เชื่อว่า “ท่าน มัทธิว” เป็นผู้เขียน มัทธิวเป็นหนึ่งในอัครสาวก 12 คนของพระเยซู และมัทธิวมีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี ซึ่งถ้าจะมองฝ่ายโลก..มัทธิวก็เป็นที่รังเกียจของคนยิวเพราะคนเก็บภาษีในสมัยนั้นได้ชื่อว่า”เป็นคนบาป”
ชอบขูดรีดเก็บภาษีเกินพิกัด เพราะส่วนใหญ่ต้องไปขอสัมปะทานมา ถ้าไม่เก็บเยอะๆเดี๋ยวจะขาดทุน ดังนั้น ถ้ามองตรงจุดนี้ก็คือ
พระเจ้าทรงเลือกคนที่โลกไม่สมบูรณ์พร้อม
หลายครั้งพระองค์เลือกคนที่โลกประนามว่าเป็นคนไม่ดี เพราะคนแย่ๆเหล่านี้แหละ..ที่เมื่อพระองค์ทรงขัดเกลาแล้วชนทุกชาติก็จะเห็นพระสิริของพระองค์ได้อย่างชัดเจน และด้วยความที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี อีกด้านนึงมัทธิวจึงเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ ทำบัญชี..จดบันทึกได้อย่างถี่ถ้วน แล้วก็ยังเชี่ยวชาญในภาษากรีกอย่างมาก
ส่วนเวลาที่เขียนก็เชื่อว่า หนังสือ”มัทธิว”
เขียนขึ้นหลังจากที่พระวิหารในเยรูซาเล็มถูกทำลายไปแล้วใน คศ. 70
หนังสือ
มัทธิว มีทั้งหมด 28 บท และรายละเอียดของเนื้อหาหลักแบ่งได้เป็น
5 หัวข้อได้แก่..
1. เรื่องเกี่ยวกับพงศ์พันธ์
การกำเนิดและบ้านเกิดของพระเยซูในวัยเยาว์
2. ราชกิจกับมวลชนในแคว้นกาลิลี
3. ราชกิจกับเหล่าสาวก
และการเตรียมสาวกของพระเยซู
4. ช่วงที่มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม
และราชกิจในแคว้นยูเดีย
5. การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
มาจนถึงการฟื้นคืนพระชนม์และการบัญชาเหล่าสาวก
ดู
มัทธิวบทที่ 1:1-17 ข้อนี้จะเป็นลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ที่เราเคยอ่านหลายครั้ง แล้วก็จำไม่หวาดไม่ไหว เพราะมีแต่ชื่อที่เรียกยากๆยาวเหยียด แต่จำไม่ได้ไม่เป็นไร น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็นเฉพาะข้อเด่นๆ และประเด็นที่น่าสังเกต..
อันแรก
คือ ข้อที่ 17 พงศ์พันธ์ของพระคริสต์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ โดยนับเป็นกลุ่มละ 14 ช่วงอายุ กลุ่มแรกนับจาก”อับราฮัม” จนถึง ก.ดาวิด (14 ชั่วคน) กลุ่มที่สอง คือ จาก”ดาวิด”
ถึงรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย (14 ชั่วคน) และกลุ่มที่สาม
นับจากรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน
จนถึงพระเยซูตริสต์ (ก็ 14 ชั่วคน) ดังนั้น มี 3 คนที่น้าตุ๊กอยากพูดถึง
คนแรก
คือ อับราฮัม คือ
ต้นตระกูลของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้
มัทธิวต้องการชี้ให้ชนชาติยิวรู้ว่า
พระเยซูสืบเชื้อสายมาทาง”อับราฮัม”
คนที่สองคือ
“ดาวิด”
กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล
ยิ่งใหญ่จริงๆทุกวันนี้ธงประจำชาติอิสราเอลยังคงเป็นรูปดาวดาวิด และดาวิด คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า ( A man after God’s own heart) แปลว่า “บุรุษผู้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า”
(เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมาแล้ว..ถูกใจที่สุด)
และในพระคำภีร์เดิม
ดาวิดเป็นเงาของพระเยซูคริสต์
และสุดท้ายคือ
พระเยซู ผู้ซึ่งเป็นพระเมสสิยาห์
เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แท้จริงของชาวยิวและมนุษยชาติทั้งปวงด้วย
สิ่งที่น่าสังเกตในข้อที่
3-6 คือ
มีผู้หญิงอยู่ 5 คนที่พระคำภีร์กล่าวถึงอยู่..ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ คนแรก คือ นางทาร์มา เปิดไปดู..
ดู
ปฐก.38:16-18 จริงๆทาร์มา เป็นลูกสะใภ้ของยูดาห์..เป็นภรรยาของลูกชายคนโต แต่อยู่มาสามีของทาร์มาตาย แล้วธรรมเนียมของยิวก็คือ น้องชายคนถัดไปก็ต้องรับพี่สะใภ้เป็นภรรยา..เพื่อสืบเชื้อสายให้ลูกชายคนโต แต่เรื่องของเรื่อง ก็คือ
น้องชายคนรองก็ตายอีก
ยังเหลือน้องชายคนเล็กที่ต้องรับทาร์มานั่นแหละไปเป็นภรรยา ทีนี้ ยูดาห์เห็นลูกชายตายไปสองคนแล้ว พอเดาออกมั๊ย..ว่ายูดาห์คิดอะไร “ใครไปเป็นสามีของยายคนนี้..ตายเรียบ” ยูดาห์เลยกลัวลูกชายคนเล็กจะตายไปอีกคน ก็เลยเฉไฉ
บ่ายเบี่ยงไม่ยกลูกชายคนเล็กให้ทาร์มา
ซึ่งจริงๆมันผิดธรรมเนียมที่พึงปฎิบัติต่อลูกสะใภ้ที่เป็นหม้าย ทาร์มาเลยออกอุบายแกล้งปลอมตัวเป็นโสเภณีจนได้ไปหลับนอนกับยูดาห์
(พ่อสามี) ไม่ยกลูกให้นอนกะพ่อสามีซะเลย
..จนในที่สุด ทาร์มาก็ตั้งท้อง คือ
สมัยนั้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกสืบสกุลเนี้ย มันถือเป็นเรื่องน่าอับอายมากๆ ถามว่าลูกที่เกิดกับยูดาห์(พ่อสามี) ถือเป็นความเชิดหน้าชูตามั๊ย..เปล่าเลย มันดูอัปยศและน่าตะขิดตะขวงใจด้วยซ้ำ แต่ทาร์มาก็คงคิดว่า “ยังดีกว่า..ไม่มีลูก” เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปี..เด็กๆดูว่า..
ที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่ทาร์มาทำ..
ในมัทธิว
1:3 นี้บันทึกว่า
“ยูดาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อเปเรศกับเศ-ราห์เกิดจากนางทามาร์..” ผลจากการกระทำของทาร์มาในครั้งนั้นกลายเป็นหนึ่งในแผนการของพระเจ้าในการเตรียมทางให้พระเยซูคริสต์มาบังเกิด พระเจ้าตั้งใจมั๊ย..ให้มันเป็นแบบนี้ พระองค์ตั้งใจแน่นอน แล้วเราเห็นอะไรในสิ่งที่พระองค์ทำ พระองค์ไม่ได้เลือกแต่คนที่สมบูรณ์พร้อม หรือ เกิดมาอย่างถูกต้อง ไม่ว่าเราจะเกิดมาในสภาพไหน อยู่สถานะใดของสังคม..ก็ไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า ถ้าพระองค์เลือกเฉพาะผู้ที่มีสถานภาพถูกต้องหรือดูดีมีชาติตระกูลทุกอย่าง ลูกของทาร์มาคงไม่ได้อยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูแน่นอน” ถูกมั๊ยคะ
เพราะเป็นลูกนอกกฎหมาย
ผู้หญิงที่น้าตุ๊กจะพูดถึงอีกในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูก็คือ
“นางราหับ” กับ “นางรูธ”
ราหับ
เป็นใครจำได้มั๊ย เปิดไปดู..
ดู
โยชูวา 2:1-4 ตอนที่โยชูวาจะเข้าไปยึดเมืองเยรีโค
เขาส่งผู้สอดแนมเข้าไปดูราดราวในเมืองเยรีโค แล้วตอนนั้น”ราหับ” คนนี้แหละที่ช่วยเหลือผู้สอดแนมของโยชูวาไว้ บอกทางหนีทีไล่ให้อย่างดี โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ
ในวันที่คนอิสราเอลเข้ามายึดเมืองเยรีโค
พวกเขาต้องไว้ชีวิตเธอและครอบครัว ทำไมราหับถึงทำอย่างงั้น ตอนนั้น ราหับพูดกับคนสอดแนมว่า “เธอเคยได้ยินเรื่องราวที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลไว้หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอัศจรรย์ที่ทะเลแดง หรือชัยชนะในแผ่นดินคานาอัน.. ข้อที่ 11
ราหับบอกว่า “พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป
ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในเราสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง..” นี่คือ คำพูดของคนต่างชาติ ราหับไม่ใช่คนอิสราเอลนะคะ..เธอป็นชาวเมืองเยรีโค แต่กลับพูดจาอย่างคนมีความเชื่อมากกว่าคนอิสราเอลบางคนซะอีก ทีนี้ มาดู”นางรูธ” บ้าง
ดู
นางรูธ 1:2-7 นางรูธ เป็นชาวโมอับ หมายความว่า เป็นคนต่างชาติเหมือนกัน ในพระคำภีร์ถ้าไม่ใช่อิสราเอล ก็ถือเป็นคนต่างชาติทั้งหมด เรื่องราวของนางรูธเราก็เรียนกันไปแล้ว แล้วก็ค่อนข้างน่าประทับใจ
นางรูธเป็นคนต่างชาติที่ได้แต่งงานกับคนอิสราเอล ก็คือ ลูกชายของนาโอมี แต่ต่อมาสามีของนาโอมีกับลูกชายทั้งสองคนเสียชีวิตที่แผ่นดินโมอับ
นาโอมีก็เลยตั้งใจจะกลับไปอยู่ที่แผ่นดินยูดาห์..บ้านเกิด นาโอมีก็หวังดีอยากให้ลูกสะใภ้ทั้งสองคนมีโอกาสไปมีครอบครัวใหม่ แต่จนแล้วจนรอดรูธก็ไม่ยอมทิ้งแม่สามีไป ขอตามกลับมาอยู่ที่อิสราเอลด้วย สุดท้ายรูธก็ได้แต่งงานกับโบอาส ซึ่งเป็นคนเผ่ายูดาห์ แล้วในรายชื่อพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ก็มีชื่อของนางรูธ..รวมอยู่ด้วย
เรื่องราวของราหับ
และ นางรูธที่พระคำภีร์บันทึกไว้ทำให้เรารู้ว่า..
พระเจ้าไม่ได้เลือกแค่คนอิสราเอลเท่านั้น
พระเจ้าเลือกคนต่างชาติ
และเลือกคนทุกชาติในการเข้ามารับความรอด
พระองค์ให้เกียรติมนุษย์ทุกคน
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร..มีรูปร่างหน้าตา
ฐานะชาติตระกูลแบบไหน พระเจ้าให้โอกาสแล้วก็ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากัน น้าตุ๊กบอกแล้วว่าสิ่งเดียวที่เป็นบรรทัดฐานของพระเจ้า
คือ “ข่าวประเสริฐ”
เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว..คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่นั้นเองที่สำคัญสำหรับพระเจ้า
กำเนิดของพระเยซูคริสต์
ดู
มัทธิว 1:18-20 มารีย์ ”ผู้ที่พระเจ้าเลือก”
ให้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น
เดิมได้หมั้นกันแล้วกับโยเซฟ ย้ำตรงคำว่า“ผู้ที่พระเจ้าเลือก” หมายความว่า จริงๆพระเจ้าจะเลือกคนอื่นได้มั๊ย..ได้แน่นอน เพราะฉะนั้น มารีย์ก็เป็นแค่เครื่องมือหรือภาชนะอันนึงเท่านั้น
ในการที่พระเจ้าจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ เราต้องอย่าหลงประเด็น หรือไปให้ความสำคัญผิดคนนะคะ..
หมั้นกัน..แต่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แล้วปรากฎว่ามารีย์ก็เกิดมีครรภ์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อของมนุษย์ ข้อที่
19 บอก
“โยเซฟเป็นคนมีธรรมะ..” ก็หมายถึงเป็นคนดี
มีใจเมตตา
ก็เลยแค่อยากจะถอนหมั้นกับมารีย์เป็นการลับๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงอายหรือถูกลงโทษ (ไม่เหมือนสมัยนี้นะ เป็นแฟนกัน..ไม่พอใจจุดไฟเผาเลย)
โยเซฟไม่อยากให้เรื่องการถอนหมั้นกับนางมารีย์ถูกแพร่งพรายออกไป เพราะตามบัญญัติของโมเสส
หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นก่อนแต่งงานจะต้องมีโทษถึงตาย ข้อที่
20 บอกว่า
“ขณะที่โยเซฟกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์องค์นึงก็มาบอกกับเขาว่า..อย่ากลัวที่จะรับมารีย์เป็นภรรยา
เพราะมารีย์ไม่ได้ล่วงประเวณี..ไม่ได้แอบไปนอนกับใคร แต่ผู้ที่อยู่ในครรภ์ของมารีย์คือพระเมสสิยาห์ที่เกิดโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะเป็นผู้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป
ดู
มัทธิว 2:1-5 พระเยซูทรงบังเกิดที่ “เบธเลเฮม”
เบธเลเฮม
เป็นเมืองเล็กๆอยู่ห่างจากเยรูซาเล็ม..ลงไปทางใต้ประมาณ 8 กิโล ข้อนี้
มัทธิวต้องการที่ยืนยันว่าพระเยซูมาจากตระกูลของดาวิด เพราะเบธเลเฮมนั้นเป็นเขตแดนของเผ่ายูดาห์
(ดาวิด เป็นคนเผ่ายูดาห์ พวกเรารู้นะ..) ภายหลังมีพวกโหราจารย์มาถามว่า
“กุมารผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน” โหราจารย์เหล่านี้น่าจะมาจากแคว้นเปอร์เชียร์ พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มาประสูตินี้ต้องเป็นกษัติร์ของชาวยิวแน่นอน เพราะโหราจารย์เหล่านี้มีความรู้เกี่ยวกับพระคำภีร์เดิม รู้ได้ไง..รู้จากพวกยิวที่ตกไปเป็นเชลยในบาบิโลนและเปอร์เชียร์ นี่แสดงว่า ชาวยิว ต้องเป็นพวกที่เคร่งครัดในความเชื่ออย่างมาก
ไปถึงไหนก็พาให้ผู้คนเขารู้จักพระธรรมโทราห์ไปด้วย (ตามที่บันทึกในหนังสือกดว.24:17 “.ว่าจะมีดาวดวงหนึ่งออกมาจากวงศ์วานของยาโคบ”) โหราจารย์เหล่านี้จึงอยากจะมาเพื่อนมัสการพระกุมาร ข้อที่
3 บอกว่า “ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว..ก็วุ่นวายพระทัยอย่างมาก
ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปกับท่านด้วย”
วุ่นวายทำไม..ก็วุ่นวายกลัวจะถูกชิงบัลลังก์ เฮโรดเข้าใจผิดคิดว่าพระเยซูมาประสูติเพื่อเป็นแค่กษัตริย์ของชาวยิวที่จะได้ครองบัลลังก์ของอิสราเอล..เหมือนดาวิด
อะไรประมาณนั้น เขาก็เลยกลัวถูกชิงบัลลังก์
ดู มัทธิว 2:7-10 หลังจากที่วุ่นวายใจอยู่พักนึง..เฮโรดก็ออกอุบายเรียกโหราจารย์เข้ามาพบเป็นการส่วนตัว แล้วสั่งให้เหล่าโหราจารย์ไปหาพระกุมารให้เจอ..ถ้าเจอแล้วก็ให้รีบส่งข่าวด้วย
เพราะเขาเองก็อยากไปนมัสการพระกุมารเหมือนกัน แต่จริงๆใช่มั๊ย..ไม่ใช่ เฮโรดเป็นคนเหี้ยมโหดมาก โหดขนาดฆ่าลูกเมียตัวเองไปแล้วหลายคน นี่ก็กะว่าถ้าเจอพระกุมารก็จะฆ่าทิ้งเหมือนกัน
เพราะกลัวจะถูกชิงบัลลังก์ ข้อที่ 10 บอกว่า
“ดาวดวงนั้นก็นำหน้าโหราจารย์ไปจนหยุดอยู่หน้าที่ประทับของพระกุมารเยซู เหล่าโหราจารย์ก็ดีใจมาก รีบเข้าไปเฝ้าพระกุมารในเรือน เด็กๆสังเกตว่าพระคำข้อนี้บอกว่าพระกุมารประทับอยู่ในเรือน ก็แสดงว่า ตอนนี้พระกุมารน่าจะมีอายุหลายเดือนหรือ
1ปีแล้ว
เพราะถ้าเป็นตอนแรกเกิดพระองค์ประทับที่ไหน..ในรางหญ้า ใช่มั๊ยคะ
จากนั้น
เหล่าโหราจารย์ก็นำทองคำ กำยาน และมดยอบ มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ ทองคำ ที่นำมาถวายเป็นเหรียญทองคำ..แน่นอนต้องมีค่ามาก กำยาน เป็นผงทำจากยางไม้ชนิดนึง จะมีกลิ่นหอมเวลาที่นำมาเผาไฟ และราคาก็แพงมาก ส่วนมดยอบ
เป็นยางต้นไม้ซึ่งแข็ง เอามาใช้อบให้มีกลิ่นหอมเช่นกัน และทั้งสามอย่างนี้เป็นของมีค่าที่เขาใช้เป็นเครื่องบรรณาการกษัตริย์
ดู
มัทธิว 2:12-14 ข้อนี้บอกว่า
“เหล่าโหราจารย์ได้ยินคำเตือนจากพระเจ้าในฝัน
ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด
เพราะเฮโรดจะหลอกถามที่ประทับและตามมาฆ่าพระกุมารเยซู พวกโหราจารย์เลยหลบเฮโรดกลับไปอีกทางนึง ข้อที่ 13 บอก..ทูตสวรรค์ได้มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝัน บอกให้พาพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์ แล้วคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าพระเจ้าจะสั่งให้กลับมา โยเซฟก็พานางมารีย์กับพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์ จนกระทั่งเฮโรดสิ้นพระชนม์ ในปีที่ 4 ก่อน คศ. ข้อที่ 15 บอก “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้ว่า
`เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์”
แล้วปัจจุบันนี้ที่อียิปต์ก็ยังมีโบสถ์ที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งที่เชื่อว่าเป็นที่ที่โยเซฟพานางมารีย์และพระกุมารลี้ภัยอยู่ ตอนที่น้าตุ๊กไปอียิปต์ไกด์เขาก็พาไปเที่ยวโบสถ์ที่ว่านี้ด้วย แล้วที่นั่นก็จะมีการขายของที่ระลึกเป็นแผนที่เส้นทางการลี้ภัยของโยเซฟกับนางมารีย์ที่เรียกว่า
“The holy family’s
journey in the land of Egypt” ซึ่งบอกตำแหน่งไว้อย่างชัดเจนมาก
ข้อที่
19 บอกว่า
“หลังจากที่เฮโรดตายแล้ว พระเจ้าก็ทรงเผยพระวจนะสั่งให้โยเซฟพาครอบครัวกลับมา แต่เพราะได้ยินว่า อารเคลาอัส ลูกชายของเฮโรดซึ่งโหดเหี้ยมไม่แพ้พ่อได้ครองแคว้นยูเดียแทนพ่อ โยเซฟเลยไม่แน่ใจ..ว่าถ้าจะกลับมาอยู่ที่เบธเลเฮม
แล้วจะปลอดภัยมั๊ยเพราะมันใกล้เมืองหลวงมาก
ในที่สุด โยเซฟเลยตัดสินใจพาพระกุมารไปที่แคว้นกาลิลี และอาศัยอยู่ในเมืองนาซาเรธ ข้อที่ 23 บอกว่า “ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า
`เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ”
จากนั้นในบทที่ 3 พระคำภีร์ตัดภาพมากล่าวถึง”ยอห์น”
ผู้ให้บัพติศมา ซึ่งจริงแล้วเรื่องราวของยอห์นก็มีบันทึกซ้ำๆไว้ในพระกิตติคุณทั้ง
5 เล่ม คือ มัทธิว มาระโก ลูกา และในหนังสือยอห์นด้วย และน้าตุ๊กอยากให้เราเปิดไปดู..
หนังสือ ลูกา 1:11-13 ข้อนี้ บอกว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งจริงๆก็คือ กาเบรียล หรือกาบิเอล
เนี่ยนะคะได้มาปรากฎต่อเศคาริยาห์
เศคาริยาห์เป็นปุโรหิตแล้วก็เป็นพ่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา กาเบรียลบอกว่า “นางอาลิซาเบธ
ภรรยาของเขาจะตั้งท้องและคลอดบุตรชายคนนึงและจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า”ยอห์น” เด็กๆสังเกตดู
ลักษณะที่กาเบรียลมาเผยพระวจนะครั้งนี้..มันดูคุ้นๆมะ
คุ้นมากๆเพราะคล้ายๆกับตอนที่นางมารีย์ได้รับการเผยพระวจนะจากพระเจ้าเลย เราข้ามไปดูข้อที่ 28-31 นั่นหมายความว่ายอห์และพระเยซูน่าจะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน น่าจะห่างกันไม่ถึงปี และยอห์นก็เป็นผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว แต่ยังไงก็ตามยอห์นก็เป็นแต่เพียงผู้ที่จะเตรียมทางไว้ให้พระเยซูเท่านั้น กลับมาข้อที่ 14 บอกว่า “ท่านจะมีความปรีดาและยินดี
และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือเหล้าเลย และเขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ในครรภ์มารดา“
ก็คือ ยอห์นถูกกำหนดให้เป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด บทบาทของยอห์นชัดเจนมาก..ชัดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่
ดู ลูกา 3:1-3 พระเจ้าทรงกำหนดให้ยอห์นเกิดมาเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์และเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด และพอโตขึ้นยอห์นใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เพื่อรอคอยเวลาของพระเจ้าจนในที่สุดข้อนี้บอกว่า”พระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงยอห์นในถิ่นทุรกันดาร จากนั้น
ยอห์นถึงได้เริ่มต้นออกมารับใช้พระเจ้าด้วยการให้บัพติศมาผู้คนที่ลุ่มน้ำจอร์แดน ข้อที่ 3 ยอห์นบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่
เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว"..คำว่ากลับใจเสียใหม่
ก็คือ
จงเปลี่ยนความคิดและท่าทีเสียใหม่..หันจากทางบาปแล้วถ่อมใจลงเชื่อฟังพระเจ้า
เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว..พระผู้ช่วยให้รอดกำลังจะเสด็จมาแล้ว
ข้อที่
4 บอกว่า “.. ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า
`จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”
ข้อนี้ อ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่กล่าวไว้ใน
อสย.40:3 จริงๆอิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในสมัยของกษัตริย์ยูดาห์
(น่าจะเป็นมนัสเสห์นะ) ซึ่งถ้านับแล้วก็ห่างจากสมัยพระคำภีร์ใหม่ไม่น้อยกว่า
600 ปี และนี่คือ
ความอัศจรรย์ของพระคำภีร์ !
ต่างคน..ต่างเขียน..ต่างที่..ต่างเวลา
แต่เขียนเรื่องเดียวกัน
“ท่านจงเตรียมมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”' อันนี้ หมายถึง
ให้เตรียมทางต้อนรับพระเจ้าที่จะเสด็จมาอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
ถ้าใครที่เรียนหนังสืออพยพกับน้าตุ๊กน่าจะจำได้ว่า
พระเจ้าทรงสำแดงให้เราเห็นตลอดเวลาว่าพระองค์ปรารถนาอย่างมากทีเดียวในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนของพระองค์ ก่อนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ลงมา
พระองค์ก็ใช้พลับพลาในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น