพราะที่ดินของอาราวนาห์ราคาแพง

ข.เพราะอาราวนาห์ไม่เต็มใจที่จะมอบให้จริงๆ

ค.เพราะดาวิดเชื่อว่าเราต้องเสียสละบางอย่างในการถวายบูชาแด่พระเจ้า

35.สิ่งใดที่เด็กๆควรมอบถวายแด่พระเจ้าในการนมัสการพระองค์ที่โบสถ์

ก.หัวใจที่จดจ่อและยอมจำนนต่อพระเจ้า

ข.การแต่งกายที่หรูหราภูมิฐาน

ค.ควรผลัดกันจัดเตรียมดอกไม้ประดับในห้องประชุม