วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 3


คราวที่แล้วเรามาถึงราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงทำที่แคว้นกาลิลี  รวมถึงการเทศนาบนภูเขา  ซึ่งมีคำสอนที่เป็นคำอุปมามากมายที่เด็กๆควรจะเรียนรู้
ดูต่อ มัทธิว 5:13  “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก..”  พระเยซูเปรียบเราทุกคนที่เชื่อในพระองค์..เป็นสาวกของพระองค์ว่า”เป็นเกลือ”  หมายความว่าไง..”เกลือ” นอกจากจะให้รสเค็ม..เพิ่มรสชาดให้อาหารแล้ว  มนุษย์ยังใช้เกลือในการ”ป้องกันความเปื่อยเน่า”   เพราะงั้นคำตรัสของพระเยซูในข้อนี้จึงหมายถึงคนของพระเจ้า คือพวกเรานี่แหละ..จะต้องเป็นดำเนินชีวิตเป็นเกลือของแผ่นดินโลก  ไม่ต้องทั้งโลกเพราะเราคงไม่มีกำลังขนาดนั้น  เอาแค่อยู่ตรงไหน..เราต้องเป็นตัวอย่างและยืนหยัดที่จะป้องกันคนรอบข้างให้รอดพ้นจากความพินาศหรือความเปื่อยเน่าต่างๆที่โลกหยิบยื่นให้   เราอาจจะไม่มีเพาว์เวอร์พอที่จะไปกวาดล้างความบาปหรือแม้แต่สิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นกับสังคม  แต่อย่างน้อยที่สุดในวงแคบกับผู้คนรอบข้าง..เราต้องไม่สนับสนุนความผิดบาปและจะต้องดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างให้ผู้คนรอบข้างนะคะ
พระเยซูบอกว่า “..ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็ม   จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้  แล้วนั่นก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร  มีแต่จะทิ้งเสียให้คนเหยียบย่ำ”  ถ้าเกลือไม่เค็ม..มันจะเป็นเกลือมะ  ไม่เป็นหรอก..ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้  เหมือนคนของพระเจ้า..ถ้าเราไม่ยืนหยัดที่จะดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอน  หรือไม่สนใจกับสิ่งที่พระเจ้าให้ทำ  เราก็จะเป็นเหมือนเกลือที่หมดรสเค็มไม่สามารถปกป้องคนรอบข้าง..หรือแม้แต่ตัวเองให้พ้นจากความเปื่อยเน่า  ไม่ต้องพูดถึงคนรอบข้าง..แค่ดูแลตัวเองก็ยังไม่ได้เลย   สุดท้ายเกลือก็จะเป็นเหมือนธุลีดินที่ไม่มีค่า..ไม่มีศักดิ์ศรีมีแต่จะเป็นที่เหยียดหยามของผู้คนอย่างที่พระเยซูบอก 
ดู มัทธิว 5:14-16  “..เราทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”  ก่อนหน้าที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป  พระเจ้าทรงเป็นความสว่างของโลก  พออาดามกับเอวาทำบาป..มนุษย์ก็ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ความสว่างก็หายไป..โลกจึงถูกปกคลุมด้วยความมืดบอด  กระทั่งยุคพระคุณมาถึง..พระเยซูคริสต์มาไถ่เรา  ด้วยโลหิตของพระองค์ที่ทำให้เราบริสุทธิ์  บริสุทธิ์แค่ไหน..บริสุทธิ์มากขนาดที่เราจะสามารถกลับมาสัมผัสและมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้อีกครั้ง   
พระเยซูบอก “ไม่มีใครจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง หรือเอาอะไรมาครอบไว้ แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน”  ลองนึกถึงความเป็นจริงก็ได้ว่า..โดยทั่วไปทำไมเขาต้องจุดตะเกียง    ก็เพราะมัน  ”มืด”  แล้วมีใครมั๊ยที่จุดแล้วเอาถังไปครอบหรือเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น..ไม่มี  จุดแล้วก็ต้องวางไว้ในที่ที่ส่องสว่างได้มากที่สุด..ถูกมั๊ยคะ  เพราะงั้น พระเยซูถึงเปรียบเราทุกคนว่าเป็นเหมือนตะเกียงที่ถูกจุดให้สว่างขึ้นอีกครั้งนึง..เพื่อส่องสว่าง..เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนรอบด้าน..คนที่อยู่ใกล้ๆหรือคนที่อยู่ข้างๆ  เขาจะได้มองเห็นทาง..ไม่เดินหลงทางหรือเดินเตะนู่นเตะนี่..สะดุดไปเรื่อยเพราะมองทางไม่เห็น  เราต้องเป็นความสว่าง..ต้องบอกข่าวดี  และเป็นตัวอย่างให้เขาเดินอย่างปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  “..เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่เราทำ เขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า”
ดู มัทธิว 5:17-18 “..อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติ  แต่พระเยซูสอนพระบัญญัติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องลึกซึ้ง  ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์หรือฟาริสีในสมัยนั้น..ที่หลงประเด็นไป สักว่าทำแต่ภายนอก..อาจจะถือกฎกติกาเคร่งครัดตามตัวอักษรแต่ไม่ได้ทำด้วยใจ..ไม่ได้ทำด้วยความรัก  มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร  เพราะความรักเป็นน้ำพระทัยสูงสุดของพระเจ้า  ที่เราได้มีพระเยซู..ได้กลับคืนดีกับพระองค์เพราะอะไร..เพราะความรักของพระองค์ 
ข้อที่ 30 พระเยซูจึงบอกว่า “..ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เราจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์” ..แต่ที่พระองค์พูดอย่างงี้  ไม่ได้แปลว่าพระบัญญัติไม่ดีหรือไม่สำคัญ  แต่ทุกอย่างต้องทำด้วย”หัวใจและด้วยความรัก”  
ข้อที่ 17 พระเยซูถึงบอกว่า “..พระองค์ไม่ได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ”  เพราะตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า”มนุษย์มักล้มเหลวในการทำตามสัญญา  พระเจ้าจึงต้องประทานพระเยซูมา  เพื่อทำแทนเรา..เพื่อที่เราจะได้สมบูรณ์พร้อมตามมาตรฐานของพระเจ้า” เด็กๆจำไว้นะคะ..ว่ากฎบัญญัติทุกอย่างเป็นเหมือนกระจกเงา  ที่ส่องแล้วทำให้เรารู้ว่า..”ตัวเองสวยงาม..น่าเกลียด..มีตำหนิ หรือข้อบกพร่องบกพร่องตรงไหน  แต่กระจกเงาทำให้เราดูดีขึ้น..สวยขึ้น..หรือแก้ไขข้อบกพร่องของเรา..ไม่ได้  กฎบัญญัติก็เช่นเดียวกัน..ที่มีไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐาน..ให้เราเห็นความบาปของตัวเอง ให้เรารู้ว่าเราผิดตรงไหน  หรือส่วนไหนที่เราดีแล้ว..ทำถูกแล้ว  เราก็จะได้รู้ว่าเออ..อันนี้ ทำดีแล้วนะ..ให้รักษาไว้..ก็แค่นั้น 
ดู มัทธิว 5:21-22 “..ในพระคัมภีร์เดิมเราทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวไว้กับคนโบราณ..(คนโบราณ หมายถึง บรรพบุรุษของพวกยิวตั้งแต่สมัยโมเสส)  พระบัญญัติกล่าวไว้ว่า `อย่าฆ่าคน' ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ   แต่ ! พระเยซูบอก“..ผู้ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่มีเหตุ ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน”  พระเยซูกำลังขยายความพระบัญญัติข้อนี้ ..ในแง่มุมจากท่าทีภายใน  พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถือว่าการฆ่าคนหรือการทำบาปภายนอก..เป็นบาปที่ใหญ่มาก (มันเห็นกันจะๆ)  เพราะงั้น ถ้าเขาไม่ฆ่าคนซะอย่าง..ก็คงนับได้ว่าเป็นผู้ชอบธรรม  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่  ใครก็ตามที่ถึงแม้จะไม่ฆ่าคน  แต่ไม่มีใจรักในพี่น้องของตน..ก็ต้องถูกพิพากษา คือ รับโทษตายเหมือนกัน  แล้วก็หนักกว่าเพราะเป็นการตายฝ่ายวิญญาณด้วย
ข้อที่ 22 พระเยซูบอกต่อไปว่า“..ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า `อ้ายบ้า' ผู้นั้นต้องถูกนำไปพิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า `อ้ายโง่' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก”..คำว่าอ้ายโง่ กับ อ้ายบ้า ในสมัยนั้นมันมีความหมายไปในทางสบประมาท..ดูถูกเหยียดหยาม   ซึ่งใครก็ตามที่ว่าคนอื่นแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งเอาการ  แล้วน้าตุ๊กจะบอกให้นะ..ว่าในทางพระเจ้า ความบาปที่พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยที่สุด..ไม่ใช่ความโลภ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น  แต่เป็น”ความเย่อหยิ่ง” นี่แหละ เพราะความเย่อหยิ่งมันส่อถึงท่าทีในใจที่ไม่มีความรัก  แล้วที่เราต้องจำ คือ พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีภายในมากกว่าสิ่งที่ฉาบอยู่ภายนอก   พระองค์จึงทรงกล่าวโทษคนที่ดูถูกคนอื่น..ว่าต้องถูกพิพากษาโทษเหมือนกัน..
 ดู มัทธิว 5:23-24 ... “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า  ท่านมีเหตุขัดเคืองใจใคร ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา แล้วกลับไปคืนดีกับพี่น้องคนนั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” ..เห็นมะ..ข้อนี้ คอนเฟริ์มอีก พระเยซูทรงใส่ใจในรายละเอียดของท่าทีภายในจิตใจมากกว่าการกระทำภายนอก   เราอาจจะคิดว่าการทะเลาะกับเพื่อนมันเป็นเรื่องเล็กน้อย..ไม่น่าจะผิดจะบาปอะไร..แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะเด็กๆ   น้าตุ๊กเคยสอนหลายครั้งแล้วว่าความบาปไม่ใช่เรื่อง”เซอร์ไพรส์” แต่มันจะก่อร่างสร้างขึ้นทีละน้อย  บ่มเพาะจากจุดเล็กๆจนเติบโตเป็นบาปที่ใหญ่โตลุกลามขยายเป็นวงกว้าง   ดังนั้น พระเจ้าจึงสอนให้เรารีบไปเคลียร์ความขัดแย้งทุกอย่างกับพี่น้องเสียก่อน   เพราะสำหรับพระเจ้า..ความรักสำคัญที่สุด  ถ้ายังไม่รัก..ไม่ให้อภัยพี่น้อง..ไม่แก้ไขท่าทีภายใน  เครื่องบูชาหรือพิธีกรรมภายนอกมันก็ช่วยเราไม่ได้  และถ้าไม่ยอมไปเคลียร์ แปลว่า..”เราเย่อหยิ่ง” 
ในเรื่องนี้ คนทั่วไป..เป็นกันเยอะ  ชอบจัง..เน้นแต่พิธีกรรมหรือแก้ไขกันแต่เพียงภายนอก  อย่างพ่อแม่หลายๆคนที่ลูกเกเรหรือทะเลาะกับลูกบ่อย..ก็จะชอบเอาลูกไปรดน้ำอะไรบางอย่าง หรือไปเข้าคอร์สทำสมาธิอะไรต่างๆ  แล้วหวังจะให้ความสัมพันธ์กับลูกดีขึ้น  น้าตุ๊กไม่ได้บอกว่าการมีสมาธิไม่ดี..ไม่ใช่  แต่มันไม่ตอบโจทย์หรอก   เพราะคุณยังไม่ได้เคลียร์ปัญหาในหัวใจ..(ของลูก)  และไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหนหรือกับใคร..เราต้องทำแบบที่พระเยซูสอน คือ นั่งลงแล้วคุยกันอย่าง ”ถ่อมใจ”  บางทีเหตุผลก็ยังไม่สำคัญเท่ากับ”การถ่อมใจ”  อะไรที่เราผิด..ต้องสำนึกและขอโทษ  อย่ามาอีโก้แบบชั้นเป็นใคร..เธอเป็นใคร ชั้นเป็นแม่..หรือชั้นแก่กว่า แกต้องมาง้อชั้น..”อย่า ! ” อย่าทำ
ดู มัทธิว 5:25-26  ข้อนี้ก็อยากสอนมาก  ถึงตอนนี้..เรื่องอย่างงี้ อาจจะยังดูห่างไกลกับเด็กๆ  แต่น้าตุ๊กเชื่อว่า..บางทีโตขึ้นไปเด็กๆอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมัน  พระเยซูบอก  ”..จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว”  คำว่า”คู่ความ” หมายถึง ทุกคนที่เราเข้าไปมีกรณีพิพาทย์กับด้วย..ไม่ว่าจะเรื่องอะไร..โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม  อาจจะแค่พูดจากระทบกระทั่ง..หรือเหยียบเท้ากัน  เรื่องใหญ่หน่อยก็ตัวอย่างเช่น เรื่องหนี้สินเงินทองหรือขับรถไปเฉี่ยวชนกัน อะไรต่างๆเหล่านี้..ใช่หมด   พระเจ้าสั่งว่า..”จงปรองดอง”  ปรองดองแปลว่า”พยายามทำให้ทุกอย่างสงบ..อย่ามีปัญหา..อย่าใช้อารมณ์” 
ยกตัวอย่าง เรื่องรถชนก่อน..ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด พอชนปุ๊บ!ทำไง..(บางคนลงไปว่าเขาเลย..”ขับรถยังไงเนี่ย...จะรีบไปตายรึไง  ถ้าอีกฝ่ายใจร้อนก็ยิงกันตายไปเลย..สมัยนี้” จริงมั๊ยคะ)  คือ ไม่ว่าจะเราผิดหรือเขาผิด  จำไว้..พอชนปุ๊บ! ให้ลงไปขอโทษนะคร๊าบ เป็นอะไรมั๊ยครับ  แล้วถ้ามีประกันก็ว่ากันไป  ยังไงก็ให้พูดจาแบบถ่อมใจปรองดองกับเขาไว้..ตามที่พระเยซูสอน   
อีกเรื่องที่อยากจะยกตัวอย่าง ก็คือ เวลาที่“เป็นหนี้เขา”  ในชีวิตความเป็นจริง  “ปกติ”แล้ว..ไม่มีใครอยากเป็นหนี้  (ที่ไม่ปกติเราไม่พูดถึง) ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอีกเหมือนกัน ..ที่วันนึงเราอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะที่”เป็นหนี้” ..และถ้าเราเป็นหนี้เขา..พระเยซูบอก “จงปรองดองกับคู่กรณี”...ทำไง   เป็นหนี้เขา จำไว้ !..ถ้ามีเงิน”ต้องใช้หนี้ก่อน”ไม่ใช่เอาไปใช้ฟุ่มเฟือยก่อน  น้าตุ๊กเห็นมาเยอะมาก  ยังเป็นหนี้อยู่  แต่พอมีเงินแทนที่จะใช้หนี้..เปล่า เอาไปซื้อรถ..ซื้อมือถือ..นู้นนี้นั้น  แต่ ! ไม่ใช้หนี้ หรือไม่ก็ใช้แค่บางส่วน..แบบนี้อย่าทำ  เพราะลองคิดดู  ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้เราจะรู้สึกยังไง..ที่ลูกหนี้ทำแบบนี้
ที่นี้ ถ้ากรณี..เป็นหนี้  แล้วยังไม่มีเงินใช้เขา  เราควรทำไง..ก็ไม่ได้หลุดคอนเซ็ปต์ของพระเยซูเลย  “จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว..” ..ต้องรีบไปเลย..ไปหาเจ้าหนี้ขอผ่อนผัน..ขอความเมตตา  ไปหาเขาก่อน..อย่ารอให้เขาเป็นฝ่ายมาหาเรา  อย่าทำเฉย  หายหน้า..หายตา   ปิดมือถือติดต่อไม่ได้..ไม่เอานะคะ..อย่าทำ  เพราะมันจะ”บันดาลโทสะ”ให้กับคนที่เป็นเจ้าหนี้  ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีจะรู้ว่า..ปัญหาหนี้สินที่ถึงขั้นต้องฟ้องร้องขึ้นศาลหรือแม้แต่ฆ่ากันตายไปเลยเนี่ย  ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นเพราะเจ้าหนี้เขา”บันดาลโทสะ” ก็คือ ลูกหนี้มันทำให้โมโห..โทรไปไม่รับ..บ่ายเบี่ยงเจตนาไม่ดี  หรือบางทีก็พูดจาหาเรื่อง..หาเรื่องจะไม่ใช้หนี้   เขาก็เลยต้อง..”..อายัดเราไว้กับผู้พิพากษา แล้วคราวนี้ล่ะ..เราต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดทันที..ตามที่พระคำภีร์บอกไว้  ไม่มีก็ต้องไปหามา  เดือดร้อนญาติโกโหติกา  เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น..เขาก็จะขังเราไว้ในเรือนจำ”..แบบที่พระเยซูบอกเลย  
จำไว้นะคะเด็กๆ ไม่มีเจ้าหนี้คนไหนหรอก..ที่ลูกหนี้มาขอเคลียร์ด้วยเจตนาดี..ตั้งใจดีแล้วเขาจะไม่อลุ่มอล่วยให้  ยิ่งเรามีพระเจ้าด้วยแล้ว..ไม่ต้องกลัว  ถ้าเราเจตนาดีซะอย่าง..เจ้าหนี้ต้องให้โอกาสเราแน่นอน
ดู มัทธิว 5:27-28  นี่ก็เป็นอีกข้อที่บันทึกไว้ในพระบัญญัติทางโมเสส   พระเยซูบอก..พวกเราคงเคยได้ยินแต่คำสอนที่บอกว่า“..อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา  ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิง (สมัยนี้น่าจะรวมถึงผู้หญิงที่มองผู้ชายด้วย) ด้วยใจไม่บริสุทธิ์  ก็ถือว่าล่วงประเวณีแล้ว”  ข้อนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามาตรฐานของพระเจ้า คือ “แค่คิดก็ผิดแล้ว” ชาวยิวโบราณหรือแม้แต่คนทั่วไป อาจจะถือว่า..ถ้าแค่มองแล้วแอบคิด..คงไม่ผิดอะไร  ก็ยังไม่ได้ลงมือทำ  แต่พระเยซูบอก..ไม่ใช่ “เพราะ แค่คุณคิดก็ถือว่าทำบาปแล้ว”  พระองค์ถึงต้องมาตายที่ไม้กางเขนเพื่อแบกรับ..สิ่งที่เกินกว่ากำลังของเรา  พระองค์รู้ดีว่าไม่มีใครเลย..ที่จะไม่เคย”คิดชั่ว”  แล้วก็ทำตามกฎได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์  เพราะมาตรฐานของพระเจ้าสูงมาก..แค่คิดก็ไม่ได้..คิดไม่ดีก็บาปแล้ว  (ทีนี้ เห็นภาพรึยังว่าเราต้องการพระเยซูมากแค่ไหน..)
ดู มัทธิว 5:29-30 “..ถ้าตาขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้ง..” หรือ “ถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดมันทิ้งไป”....ฟังดูรุนแรงน่ากลัวมาก  แต่ความหมายในข้อนี้  จริงๆน้าตุ๊กคิดว่า..พระเยซูทรงตั้งใจจะบอกเราว่า “อย่ายอมออมชอมให้กับความบาป”  แล้วถ้าเราจะหลีกเลี่ยงการทำบาป   บางครั้ง เราต้องยอมตัดบางสิ่งในชีวิตทิ้งไป เช่น ตัดความสัมพันธ์กับบางคน  ถ้าอยู่ใกล้ใครแล้วใจคอยแต่จะล่วงประเวณี..ก็อย่าไปใกล้เขา   ถ้าอยู่ใกล้เพื่อนคนไหนหรือกลุ่มไหนแล้วคอยแต่จะพากันเที่ยวกลางคืน..ก็ต้องเลิกคบไป (ตัดทิ้งไป)   หรือะไรก็ตามที่มันเป็นตัวฉุดรั้งให้เรา..ห่างจากพระเจ้า..ไม่อยู่ในทางของพระองค์..เราต้องตัดมันทิ้งไป   อย่าเอาตัวเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง..สถานการณ์ที่เสี่ยงหรือเอื้อต่อการทำบาป  นี่คือ ความหมาย..ที่พระเยซูบอกเราในข้อนี้   เพราะการเสียอวัยวะไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ การยอมข่มใจตัดบางอย่างออกไปจากชีวิต..มันก็ดีกว่าที่ทั้งตัวของเราต้องถูกทิ้งลงนรกไป  เพราะทำบาปต่อพระเจ้า 
ดู มัทธิว 5:31-32  ...ในบัญญัติเดิมของโมเสส  มีบันทึกเกี่ยวกับการหย่าร้าง  ที่เหมือนจะอนุญาตให้หย่ากันได้  แต่ต้องทำหนังสือให้เรียบร้อย..ประมาณนั้น  แต่พระเยซูบอก ผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการมีชู้ ก็เท่ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นล่วงประเวณี และถ้าใครจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ล่วงประเวณีด้วย”....พระเยซูไม่ได้ค้านหรือขัดแย้งกับพระบัญญัตินะคะ  พระองค์แค่ไม่อยากให้ใครเอากฎข้อนี้มาอ้าง..เพื่อที่จะหย่าร้างกันตามสบาย   นึกอยากจะแต่ง..ก็แต่ง  นึกอยากจะหย่า..ก็หย่า..ไม่ได้   เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อภาพรวม   ทุกสังคมตลอดจนชาติบ้านเมืองจะมั่นคงหรือไม่..ก็ขึ้นอยู่กับสถาบันครอบครัวเป็นหลัก   ถ้าแค่ทำหนังสือแล้วก็หย่ากันได้.. ความอดทนซึ่งกันและกันจะอยู่ตรงไหน.. คนของพระเจ้าจะต่างกับคนอื่นยังไง..จะเรียกว่าเป็นแสงสว่างมั๊ย  ในเมื่อสถาบันครอบครัวที่ได้ชื่อว่าสำคัญที่สุด..คุณยังล้มเหลว   พระเยซูถึงตรัสชัดเจนว่าพระองค์ไม่สนับสนุนให้ใครหย่าร้างกัน  ตอนเลือก..ไม่เลือกให้ดีก็ต้องกินผลไป..ยังไงคริสเตียนก็ต้องอดทนและเปลี่ยนแปลง
ดู มัทธิว 5:34-37  “..อย่าปฏิญาณเลย ไม่ว่าจะอ้างถึงสวรรค์หรือจะอ้างถึงแผ่นดินโลกก็ดี  อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้  จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแค่นี้ก็พอแล้ว”  คือ ในสมัยพระคำภีร์เนี่ย..คนอิสราเอลรู้สึกว่าการสาบานโดยออกพระนามพระเจ้า..จะทำให้คำพูดมีน้ำหนักขึ้น  แต่พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับท่าทีในใจ  พระองค์สอนว่า “เราต้องพูดความจริงเสมอ” โดยไม่ต้องสาบาน เพราะในยุคพระคุณนี้ตัวเราเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจะพูดหรือทำอะไรพระวิญญาณที่สถิตกับเราทรงเป็นพยานอยู่แล้ว  เพราะงั้น ไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า  อ้างดิน..อ้างฟ้า ให้มันเยอะแยะเหมือนคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาชอบทำกัน..”การไปสาบานต่อหน้านามไหนๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ”..ไม่จำเป็นสำหรับคริสเตียน    เพราะเรามีพระวิญญาณอยู่ด้วย  เครดิตร์แค่นั้นมากพอแล้ว
ดู มัทธิว 5:38-40  ในบัญญัติของโมเสสบอก “ตาแทนตา และฟันแทนฟัน”..กฎพวกนี้  จริงๆแล้วค่อนข้างจำเป็นนะคะในสมัยของโมเสส  เพราะผู้คนยังค่อนข้างป่าเถื่อน  คำว่า”ตาแทนตา  ฟันแทนฟัน” ในบริบทนี้ เล็งถึงการพิพากษาคดีแบบยุติธรรม  ซึ่งเป็นหลักเกฎฑ์ของกฎหมายที่พระเจ้าให้ไว้ทางโมเสส  เพื่อจำกัดขอบเขตไม่ให้มนุษย์แก้แค้นกัน..เกินกว่าที่ถูกกระทำ 
แต่พระเยซูสอนเราว่า “อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวา..ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย”   ..ไหวมั๊ย  ต้องไหวนะ หรือ “ใครฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ก็ให้เสื้อคลุมแก่เขา..แถมไปด้วยเลย”.... ความหมายในข้อนี้ คือ ไม่ใช่แค่..ไม่ให้แก้แค้น  แต่ต้องยกโทษให้เขาด้วย   เพราะถ้าไม่ยกโทษให้จะมีใจแถมเสื้อคลุมให้เขามั๊ยล่ะ      น้าตุ๊กว่าคำสอนของพระเยซูในข้อนี้..เป็นแท็กซ์ติก ของพระองค์ในการที่จะละลายความโกรธหรือความแข็งกระด้างในหัวใจของมนุษย์..ด้วยการสั่งให้เรา..ให้ออกไป  เพราะการให้เป็นผลของความรัก  โดยเฉพอย่างยิ่ง”การให้อภัย”  จริงอยู่ ที่บางครั้งเราอาจจะให้โดยที่ไม่รักก็ได้  แต่ยังไงก็ตาม “การให้” ก็มีอานุภาพในการที่จะหลอมหัวใจมนุษย์ให้อ่อนโยนลงได้..ไม่ว่าจะให้อะไรก็ตาม   ดังนั้น การยื่นแก้มอีกข้างให้ตบหรือการแถมเสื้อคลุมให้เขา..ในบริบทนี้จึงเล็งถึงการ”ให้อภัย”   เราอาจจะไม่สามารถแถมอย่างงี้หรือทำอย่างงี้ในสถานการณ์จริง  แต่ขอให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่พระเยซูพยายามบอกเรานะคะ
    หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น