วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 5


ดู มัทธิว 6:16-17  “เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด”  ทำไมพระเยซูถึงตำหนิคนที่ทำหน้าเศร้าซึมเวลาที่ถืออดอาหาร..ว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด  
คือ คนอิสราเอลในสมัยนั้นเขาจะถืออดอาหารเพื่อแสดงถึงความเศร้าโศก  ไม่ว่าจะเป็นความสียใจจากความทุกข์ยาก..ความสูญเสีย  หรือแม้แต่สำนึกบาปที่ตัวเองทำ   แต่ทีนี้ มันมีบางคนที่ทำด้วยความไม่จริงใจ  หมายความว่า ไม่ได้สำนึกหรือรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่ก็ถืออดอาหารเพราะอยากให้ใครๆเขาสรรเสริญ..ว่าตัวเองเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา   เพราะงั้น เวลาที่อดอาหารคนพวกนี้ก็จะชอบทำเป็นโทรมๆ ซึมๆ ให้คนอื่นเขาดูออกว่า..อ่อ ถ้าโทรมขนาดนี้สงสัยกำลังอดอาหารอธิฐานอยู่แน่เลย  อะไรประมาณนี้  พระเยซูจึงทรงกล่าวโทษคนที่ทำอย่างนี้ว่าเป็นคน       ”หน้าซื่อใจคด”  เพราะเขาไม่ได้ทำศาสนกิจด้วยจิตวิญญาณและความจริง ..แต่ตั้งใจทำเพื่ออวดคนอื่น  ข้อที่ 17 พระเยซูสอนเราว่า  “ฝ่ายท่านเมื่ออดอาหารจงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ”  คือ เวลาอดอาหารไม่ต้องทำเป็นโทรม   อาบน้ำล้างหน้าให้สดชื่น..ผมเผ้าก็หวีให้เรียบร้อยสวยงาม   ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้..ว่าเราไปทำอะไรมา  แล้วพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงตอบคำอธิฐานของเรา
ดู มัทธิว 6:19 “ อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก..” โอโห..ทำยากมะ ยากอยู่นะคะ  แต่ถ้าจิตวิญญาณเราเติบโตจริงๆเราจะทำได้  ถ้าใครทำไม่ได้..พระเจ้าก็จับเข้าคอร์สแบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร คือ ส่งความขาดแคลนมาให้แบบพอหอมปากหอมคอ..ให้เราต้องรอมานาตกจากฟ้าบ้าง..ไรบ้าง   ไม่มีให้ตุน ไม่มีให้สะสม แต่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ..ว่าทุกวันพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูแบบวันต่อวัน  เพราะงั้น ถ้าไม่อยากเข้าคอร์สนี้ก็จงเชื่อฟัง..อย่าไปยึดติดกับทรัพย์สินหรือตัวเลขเยอะๆในธนาคาร  เวลาที่พระเจ้าอวยพรเยอะก็จงมั่นคงที่จะก้มศีรษะลงโมทนาพระคุณทุกลมหายใจเข้าออก  แล้วเราก็จะไม่หลงไป  หลงไปไหน..หลงไปฝากความมั่นคงไว้กับอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า   
“..เพราะทรัพย์สมบัติในโลก ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และขโมยก็สามารถขโมยไป”  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ที่ดิน เงินทอง  หรืออะไรก็ตามทุกอย่างมีวันเสื่อมสูญทั้งหมด  แต่ถึงมันไม่สูญ  เวลาตายเราเอาไปได้มั๊ยล่ะ..ไม่มีทาง  กายเนื้อเรายังเอาไปไม่ได้เลยเพราะมันเปื่อยเน่า  และมีวันเสื่อมสูญ  สุดท้ายก็เหลือแค่ธุลี..ไม่ว่าจะเผาหรือจะฝัง  ถูกมั๊ยคะ พระเจ้าถึงต้องประทานร่างกายใหม่แก่เรา..ในเวลาที่เราจะเข้าสู่สวรรค์ 
หลายคนสงสัยเกี่ยวกับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าจะประทานให้..ไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นยังไง  มันมีจริงๆหรอ  แล้วทำไมจะเข้าสวรรค์ต้องมีร่างกายใหม่ด้วย  จริงๆเข้าใจได้ไม่ยาก  มันก็เหมือนกับเวลาที่มนุษย์จะไปสำรวจดวงจันทร์หรือไปสำรวจดาวอื่นในอวกาศ..ที่ไม่ใช่โลก  มนุษย์จำเป็นต้องประดิษฐ์ชุดเป็นพิเศษเพื่อปรับความดัน  เพิ่มอ๊อกซิเจนหรืออะไรต่างๆเพื่อปกป้องร่างกายให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะนั้นๆได้  หรือเวลาที่จะดำน้ำลงไปในความลึกที่ดวงอาทิตย์ส่องไม่ถึง  ซึ่งตรงนั้นมนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เหมือนกัน   มนุษย์ถึงต้องมีชุดหรือเกราะที่จะทำให้ร่างกายสามารถทนต่อความดันที่สูงหรือต่ำเกินกว่าปกติได้ เช่นกัน ไม่งั้น..ไปก็ตายเพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้สามารถทนต่อทุกสภาวะ..ทุกมิติ หรือทุกกาลเวลาได้ขนาดนั้น  และนั่นก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็น”ชัดเจน”ว่า “ร่างกายนี้ พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อให้เราใช้ในโลกนี้ “เท่านั้น” ไม่ได้รองรับได้ทุกสภาวะในกัลปจักรวาล  เพราะฉะนั้น ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร ถ้าเราจะไปสวรรค์ (ไม่ใช่แค่ในอวกาศหรือใต้บาดาล)  เด็กๆว่า ร่างนี้ มันจะใช้ได้มั๊ย..ไม่ได้  ในทางเดียวกัน  พระเจ้าถึงต้องเตรียมร่างกายใหม่สำหรับใช้ในสวรรค์ให้กับเรา  ไม่งั้นเราจะไม่สามารถทรงสภาพอยู่ในสวรรค์ได้เลย  พอเห็นภาพมั๊ยคะ
มัทธิว 6:20-21 “..แต่จงสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยจะลักเอาไป”    แล้วการจะสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์..ต้องทำยังไง   ทำได้โดยการเชื่อฟังพระเจ้าในทุกด้านของชีวิต  มอบถวายชีวิตของเรา  เวลาของเรา  ความไว้วางใจของเราไว้กับพระเจ้า..ยึดพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐาน   “..เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน  ใจของท่านก็อยู่ที่นั้นด้วย” ..ถ้าใจของเราอยู่กับพระเยซู  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเยซูในสวรรค์  เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์    แต่ถ้าใจของเราติดยึดอยู่กับสิ่งที่เป็นของโลกไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่ยึดติดกับมนุษย์บางคน  เราก็คงจะต้องวนเวียนอยู่แถวๆโลกนี่แหละ..ไม่ได้ไปไหนซะที   หรือมีบางคนไม่อยากตายด้วยเหตุผลที่ว่า “ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า”  ยังไม่ได้เที่ยวเลย  ยังไม่ได้กินอะไรที่อยากกินอีกหลายอย่าง  หาเงินมาแล้วยังใช้ได้ไม่คุ้ม..เลยยังไม่อยากตาย  อยากอยู่เสพสุขบนโลกนี้นานๆ..แบบนี้ก็คงไม่ได้ไปไหนเหมือนกันเพราะใจมันยึดติดอยู่กับความสุขฝ่ายโลกกับทรัพย์สินที่หามาได้   เพราะฉะนั้น เลือกให้ถูกนะคะ..ว่าเราจะสะสมทรัพย์ไว้ที่ไหน  ถ้าจะสะสมไว้ในสวรรค์  ก็ต้องเดินตามเจ้าของสวรรค์ นะคะ
ดู มัทธิว 6:22-23  ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านดี ทั้งตัวก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง”  ตาในข้อนี้ หมายถึง “ตาฝ่ายวิญญาณ”  พระเจ้าบอกว่า ถ้าตาฝ่ายวิญญาณของเราสว่าง...ทั้งร่างกายของเรารวมถึงความคิด การกระทำ และคำพูดของเราก็จะพลอย”สว่าง ถูกต้องและสง่างาม”ไปด้วย  เพราะเราได้การทรงนำที่มาจากพระเจ้า  
น้าตุ๊กเคยดูการให้สัมภาษณ์ทางทีวีของคนที่มีชื่อเสียงคนนึง  ทีแรกดูแล้วก็ชื่นชมเขามากเพราะเขาเก่ง  หน้าตาดี  ฐานะดี..คือ ดูดีไปหมดเลย   แต่มาตอนหลังดันให้สัมภาษณ์ทิ้งท้ายไว้ประมาณว่า “เขาเป็นคนชอบเรื่องเครื่องลางของขลัง  พูดง่ายๆคือชอบเรื่องไสยศาสตร์ เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกับชีวิตเขามาก”....แค่นั้นแหละ..จบเลย  ความดูดีที่เห็นอยู่ในตอนแรกอันตธานหายไปในพริบตา !  การศึกษา  ความสามารถ  หรือแม้แต่หน้าตา..ก็ช่วยให้เขาดูสง่างามขึ้นมาอีกไม่ได้เลย    พระคำภีร์ถึงบอก “เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป  ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด”   คำว่า “ความสว่างในตัว” อันนี้ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณ...ว่าถ้ามันผิดมาจากข้างใน คือ เชื่อผิด   คนๆนั้นก็มักจะ  คิดผิด  พูดผิด  ทำอะไรต่างๆก็มักจะผิดไปจากทางของพระเจ้าเสมอ  เลยทำให้ดูเป็นคนมืดบอดไปซะทุกเรื่อง..หาความสง่างามไม่ได้
ดู มัทธิว 6:25-26  “..อย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน  และอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร  และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม”  เพราะอะไร  พระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว  ในปฐก.1:26 บอกว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์  ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก..”  หมายความว่า พระองค์สร้างทุกอย่าง..ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า  หรือสิ่งสารพัดบนโลกทั้งหมด  พระองค์ตั้งใจสร้างขึ้นมาให้มันปรนนิบัติเราอยู่แล้ว    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวจะขาดปัจจัยหรือสิ่งดีใดๆเลย   แต่หลายครั้งเราก็กลัว..เพราะไร  ไม่วางใจพระเจ้า  แล้วก็มัวแต่อยากได้หลายอย่างมากจนเกินความจำเป็น   ข้อที่ 26 บอกว่า “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว แล้วก็ไม่เคยสะสมอะไรไว้ในรัง”  จริงมะ..หรือมีใครเคยเห็นนกสร้างยุ้งฉางไว้สำหรับเก็บหนอนมั๊ย  หรือเคยเห็นนกมันเอาหนอนมาทำหนอนตากแห้งเก็บไว้กินนานๆมั๊ย..ไม่มี  มีแต่คนนี่แหละ..ที่ชอบทำอย่างงั้น  เพราะกลัววันข้างหน้าจะขาดแคลนหรือไม่มีกิน   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพย์สิน เงินทอง  หามาได้..ก็คิดแต่วิธีที่จะสะสมไว้  ยิ่งไปกว่านั้นก็คืออยากจะให้มันเพิ่มพูนขึ้น..ให้มากที่สุด  เพราะรู้สึกว่ามีมากๆแล้วมันอุ่นใจดี   อันนี้ คือ ไปฝากความหวังไว้กับทรัพย์สินเงินทองแล้ว..ซึ่งไม่ถูกต้องเลย    เพราะการสะสมอย่างนี้ คือ สะสมด้วย ”ความกลัว”  ถ้ามีคำว่า”กลัว” แปลว่าเราไม่ไว้ใจพระเจ้า   ถ้าเราไว้ใจ..เราจะไม่กลัว   แต่ที่พูดอย่างงี้..ไม่ได้หมายความว่า การออมทรัพย์เป็นสิ่งไม่ดีนะคะ   การรู้ว่าอะไรควรใช้..อะไรไม่ควรใช้  กับการรู้จักเก็บออมไว้เพื่ออนาคต”บ้าง” เป็นสิ่งที่ดีมาก  เด็กๆควรทำนะคะ
ดู มัทธิว 6:28-29  “จงพิจารณาดอกไม้ทุ่งนาว่า มันงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย”   แล้วถ้าเด็กๆสังเกตดูดีๆนะ  ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีคนดูแล  มันเจริญงอกงามกว่าต้นที่มนุษย์ปลูกไว้ซะอีก  บางทีเราทั้งรดน้ำ  ใส่ปุ๋ยตามเวลา..มันยังสวยไม่เท่าดอกไม้ในป่าเลย   ข้อที่ 29 บอกว่า “..กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”  ทำไม พระคำภีร์ถึงยกก.ซาโลมอนมาเป็นตัวอย่าง เพราะ    ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่รุ่งเรืองและร่ำรวยที่สุดของอิสราเอลและรวมถึงบรรดามหาอำนาจในสมัยนั้นด้วย..ไม่มีใครเทียบซาโลมอนได้   ที่เป็นอย่างงั้นเพราะ..ดาวิดสร้างฐานอำนาจไว้ให้อย่างมั่นคง..ดาวิดรบเก่ง   ส่วนซาโลมอน ไม่ใช่นักรบ  แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรบ..เพราะพ่อทำไว้ให้หมดแล้ว   เพราะฉะนั้น พอขึ้นครองอิสราเอลปุ๊บ   ซาโลมอนบริหารอย่างเดียว  แล้วเขาก็ฉลาด..เป็นคนมีหัวการค้า  คนละขั้วกับพ่อเลย..ดาวิดนี่”บู๊” ส่วนซาโลมอน “บุ๋น” อย่างเดียว..และเต็มไปด้วยสติปัญญา   ...ถ้าใครได้เรียนหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์กับน้าตุ๊กก็น่าจะจำได้บ้าง..ว่าพระคำภีร์บันทึกรูปแบบความหรูหราโอ่อ่าของวังกับวิหาร..ตลอดจนเครื่องใช้ทุกอย่างของซาโลมอนไว้อย่างละเอียด   ขนาดที่นางเชบากษัตริย์ของเปอร์เชียยังต้องดั้นด้นขอมาชมบารมีของซาโลมอนถึงที่ยูดาห์   พอมาแล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะไม่ใช่แค่วังที่โออ่าตระการตา  แต่ของใช้ทุกชิ้นของซาโลมอนเป๊ะเว่อร์ คือหรูหราแบบหาตัวจับยาก  เพราะฉะนั้น ที่ข้อนี้บอกว่า “กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่อง (หมายถึงแต่งตัว) แต่งยังไงก็ยังไม่สวยงามสู้ดอกไม้ดอกเดียว..ไม่ได้”   ทั้งที่ซาโลมอนเป็นคนเนี๊ยบ   ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงเสื้อผ้าของเขา..ก็ต้องคัดมาอย่างดี  ไม้สนที่จะสร้างวัง..ต้องจากเลบานอน  ทองคำที่จะใช้ในการสร้างวิหาร..ก็ไปขนถึงที่โอฟราห์  อย่างผ้าที่จะใช้ตัดเครื่องทรง  ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจจะต้องมาจากอินเดียหรือฝรั่งเศส  แต่ ! ฝีมือมนุษย์..แต่งให้ตาย ให้เริ่ดแค่ไหน  ก็ยังงามสู้ดอกไม้..ดอกเดียว..ไม่ได้เลย    ข้อที่ 30 บอกว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”  เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า เราจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม  พระเจ้ารู้หมดแล้วว่าเราต้องการอะไร..
     ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น