คราวที่แล้ว
เรามาถึงเรื่องราวของ”ยอห์น” ผู้ให้บัพติศมา
พระคำภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเตรียมยอห์นและกำหนดบทบาทของเขาไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
พระองค์ส่งทูตสวรรค์มาบอกกับพ่อของยอห์นว่า..ยอห์นจะเกิดมาเป็นนาศีร์ และจะเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อยอห์นโตขึ้นเขาไปใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร
คือ อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร กินจักจั่นกับน้ำผึ้งป่า เรียกว่าอยู่ง่าย..กินง่าย ฝึกฝนตัวเอง.. รอเวลาที่พระเจ้าจะเรียกเขาออกมา แล้วในที่สุด เมื่อยอห์นอายุประมาณ 30 ในราว คศ.
26 พระเจ้าก็ทรงเร้าใจ..ว่าถึงเวลาแล้วที่ยอห์นจะออกมารับใช้พระองค์ด้วยการประกาศข่าวดี เทศนา พร้อมทั้งให้บัพติศมาผู้คนที่เชื่อและกลับใจใหม่
ดู ลูกา 3:7 ยอห์นเปิดฉากการเทศนาขณะที่ให้บัพติศมาว่า
“..เจ้าชาติงูร้าย
ใครเตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาที่จะมาถึง”
มีใครกล้าประกาศเหมือนยอห์นมั๊ย..น้าตุ๊กไม่กล้า โผล่มา..ก็ด่าเขาเลย แต่ปรากฎว่า
ประชาชนส่วนใหญ่กลับใจเชื่อฟังยอห์น
เนี่ย..เห็นมะ
ถ้ามาจากพระเจ้านะ..พูดยังไงเขาก็เชื่อ
เราต้องเข้าใจอารมณ์ของคนอิสราเอลในเวลานั้นด้วยว่า
“พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้ามานานมากแล้ว
ตั้งแต่พระคำภีร์เดิมสิ้นสุดลงที่หนังสือมาลาคี เป็นเวลาราว 400
ปีที่พระเจ้าไม่ตรัสเลย
จนถึงวันนี้..ที่ยอห์นถูกเรียกออกมารับใช้
ก็นับเป็นครั้งแรกที่คนอิสราเอลได้ยินเสียงพระเจ้าอีกครั้ง และทั้งที่ยอห์นพูดขวานผ่าซากขนาดนี้ แต่คนอิสราเอลจำนวนมากก็กลับใหม่ทันทีที่ได้ยินยอห์นประกาศ
เพราะไร..ยอห์นเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ (ลูกา 1:17) ..
เขาจะรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ คือ
เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า
ผู้ที่จะรับใช้แล้วเกิดผลอย่างมากมาย..ต้องรับใช้ด้วย”สิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า”
จะทำอะไรตามใจตัวเอง..ไม่ได้ เด็กๆจำไว้
ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม
ถ้าใจเราโฟกัสที่เรี่ยวแรงกำลังหรือสติปัญญาของตัวเอง..มันจะไปไม่ถึงไหนหรอก
แต่ถ้าเราโฟกัสที่จะพึ่งพาพระเจ้า..เคลื่อนไปโดยอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์..เราจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง..เสมอ
ดู ลูกา 3:8-9 ..อย่านึกเหมาในใจว่าตัวเองเป็นลูกหลานของอับราฮัม..ผู้ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้รับพระพร แล้วจะทำตัวชั่วช้าเลวทรามยังไงก็ได้..ไม่ใช่ “..พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้” ..อับราฮัมเป็นที่โปรดปรานก็จริง แต่อับราฮัมใช่จะช่วยได้ทุกอย่าง เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือก..และความจริงก็คือ
พระเจ้าเลือกใครก็ได้ ถูกมั๊ยคะ พระเจ้าถึงบอกว่า
“พระองค์จะเสกพงศ์พันธ์ของอับราฮัมให้ออกมาจากก้อนหิน..ก็ยังได้”
ข้อที่ 9 บอก..
“ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว..” หมายถึง เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว “
และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในเตาไฟ” ..ถามว่าข้อนี้วัดกันตรงไหน เกิดผล กับ ไม่เกิดผล..วัดกันตรงไหน ก็ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไง..ที่จะเป็นบรรทัดฐาน ประชาชนได้ยินการประกาศของยอห์นแล้ว กลับใจเชื่อหรือไม่..นั่นแหละ คือ
สิ่งที่จะแยกมนุษย์ออกเป็น 2 ฝ่าย ผู้ที่เชื่อก็นับเป็นต้นที่เกิดผลดี แต่ถ้าไม่เชื่อ..ก็ถึงเวลาที่จะต้องตัดและโยนทิ้งลงบึงไฟนรกไป
ดู ลูกา 3:10-13 “ประชาชนถามยอห์นว่า..แล้วพวกเขาต้องทำยังไงอีก..” ยอห์นบอก “ใครที่มีเสื้อผ้าและอาหารอย่างเพียงพอ..
ก็ให้แบ่งให้คนที่ไม่มี
ส่วนพวกที่เก็บภาษี..ก็อย่าขูดรีดมากนัก
ข้อที่ 14 บอกว่า..ฝ่ายพวกทหารก็ถามยอห์นด้วย..ว่าพวกเขาต้องทำไง
ยอห์นบอก “อย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน แต่จงพอใจในค่าจ้างของตัวเอง”
ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การคอรัปชั่น มีมานานมากละ..ตั้งแต่สมัยพระเยซูแล้ว แล้วถ้าสังเกตุให้ดี..เราจะเห็นว่า
ยอห์นไม่ได้สอนเรื่องใหม่เลย
ยอห์นเน้นย้ำให้ประชาชนเคร่งครัดที่จะทำตามบัญญัติของโมเสส ทุกข้อที่ยอห์นสอนไป..ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่พระเจ้าสั่งไว้แล้วทั้งหมด
ข้อที่ 15 บอกว่า “เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระคริสต์อยู่
และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระคริสต์หรือมิใช่” คือ ผู้คนที่ตอบสนองต่อการประกาศของยอห์น ส่วนใหญ่คิดว่า..ยอห์นคือ “พระคริสต์” เพราะด้วยคำสอนและสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า..ประชาชนส่วนใหญ่เลยคิดว่ายอห์นคือพระเมสสิยาห์ที่จะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขา..ปลดปล่อยจากอะไร ? คนยิวส่วนใหญ่คิดว่า”พระคริสต์”จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้ป็นอิสระจากมหาอำนาจ..ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของใคร..เขาคิดแค่นั้น
เพราะเด็กๆต้องเข้าใจว่า..ตั้งแต่ที่อาณาจักรยูดาห์ล่มสลายไป อิสราเอลก็ไม่เคยมีเสถียรภาพอีกเลย..เป็นเหมือนลูกบอลที่เขาส่งลูกกันไปมา ใครขึ้นมาเป็นใหญ่..ก็จะได้อิสราเอลไปครองด้วย..เสมอ เพราะงั้น “พระคริสต์”ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้..ตามความรู้สึกของคนยิว
คือ ผู้ที่จะมาช่วยปลดปล่อย..ให้ประเทศอิสราเอลได้เป็นอิสระจากมหาอำนาจอีกครั้งนึง ซึ่งขณะนั้น..ก็หมายถึง อาณาจักรโรม
ดู ลูกา 3:16-17 เมื่อถูกถามว่า
“ยอห์น นั้นเป็นพระคริสต์ใช่หรือไม่” ยอห์นบอก..ไม่ใช่ เขาเป็นแค่”ผู้เตรียมทาง
หรือ แค่เพื่อนเจ้าบ่าวเท่านั้น..ไม่ใช่ตัวจริง” แต่จะมีอีกพระองค์หนึ่ง..ที่ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าจะเสด็จมา
ซึ่งเขาไม่คู่ควรแม้แต่จะแตะต้องฉลองพระบาทของพระองค์ ยอห์นบอก..”เขาให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”
..การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยอห์นพูดถึงครั้งนั้น
เล็งถึงเหตุการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ ข้อที่ 17 บอกว่า “พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว
และเพื่อจะเก็บ”ข้าว”ไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผา”แกลบ”ด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ" ในข้อนี้
ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่เป็นข้าว ก็เป็นแกลบ..พลั่วก็คือ
อุปกรณ์ที่เขาใช้ในการตักข้าวเปลือกโยนไปในอากาศ
เพื่อให้แกลบพัดไปตามลม
ส่วนเมล็ดข้าวที่ใช้การได้ก็จะตกลงบนพื้น
อันนี้เป็นวิธีแยกแกลบออกจากข้าว
ซึ่งเป็นหมายสำคัญ
เล็งถึงการที่พระเจ้าจะคัดแยกคนของพระองค์ออกมา..เอาไปเก็บในยุ้งฉาง หมายถึง.. พาไปอยู่ที่ที่พระองค์เตรียมไว้ คือ
อาณาจักรสวรรค์ ส่วนแกลบ เอาไปทำไร..เอาไปเผาไฟ นี่ก็เล็งถึงการพิพากษาที่จะมาถึงคนที่ไม่เชื่อในพระคริสต์..ที่กำลังเสด็จมา กลับมาที่..
มัทธิว 3:13-15 ในที่สุด
ก็ถึงเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาหายอห์น..ที่ลุ่มน้ำจอร์แดน ข้อนี้ บอกว่า
พระองค์เสด็จมาจากแคว้นกาลิลี..มาหายอห์นเพื่อ”รับบัพติศมา” จากท่าน และเมื่อยอห์นเห็นพระเยซูปั๊บ ! เขารู้ทันทีว่าพระองค์ คือ พระคริสต์
ยอห์นรู้ทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนั้น คือ
พระเมสสิยาห์ที่ทุกคนรอคอย ข้อที่ 14
บอก..ยอห์นจึงทูลห้ามพระเยซู บอกว่า “..ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาและรับบัพติศมาจากข้าพระองค์”
คือ ยอห์นรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู เพราะพระองค์สูงส่งกว่าเขา..อย่างเทียบไม่ได้เลย ยอห์นคิดว่าเขาต่างหาก..ที่น่าจะเป็นฝ่ายรับบัพติศมาจากพระองค์
แต่พระเยซูตรัสกับยอห์นว่า “บัดนี้
จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำสิ่งชอบธรรมทุกประการ”..พระเยซูทรงสำแดงให้เราเห็นชัดเจน..ว่า
อะไรที่พระเจ้าสั่งให้ทำ..ก็จงทำ
โดยไม่มีข้อแม้ เพราะขนาดพระองค์เองผู้เป็นพระเจ้าก็ยังทรงถ่อมใจลงเชื่อฟังและทำตามให้เราเห็นเป็นตัวอย่าง และเมื่อพระองค์ยืนยันอย่างนั้น ยอห์นจึงให้บัพติศมาแก่พระเยซู จากนั้น
ข้อที่ 16 บอกว่า “ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว..เสด็จขึ้นจากน้ำ
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็แหวกออก
และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบลงมาสถิตอยู่บนพระองค์”..พร้อมทั้งมีเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า
“ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเราและเราชอบใจท่านมาก อันนี้คือ
หมายสำคัญที่เป็นการยืนยันจากพระเจ้า..และพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย..ว่าพระเยซูคือพระบุตรองค์นั้นที่เสด็จมาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา
ดู มัทธิว 4:1-4 ข้อนี้
เป็นช่วงที่พระเยซูถูกมารทดลอง
พระคำภีร์บอกชัดเจนว่า“..พระวิญญาณทรงนำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร..”
พระวิญญาณ”เป็นผู้ที่นำพระเยซู..ไม่ใช่มารนะคะ
อันนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าการทดลองทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับเรา “พระเจ้า”เท่านั้น ที่สามารถอนุญาตให้เกิดขึ้น.. มารไม่มีสิทธิ์มาควบคุมชีวิตเรา มันเป็นได้อย่างมากก็แค่เครื่องมือ..ที่พระเจ้าใช้ให้มาทดลองเรา..เหมือนกับที่มันกำลังทดลองพระเยซูอยู่ตอนนี้
พระวิญญาณนำพระเยซูเข้าไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อันนี้คือ ถิ่นทุรกันดาร”ยูเดีย”..ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม เมื่อทรงอดอาหาร 40 วัน 40 คืน แล้ว..มารก็มาทดสอบพระองค์
บอกว่า..”ถ้าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้าจริง ก็เสกให้ก้อนหินพวกนี้กลายเป็นอาหารสิ”
พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้
แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
เราเคยเรียนกันหลายครั้งแล้วถึงตอนที่พระเยซูถูกมารทดลองนี้
และพระองค์ก็ไม่บาป..พระองค์ชนะการทดลองคือสอบผ่านตลอด
แต่ประเด็นที่น้าตุ๊กอยากชี้ให้เห็นในข้อนี้ก็คือ ที่พระองค์ไม่บาป..หลายคนอาจแอบคิดว่า ใช่สิ..ก็พระองค์เป็นพระเจ้านี่ เลยเอาชนะความบาปได้ อันนี้.. เข้าใจผิด
ความจริงคือ เมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์..พระองค์ทรงอยู่สภาพเดียวกับเรา 100% สังเกตดูดีๆข้อนี้ บอกว่า..เมื่ออดอาหารแล้วพระองค์ทรง”อยากพระกระยาหาร” แปลว่า “หิว” พระเยซู หิวเป็น เหนื่อยเป็น
เจ็บเป็น ร้อน..หนาว และที่สำคัญมีวาระที่พระองค์”กลัว” แต่ความกลัวของพระองค์ต่างกับความกลัวของมนุษย์ ความกลัวของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะ..มนุษย์ไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์สุดท้ายของแต่ละสถานการณ์ได้ ถ้าเขาเหล่านั้นสามารถกำหนดรูปแบบความเลวร้ายที่สุดของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ความกลัวจะลดน้อยลงหรือหายไปทันที ดังนั้น
แท้จริงแล้ว มนุษย์”กลัว” สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ต่างหาก..หาใช่สถานการณ์เลวร้ายไม่ และสาเหตุที่เป็นอย่างนี้ ก็ต่อเนื่องจากที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปตั้งแต่ปฐมกาล..เพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้าแต่อยากจะเป็นผู้ควบคุมซะเอง
แต่ความกลัวของพระเยซูนั้น..เป็นเพราะพระองค์รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น..และบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไง พระองค์วางใจในพระบิดาเต็มเปี่ยม แต่ณ.จุดนั้นเนื้อหนังความรู้สึกแบบมนุษย์ที่มีอยู่ในพระองค์ครบถ้วน..มันทำงานอย่างเต็มขนาดอย่าง
ดู มัทธิว 4:5-7 แล้วมารก็ทดลองพระเยซูอีก
โดยนำพระองค์ไปประทับบนยอดหลังคาพระวิหาร..พระวิหารนี้
เป็นวิหารที่ก.เฮโรดใหม่สร้างขึ้นบนรากของวิหารที่ซาโลมอนสร้างไว้ จากพื้นถึงหลังคาก็สูงประมาณตึก 15 ชั้น มารบอกพระเยซูว่า ”ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ก็กระโดดลงไปเถิด พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ให้เอามือประคองชูท่านไว้..”
พระเยซูตอบมารว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”
สังเกตุดูนะคะพระเยซูจะอ้างพระคำภีร์ทุกครั้งในการตอบโต้กับมาร อันนี้ก็เป็นบทเรียนของเราในการใช้ชีวิต
ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน..คำตอบของเราต้องอยู่ใน”พระคำภีร์” เสมอ
แล้วคำว่าอย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า..มนุษย์ทุกคนต้องจำไว้ให้ดี
มีหลายครั้งที่น้าตุ๊กเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง ก็ต้องทำ 1..2..3..4 ได้สิ
หรือถ้าจะให้เชื่อก็ต้องให้ชั้น...(ได้อย่างที่ต้องการ)
ถามหน่อย..ถ้าต้องให้ตามที่เรียกร้องเพื่อให้เธอเชื่อ..แล้วตกลงใครใหญ่ เพราะนั่นมันวิธีที่คนไม่มีพระเจ้าเขาใช้เรียกร้องกับพระของเขา..ถูกมะ
แต่พระเจ้าของเรา..ไม่ใช่ อะไรดีสำหรับเรา
พระองค์รู้หมดแล้ว..พระองค์รู้ดีกว่าเราแน่นอน
ถ้ารู้เท่าๆเราพระองค์จะดูแลชีวิตเรารวมถึงมหาจักรวาลนี้ให้ขับเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์..ไม่ได้หรอก
ดู มัทธิว 4:12-13 พระเยซูทรงเริ่มต้นราชกิจของพระองค์
หลังจากที่ทรงสั่งสอนและให้บัพติศมาผู้คนแถวน.จอร์แดนแล้ว พระองค์ก็ย้ายไปที่แคว้นกาลิลี ข้อที่
18 บอก..ทรงเรียกเปโตรกับอันดรูว์ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ชายทะเลกาลิลี
ก็ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องที่เป็นชาวประมงสองคน คือซีโมนหรือที่เรียกว่าเปโตร
กับอันดรูว์น้องชายของเขา พระองค์ตรัสกับเขาว่า
"จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” ..เพราะสาวกเหล่านี้ที่พระองค์ตั้งไว้จะพยานในข่าวประเสริฐของพระองค์ พวกเขาจะเป็นผลแรกแห่งคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ในวันเพนเธคอสต์ (เดี๋ยวเราจะได้เรียนกันต่อไป) จากนั้น ทรงเรียกยากอบกับยอห์น ซึ่งตอนนั้นกำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อ แต่พระคำภีร์บอก..”ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์ไป” ข้อที่ 23 บอกว่า “พระเยซูทรงประกาศในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐ และยังทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างของชาวเมืองให้หาย”
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นราชกิจที่แคว้นกาลิลี
ดู มัทธิว 5:1-5/6-10 ภูเขาที่กล่าวถึงในข้อนี้
ไม่แน่ใจว่าเป็นภูเขาอะไร แต่ในหนังสือมัทธิว
มักจะเอ่ยถึงภูเขาว่าเป็นที่ “อธิฐานและรับการสำแดงจากพระเจ้า”
ก็ลักษณะเดียวกันกับพระคำภีร์เดิมที่พระเจ้าสอนคนอิสราเอลหรือเวลาที่พระองค์จะเรียกโมเสสไปรับการสำแดง..พระองค์ก็จะเรียกให้ขึ้นไป..”บนภูเขา” และการเทศนาบนภูเขาของพระเยซูก็เจาะจงสำหรับสาวก..ไม่เฉพาะสาวก
12 คน แต่รวมถึงประชาชนที่ติดตามพระองค์ไปเพื่อจะเรียนรู้จากพระองค์ด้วย
สังเกตุคำสอนทั้ง 8 ข้อนี้
เป็นข้อที่มีพระพรพ่วงท้ายเสมอ
พระเยซูใช้คำว่า “ผู้นั้นเป็นสุข” ถึง 8 ครั้ง..เพื่อไร
เพื่อที่ที่จะย้ำกับทุกคนว่า..ผู้ที่เข้ามาเชื่อในพระองค์ จะได้พบสันติสุขแท้จริง..อย่างแน่นอน อย่างเช่น ข้อที่ 3 บอกว่า
“บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา” ..ข้อนี้ น้าตุ๊กว่า
พระเยซูพยายามจะบอกเรา..ว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม เพราะงั้น ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองดีพร้อมแล้ว
“นั่นคือมีปัญหา” คำสอนของพระเยซูจะประมาณนี้ สั้นๆ..ได้ใจความ และเป็นมาตรฐานของพระเจ้าซึ่ง..ถ้าไม่มีพระเจ้า..ไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ไม่มีใครทำตามได้แน่นอน นอกจากเข้ามาพึ่งในพระคุณพระองค์เท่านั้น ( และประสบการณ์เบื้องลึกในเรื่องนี้
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเด็กๆเอง
ถ้าเด็กๆมีความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกับพระองค์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น