วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นังสือ 2พงศ์กษัตริย์ ครั้งที่3 อาทิตย์ที่ 4:12:2011

พระธรรม2พกษ.เริ่มต้น ด้วยการบันทึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับก.อาหัสยาห์ที่พลัดตกลงมาจากหน้าต่างของห้องชั้นบนในกรุงสะมาเรีย..คงจะบาดเจ็บสาหัส อาหัสยาห์เลยให้คนไปถามพระบาอัล..ว่าเขาจะมีโอกาสหายมั๊ย พระเจ้าเลยใช้เอลียาห์ไปเผยพระวจนะกับผู้สื่อสารของอาหัสยาห์..ว่าในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าแล้วหรือไง ถึงต้องไปถามพระบาอัล เพราะฉะนั้น อาหัสยาห์จะไม่ได้ลุกจากที่นอนอีกเลย ..ความหมายของพระเจ้าก็คือ นี่เราไม่รู้จักกันแล้วใช่มั๊ย..ยูถึงมองข้ามพระเจ้า..หันหน้าไปหาพระบาอัล ถ้างั้น..ก็นอนไปเลย ไม่ต้องลุกขึ้นมาอีก..ประมาณนี้ ! พอคำพิพากษาของเอลียาห์รู้ถึงหูอาหัสยาห์..อาหัสยาห์โกรธมาก..สั่งให้ทหารไปจับตัวเอลียาห์..เอลียาห์เสกไฟในนามพระเจ้าให้ตกมาเผาทหาร 2 ชุดแรก..100 คน..ตายเกลี้ยง จากนั้น อาหัสยาห์ก็ส่งชุดที่ 3 มาอีก ปรากฎว่า ชุดนี้..กลัวตาย เพราะเห็นแล้วว่าสองชุดแรกถูกเอลียาห์เผาเกลี้ยง ก็เลยกลัวตัวเองจะถูกเผาเหมือน2ชุดแรก พวกเขาก็เลย..คุกเข่าลงขอชีวิตจากเอลียาห์ เอลียาห์ก็เลยลงมาจากภูเขาแล้วก็พิพากษาอาหัสยาห์ จากนั้นไม่นาน อาหัสยาห์ก็ตาย

จากนั้น ในบทที่ 2 ก็เป็นเรื่องราวการสืบทอดสิทธิอำนาจของ”เอลียาห์” ไปสู่ “เอลีชา”พระคำภีร์บันทึกว่าเอลีชาได้เห็นเอลียาห์ถูกรับขึ้นไปทั้งที่ยังมีชีวิตโดยรถม้าเพลิงของพระเจ้า แล้วพระคำภีร์ก็ยังกล่าวถึงการอัศจรรย์มากมายที่พระเจ้าทรงทำผ่านเอลีชา เพื่อเป็นการการันตีว่าพระองค์ทรงเลือกเอลีชาให้เป็นคนของพระองค์ต่อจากเอลียาห์ ด้วย”ส่วนของสิทธิบุตรหัวปีคือ เป็นสองเท่าของเอลียาห์

และสุดท้ายที่เราเรียนค้างไว้ในบทที่ 5 เป็นเรื่องของนาอามาน แม่ทัพใหญ่ของซีเรีย..ที่เป็นโรคเรื้อน..แล้วมาขอให้เอลีชารักษาให้ จนในที่สุด นาอามานก็หายจากโรคเรื้อน แล้วเขาก็กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า..หันมานมัสการพระเจ้าของอิสราเอลแต่เพียงพระองค์เดียว ก็นับเป็นโชคดีของเขาจริงๆที่ได้รู้ข่าวดีนี้จากเด็กหญิงชาวสะมาเรีย นอกจากนั้น พอนาอามานหายแล้วเขาก้อยากจะมอบของกำนัลมากมายให้เอลีชา..แต่เอลีชาไม่รับ เพราะเอลีชาถือว่าของประทานในการรักษานี้เขาได้มาฟรีๆ ก็มีหน้าที่ต้องส่งต่อไป..ฟรีๆเหมือนกัน เพราะแท้จริงแล้วพระเจ้าคือผู้รักษา..ไม่ใช่เอลีชา เรื่องอย่างนี้พวกเราต้องไม่ลืม ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราก็ได้มาฟรีทั้งนั้น อะไรที่ให้ออกไปได้..ก็จงให้ออกไป แล้วไม่ต้องคิดเยอะ ให้แล้วจบ..ไม่ต้องไปเจ้ากี้เจ้าการหรือถือเป็นบุญคุณกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราถวายกลับคืนสู่พระเจ้า ..ในพระนิเวศน์ของพระองค์ หลายคนชอบวิพากย์วิจารณ์ในเวลาที่คริสตจักรจะใช้สอยในราชกิจของพระเจ้า “ทำไมไม่ซื้ออันนั้น มาซื้ออันนี้ทำไม” “ซื้ออันนี้ทำไมไม่เห็นจำเป็น”..อย่างนี้ เป็นต้น..”อย่าทำ” จำไว้..ไม่ว่าคุณจะถวายเยอะขนาดไหน คุณก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินคริสตจักรหรือผู้รับใช้ เพราะแท้จริงแล้วทุกอย่างที่เรามีมันของพระเจ้าทั้งนั้น..แม้ว่าเราจะเป็นคนออกแรงไปหามาก็ตาม แล้วถ้าผู้นำกระทำสิ่งที่ไม่สมควร นั่นคือปัญหาของเขา..ที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า..ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเหยียดมือออกไปแตะต้องผู้รับใช้ (เรื่องนี้ จริงๆต้องสอนกันอีกยืดยาว แต่ตอนนี้ขอทดไว้ก่อน)

ดู 2พกษ.5:17-18 ในเมื่อเซ้าซี้ยังไงเอลีชาก็ไม่ยอมรับของกำนัล นาอามานเลยบอกว่า ”มิฉะนั้นขอท่านได้โปรดให้ดินบรรทุกล่อสักสองตัวให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแก่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระเจ้าเท่านั้น” เราอยากเห็นมนุษย์ทุกชาติพันธ์พูดคำนี้นะคะ “..จากนี้ไปนาอามานจะไม่กราบไหว้พระอื่นอีกเลย แต่เขาจะนมัสการพระเจ้าของอิสราเอลองค์เดียวเท่านั้น” อามานบอกเอลีชาว่า ถ้างั้นเขาขอดินที่ดินแดนอิสราเอลใส่ล่อสองตัวเอากลับไปบ้านด้วย เอาไปทำไม..ดิน เพราะคนสมัยนั้นเขาเชื่อว่า “พระเจ้าทรงผูกพันอยู่กับดินแดนอิสราเอล(หรือปาเลสไตน์)” เพราะฉะนั้น เขาเลยถือว่า..ดินในเขตแดนของอิสราเอล..เนี้ย เป็นดินศักดิ์สิทธิ์..เป็นดินของพระเจ้า แล้วในปฐก.28:10-13 ก็บอกว่า ”ที่เมืองฮาราน” (ซึ่งก็คือที่ดินแดนคานาอัน) ยาโคปหลับไป..แล้วฝันเห็นพระเจ้าประทับอยู่เหนือบันได..ที่ซึ่งทูตสวรรค์ขึ้นลงอยู่ แล้วเขาเลยเรียกที่นั่นว่า”เบธเอล” อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ยิวยังยึดติดแล้วก็หวงดินแดนปาเลสไตน์มาก เพราะเขาเชื่อว่าที่นั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้าแล้วจุดเชื่อมหรือประตูแห่งฟ้าสวรรค์ก็อยู่ตรงนั้น..ที่คานาอัน เพราะฉะนั้น นาอามานเลยตั้งใจว่าจะขอดินแห่งอิสราเอลกลับไป เพื่อที่เวลานมัสการพระเจ้าเขาจะได้คุกเข่าลงต่อหน้าดินนั้น (คงจะให้ความรู้สึกเหมือนได้นมัสการอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ประมาณนั้น..)

ข้อที่18 นาอามานบอกต่อไปว่า..”แต่ขอพระเจ้ายกโทษให้เขาด้วย ที่เขายังต้องเข้าไปในวิหารพระริมโมน เพราะกษัตริย์ซีเรียจะเข้าไปนมัสการในนิเวศของพระริมโมน แล้วพระองค์ต้องพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้า” ..นาอามานมีหน้าที่ต้องประคองเวลาที่กษัตริย์จะก้มคำนับพระริมโมน ดังนั้น เมื่อเขาโน้มตัวลงต่อหน้าพระริมโมนนั้นขอพระเจ้ายกโทษและเข้าใจเขาด้วยว่า..เขาไม่ได้ก้มลงกราบไหว้พระริมโมนนะ..เขาแค่ทำตามหน้าที่

ดู 2พกษ.5:20-21/22 แทนที่เรื่องจะจบลงอย่างแฮปปี้ดีพร้อม มันก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้นจนได้ ข้อนี้ บอกว่า “เกหะซี คนรับใช้ของเอลีชา พอได้เห็นของกำนัลที่นาอามานเอามาแล้ว..อยากได้ มันติดตาจนลืมไม่ลง ทั้งเงินทอง เสื้อผ้าอย่างดี เห็นแล้ว..อยากได้จนทนไม่ไหว..เลยวิ่งตามไป ไปถึงก็แต่งเรื่องเสร็จสรรพเลย..บอกว่า”พอดีมีเพื่อนที่เป็นผู้เผยพระวจนะมาจากเทือกเขาเอฟราอิม เลยอยากจะมาขอเงินนาอามานซักตะลันต์นึง (ประมาณ 34 กิโล) กับ เสื้อผ้าดีๆอีก 2 ชุด..ไปกำนัลเพื่อน นาอามานพอได้ยินอย่างงั้น บอก..เอาไปเลย 2 ตะลันต์ แถมให้คนช่วยขนไปส่งด้วยเพราะ 2 ตะลันต์เยอะมาก 60 กว่ากิโล พอกลับมาเกหะซีก็เอาเงินสองตะลันต์กับเสื้อผ้าเริ่ดๆอีกสองชุดไปเก็บเงียบเรียบร้อย เสร็จแล้วก็ออกมาดูแลรับใช้เอลีชาตามปกติ..ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระเจ้ารู้มั๊ย รู้..เห็นทั้งหมดแล้วพระองค์ก็บอกเอลีชาเรียบร้อยละ..ว่าเกหะซีไปทำไรมา พอเกหะซีมาอยู่ต่อหน้า..เอลีชาก็ถามว่า "เกหะซี เจ้าไปไหนมา" ถามว่าเอลีชารู้มั้ยว่าเกหะซีไปไหน..รู้..แล้วถามทำไม เวลาที่เด็กๆทำความผิดแล้วคุณพ่อ คุณแม่หรือผู้ใหญ่ถาม..อย่านึกว่าเขาไม่รู้ว่าเราทำอะไร แต่ที่ถามเนี่ย ! ก็เพื่อให้โอกาส..เผื่อว่าจะกลับใจแล้วยอมรับผิดมาตรงๆ เพราะน้าตุ๊กสอนหลายครั้งแล้วว่าคนเรามันผิดกันได้ ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์เราก็มักทำผิดพลาด แต่สิ่งสำคัญที่พระเจ้าสอนเรา คือ ให้เราสำนึกและกลับใจใหม่ อิสราเอลกับยูดาห์ก็ต่างกันแค่นี้เอง แต่เกหะซี บอก..เปล่า ไม่ได้ไปไหนเลย ถ้าภาษาน้าตุ๊กอย่างงี้เขาเรียกว่า”อุตส่าห์ทอดสะพานให้ แต่ยังไม่ยอมเดินข้ามมา” ยังอยากจะไปเดินวกวนจนหาที่ลงไม่ได้ เกหะซีไม่มีทีท่าที่จะสำนึกผิดหรือตะขิดตะขวงใจเลย ข้อที่ 26 เอลีชาบอกว่า “..นั่นเป็นเวลาควรที่จะรับเงิน รับเสื้อผ้า สวนต้นมะกอกเทศ และสวนองุ่น แกะและวัว และคนใช้ชายหญิงหรือ..” ..มันเป็นโอกาสที่ควรจะไปรับสิ่งตอบแทนจากเขาหรือไง..การอัศจรรย์นี้พระเจ้าทรงประทานให้ฟรีๆ เพราะงั้น จริงๆแล้วที่นาอามานหาย..ใครเป็นผู้รักษา ใช่เอลีชามั๊ย..ไม่ใช่ แต่พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้รักษาให้หาย เพราะฉะนั้น จะมาฉวยโอกาสเอาเงินทองของกำนัลจากเขา..ไม่ได้ “..ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่ที่เจ้าและที่เชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์ (ซรวยเลย) ขอโทษที่ไม่สุภาพ แต่ไม่สามารถหาคำอื่นแทนคำนี้ได้จริงๆ แล้วเกหะซีก็ออกไปจากหน้าท่านเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ” สุดท้าย เกหะซีเลยต้องเป็นโรคเรื้อนแทนนาอามาน..คุ้มมั๊ยคะ ไม่คุ้มเลยจริงๆ ได้เงิน 2 ตะลันต์ เยอะจริงอยู่..แต่ต้องเป็นโรคเรื้อนทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต

มาถึง บทที่ 6 ข้อที่1-7 เป็นการอัศจรรรย์ที่เกิดขึ้นตรงน.จอร์แดน เรื่องก็คือ..”มีลูกศิษย์คนนึงของเอลีชาทำหัวขวานตกลงไปในน้ำ..แม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นน้ำจืดมีขุ่นโคลน เอลีชาก็ทำการอัศจรรย์โดยเอากิ่งไม้โยนลงไป..หัวขวานทำด้วยเหล็ก..ซึ่งหนักมากก็กลับลอยขึ้นมา (อันนี้ ก็เป็นการอัศจรรย์เล็กๆน้อยๆ อีกอันที่พระคำภีร์บันทึกไว้)

ดู 2พกษ.6:8-9 ข้อนี้พูดถึงกองทัพซีเรียที่พยายามจะยกมาโจมตีอิสราเอล..หลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เพราะ! เอลีชารู้ทันตลอด ข้อที่ 9 บอกว่า“คนแห่งพระเจ้าส่งข่าวไปยังกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า "ขอพระองค์ทรงระวังอย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น"...คือ ไม่ว่ากษัตริย์ซีเรียจะวางแผนโจมตีทางไหน..เอลีชารู้หมด แล้วเอลีชาก็คอยบอกให้กษัตริย์อิสราเอลรู้ตัว..ว่าซีเรียจะมาไม้ไหน..โจมตีทางไหน แล้วกษัตริย์ก็จะสั่งให้ทหารคอยตั้งรับและตอบโต้กองทัพซีเรียได้ทันท่วงที..ซีเรียเลยเจาะไม่เข้า ในที่สุดกษัตริย์ซีเรียก็สงสัย เพราะมันไม่ใช่ครั้ง..สองครั้ง แต่อิสราเอลรู้ทันแผนการของเขาทุกครั้ง ข้อที่ 11 กษัตริย์ซีเรียเลยเรียกข้าราชการทั้งหมดมาถาม..ว่า "พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนใดในพวกเราที่อยู่ฝ่ายกษัตริย์แห่งอิสราเอล" แปลว่าไร.. คือ กษัตริย์ซีเรียเริ่มสงสัยว่าลูกน้องตัวเองจะเป็นไส้ศึก เพราะมันจะเป็นได้ไง..ที่ไม่ว่าเขาจะยกไปกี่ครั้ง กษัตริย์อิสราเอลก็รู้ทันตลอด อาการแบบนี้มันต้องมีไส้ศึกแหงๆ แต่ที่ปรึกษาคนนึงบอกว่า “ไม่มีใครเป็นไส้ศึกหรอก แต่ที่ป็นอย่างงี้เนี่ย..ก็เพราะเอลีชา ข้อที่ 12 บอกว่า”..แต่เอลีชาผู้พยากรณ์ซึ่งอยู่ในอิสราเอลทูลบรรดาถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์ให้แก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล" ...ไม่ว่ากษัตริย์ซีเรียจะพูดอะไรหรือวางแผนอะไร..เป็นความลับขนาดไหน..เอลีชาก็ได้ยิน (นี่ก็คือ อัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านเอลีชา)

ดู 2พกษ.6:13-14 กษัตริย์ซีเรียพอรู้ว่าเอลีชาเป็นต้นเหตุ..ที่ทำให้แผนการทุกอย่างของเขาล้มเหลว เลยสั่งให้ทหารไปสืบดูว่าเอลีชาอยู่ไหน ตอนนั้นเอลีชาอยู่ที่เมือง”โดธาน” ข้อที่ 14 กษัตริย์ซีเรียสั่งให้นำทั้ง”ม้า รถรบ แล้วก็กองทัพใหญ่” ไปล้อมจับเอลีชา..แล้วย่องไปตอนกลางคืนด้วย นี่จะจับคนๆเดียวนะ..แต่กษัตริย์ซีเรียทำเหมือนจะไปรบกับคนทั้งกองทัพ แสดงว่าเขากลัวเอลีชามาก กษัตริย์ซีเรียต้องรู้สึกว่า”คนๆนี้ไม่ธรรมดา” จะจับให้ได้ต้องใช้คนทั้งกองทัพแล้วก็ต้องย่องไปตอนเผลอ เขาถึงยกไปตอนกลางคืน ถามว่า..เอลีชารู้มั๊ย..รู้แน่นอน ข้อที่ 15 บอกว่า ตอนเช้ามืด พอคนรับใช้ของเอลีชา..(ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เกหะซีแล้วนะ) ออกมาเปิดหน้าต่างแค่นั้นแหละ..แทบล้มทั้งยืน เพราะไร..ก็เปิดไปปั๊บ!เห็นกองทัพซีเรียขนาดมหึมาล้อมรอบบ้าน..ตกใจรีบวิ่งมาหาเอลีชา บอกว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี" กองทัพใหญ่ขนาดนี้..เราเห็นทีจะแย่แน่ เอลีชาฟังแล้วว่าไง ข้อที่ 16 เอลีชาบอก “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าเขา” ฟังแล้ว..คิดว่าคนรับใช้ของเอลีชาจะรู้สึกยังไง เอ๊ะ! นายเรา ตื่นรึยังเนี่ย ก็เห็นอยู่ว่าเรามีกัน 2 คน ส่วนกองทัพซีเรีย..นับไม่ถ้วน แล้วเอลีชาเอาอะไรมาพูดว่าเรามีมากกว่า เอลีชาก็รู้ทันว่าคนรับใช้คงจะงง..ที่เขาพูด ข้อที่ 18 เอลีชาเลยทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" จากนั้น พระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิฐาน คนรับใช้ของเอลีชาเลยได้เห็น..ว่าบนภูเขาเต็มไปด้วยกองทัพทูตสวรรค์ทั้งม้า..รถรบเพลิงล้อมอยู่รอบเอลีชาเต็มไปหมด..เยอะกว่าของซีเรียจริงๆ

ดู 2พกษ.6:18-19 ข้อนี้ บอกว่า พอกองทัพซีเรียเริ่มรุกเข้ามา เอลีชาก็อธิฐานต่อพระเจ้า..ว่าไร "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" เสร็จปุ๊บ! ทุกคนที่อยู่ในกองทัพซีเรียก็ตาบอดหมดเลย..ฟังแล้วเด็กๆอาจคิดในใจ โอโห! มันเหลือเชื่อ..แต่จงเชื่อ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกอย่าง..ตามสไตน์ของพระองค์..ไม่ใช่สไตน์เรา เพราะฉะนั้น พระคำภีร์บอกอะไรไว้ นั่นคือ ความจริงทั้งหมดเพราะพระเจ้าการันตีแล้วว่าพระคำภีร์คือ พระวจนะของพระองค์ ทีนี้..หลังจากที่คนซีเรียตาบอดแล้ว เอลีชาก็บอกพวกเขาว่า..มาผิดทางแล้ว คนที่พวกคุณจะจับอ่ะ..ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก..อยู่อีกเมืองนึงเดี๋ยวจะพาไป พวกซีเรียก็เชื่อเพราะอย่าลืมว่าตอนนี้ตาบอดกันหมด..ไม่มีทางเลือกแล้วก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะควบคุมสถานการณ์ได้..ก็เลยตามเอลีชาไป ปรากฎว่าเอลีชาพาไปที่สะมาเรีย เอลีชาพากองทัพซีเรียมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารอิสราเอลที่สะมาเรีย แล้วเขาก็อธิฐานอีกครั้งนึง..ขอพระเจ้าเปิดตาพวกเขาให้มองเห็นอย่างเดิม พระเจ้าก็ตอบคำอธิฐานให้กองทัพซีเรียกลับมองเห็นอย่างเดิม พอตาสว่างขึ้นมาคราวนี้..ก็กระดิกไปไหนไม่ได้แล้วเพราะถูกกองทัพอิสราเอลบล็อกไว้

ดู 2พกษ.6:21-22 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลเห็นอย่างงั้น ก็ถามเอลีชาว่า “บิดาของข้าพเจ้า จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ" คือ กษัตริย์อิสราเอลให้เกียรติเอลีชามาก..เรียกเอลีชาว่าบิดา เขาถามเอลีชาว่าจะให้ทำไงกับทหารซีเรียพวกนี้จะให้ฆ่าทิ้งเลยมั๊ย เอลีชาตอบว่าไง ข้อที่ 22 เอลีชาบอกว่า "ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย..แต่ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำต่อหน้าเขา เพื่อให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด" ไม่ให้ฆ่า..เอลีชาไม่ให้ฆ่า กลับบอกให้กษัตริย์อิสราเอลเลี้ยงอาหารศัตรู เด็กๆสังเกตให้ดี..ว่าเอลีชาเปิดเผยน้ำพระทัยพระเจ้าเหมือนที่หนังสือโรมบันทึกไว้ (12:20) “ เหตุฉะนั้น ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม..” เด็กๆเห็นมั๊ยว่า “ พระคำภีร์ใหม่จะถูกซ่อนเร้นอยู่ในพระคำภีร์เดิม แล้วพระคำภีร์เดิมก็ถูกเปิดเผยในพระคำภีร์ใหม่” ทั้งที่ คนละคนเขียน แล้วก็เขียนคนละเวลา..ห่างกันเป็นร้อยเป็นพันปี ต่างเวลา..ต่างสถานที่ แต่เขียนเรื่องเดียวกัน นี่คือ ความอัศจรรย์ของพระคำภีร์

แล้วก็ปรากฎว่า..กษัตริย์อิสราเอลก็เชื่อฟังเอลีชา ข้อที่ 23 บอกว่า “พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขากลับซีเรียไป..” ผลจากการกระทำของเอลีชาครั้งนั้น ทำให้แผ่นดินพักสงบอยู่ชั่วระยะเวลานึง พวกทัพซีเรียไม่ยกมาโจมตีอิสราเอลอีกเลย แต่ก็แค่ชั่วระยะเวลาเดียวเท่านั้น...

ดู 2พกษ.6:24-25 ในที่สุดอีกหลายปีต่อมา ซีเรียก็ยกทัพมาล้อมอิสราเอลไว้อีกครั้ง พวกเขาคงลืมไปแล้วว่าอิสราเอลเคยเลี้ยงอาหาร แล้วก็ไว้ชีวิตปล่อยกองทัพตาบอดของพวกให้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย เมื่อถูกล้อมเมืองไว้การกันดารอาหารก็เกิดขึ้น..อย่างรุนแรง ข้าวยากหมากแพงถึงขนาดหัวลาตัวนึงขายกันตั้ง 80 เชเขล แล้ว 80 เชเขลเยอะแค่ไหน ก็เทียบเอา 1 เชเขล คือ เงินหนัก 11.5 กรัม แล้วก็มีค่าเท่ากับค่าแรง 2 เดือน เพราะงั้นต้องทำงานกี่เดือนถึงจะซื้อหัวลาได้..เด็กๆก็ลองนึกดู แล้วถึงอิสราเอลจะเป็นประเทศที่ทำการเกษตรได้อย่างผลิดอกออกผลแต่ยังไงก็ไม่สามารถค้ำจุนคนทั้งประเทศได้ในเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้ เพราะการขนส่งที่จะนำเสบียงไปหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศถูกตัดขาด เหมือนอะไร..ประเทศไทยที่เกิดน้ำท่วมตอนนี้ไง ถามว่าปลูกข้าวได้มั๊ย เลี้ยงสัตว์ได้รึเปล่า..ได้ บางที่ยังคงทำได้ แต่ถ้าขนส่งไม่ได้..หลายที่ก็ต้องขาดแคลนอยู่ดี นึกออกใช่มั๊ยคะ แล้วผลจากการกันดารอาหารครั้งนี้ก็รุนแรงจนถึงขีดสุดเพราะ”แม่ถึงขั้นต้องกินลูกตัวเอง” ซึ่งเหตุการณ์นี้ พระเจ้าทรงตรัสบอกไว้ล่วงหน้าแล้วในหนังสือ เฉลยธรรมบัญญัติ 28:49-57 (โน้ตไว้ แล้วไปอ่านเอง อ่านเพื่อไร..จะได้รู้ว่าพระวจนะทุกคำของพระเจ้าจะต้องเกิดขึ้น..จริง !)

ดู 2 พกษ.6:26-27/28-29 ข้อนี้บอกว่า “ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงผ่านไปบนกำแพง มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทูลพระองค์ว่า "โอ ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงช่วย” และกษัตริย์ก็ถามนางว่า "เจ้าเป็นอะไรไป" นางทูลตอบว่า "หญิงคนนี้บอกข้าพระองค์ว่า `เอาลูกชายของเจ้ามาให้เรากินเสียวันนี้เถิด และเราจะกินลูกชายของฉันวันพรุ่งนี้'” คือ มีการตกลงกันว่าวันนี้ต้มลูกเธอก่อน แล้วเอามาแบ่งกันกิน เสร็จแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ตาลูกชั้น ต้มแล้วชั้นจะแบ่งเธอ เด็กๆคิดดูว่าแม่คนที่ยอมต้มลูกตัวเองก่อนเนี่ย..มันต้องหิวขนาดไหน หิวจนฆ่าคนได้ก็ยังไม่เท่านี้นะ..อันนี้ มันหิวจนฆ่าลูกตัวเองได้อ่ะ แล้วก็ปรากฎว่า เมื่อหญิงคนนี้ต้มลูกตัวเองแบ่งให้อีกคนกินแล้ว พอวันรุ่งขึ้นผู้หญิงอีกคน..เบี้ยว เอาลูกตัวเองไปซ่อน ไม่ยอมเอามาต้มแบ่งให้อีกคน เพราะไร..ก็อิ่มแล้วไง คนเราถ้าไม่หิวจนได้ที่จริงๆ มันฆ่าลูกตัวเองไม่ได้หรอก กษัตริย์อิสราเอลฟังแล้วพูดได้คำเดียว..อยากฆ่าเอลีชา อ้าว..มันเกี่ยวกันยังไง ก็ตอนนั้นเอลีชาเป็นคนบอกให้เขาปล่อยทหารซีเรียกลับบ้านไป ถ้าตอนนั้น ฆ่าพวกซีเรียทิ้งให้หมด..วันนี้ เรื่องน่าเศร้าอย่างงี้มันคงไม่เกิดขึ้น กษัตริย์อิสราเอลคิดอย่างงั้น..

เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กอยากจะบอกว่าภัยพิบัติอะไรต่างๆที่มันเกิดขึ้นตอนนี้นะ..มันยังไม่รุนแรงจริงหรอก แค่ผิวๆเอง แล้วน้าตุ๊กก็อธิฐานขอพระเจ้าเมตตาอย่าให้ความหิวโหยที่รุนแรงขนาดนั้นมันเกิดขึ้นในโลกนี้อีกเลย แต่พวกเราไม่ต้องกลัว..ยึดพระเจ้าให้มั่น แต่ละวันอย่าให้มันไร้สาระมากนัก ไร้สาระคือยังไง ก็คือ จดจ่อแต่เรื่องฝ่ายโลก วางแผนการชีวิตคิดแต่จะตะเกียกตะกายเป็นนั่น เป็นนี่ อยากได้นั่น..อยากได้นี่ “มากกกจนเกินไป” จนลืมไปว่าเราอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไร ถามว่าเราวางแผนการชีวิตได้มั๊ย..ได้ แต่ให้ขอการทรงนำจากพระเจ้า..แล้วก็ฟังเสียงเตือนจากพระองค์ คอยสังเกตว่าในแต่ละวัน”อะไร..ที่มันอยู่ในหัวเรามากที่สุด” นั่นก็คือ เรายึดติดกับสิ่งนั้น แน่นอน เรายังคงต้องเรียนหนังสือ ทำงาน ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง แต่ขอให้เราติดสนิทกับพระเจ้าเข้าไว้ ให้พระองค์เป็นเรื่องราวส่วนใหญ่ในแต่ละวันของเรา..แล้วเราจะปลอดภัย จนกว่าจะพบกันใหม่..ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ