วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ “มัทธิว” ครั้งที่ 2


คราวที่แล้ว เรามาถึงเรื่องราวของ”ยอห์น” ผู้ให้บัพติศมา  พระคำภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเตรียมยอห์นและกำหนดบทบาทของเขาไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  พระองค์ส่งทูตสวรรค์มาบอกกับพ่อของยอห์นว่า..ยอห์นจะเกิดมาเป็นนาศีร์  และจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก  เมื่อยอห์นโตขึ้นเขาไปใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร คือ อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร  กินจักจั่นกับน้ำผึ้งป่า  เรียกว่าอยู่ง่าย..กินง่าย  ฝึกฝนตัวเอง.. รอเวลาที่พระเจ้าจะเรียกเขาออกมา    แล้วในที่สุด เมื่อยอห์นอายุประมาณ 30 ในราว คศ. 26  พระเจ้าก็ทรงเร้าใจ..ว่าถึงเวลาแล้วที่ยอห์นจะออกมารับใช้พระองค์ด้วยการประกาศข่าวดี  เทศนา พร้อมทั้งให้บัพติศมาผู้คนที่เชื่อและกลับใจใหม่
ดู ลูกา 3:7  ยอห์นเปิดฉากการเทศนาขณะที่ให้บัพติศมาว่า “..เจ้าชาติงูร้าย  ใครเตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาที่จะมาถึง”  มีใครกล้าประกาศเหมือนยอห์นมั๊ย..น้าตุ๊กไม่กล้า โผล่มา..ก็ด่าเขาเลย  แต่ปรากฎว่า  ประชาชนส่วนใหญ่กลับใจเชื่อฟังยอห์น  เนี่ย..เห็นมะ  ถ้ามาจากพระเจ้านะ..พูดยังไงเขาก็เชื่อ  เราต้องเข้าใจอารมณ์ของคนอิสราเอลในเวลานั้นด้วยว่า “พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้ามานานมากแล้ว  ตั้งแต่พระคำภีร์เดิมสิ้นสุดลงที่หนังสือมาลาคี  เป็นเวลาราว 400 ปีที่พระเจ้าไม่ตรัสเลย    จนถึงวันนี้..ที่ยอห์นถูกเรียกออกมารับใช้  ก็นับเป็นครั้งแรกที่คนอิสราเอลได้ยินเสียงพระเจ้าอีกครั้ง   และทั้งที่ยอห์นพูดขวานผ่าซากขนาดนี้  แต่คนอิสราเอลจำนวนมากก็กลับใหม่ทันทีที่ได้ยินยอห์นประกาศ  เพราะไร..ยอห์นเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ  (ลูกา 1:17) .. เขาจะรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ คือ เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า  ผู้ที่จะรับใช้แล้วเกิดผลอย่างมากมาย..ต้องรับใช้ด้วย”สิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า” จะทำอะไรตามใจตัวเอง..ไม่ได้  เด็กๆจำไว้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม  ถ้าใจเราโฟกัสที่เรี่ยวแรงกำลังหรือสติปัญญาของตัวเอง..มันจะไปไม่ถึงไหนหรอก  แต่ถ้าเราโฟกัสที่จะพึ่งพาพระเจ้า..เคลื่อนไปโดยอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์..เราจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง..เสมอ 
ดู ลูกา 3:8-9  ..อย่านึกเหมาในใจว่าตัวเองเป็นลูกหลานของอับราฮัม..ผู้ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้รับพระพร  แล้วจะทำตัวชั่วช้าเลวทรามยังไงก็ได้..ไม่ใช่  “..พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้”  ..อับราฮัมเป็นที่โปรดปรานก็จริง  แต่อับราฮัมใช่จะช่วยได้ทุกอย่าง  เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือก..และความจริงก็คือ พระเจ้าเลือกใครก็ได้  ถูกมั๊ยคะ  พระเจ้าถึงบอกว่า “พระองค์จะเสกพงศ์พันธ์ของอับราฮัมให้ออกมาจากก้อนหิน..ก็ยังได้”  
ข้อที่ 9 บอก.. “ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว..” หมายถึง เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว “ และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในเตาไฟ” ..ถามว่าข้อนี้วัดกันตรงไหน  เกิดผล กับ ไม่เกิดผล..วัดกันตรงไหน  ก็ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไง..ที่จะเป็นบรรทัดฐาน  ประชาชนได้ยินการประกาศของยอห์นแล้ว  กลับใจเชื่อหรือไม่..นั่นแหละ คือ สิ่งที่จะแยกมนุษย์ออกเป็น 2 ฝ่าย  ผู้ที่เชื่อก็นับเป็นต้นที่เกิดผลดี  แต่ถ้าไม่เชื่อ..ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดและโยนทิ้งลงบึงไฟนรกไป
ดู ลูกา 3:10-13 “ประชาชนถามยอห์นว่า..แล้วพวกเขาต้องทำยังไงอีก..”  ยอห์นบอก “ใครที่มีเสื้อผ้าและอาหารอย่างเพียงพอ.. ก็ให้แบ่งให้คนที่ไม่มี  ส่วนพวกที่เก็บภาษี..ก็อย่าขูดรีดมากนัก  ข้อที่ 14 บอกว่า..ฝ่ายพวกทหารก็ถามยอห์นด้วย..ว่าพวกเขาต้องทำไง ยอห์นบอก “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง” ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การคอรัปชั่น มีมานานมากละ..ตั้งแต่สมัยพระเยซูแล้ว  แล้วถ้าสังเกตุให้ดี..เราจะเห็นว่า ยอห์นไม่ได้สอนเรื่องใหม่เลย  ยอห์นเน้นย้ำให้ประชาชนเคร่งครัดที่จะทำตามบัญญัติของโมเสส  ทุกข้อที่ยอห์นสอนไป..ไม่มีอะไรใหม่  เป็นเรื่องที่พระเจ้าสั่งไว้แล้วทั้งหมด
ข้อที่ 15 บอกว่า “เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระคริสต์อยู่ และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระคริสต์หรือมิใช่”  คือ ผู้คนที่ตอบสนองต่อการประกาศของยอห์น  ส่วนใหญ่คิดว่า..ยอห์นคือ “พระคริสต์”  เพราะด้วยคำสอนและสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า..ประชาชนส่วนใหญ่เลยคิดว่ายอห์นคือพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา..ปลดปล่อยจากอะไร ? คนยิวส่วนใหญ่คิดว่า”พระคริสต์”จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้ป็นอิสระจากมหาอำนาจ..ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของใคร..เขาคิดแค่นั้น  เพราะเด็กๆต้องเข้าใจว่า..ตั้งแต่ที่อาณาจักรยูดาห์ล่มสลายไป  อิสราเอลก็ไม่เคยมีเสถียรภาพอีกเลย..เป็นเหมือนลูกบอลที่เขาส่งลูกกันไปมา  ใครขึ้นมาเป็นใหญ่..ก็จะได้อิสราเอลไปครองด้วย..เสมอ  เพราะงั้น “พระคริสต์”ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้..ตามความรู้สึกของคนยิว คือ ผู้ที่จะมาช่วยปลดปล่อย..ให้ประเทศอิสราเอลได้เป็นอิสระจากมหาอำนาจอีกครั้งนึง  ซึ่งขณะนั้น..ก็หมายถึง อาณาจักรโรม 
ดู ลูกา 3:16-17 เมื่อถูกถามว่า “ยอห์น นั้นเป็นพระคริสต์ใช่หรือไม่” ยอห์นบอก..ไม่ใช่ เขาเป็นแค่”ผู้เตรียมทาง หรือ แค่เพื่อนเจ้าบ่าวเท่านั้น..ไม่ใช่ตัวจริง” แต่จะมีอีกพระองค์หนึ่ง..ที่ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าจะเสด็จมา  ซึ่งเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะแตะต้องฉลองพระบาทของพระองค์  ยอห์นบอก..”เขาให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” ..การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยอห์นพูดถึงครั้งนั้น  เล็งถึงเหตุการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์   ข้อที่ 17 บอกว่า “พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บ”ข้าว”ไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผา”แกลบ”ด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ" ในข้อนี้ ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่เป็นข้าว ก็เป็นแกลบ..พลั่วก็คือ อุปกรณ์ที่เขาใช้ในการตักข้าวเปลือกโยนไปในอากาศ  เพื่อให้แกลบพัดไปตามลม   ส่วนเมล็ดข้าวที่ใช้การได้ก็จะตกลงบนพื้น  อันนี้เป็นวิธีแยกแกลบออกจากข้าว  ซึ่งเป็นหมายสำคัญ  เล็งถึงการที่พระเจ้าจะคัดแยกคนของพระองค์ออกมา..เอาไปเก็บในยุ้งฉาง  หมายถึง.. พาไปอยู่ที่ที่พระองค์เตรียมไว้ คือ อาณาจักรสวรรค์  ส่วนแกลบ เอาไปทำไร..เอาไปเผาไฟ  นี่ก็เล็งถึงการพิพากษาที่จะมาถึงคนที่ไม่เชื่อในพระคริสต์..ที่กำลังเสด็จมา  กลับมาที่..
มัทธิว 3:13-15 ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาหายอห์น..ที่ลุ่มน้ำจอร์แดน  ข้อนี้ บอกว่า พระองค์เสด็จมาจากแคว้นกาลิลี..มาหายอห์นเพื่อ”รับบัพติศมา” จากท่าน  และเมื่อยอห์นเห็นพระเยซูปั๊บ ! เขารู้ทันทีว่าพระองค์ คือ พระคริสต์  ยอห์นรู้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนั้น คือ พระเมสสิยาห์ที่ทุกคนรอคอย  ข้อที่ 14 บอก..ยอห์นจึงทูลห้ามพระเยซู บอกว่า “..ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาและรับบัพติศมาจากข้าพระองค์” คือ ยอห์นรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู  เพราะพระองค์สูงส่งกว่าเขา..อย่างเทียบไม่ได้เลย  ยอห์นคิดว่าเขาต่างหาก..ที่น่าจะเป็นฝ่ายรับบัพติศมาจากพระองค์    แต่พระเยซูตรัสกับยอห์นว่า “บัดนี้ จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำสิ่งชอบธรรมทุกประการ”..พระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็นชัดเจน..ว่า อะไรที่พระเจ้าสั่งให้ทำ..ก็จงทำ  โดยไม่มีข้อแม้   เพราะขนาดพระองค์เองผู้เป็นพระเจ้าก็ยังทรงถ่อมใจลงเชื่อฟังและทำตามให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง  และเมื่อพระองค์ยืนยันอย่างนั้น  ยอห์นจึงให้บัพติศมาแก่พระเยซู    จากนั้น ข้อที่ 16 บอกว่า “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว..เสด็จขึ้นจากน้ำ  ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาสถิตอยู่บนพระองค์”..พร้อมทั้งมีเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเราและเราชอบใจท่านมาก  อันนี้คือ หมายสำคัญที่เป็นการยืนยันจากพระเจ้า..และพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย..ว่าพระเยซูคือพระบุตรองค์นั้นที่เสด็จมาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา
ดู มัทธิว 4:1-4  ข้อนี้ เป็นช่วงที่พระเยซูถูกมารทดลอง  พระคำภีร์บอกชัดเจนว่า“..พระวิญญาณทรงนำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร..” พระวิญญาณ”เป็นผู้ที่นำพระเยซู..ไม่ใช่มารนะคะ  อันนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าการทดลองทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับเรา  “พระเจ้า”เท่านั้น ที่สามารถอนุญาตให้เกิดขึ้น..  มารไม่มีสิทธิ์มาควบคุมชีวิตเรา   มันเป็นได้อย่างมากก็แค่เครื่องมือ..ที่พระเจ้าใช้ให้มาทดลองเรา..เหมือนกับที่มันกำลังทดลองพระเยซูอยู่ตอนนี้  
พระวิญญาณนำพระเยซูเข้าไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  อันนี้คือ ถิ่นทุรกันดาร”ยูเดีย”..ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม    เมื่อทรงอดอาหาร 40 วัน 40 คืน แล้ว..มารก็มาทดสอบพระองค์ บอกว่า..”ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าจริง ก็เสกให้ก้อนหินพวกนี้กลายเป็นอาหารสิ” พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” 
เราเคยเรียนกันหลายครั้งแล้วถึงตอนที่พระเยซูถูกมารทดลองนี้  และพระองค์ก็ไม่บาป..พระองค์ชนะการทดลองคือสอบผ่านตลอด  แต่ประเด็นที่น้าตุ๊กอยากชี้ให้เห็นในข้อนี้ก็คือ  ที่พระองค์ไม่บาป..หลายคนอาจแอบคิดว่า  ใช่สิ..ก็พระองค์เป็นพระเจ้านี่  เลยเอาชนะความบาปได้   อันนี้..  เข้าใจผิด  ความจริงคือ เมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์..พระองค์ทรงอยู่สภาพเดียวกับเรา 100%   สังเกตดูดีๆข้อนี้ บอกว่า..เมื่ออดอาหารแล้วพระองค์ทรง”อยากพระกระยาหาร”  แปลว่า “หิว” พระเยซู หิวเป็น เหนื่อยเป็น เจ็บเป็น ร้อน..หนาว และที่สำคัญมีวาระที่พระองค์”กลัว”  แต่ความกลัวของพระองค์ต่างกับความกลัวของมนุษย์  ความกลัวของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะ..มนุษย์ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์สุดท้ายของแต่ละสถานการณ์ได้  ถ้าเขาเหล่านั้นสามารถกำหนดรูปแบบความเลวร้ายที่สุดของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้  ความกลัวจะลดน้อยลงหรือหายไปทันที   ดังนั้น แท้จริงแล้ว มนุษย์”กลัว” สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ต่างหาก..หาใช่สถานการณ์เลวร้ายไม่   และสาเหตุที่เป็นอย่างนี้  ก็ต่อเนื่องจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปตั้งแต่ปฐมกาล..เพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้าแต่อยากจะเป็นผู้ควบคุมซะเอง  แต่ความกลัวของพระเยซูนั้น..เป็นเพราะพระองค์รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น..และบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไง  พระองค์วางใจในพระบิดาเต็มเปี่ยม   แต่ณ.จุดนั้นเนื้อหนังความรู้สึกแบบมนุษย์ที่มีอยู่ในพระองค์ครบถ้วน..มันทำงานอย่างเต็มขนาดอย่าง ดู มัทธิว 4:5-7  แล้วมารก็ทดลองพระเยซูอีก  โดยนำพระองค์ไปประทับบนยอดหลังคาพระวิหาร..พระวิหารนี้ เป็นวิหารที่ก.เฮโรดใหม่สร้างขึ้นบนรากของวิหารที่ซาโลมอนสร้างไว้  จากพื้นถึงหลังคาก็สูงประมาณตึก 15 ชั้น  มารบอกพระเยซูว่า ”ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็กระโดดลงไปเถิด พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ให้เอามือประคองชูท่านไว้..” พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”  สังเกตุดูนะคะพระเยซูจะอ้างพระคำภีร์ทุกครั้งในการตอบโต้กับมาร  อันนี้ก็เป็นบทเรียนของเราในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน..คำตอบของเราต้องอยู่ใน”พระคำภีร์” เสมอ
แล้วคำว่าอย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า..มนุษย์ทุกคนต้องจำไว้ให้ดี มีหลายครั้งที่น้าตุ๊กเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง ก็ต้องทำ 1..2..3..ได้สิ หรือถ้าจะให้เชื่อก็ต้องให้ชั้น...(ได้อย่างที่ต้องการ)  ถามหน่อย..ถ้าต้องให้ตามที่เรียกร้องเพื่อให้เธอเชื่อ..แล้วตกลงใครใหญ่         เพราะนั่นมันวิธีที่คนไม่มีพระเจ้าเขาใช้เรียกร้องกับพระของเขา..ถูกมะ แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่  อะไรดีสำหรับเรา พระองค์รู้หมดแล้ว..พระองค์รู้ดีกว่าเราแน่นอน  ถ้ารู้เท่าๆเราพระองค์จะดูแลชีวิตเรารวมถึงมหาจักรวาลนี้ให้ขับเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์..ไม่ได้หรอก
ดู มัทธิว 4:12-13  พระเยซูทรงเริ่มต้นราชกิจของพระองค์  หลังจากที่ทรงสั่งสอนและให้บัพติศมาผู้คนแถวน.จอร์แดนแล้ว  พระองค์ก็ย้ายไปที่แคว้นกาลิลี   ข้อที่ 18 บอก..ทรงเรียกเปโตรกับอันดรูว์ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ชายทะเลกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องที่เป็นชาวประมงสองคน คือซีโมนหรือที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา  พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”  ..เพราะสาวกเหล่านี้ที่พระองค์ตั้งไว้จะพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์  พวกเขาจะเป็นผลแรกแห่งคริสตจักรของพระเยซูคริสต์  ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ในวันเพนเธคอสต์  (เดี๋ยวเราจะได้เรียนกันต่อไป)  จากนั้น ทรงเรียกยากอบกับยอห์น  ซึ่งตอนนั้นกำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อ  แต่พระคำภีร์บอก..”ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป”  ข้อที่ 23 บอกว่า “พระเยซูทรงประกาศในแคว้นกาลิลี  ทรงสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐ  และยังทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย ทั้งหมดนี้ ก็เป็นราชกิจที่แคว้นกาลิลี
ดู มัทธิว 5:1-5/6-10  ภูเขาที่กล่าวถึงในข้อนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นภูเขาอะไร  แต่ในหนังสือมัทธิว มักจะเอ่ยถึงภูเขาว่าเป็นที่ “อธิฐานและรับการสำแดงจากพระเจ้า”  ก็ลักษณะเดียวกันกับพระคำภีร์เดิมที่พระเจ้าสอนคนอิสราเอลหรือเวลาที่พระองค์จะเรียกโมเสสไปรับการสำแดง..พระองค์ก็จะเรียกให้ขึ้นไป..”บนภูเขา”  และการเทศนาบนภูเขาของพระเยซูก็เจาะจงสำหรับสาวก..ไม่เฉพาะสาวก 12 คน แต่รวมถึงประชาชนที่ติดตามพระองค์ไปเพื่อจะเรียนรู้จากพระองค์ด้วย    สังเกตุคำสอนทั้ง 8 ข้อนี้ เป็นข้อที่มีพระพรพ่วงท้ายเสมอ   พระเยซูใช้คำว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” ถึง 8 ครั้ง..เพื่อไร เพื่อที่ที่จะย้ำกับทุกคนว่า..ผู้ที่เข้ามาเชื่อในพระองค์  จะได้พบสันติสุขแท้จริง..อย่างแน่นอน  อย่างเช่น ข้อที่ 3 บอกว่า “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา” ..ข้อนี้  น้าตุ๊กว่า พระเยซูพยายามจะบอกเรา..ว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม  เพราะงั้น ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดีพร้อมแล้ว “นั่นคือมีปัญหา”  คำสอนของพระเยซูจะประมาณนี้  สั้นๆ..ได้ใจความ  และเป็นมาตรฐานของพระเจ้าซึ่ง..ถ้าไม่มีพระเจ้า..ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ไม่มีใครทำตามได้แน่นอน  นอกจากเข้ามาพึ่งในพระคุณพระองค์เท่านั้น  ( และประสบการณ์เบื้องลึกในเรื่องนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเด็กๆเอง  ถ้าเด็กๆมีความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกับพระองค์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น