ดู อพยพ 1:1-5 เด็กๆควรจะจำได้ว่าเรื่องนี้มันต่อจากหนังสือ”ปฐมกาล”
เรื่องราวของโยเซฟที่ถูกพี่ๆขายไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์ แต่สุดท้ายโยเซฟก็กลับได้ดีเป็นถึงอุปราช เรื่องของโยเซฟก็เป็นความอัศจรรย์มาก ถึงจะถูกขายไปเป็นทาส ถูกกลั่นแกล้งสารพัด แต่ อยู่ไปอยู่มาโยเซฟก็ได้เป็นใหญ่ จนในที่สุดเขาก็เอาพี่น้องเขาไปอยู่ด้วย..อย่างสุขสบายในประเทศอียิปต์ ตามที่หนังสืออพยพบันทึกไว้ในข้อนี้ คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และ ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน และ เบนยามิน ดาน และนัฟทาลี กาดและอาเชอร์ รวมโยเซฟด้วย
ก็คือ 12
เผ่าของอิสราเอลที่เป็นลูกของ “ยาโคป” หรือ อิสราเอล นั่นเอง ข้อที่
5 บอก “คนทั้งปวงที่เป็นเชื้อสายของยาโคบ..หมายถึงที่อพยพไปอยู่กับโยเซฟในประเทศอียิปต์ขณะนั้น..รวมทั้งสิ้นมีเจ็ดสิบคน”
....แต่เดี๋ยวเราจะเห็นว่า ตอนที่โมเสสพาคนอิสราเอลอพยพออกมา พวกเขาน่าจะมีมากกว่าล้านคน
ดู อพยพ 1:7-11 ข้อที่ 7 บอกว่า
“ฝ่ายเชื้อสายของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก
พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น”...บางฉบับใช้คำว่า
“ทวีเป็นประเทศ”
ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ายิวหรือคนอิสราเอล..มันเพิ่มจำนวนขึ้นเร็วและจริง
ตรงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ปฐมกาล( 17:2 ) ว่า “...เราจะทวีพงศ์พันธ์ของเจ้าให้มากขึ้นอย่างยิ่ง”
และถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นจริงอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เพราะไม่ว่าจะถูกพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์หลายต่อหลายครั้ง..ยิวสูญพันธ์ไปจากโลกมั้ย
ไม่เลย..ทุกวันนี้ยังลอยหน้าอยู่เต็มไปหมด..และก็อยู่ทั่วทุกมุมโลกด้วย ดังนั้น
ตลอดระยะเวลาประมาณ 400 ปี..นับจากที่โยเซฟพาพี่น้องของตัวเข้าไปอยู่ในอียิปต์จนถึงสมัยอพยพ ยิวที่อยู่ในอียิปต์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลอย่างรวดเร็ว..จนแทบจะเป็นคนส่วนใหญ่ของอียิปต์แล้วก็ว่าได้..ในเวลานั้น ข้อที่
8 บอกว่า “บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์
ซึ่งมิได้รู้จักกับโยเซฟ”...เพราะมันคนละสมัยแล้ว เขาจึงๆไม่รู้สึกปลื้มกับพวกยิวที่เป็นวงศ์วานของโยเซฟแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ..กษัตริย์องค์นี้รู้สึกระแวงด้วย
เพราะคนยิวหรือฮีบรูมันเพิ่มมากขึ้นเยอะเหลือเกิน..จนเต็มแคว้นโกเชนไปหมด
แล้วแคว้นโกเชนนี้ก็ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไนล์ขึ้นไปทางตอนเหนือ..นั่นหมายความว่ามันอยู่ติดกับชายแดนทางเหนือที่ห่างหูห่างตา..ความระแวงก็เลยเกิดขึ้น.. กษัตริย์ก็กังวลว่าถ้าศัตรูบุกมาทางชายแดนแถบนั้นเกิด
ยิวไปร่วมมือกับศัตรู พูดง่ายๆคิดกบฏต่ออียิปต์..
ฟาโรห์ก็อาจจะแพ้และต้องถูกชิงบัลลังก์ไป เพราะฉะนั้น ตัดปัญหาซะ
ด้วยการกดขี่ยิวหรือฮีบรูไว้..ไม่ให้มีเวลาลืมตาอ้าปาก ด้วยการให้ไปเป็นทาส ข้อที่ 11 บอกว่า “เหตุฉะนั้น เขาจึงตั้งนายงานให้เบียดเบียนคนอิสราเอลด้วยงานตรากตรำ ให้ไปสร้างเมืองเก็บสมบัติของฟาโรห์
คือเมืองปิธม และเมืองราอัมเสส”
ดู อพยพ 1:12-16 “แต่ยิ่งเบียดเบียนคนอิสราเอล ก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป
ชาวอียิปต์ก็ทุกข์ใจเนื่องด้วยชนชาติอิสราเอล” ...คนอียิปต์กลุ้มใจกันมากเลย คนยิว
มันจัครองประเทศแล้ว ...เหมือนคริสเตียน ยิ่งถูกข่มเหง..ถูกล้างผลาญ ก็ยิ่ง
“มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน” (แต่เราเป็นคริสเตียน..อย่าไปทำให้ใครเขากลุ้มใจนะคะ)
จากสาวก 12
คน ผ่านไป 2 พันปี เดี๋ยวนี้มีคนเชื่อพระเยซูมากกว่า 2 พันล้าน นั่นหมายความว่า
“ความทุกข์ยากลำบากและการถูกเบียดเบียน” มันฆ่าเราได้มั้ย..ไม่ได้ มันคือ เครื่องมืออันนึงที่จะฝึกฝนขัดเกลาให้เราเข้มแข็งและอยู่รอดมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนภาษิตอันหนึ่งที่กล่าวไว้ ว่า
“สิ่งที่ไม่ฆ่าฉัน จะทำให้ฉันเข้มแข็งกว่าเดิม”..อันนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง ดังนั้น น้าตุ๊กเสียใจจริงๆที่ต้องบอกว่า”ความทุกข์ยากและปัญหามันจำเป็นมาก..สำหรับมนุษย์” เพราะนั่น คือ
สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเติบโต..ฉลาด
และเข้มแข็ง ข้อที่ 13 บอกว่า “..ชาวอียิปต์จึงบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ
ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา เรียกว่างานหนักทุกชนิด..คนอียิปต์เหมาให้คนอิสราเอลทำหมดเลย
แค่นั้นยังไม่พอ ฟาโรห์ยังสั่งให้หมอตำแย..ฆ่าเด็กชายชาวฮีบรูทุกคน คือ พอคลอดออกมาถ้าเป็นผู้หญิงก็ปล่อยไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้งเลย เพราะสมัยก่อนเขาไม่นับผู้หญิง..เหมือนผู้หญิงมีค่าเท่ากับศูนย์ (เรื่องราวจะคล้ายๆที่เฮโรดสั่งฆ่าเด็กผู้ชาย
ทุกคน สมัยที่พระเยซูคริสต์เกิด
เรื่องราวมันจะเป็นเหมือนภาพซ้อนๆกัน) ข้อที่ 17 บอกว่า “แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามที่กษัตริย์อียิปต์สั่ง
แต่ปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต” ...เห็นมั้ยคะ
เหมือนไม่มีทางรอด..แต่ก็รอด ถ้าเราเป็นของพระเจ้าไม่มีใครแตะต้องเราได้ และพระคำข้อนี้ สอนเราจริงๆ หมอทำคลอดสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งและยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขาถึง “กล้า”..ที่จะขัดคำสั่งฟาโรห์ ข้อที่ 18 บอกว่า
“..เมื่อกษัตริย์ถามนางผดุงครรภ์ว่า
เหตุไฉนเจ้าจึงปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต”...นางผดุงครรภ์ตอบว่าไง “เขามาไม่ทันเพราะหญิงฮีบรูคลอดง่าย..ไม่เหมือนหญิงอียิปต์
เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว คลอดก่อนเขาจะมาถึงทุกที”..เออ เอาสิ
แบบนี้ฟาโรห์ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน แค่ด้วยความต้องการที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือคุมกำเนิดพวกยิวให้ได้..สุดท้าย
ฟาโรห์เลยสั่งให้เอาเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนไปทิ้งที่แม่น้ำ
ดู อพยพ 2:1-5 “มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งจริงๆคือ “โยเคเบด” กับ “อัมราม”
พ่อแม่ของโมเสสนั่นเอง เป็นชาวเลวี..ก็หมายถึงเป็นชาวยิวหรือฮีบรู
เพราะเลวี คือ ลูกคนหนึ่งของยาโคป..เป็นเผ่าหนึ่งของอิสราเอล ข้อนี้ บอกว่า “ฝ่ายภรรยาได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย
และเมื่อนางเห็นว่าทารกเป็นเด็กที่มีรูปงาม นางจึงซ่อนทารกไว้ถึงสามเดือน”....จริงๆก็ลูกอ่ะนะ จะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็ฆ่าไม่ลง หลังจากซ่อนลูกชายไว้นานถึงสามเดือน..ก็คิดว่าซ่อนต่อไปอีกไม่ได้ ก็เลยสานตะกร้ายาด้วยชันกับยางมะตอยอย่างดี..อันนี้
ต้องเรียกว่า ทำเรือลำเล็กๆดีกว่า เพราะเรือที่แล่นตาม
น.ไนล์ ในอียิปต์สมัยนั้นก็ทำด้วยวัสดุเดียวกันนี้..ไม่รั่ว ไม่ซึม
น้ำเข้าไม่ได้
เสร็จก็เอาไปวางที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์
ที่ไปวางตรงกอปรือก็เพราะกอปรือมันจะสูงได้ถึง
16 ฟุต
และสามารที่จะพรางตาและปกป้องตะกร้าไม่ให้ลอยไปตามน้ำเวลาที่มีเรือแล่นมา ข้อที่
4 บอกว่า “ส่วนพี่สาว ..ซึ่งก็คือ
“มีเรียม” นั่นเอง ก็คอยแอบมองอยู่ไกลๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง
ดู อยพ. 2:5-8 ข้อที่ 5 บอกว่า “เมื่อธิดาฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ
ก็มองเห็นตะกร้าที่ต้องบอกว่า ”นางโยเคเบดเอาไปเสียบไว้ตรงกอปรือ”..ธิดาฟาโรห์
จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบมา”...น้าตุ๊กว่า อันนี้ไม่บังเอิญ แม่ของโมเสสคงต้องรู้ว่า ธิดาฟาโรห์จะลงมาอาบน้ำที่ตรงนั่นเป็นประจำ และ เวลาประมาณนั้นด้วย ถึงได้เอาลูกไปวางไว้ น่าจะตั้งใจให้เขาเห็นนะ แล้วก็ได้ผลจริง
เพราะเมื่อเปิดตะกร้าเจอเด็กน้อยน่ารัก
ลองคิดดู..ถ้าเป็นเราล่ะ จะเอาไปเลี้ยงมั้ย..ในขณะที่ถ้าเรามีกำลังทุกอย่างพร้อมเหมือนเจ้าหญิงองค์นี้..เราก็คงจะทำอย่างเดียวกัน
แต่ความจริง
ก็คือ การที่จะให้หรือช่วยเหลือใครสักคน
เราไม่ควรรีรอหรืออยู่บนข้อจำกัดว่า “เดี๋ยวรอให้รวยกว่านี้
..มีเวลามากกว่านี้ หรือพร้อมกว่านี้ เพราะมันอาจจะไม่มีวันนั้นนะคะ และความจริงคือเราสามารถให้ได้ตลอดเวลา..ในสิ่งที่เรามี
อย่างน้อยให้ความรัก..ความเข้าใจ..รับฟัง..หนุนใจ..ให้กำลังใจ ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วยเงินทองเสมอไป ข้อที่ 6
บอกว่า “และเมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้
พระนางจึงทรงกรุณาทารกนั้น..(กรุณา หมายถึงว่าเห็นแล้วก็รักเลย) และตรัสว่า
"นี่เป็นลูกชาวฮีบรู” (เพราะหน้าตามันคงฟ้อง อ่ะนะ) ...พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า
"จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม”...พอเห็นสีหน้าสงสารของธิดาฟาโรห์
มีเรียมก็เสียบเข้ามาทันทีแล้วก็ถามแบบชี้ช่องให้ธิดาฟาโรห์หาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็ก ซึ่งก็ได้ผล..ธิดาฟาโรห์บอกโอเค ! ไปหามาแล้วเดี๋ยวจะให้ค่าจ้าง..ปรากฎมีเรียมก็ไปเรียกแม่มาเลี้ยง
(ลูกตัวเอง)..แถม ได้ค่าจ้าง ถ้าเก็บไว้เลี้ยงเอง..ได้ตังส์มั้ย มีแต่เสียตังส์ อันนี้ แฮปปี้ดีพร้อมเลย แล้วเด็กๆจำไว้นะคะ
พระเจ้ายังทรงทำการแบบนี้อยู่เสมอ..ในเวลาที่มืดมน
ขอแค่เราจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและกล้าที่จะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัย เราจะรู้ได้ไงว่าอะไร คือ
น้ำพระทัยพระเจ้า..เราก็ต้องอ่านพระคำภีร์..มาเรียนพระคัมภีร์ ฟังเทศน์
อธิฐาน อยู่ติดกับพระองค์ให้มากที่สุด
เอเมนมั้ย อย่างแม่ของโมเสส ก็รู้ว่าการฆ่าลูกของตัวเองเป็นสิ่งที่ผิด
แต่ถ้าไม่ทำก็อาจต้องโดนฟาโรห์ฆ่า และความโหดร้ายของฟาโรห์ก็ขึ้นชื่อมาก
แต่เพราะมีความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ทุกอย่าง เขาถึงทำเรื่องนี้ด้วยความกล้าหาญ และสุดท้าย พระเจ้าก็เปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี..ไม่ใช่แค่ดีเฉยๆ
แต่ ดีซ้ำดีซ้อนแบบที่คาดไม่ถึงด้วย เพราะไร.. 1 ลูกได้รอดชีวิต 2 เลี้ยงลูกตัวเองแบบได้ตังส์เพราะมีคนจ้าง 3 ความกล้าหาญของโยเคเบดทำให้ได้มีโมเสส
“ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งต่อไปจะได้นำชนชาติของพระเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส ซึ่งอันนี้ ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ที่สุด
ข้อที่ 10 บอกว่า “เมื่อเลี้ยงจนโต..พอรู้เรื่องแล้ว นางเยโคเบด..ก็ถวายโมเสสคืนให้กับธิดาฟาโรห์ เจ้าหญิงก็ตั้งชื่อให้ว่า
“โมเสส”..ซึ่งแปลว่าฉุดขึ้นมาจากน้ำ เพราะเธอได้ช่วยโมเสสให้รอดตาย..ขึ้นจากแม่น้ำไนล์
อพย.2:11-14 วันนึงเมื่อโมเสสโตขึ้น
คำว่าโตขึ้นคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..น่าจะอายุประมาณ 40 ปี และโมเสสก็รู้ดีว่า..จริงๆแล้วตัวเองไม่ได้เป็นคนอียิปต์..แต่เป็นคนฮีบรู
วันหนึ่งขณะที่เขาออกไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮีบรูพี่น้องชาติเดียวกัน..เขาก็ไปเจอคนอียิปต์กำลังทุบตีคนฮีบรู..ซึ่งคงจะเป็นการลงโทษตามปกติในการควบคุมชาวฮีบรูทำงานให้ได้ตามเป้า
แต่วันนั้น โมเสสทนดูไม่ได้เพราะในใจมันฟ้องอยู่ตลอดว่าคนฮีบรู คือ
พี่น้องชาติเดียวกันกับเขา ข้อที่ 12 บอกว่า “พอเห็นชาวฮีบรูถูกทำร้ายโมเสสก็มองซ้ายมองขวา
พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นโมเสสเลยฆ่าคนอียิปต์ตาย”
แล้วก็ซ่อนศพเอาไว้ในทราย พอวันรุ่งขึ้นโมเสสก็ออกไปอีก
ทีนี้เจอคนฮีบรูทะเลาะกันเอง..ด้วยความหวังดีไม่อยากให้พี่น้องตีกันเอง
โมเสสเลยออกปากห้ามคนฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่ โมเสสบอกว่า “ท่านทุบตีพี่น้องของตัวเองทำไม”..ตีกันเองทำไม พี่น้องชาติเดียวกันมันควรจะรักกันสิ
พอได้ยินอย่างงั้นชาวฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่ก็ตอกกลับโมเสสว่า “ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้านายมาตัดสินพวกเขา ประมาณว่า..มายุ่งอะไรด้วย
ท่านอยากจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์ใช่มั้ย แค่นั้นแหละ..โมเสสตกใจ..
สองคนนี้รู้เรื่องที่เขาฆ่าคนอียิปต์ได้ยังไง..แสดงว่า ป่านนี้คงรู้กันทั่วแล้วมั้งว่าเขาฆ่าคนอียิปต์ตาย
สุดท้าย โมเสสเลยหนี..อยู่ไม่ได้แล้วอียิปต์ และ จากนั้นเป็นต้นมาโมเสสจึงได้ไปอยู่ที่มีเดียน
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ