ดู มัทธิว 6:16-17 “เมื่อท่านถืออดอาหาร
อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด”
ทำไมพระเยซูถึงตำหนิคนที่ทำหน้าเศร้าซึมเวลาที่ถืออดอาหาร..ว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด
คือ คนอิสราเอลในสมัยนั้นเขาจะถืออดอาหารเพื่อแสดงถึงความเศร้าโศก
ไม่ว่าจะเป็นความสียใจจากความทุกข์ยาก..ความสูญเสีย หรือแม้แต่สำนึกบาปที่ตัวเองทำ แต่ทีนี้
มันมีบางคนที่ทำด้วยความไม่จริงใจ
หมายความว่า ไม่ได้สำนึกหรือรู้สึกเสียใจจริงๆ แต่ก็ถืออดอาหารเพราะอยากให้ใครๆเขาสรรเสริญ..ว่าตัวเองเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา เพราะงั้น เวลาที่อดอาหารคนพวกนี้ก็จะชอบทำเป็นโทรมๆ
ซึมๆ ให้คนอื่นเขาดูออกว่า..อ่อ ถ้าโทรมขนาดนี้สงสัยกำลังอดอาหารอธิฐานอยู่แน่เลย อะไรประมาณนี้
พระเยซูจึงทรงกล่าวโทษคนที่ทำอย่างนี้ว่าเป็นคน ”หน้าซื่อใจคด” เพราะเขาไม่ได้ทำศาสนกิจด้วยจิตวิญญาณและความจริง
..แต่ตั้งใจทำเพื่ออวดคนอื่น ข้อที่ 17 พระเยซูสอนเราว่า
“ฝ่ายท่านเมื่ออดอาหารจงล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะ” คือ เวลาอดอาหารไม่ต้องทำเป็นโทรม อาบน้ำล้างหน้าให้สดชื่น..ผมเผ้าก็หวีให้เรียบร้อยสวยงาม
ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้..ว่าเราไปทำอะไรมา
แล้วพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงตอบคำอธิฐานของเรา
ดู มัทธิว 6:19 “ อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก..”
โอโห..ทำยากมะ ยากอยู่นะคะ
แต่ถ้าจิตวิญญาณเราเติบโตจริงๆเราจะทำได้
ถ้าใครทำไม่ได้..พระเจ้าก็จับเข้าคอร์สแบบคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร คือ
ส่งความขาดแคลนมาให้แบบพอหอมปากหอมคอ..ให้เราต้องรอมานาตกจากฟ้าบ้าง..ไรบ้าง ไม่มีให้ตุน ไม่มีให้สะสม แต่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ..ว่าทุกวันพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูแบบวันต่อวัน เพราะงั้น ถ้าไม่อยากเข้าคอร์สนี้ก็จงเชื่อฟัง..อย่าไปยึดติดกับทรัพย์สินหรือตัวเลขเยอะๆในธนาคาร เวลาที่พระเจ้าอวยพรเยอะก็จงมั่นคงที่จะก้มศีรษะลงโมทนาพระคุณทุกลมหายใจเข้าออก แล้วเราก็จะไม่หลงไป หลงไปไหน..หลงไปฝากความมั่นคงไว้กับอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า
“..เพราะทรัพย์สมบัติในโลก
ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และขโมยก็สามารถขโมยไป” ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ที่ดิน
เงินทอง หรืออะไรก็ตามทุกอย่างมีวันเสื่อมสูญทั้งหมด แต่ถึงมันไม่สูญ เวลาตายเราเอาไปได้มั๊ยล่ะ..ไม่มีทาง
กายเนื้อเรายังเอาไปไม่ได้เลยเพราะมันเปื่อยเน่า และมีวันเสื่อมสูญ
สุดท้ายก็เหลือแค่ธุลี..ไม่ว่าจะเผาหรือจะฝัง ถูกมั๊ยคะ
พระเจ้าถึงต้องประทานร่างกายใหม่แก่เรา..ในเวลาที่เราจะเข้าสู่สวรรค์
หลายคนสงสัยเกี่ยวกับร่างกายใหม่ที่พระเจ้าจะประทานให้..ไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นยังไง มันมีจริงๆหรอ
แล้วทำไมจะเข้าสวรรค์ต้องมีร่างกายใหม่ด้วย จริงๆเข้าใจได้ไม่ยาก มันก็เหมือนกับเวลาที่มนุษย์จะไปสำรวจดวงจันทร์หรือไปสำรวจดาวอื่นในอวกาศ..ที่ไม่ใช่โลก มนุษย์จำเป็นต้องประดิษฐ์ชุดเป็นพิเศษเพื่อปรับความดัน เพิ่มอ๊อกซิเจนหรืออะไรต่างๆเพื่อปกป้องร่างกายให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะนั้นๆได้
หรือเวลาที่จะดำน้ำลงไปในความลึกที่ดวงอาทิตย์ส่องไม่ถึง
ซึ่งตรงนั้นมนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เหมือนกัน มนุษย์ถึงต้องมีชุดหรือเกราะที่จะทำให้ร่างกายสามารถทนต่อความดันที่สูงหรือต่ำเกินกว่าปกติได้
เช่นกัน ไม่งั้น..ไปก็ตายเพราะร่างกายมนุษย์ไม่ได้สามารถทนต่อทุกสภาวะ..ทุกมิติ
หรือทุกกาลเวลาได้ขนาดนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็น”ชัดเจน”ว่า
“ร่างกายนี้ พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อให้เราใช้ในโลกนี้ “เท่านั้น” ไม่ได้รองรับได้ทุกสภาวะในกัลปจักรวาล
เพราะฉะนั้น ยิ่งกว่านั้นซักเท่าไร ถ้าเราจะไปสวรรค์
(ไม่ใช่แค่ในอวกาศหรือใต้บาดาล) เด็กๆว่า ร่างนี้
มันจะใช้ได้มั๊ย..ไม่ได้ ในทางเดียวกัน พระเจ้าถึงต้องเตรียมร่างกายใหม่สำหรับใช้ในสวรรค์ให้กับเรา ไม่งั้นเราจะไม่สามารถทรงสภาพอยู่ในสวรรค์ได้เลย พอเห็นภาพมั๊ยคะ
มัทธิว 6:20-21 “..แต่จงสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์
ที่ตัวมอดและสนิมทำลายไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยจะลักเอาไป” แล้วการจะสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์..ต้องทำยังไง ทำได้โดยการเชื่อฟังพระเจ้าในทุกด้านของชีวิต มอบถวายชีวิตของเรา เวลาของเรา
ความไว้วางใจของเราไว้กับพระเจ้า..ยึดพระคำภีร์เป็นบรรทัดฐาน “..เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั้นด้วย” ..ถ้าใจของเราอยู่กับพระเยซู เราก็ได้ไปอยู่กับพระเยซูในสวรรค์ เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ แต่ถ้าใจของเราติดยึดอยู่กับสิ่งที่เป็นของโลกไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองหรือแม้แต่ยึดติดกับมนุษย์บางคน เราก็คงจะต้องวนเวียนอยู่แถวๆโลกนี่แหละ..ไม่ได้ไปไหนซะที หรือมีบางคนไม่อยากตายด้วยเหตุผลที่ว่า
“ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า”
ยังไม่ได้เที่ยวเลย
ยังไม่ได้กินอะไรที่อยากกินอีกหลายอย่าง
หาเงินมาแล้วยังใช้ได้ไม่คุ้ม..เลยยังไม่อยากตาย อยากอยู่เสพสุขบนโลกนี้นานๆ..แบบนี้ก็คงไม่ได้ไปไหนเหมือนกันเพราะใจมันยึดติดอยู่กับความสุขฝ่ายโลกกับทรัพย์สินที่หามาได้ เพราะฉะนั้น
เลือกให้ถูกนะคะ..ว่าเราจะสะสมทรัพย์ไว้ที่ไหน
ถ้าจะสะสมไว้ในสวรรค์ ก็ต้องเดินตามเจ้าของสวรรค์
นะคะ
ดู มัทธิว 6:22-23 “ตาเป็นประทีปของร่างกาย
เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านดี ทั้งตัวก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง” ตาในข้อนี้ หมายถึง “ตาฝ่ายวิญญาณ” พระเจ้าบอกว่า
ถ้าตาฝ่ายวิญญาณของเราสว่าง...ทั้งร่างกายของเรารวมถึงความคิด การกระทำ และคำพูดของเราก็จะพลอย”สว่าง
ถูกต้องและสง่างาม”ไปด้วย เพราะเราได้การทรงนำที่มาจากพระเจ้า
น้าตุ๊กเคยดูการให้สัมภาษณ์ทางทีวีของคนที่มีชื่อเสียงคนนึง ทีแรกดูแล้วก็ชื่นชมเขามากเพราะเขาเก่ง หน้าตาดี
ฐานะดี..คือ ดูดีไปหมดเลย แต่มาตอนหลังดันให้สัมภาษณ์ทิ้งท้ายไว้ประมาณว่า
“เขาเป็นคนชอบเรื่องเครื่องลางของขลัง
พูดง่ายๆคือชอบเรื่องไสยศาสตร์
เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกับชีวิตเขามาก”....แค่นั้นแหละ..จบเลย ความดูดีที่เห็นอยู่ในตอนแรกอันตธานหายไปในพริบตา
!
การศึกษา ความสามารถ หรือแม้แต่หน้าตา..ก็ช่วยให้เขาดูสง่างามขึ้นมาอีกไม่ได้เลย พระคำภีร์ถึงบอก
“เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด” คำว่า “ความสว่างในตัว” อันนี้ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณ...ว่าถ้ามันผิดมาจากข้างใน คือ เชื่อผิด คนๆนั้นก็มักจะ คิดผิด
พูดผิด ทำอะไรต่างๆก็มักจะผิดไปจากทางของพระเจ้าเสมอ เลยทำให้ดูเป็นคนมืดบอดไปซะทุกเรื่อง..หาความสง่างามไม่ได้
ดู มัทธิว 6:25-26 “..อย่ากระวนกระวายว่า
จะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม
เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม” เพราะอะไร พระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว ในปฐก.1:26 บอกว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา
และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก..” หมายความว่า
พระองค์สร้างทุกอย่าง..ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า หรือสิ่งสารพัดบนโลกทั้งหมด
พระองค์ตั้งใจสร้างขึ้นมาให้มันปรนนิบัติเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวจะขาดปัจจัยหรือสิ่งดีใดๆเลย
แต่หลายครั้งเราก็กลัว..เพราะไร ไม่วางใจพระเจ้า แล้วก็มัวแต่อยากได้หลายอย่างมากจนเกินความจำเป็น ข้อที่
26 บอกว่า “จงดูนกในอากาศ
มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว แล้วก็ไม่เคยสะสมอะไรไว้ในรัง”
จริงมะ..หรือมีใครเคยเห็นนกสร้างยุ้งฉางไว้สำหรับเก็บหนอนมั๊ย หรือเคยเห็นนกมันเอาหนอนมาทำหนอนตากแห้งเก็บไว้กินนานๆมั๊ย..ไม่มี มีแต่คนนี่แหละ..ที่ชอบทำอย่างงั้น เพราะกลัววันข้างหน้าจะขาดแคลนหรือไม่มีกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพย์สิน เงินทอง หามาได้..ก็คิดแต่วิธีที่จะสะสมไว้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คืออยากจะให้มันเพิ่มพูนขึ้น..ให้มากที่สุด เพราะรู้สึกว่ามีมากๆแล้วมันอุ่นใจดี อันนี้ คือ ไปฝากความหวังไว้กับทรัพย์สินเงินทองแล้ว..ซึ่งไม่ถูกต้องเลย เพราะการสะสมอย่างนี้ คือ สะสมด้วย ”ความกลัว” ถ้ามีคำว่า”กลัว” แปลว่าเราไม่ไว้ใจพระเจ้า ถ้าเราไว้ใจ..เราจะไม่กลัว แต่ที่พูดอย่างงี้..ไม่ได้หมายความว่า การออมทรัพย์เป็นสิ่งไม่ดีนะคะ การรู้ว่าอะไรควรใช้..อะไรไม่ควรใช้ กับการรู้จักเก็บออมไว้เพื่ออนาคต”บ้าง” เป็นสิ่งที่ดีมาก เด็กๆควรทำนะคะ
ดู มัทธิว 6:28-29 “จงพิจารณาดอกไม้ทุ่งนาว่า มันงามขึ้นได้อย่างไร
มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย”
แล้วถ้าเด็กๆสังเกตดูดีๆนะ
ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ..ไม่ได้มีคนดูแล
มันเจริญงอกงามกว่าต้นที่มนุษย์ปลูกไว้ซะอีก
บางทีเราทั้งรดน้ำ
ใส่ปุ๋ยตามเวลา..มันยังสวยไม่เท่าดอกไม้ในป่าเลย ข้อที่
29 บอกว่า “..กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี
ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”
ทำไม พระคำภีร์ถึงยกก.ซาโลมอนมาเป็นตัวอย่าง เพราะ ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่รุ่งเรืองและร่ำรวยที่สุดของอิสราเอลและรวมถึงบรรดามหาอำนาจในสมัยนั้นด้วย..ไม่มีใครเทียบซาโลมอนได้ ที่เป็นอย่างงั้นเพราะ..ดาวิดสร้างฐานอำนาจไว้ให้อย่างมั่นคง..ดาวิดรบเก่ง ส่วนซาโลมอน ไม่ใช่นักรบ
แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรบ..เพราะพ่อทำไว้ให้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น พอขึ้นครองอิสราเอลปุ๊บ ซาโลมอนบริหารอย่างเดียว แล้วเขาก็ฉลาด..เป็นคนมีหัวการค้า
คนละขั้วกับพ่อเลย..ดาวิดนี่”บู๊” ส่วนซาโลมอน “บุ๋น” อย่างเดียว..และเต็มไปด้วยสติปัญญา ...ถ้าใครได้เรียนหนังสือ 2พงศ์กษัตริย์กับน้าตุ๊กก็น่าจะจำได้บ้าง..ว่าพระคำภีร์บันทึกรูปแบบความหรูหราโอ่อ่าของวังกับวิหาร..ตลอดจนเครื่องใช้ทุกอย่างของซาโลมอนไว้อย่างละเอียด ขนาดที่นางเชบากษัตริย์ของเปอร์เชียยังต้องดั้นด้นขอมาชมบารมีของซาโลมอนถึงที่ยูดาห์ พอมาแล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะไม่ใช่แค่วังที่โออ่าตระการตา แต่ของใช้ทุกชิ้นของซาโลมอนเป๊ะเว่อร์ คือหรูหราแบบหาตัวจับยาก เพราะฉะนั้น ที่ข้อนี้บอกว่า “กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี
ก็มิได้ทรงเครื่อง (หมายถึงแต่งตัว)
แต่งยังไงก็ยังไม่สวยงามสู้ดอกไม้ดอกเดียว..ไม่ได้” ทั้งที่ซาโลมอนเป็นคนเนี๊ยบ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงเสื้อผ้าของเขา..ก็ต้องคัดมาอย่างดี ไม้สนที่จะสร้างวัง..ต้องจากเลบานอน ทองคำที่จะใช้ในการสร้างวิหาร..ก็ไปขนถึงที่โอฟราห์ อย่างผ้าที่จะใช้ตัดเครื่องทรง
ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจจะต้องมาจากอินเดียหรือฝรั่งเศส แต่ ! ฝีมือมนุษย์..แต่งให้ตาย ให้เริ่ดแค่ไหน
ก็ยังงามสู้ดอกไม้..ดอกเดียว..ไม่ได้เลย ข้อที่ 30 บอกว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย
พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”
เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่า เราจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม
หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม
พระเจ้ารู้หมดแล้วว่าเราต้องการอะไร..
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น