วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ อพยพ ครั้งที่ 1

 ดู อพยพ 1:1-5  เด็กๆควรจะจำได้ว่าเรื่องนี้มันต่อจากหนังสือ”ปฐมกาล”  เรื่องราวของโยเซฟที่ถูกพี่ๆขายไปเป็นทาสในประเทศอียิปต์  แต่สุดท้ายโยเซฟก็กลับได้ดีเป็นถึงอุปราช    เรื่องของโยเซฟก็เป็นความอัศจรรย์มาก  ถึงจะถูกขายไปเป็นทาส ถูกกลั่นแกล้งสารพัด แต่ อยู่ไปอยู่มาโยเซฟก็ได้เป็นใหญ่  จนในที่สุดเขาก็เอาพี่น้องเขาไปอยู่ด้วย..อย่างสุขสบายในประเทศอียิปต์  ตามที่หนังสืออพยพบันทึกไว้ในข้อนี้    คือ  รูเบน สิเมโอน เลวี และ ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน และ เบนยามิน ดาน และนัฟทาลี กาดและอาเชอร์  รวมโยเซฟด้วย ก็คือ 12 เผ่าของอิสราเอลที่เป็นลูกของ “ยาโคป”  หรือ อิสราเอล นั่นเอง   ข้อที่ 5 บอก “คนทั้งปวงที่เป็นเชื้อสายของยาโคบ..หมายถึงที่อพยพไปอยู่กับโยเซฟในประเทศอียิปต์ขณะนั้น..รวมทั้งสิ้นมีเจ็ดสิบคน” ....แต่เดี๋ยวเราจะเห็นว่า ตอนที่โมเสสพาคนอิสราเอลอพยพออกมา   พวกเขาน่าจะมีมากกว่าล้านคน 
ดู อพยพ 1:7-11  ข้อที่ 7 บอกว่า “ฝ่ายเชื้อสายของอิสราเอลมีลูกหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว และแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น”...บางฉบับใช้คำว่า “ทวีเป็นประเทศ”  ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนว่ายิวหรือคนอิสราเอล..มันเพิ่มจำนวนขึ้นเร็วและจริง ตรงตามที่พระเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ปฐมกาล( 17:2 ) ว่า “...เราจะทวีพงศ์พันธ์ของเจ้าให้มากขึ้นอย่างยิ่ง”  และถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นจริงอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เพราะไม่ว่าจะถูกพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์หลายต่อหลายครั้ง..ยิวสูญพันธ์ไปจากโลกมั้ย  ไม่เลย..ทุกวันนี้ยังลอยหน้าอยู่เต็มไปหมด..และก็อยู่ทั่วทุกมุมโลกด้วย   ดังนั้น ตลอดระยะเวลาประมาณ 400 ปี..นับจากที่โยเซฟพาพี่น้องของตัวเข้าไปอยู่ในอียิปต์จนถึงสมัยอพยพ   ยิวที่อยู่ในอียิปต์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลอย่างรวดเร็ว..จนแทบจะเป็นคนส่วนใหญ่ของอียิปต์แล้วก็ว่าได้..ในเวลานั้น   ข้อที่ 8 บอกว่า  “บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ ซึ่งมิได้รู้จักกับโยเซฟ”...เพราะมันคนละสมัยแล้ว  เขาจึงๆไม่รู้สึกปลื้มกับพวกยิวที่เป็นวงศ์วานของโยเซฟแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ..กษัตริย์องค์นี้รู้สึกระแวงด้วย  เพราะคนยิวหรือฮีบรูมันเพิ่มมากขึ้นเยอะเหลือเกิน..จนเต็มแคว้นโกเชนไปหมด  แล้วแคว้นโกเชนนี้ก็ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไนล์ขึ้นไปทางตอนเหนือ..นั่นหมายความว่ามันอยู่ติดกับชายแดนทางเหนือที่ห่างหูห่างตา..ความระแวงก็เลยเกิดขึ้น..  กษัตริย์ก็กังวลว่าถ้าศัตรูบุกมาทางชายแดนแถบนั้นเกิด ยิวไปร่วมมือกับศัตรู  พูดง่ายๆคิดกบฏต่ออียิปต์.. ฟาโรห์ก็อาจจะแพ้และต้องถูกชิงบัลลังก์ไป    เพราะฉะนั้น ตัดปัญหาซะ  ด้วยการกดขี่ยิวหรือฮีบรูไว้..ไม่ให้มีเวลาลืมตาอ้าปาก  ด้วยการให้ไปเป็นทาส  ข้อที่ 11 บอกว่า “เหตุฉะนั้น เขาจึงตั้งนายงานให้เบียดเบียนคนอิสราเอลด้วยงานตรากตรำ  ให้ไปสร้างเมืองเก็บสมบัติของฟาโรห์ คือเมืองปิธม และเมืองราอัมเสส”   
ดู อพยพ 1:12-16   แต่ยิ่งเบียดเบียนคนอิสราเอล  ก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ทุกข์ใจเนื่องด้วยชนชาติอิสราเอล”  ...คนอียิปต์กลุ้มใจกันมากเลย คนยิว มันจัครองประเทศแล้ว  ...เหมือนคริสเตียน  ยิ่งถูกข่มเหง..ถูกล้างผลาญ ก็ยิ่ง “มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน”  (แต่เราเป็นคริสเตียน..อย่าไปทำให้ใครเขากลุ้มใจนะคะ) จากสาวก 12 คน ผ่านไป 2 พันปี  เดี๋ยวนี้มีคนเชื่อพระเยซูมากกว่า 2 พันล้าน   นั่นหมายความว่า “ความทุกข์ยากลำบากและการถูกเบียดเบียน” มันฆ่าเราได้มั้ย..ไม่ได้  มันคือ เครื่องมืออันนึงที่จะฝึกฝนขัดเกลาให้เราเข้มแข็งและอยู่รอดมากขึ้นกว่าเดิม   เหมือนภาษิตอันหนึ่งที่กล่าวไว้ ว่า “สิ่งที่ไม่ฆ่าฉัน  จะทำให้ฉันเข้มแข็งกว่าเดิม”..อันนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง   ดังนั้น น้าตุ๊กเสียใจจริงๆที่ต้องบอกว่า”ความทุกข์ยากและปัญหามันจำเป็นมาก..สำหรับมนุษย์”  เพราะนั่น คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราเติบโต..ฉลาด  และเข้มแข็ง  ข้อที่ 13 บอกว่า “..ชาวอียิปต์จึงบังคับคนอิสราเอลให้ทำงานหนัก และทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา  เรียกว่างานหนักทุกชนิด..คนอียิปต์เหมาให้คนอิสราเอลทำหมดเลย   แค่นั้นยังไม่พอ  ฟาโรห์ยังสั่งให้หมอตำแย..ฆ่าเด็กชายชาวฮีบรูทุกคน  คือ พอคลอดออกมาถ้าเป็นผู้หญิงก็ปล่อยไป  แต่ถ้าเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้งเลย  เพราะสมัยก่อนเขาไม่นับผู้หญิง..เหมือนผู้หญิงมีค่าเท่ากับศูนย์  (เรื่องราวจะคล้ายๆที่เฮโรดสั่งฆ่าเด็กผู้ชาย ทุกคน  สมัยที่พระเยซูคริสต์เกิด เรื่องราวมันจะเป็นเหมือนภาพซ้อนๆกัน)   ข้อที่ 17 บอกว่า “แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามที่กษัตริย์อียิปต์สั่ง แต่ปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต” ...เห็นมั้ยคะ เหมือนไม่มีทางรอด..แต่ก็รอด  ถ้าเราเป็นของพระเจ้าไม่มีใครแตะต้องเราได้   และพระคำข้อนี้ สอนเราจริงๆ หมอทำคลอดสองคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งและยืนหยัดที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เขาถึง “กล้า”..ที่จะขัดคำสั่งฟาโรห์    ข้อที่ 18  บอกว่า “..เมื่อกษัตริย์ถามนางผดุงครรภ์ว่า เหตุไฉนเจ้าจึงปล่อยให้เด็กชายชาวฮีบรูรอดชีวิต”...นางผดุงครรภ์ตอบว่าไง  “เขามาไม่ทันเพราะหญิงฮีบรูคลอดง่าย..ไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เพราะเขามีกำลังมากจึงคลอดบุตรโดยเร็ว   คลอดก่อนเขาจะมาถึงทุกที”..เออ เอาสิ แบบนี้ฟาโรห์ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน    แค่ด้วยความต้องการที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือคุมกำเนิดพวกยิวให้ได้..สุดท้าย ฟาโรห์เลยสั่งให้เอาเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนไปทิ้งที่แม่น้ำ    
ดู อพยพ 2:1-5  “มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง  ซึ่งจริงๆคือ “โยเคเบด” กับ “อัมราม” พ่อแม่ของโมเสสนั่นเอง  เป็นชาวเลวี..ก็หมายถึงเป็นชาวยิวหรือฮีบรู  เพราะเลวี คือ ลูกคนหนึ่งของยาโคป..เป็นเผ่าหนึ่งของอิสราเอล  ข้อนี้ บอกว่า “ฝ่ายภรรยาได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และเมื่อนางเห็นว่าทารกเป็นเด็กที่มีรูปงาม นางจึงซ่อนทารกไว้ถึงสามเดือน”....จริงๆก็ลูกอ่ะนะ  จะน่ารักหรือไม่น่ารักมันก็ฆ่าไม่ลง   หลังจากซ่อนลูกชายไว้นานถึงสามเดือน..ก็คิดว่าซ่อนต่อไปอีกไม่ได้   ก็เลยสานตะกร้ายาด้วยชันกับยางมะตอยอย่างดี..อันนี้ ต้องเรียกว่า ทำเรือลำเล็กๆดีกว่า  เพราะเรือที่แล่นตาม น.ไนล์ ในอียิปต์สมัยนั้นก็ทำด้วยวัสดุเดียวกันนี้..ไม่รั่ว ไม่ซึม น้ำเข้าไม่ได้  เสร็จก็เอาไปวางที่กอปรือริมแม่น้ำไนล์   ที่ไปวางตรงกอปรือก็เพราะกอปรือมันจะสูงได้ถึง 16 ฟุต และสามารที่จะพรางตาและปกป้องตะกร้าไม่ให้ลอยไปตามน้ำเวลาที่มีเรือแล่นมา   ข้อที่ 4 บอกว่า “ส่วนพี่สาว ..ซึ่งก็คือ “มีเรียม” นั่นเอง  ก็คอยแอบมองอยู่ไกลๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง  
ดู อยพ. 2:5-8  ข้อที่ 5 บอกว่า “เมื่อธิดาฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ  ก็มองเห็นตะกร้าที่ต้องบอกว่า ”นางโยเคเบดเอาไปเสียบไว้ตรงกอปรือ”..ธิดาฟาโรห์ จึงสั่งให้สาวใช้ไปหยิบมา”...น้าตุ๊กว่า อันนี้ไม่บังเอิญ  แม่ของโมเสสคงต้องรู้ว่า ธิดาฟาโรห์จะลงมาอาบน้ำที่ตรงนั่นเป็นประจำ และ เวลาประมาณนั้นด้วย  ถึงได้เอาลูกไปวางไว้ น่าจะตั้งใจให้เขาเห็นนะ   แล้วก็ได้ผลจริง เพราะเมื่อเปิดตะกร้าเจอเด็กน้อยน่ารัก  ลองคิดดู..ถ้าเป็นเราล่ะ  จะเอาไปเลี้ยงมั้ย..ในขณะที่ถ้าเรามีกำลังทุกอย่างพร้อมเหมือนเจ้าหญิงองค์นี้..เราก็คงจะทำอย่างเดียวกัน   
แต่ความจริง ก็คือ การที่จะให้หรือช่วยเหลือใครสักคน   เราไม่ควรรีรอหรืออยู่บนข้อจำกัดว่า “เดี๋ยวรอให้รวยกว่านี้ ..มีเวลามากกว่านี้  หรือพร้อมกว่านี้  เพราะมันอาจจะไม่มีวันนั้นนะคะ  และความจริงคือเราสามารถให้ได้ตลอดเวลา..ในสิ่งที่เรามี  อย่างน้อยให้ความรัก..ความเข้าใจ..รับฟัง..หนุนใจ..ให้กำลังใจ  ไม่จำเป็นต้องช่วยด้วยเงินทองเสมอไป   ข้อที่ 6 บอกว่า “และเมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางจึงทรงกรุณาทารกนั้น..(กรุณา หมายถึงว่าเห็นแล้วก็รักเลย) และตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู” (เพราะหน้าตามันคงฟ้อง อ่ะนะ)        ...พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม”...พอเห็นสีหน้าสงสารของธิดาฟาโรห์   มีเรียมก็เสียบเข้ามาทันทีแล้วก็ถามแบบชี้ช่องให้ธิดาฟาโรห์หาแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็ก   ซึ่งก็ได้ผล..ธิดาฟาโรห์บอกโอเค ! ไปหามาแล้วเดี๋ยวจะให้ค่าจ้าง..ปรากฎมีเรียมก็ไปเรียกแม่มาเลี้ยง (ลูกตัวเอง)..แถม ได้ค่าจ้าง  ถ้าเก็บไว้เลี้ยงเอง..ได้ตังส์มั้ย  มีแต่เสียตังส์  อันนี้ แฮปปี้ดีพร้อมเลย  แล้วเด็กๆจำไว้นะคะ พระเจ้ายังทรงทำการแบบนี้อยู่เสมอ..ในเวลาที่มืดมน  ขอแค่เราจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและกล้าที่จะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องตามน้ำพระทัย   เราจะรู้ได้ไงว่าอะไร คือ น้ำพระทัยพระเจ้า..เราก็ต้องอ่านพระคำภีร์..มาเรียนพระคัมภีร์  ฟังเทศน์  อธิฐาน  อยู่ติดกับพระองค์ให้มากที่สุด เอเมนมั้ย    อย่างแม่ของโมเสส  ก็รู้ว่าการฆ่าลูกของตัวเองเป็นสิ่งที่ผิด แต่ถ้าไม่ทำก็อาจต้องโดนฟาโรห์ฆ่า  และความโหดร้ายของฟาโรห์ก็ขึ้นชื่อมาก  แต่เพราะมีความเชื่อว่าพระเจ้าช่วยได้ทุกอย่าง  เขาถึงทำเรื่องนี้ด้วยความกล้าหาญ  และสุดท้าย พระเจ้าก็เปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี..ไม่ใช่แค่ดีเฉยๆ แต่ ดีซ้ำดีซ้อนแบบที่คาดไม่ถึงด้วย    เพราะไร.. 1 ลูกได้รอดชีวิต   2 เลี้ยงลูกตัวเองแบบได้ตังส์เพราะมีคนจ้าง   3 ความกล้าหาญของโยเคเบดทำให้ได้มีโมเสส “ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งต่อไปจะได้นำชนชาติของพระเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส  ซึ่งอันนี้ ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ที่สุด
ข้อที่ 10 บอกว่า “เมื่อเลี้ยงจนโต..พอรู้เรื่องแล้ว  นางเยโคเบด..ก็ถวายโมเสสคืนให้กับธิดาฟาโรห์  เจ้าหญิงก็ตั้งชื่อให้ว่า “โมเสส”..ซึ่งแปลว่าฉุดขึ้นมาจากน้ำ   เพราะเธอได้ช่วยโมเสสให้รอดตาย..ขึ้นจากแม่น้ำไนล์ 

อพย.2:11-14  วันนึงเมื่อโมเสสโตขึ้น  คำว่าโตขึ้นคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว..น่าจะอายุประมาณ 40 ปี  และโมเสสก็รู้ดีว่า..จริงๆแล้วตัวเองไม่ได้เป็นคนอียิปต์..แต่เป็นคนฮีบรู   วันหนึ่งขณะที่เขาออกไปเที่ยวดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮีบรูพี่น้องชาติเดียวกัน..เขาก็ไปเจอคนอียิปต์กำลังทุบตีคนฮีบรู..ซึ่งคงจะเป็นการลงโทษตามปกติในการควบคุมชาวฮีบรูทำงานให้ได้ตามเป้า  แต่วันนั้น โมเสสทนดูไม่ได้เพราะในใจมันฟ้องอยู่ตลอดว่าคนฮีบรู คือ พี่น้องชาติเดียวกันกับเขา   ข้อที่ 12 บอกว่า พอเห็นชาวฮีบรูถูกทำร้ายโมเสสก็มองซ้ายมองขวา  พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นโมเสสเลยฆ่าคนอียิปต์ตาย”  แล้วก็ซ่อนศพเอาไว้ในทราย   พอวันรุ่งขึ้นโมเสสก็ออกไปอีก ทีนี้เจอคนฮีบรูทะเลาะกันเอง..ด้วยความหวังดีไม่อยากให้พี่น้องตีกันเอง  โมเสสเลยออกปากห้ามคนฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่  โมเสสบอกว่า ท่านทุบตีพี่น้องของตัวเองทำไม”..ตีกันเองทำไม  พี่น้องชาติเดียวกันมันควรจะรักกันสิ   พอได้ยินอย่างงั้นชาวฮีบรูที่ทะเลาะกันอยู่ก็ตอกกลับโมเสสว่า ใครแต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้านายมาตัดสินพวกเขา  ประมาณว่า..มายุ่งอะไรด้วย  ท่านอยากจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์ใช่มั้ย  แค่นั้นแหละ..โมเสสตกใจ..  สองคนนี้รู้เรื่องที่เขาฆ่าคนอียิปต์ได้ยังไง..แสดงว่า ป่านนี้คงรู้กันทั่วแล้วมั้งว่าเขาฆ่าคนอียิปต์ตาย  สุดท้าย โมเสสเลยหนี..อยู่ไม่ได้แล้วอียิปต์    และ จากนั้นเป็นต้นมาโมเสสจึงได้ไปอยู่ที่มีเดียน
  พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ