วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

หนังสือ “มัทธิว” ครั้งที่ 1


เชื่อว่า “ท่าน มัทธิว” เป็นผู้เขียน  มัทธิวเป็นหนึ่งในอัครสาวก 12 คนของพระเยซู   และมัทธิวมีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี  ซึ่งถ้าจะมองฝ่ายโลก..มัทธิวก็เป็นที่รังเกียจของคนยิวเพราะคนเก็บภาษีในสมัยนั้นได้ชื่อว่า”เป็นคนบาป” ชอบขูดรีดเก็บภาษีเกินพิกัด  เพราะส่วนใหญ่ต้องไปขอสัมปะทานมา  ถ้าไม่เก็บเยอะๆเดี๋ยวจะขาดทุน   ดังนั้น ถ้ามองตรงจุดนี้ก็คือ พระเจ้าทรงเลือกคนที่โลกไม่สมบูรณ์พร้อม  หลายครั้งพระองค์เลือกคนที่โลกประนามว่าเป็นคนไม่ดี   เพราะคนแย่ๆเหล่านี้แหละ..ที่เมื่อพระองค์ทรงขัดเกลาแล้วชนทุกชาติก็จะเห็นพระสิริของพระองค์ได้อย่างชัดเจน  และด้วยความที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี   อีกด้านนึงมัทธิวจึงเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ  ทำบัญชี..จดบันทึกได้อย่างถี่ถ้วน   แล้วก็ยังเชี่ยวชาญในภาษากรีกอย่างมาก
ส่วนเวลาที่เขียนก็เชื่อว่า  หนังสือ”มัทธิว” เขียนขึ้นหลังจากที่พระวิหารในเยรูซาเล็มถูกทำลายไปแล้วใน คศ. 70
หนังสือ มัทธิว มีทั้งหมด 28 บท  และรายละเอียดของเนื้อหาหลักแบ่งได้เป็น 5 หัวข้อได้แก่..
1. เรื่องเกี่ยวกับพงศ์พันธ์  การกำเนิดและบ้านเกิดของพระเยซูในวัยเยาว์
2. ราชกิจกับมวลชนในแคว้นกาลิลี
3. ราชกิจกับเหล่าสาวก  และการเตรียมสาวกของพระเยซู
4. ช่วงที่มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม  และราชกิจในแคว้นยูเดีย
5. การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  มาจนถึงการฟื้นคืนพระชนม์และการบัญชาเหล่าสาวก 
ดู มัทธิวบทที่ 1:1-17  ข้อนี้จะเป็นลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ที่เราเคยอ่านหลายครั้ง  แล้วก็จำไม่หวาดไม่ไหว   เพราะมีแต่ชื่อที่เรียกยากๆยาวเหยียด   แต่จำไม่ได้ไม่เป็นไร  น้าตุ๊กจะชี้ให้เห็นเฉพาะข้อเด่นๆ  และประเด็นที่น่าสังเกต..
อันแรก คือ ข้อที่ 17 พงศ์พันธ์ของพระคริสต์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ  โดยนับเป็นกลุ่มละ 14 ช่วงอายุ  กลุ่มแรกนับจาก”อับราฮัม”  จนถึง ก.ดาวิด (14 ชั่วคน)   กลุ่มที่สอง คือ จาก”ดาวิด” ถึงรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย (14 ชั่วคน)  และกลุ่มที่สาม นับจากรุ่นที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน  จนถึงพระเยซูตริสต์  (ก็ 14 ชั่วคน)  ดังนั้น มี 3 คนที่น้าตุ๊กอยากพูดถึง
คนแรก คือ อับราฮัม  คือ ต้นตระกูลของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้  มัทธิวต้องการชี้ให้ชนชาติยิวรู้ว่า  พระเยซูสืบเชื้อสายมาทาง”อับราฮัม”
คนที่สองคือ “ดาวิด”  กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล  ยิ่งใหญ่จริงๆทุกวันนี้ธงประจำชาติอิสราเอลยังคงเป็นรูปดาวดาวิด  และดาวิด คือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า ( A man after God’s own heart) แปลว่า “บุรุษผู้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า” (เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมาแล้ว..ถูกใจที่สุด)  และในพระคำภีร์เดิม  ดาวิดเป็นเงาของพระเยซูคริสต์  
และสุดท้ายคือ พระเยซู ผู้ซึ่งเป็นพระเมสสิยาห์  เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่แท้จริงของชาวยิวและมนุษยชาติทั้งปวงด้วย 
สิ่งที่น่าสังเกตในข้อที่ 3-6 คือ มีผู้หญิงอยู่ 5 คนที่พระคำภีร์กล่าวถึงอยู่..ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์  คนแรก คือ นางทาร์มา  เปิดไปดู..
ดู ปฐก.38:16-18  จริงๆทาร์มา  เป็นลูกสะใภ้ของยูดาห์..เป็นภรรยาของลูกชายคนโต  แต่อยู่มาสามีของทาร์มาตาย  แล้วธรรมเนียมของยิวก็คือ น้องชายคนถัดไปก็ต้องรับพี่สะใภ้เป็นภรรยา..เพื่อสืบเชื้อสายให้ลูกชายคนโต  แต่เรื่องของเรื่อง ก็คือ น้องชายคนรองก็ตายอีก  ยังเหลือน้องชายคนเล็กที่ต้องรับทาร์มานั่นแหละไปเป็นภรรยา  ทีนี้ ยูดาห์เห็นลูกชายตายไปสองคนแล้ว  พอเดาออกมั๊ย..ว่ายูดาห์คิดอะไร  “ใครไปเป็นสามีของยายคนนี้..ตายเรียบ”  ยูดาห์เลยกลัวลูกชายคนเล็กจะตายไปอีกคน  ก็เลยเฉไฉ  บ่ายเบี่ยงไม่ยกลูกชายคนเล็กให้ทาร์มา  ซึ่งจริงๆมันผิดธรรมเนียมที่พึงปฎิบัติต่อลูกสะใภ้ที่เป็นหม้าย  ทาร์มาเลยออกอุบายแกล้งปลอมตัวเป็นโสเภณีจนได้ไปหลับนอนกับยูดาห์ (พ่อสามี)  ไม่ยกลูกให้นอนกะพ่อสามีซะเลย ..จนในที่สุด ทาร์มาก็ตั้งท้อง  คือ สมัยนั้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูกสืบสกุลเนี้ย  มันถือเป็นเรื่องน่าอับอายมากๆ   ถามว่าลูกที่เกิดกับยูดาห์(พ่อสามี)  ถือเป็นความเชิดหน้าชูตามั๊ย..เปล่าเลย  มันดูอัปยศและน่าตะขิดตะขวงใจด้วยซ้ำ  แต่ทาร์มาก็คงคิดว่า “ยังดีกว่า..ไม่มีลูก”  เมื่อเวลาผ่านไปนับพันปี..เด็กๆดูว่า.. ที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่ทาร์มาทำ..
ในมัทธิว 1:3 นี้บันทึกว่า “ยูดาห์ให้กำเนิดบุตรชื่อเปเรศกับเศ-ราห์เกิดจากนางทามาร์..”   ผลจากการกระทำของทาร์มาในครั้งนั้นกลายเป็นหนึ่งในแผนการของพระเจ้าในการเตรียมทางให้พระเยซูคริสต์มาบังเกิด  พระเจ้าตั้งใจมั๊ย..ให้มันเป็นแบบนี้  พระองค์ตั้งใจแน่นอน  แล้วเราเห็นอะไรในสิ่งที่พระองค์ทำ  พระองค์ไม่ได้เลือกแต่คนที่สมบูรณ์พร้อม  หรือ เกิดมาอย่างถูกต้อง  ไม่ว่าเราจะเกิดมาในสภาพไหน  อยู่สถานะใดของสังคม..ก็ไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า  ถ้าพระองค์เลือกเฉพาะผู้ที่มีสถานภาพถูกต้องหรือดูดีมีชาติตระกูลทุกอย่าง  ลูกของทาร์มาคงไม่ได้อยู่ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูแน่นอนถูกมั๊ยคะ เพราะเป็นลูกนอกกฎหมาย 
ผู้หญิงที่น้าตุ๊กจะพูดถึงอีกในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูก็คือ “นางราหับ” กับ “นางรูธ”
ราหับ เป็นใครจำได้มั๊ย  เปิดไปดู..
ดู โยชูวา 2:1-4  ตอนที่โยชูวาจะเข้าไปยึดเมืองเยรีโค   เขาส่งผู้สอดแนมเข้าไปดูราดราวในเมืองเยรีโค   แล้วตอนนั้น”ราหับ” คนนี้แหละที่ช่วยเหลือผู้สอดแนมของโยชูวาไว้  บอกทางหนีทีไล่ให้อย่างดี  โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ ในวันที่คนอิสราเอลเข้ามายึดเมืองเยรีโค  พวกเขาต้องไว้ชีวิตเธอและครอบครัว   ทำไมราหับถึงทำอย่างงั้น  ตอนนั้น ราหับพูดกับคนสอดแนมว่า “เธอเคยได้ยินเรื่องราวที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลไว้หลายต่อหลายครั้ง  ไม่ว่าจะเป็นการอัศจรรย์ที่ทะเลแดง  หรือชัยชนะในแผ่นดินคานาอัน.. ข้อที่ 11 ราหับบอกว่า “พอเราได้ยินข่าวนี้ จิตใจของเราก็ละลายไป ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในเราสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง..”  นี่คือ คำพูดของคนต่างชาติ    ราหับไม่ใช่คนอิสราเอลนะคะ..เธอป็นชาวเมืองเยรีโค  แต่กลับพูดจาอย่างคนมีความเชื่อมากกว่าคนอิสราเอลบางคนซะอีก         ทีนี้ มาดู”นางรูธ” บ้าง
ดู นางรูธ 1:2-7  นางรูธ  เป็นชาวโมอับ หมายความว่า เป็นคนต่างชาติเหมือนกัน  ในพระคำภีร์ถ้าไม่ใช่อิสราเอล  ก็ถือเป็นคนต่างชาติทั้งหมด   เรื่องราวของนางรูธเราก็เรียนกันไปแล้ว  แล้วก็ค่อนข้างน่าประทับใจ   นางรูธเป็นคนต่างชาติที่ได้แต่งงานกับคนอิสราเอล  ก็คือ ลูกชายของนาโอมี  แต่ต่อมาสามีของนาโอมีกับลูกชายทั้งสองคนเสียชีวิตที่แผ่นดินโมอับ  นาโอมีก็เลยตั้งใจจะกลับไปอยู่ที่แผ่นดินยูดาห์..บ้านเกิด  นาโอมีก็หวังดีอยากให้ลูกสะใภ้ทั้งสองคนมีโอกาสไปมีครอบครัวใหม่   แต่จนแล้วจนรอดรูธก็ไม่ยอมทิ้งแม่สามีไป  ขอตามกลับมาอยู่ที่อิสราเอลด้วย  สุดท้ายรูธก็ได้แต่งงานกับโบอาส  ซึ่งเป็นคนเผ่ายูดาห์  แล้วในรายชื่อพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ก็มีชื่อของนางรูธ..รวมอยู่ด้วย 
เรื่องราวของราหับ และ นางรูธที่พระคำภีร์บันทึกไว้ทำให้เรารู้ว่า.. พระเจ้าไม่ได้เลือกแค่คนอิสราเอลเท่านั้น  พระเจ้าเลือกคนต่างชาติ  และเลือกคนทุกชาติในการเข้ามารับความรอด  พระองค์ให้เกียรติมนุษย์ทุกคน  ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร..มีรูปร่างหน้าตา  ฐานะชาติตระกูลแบบไหน  พระเจ้าให้โอกาสแล้วก็ให้ความสำคัญกับทุกคนเท่ากัน   น้าตุ๊กบอกแล้วว่าสิ่งเดียวที่เป็นบรรทัดฐานของพระเจ้า คือ “ข่าวประเสริฐ”  เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว..คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่นั้นเองที่สำคัญสำหรับพระเจ้า
        กำเนิดของพระเยซูคริสต์
ดู มัทธิว 1:18-20   มารีย์ ”ผู้ที่พระเจ้าเลือก” ให้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น  เดิมได้หมั้นกันแล้วกับโยเซฟ   ย้ำตรงคำว่า“ผู้ที่พระเจ้าเลือก”  หมายความว่า จริงๆพระเจ้าจะเลือกคนอื่นได้มั๊ย..ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้น มารีย์ก็เป็นแค่เครื่องมือหรือภาชนะอันนึงเท่านั้น  ในการที่พระเจ้าจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ  เราต้องอย่าหลงประเด็น  หรือไปให้ความสำคัญผิดคนนะคะ.. 
หมั้นกัน..แต่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน  แล้วปรากฎว่ามารีย์ก็เกิดมีครรภ์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์..ไม่มีเชื้อของมนุษย์   ข้อที่ 19 บอก “โยเซฟเป็นคนมีธรรมะ..” ก็หมายถึงเป็นคนดี  มีใจเมตตา  ก็เลยแค่อยากจะถอนหมั้นกับมารีย์เป็นการลับๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงอายหรือถูกลงโทษ  (ไม่เหมือนสมัยนี้นะ เป็นแฟนกัน..ไม่พอใจจุดไฟเผาเลย) โยเซฟไม่อยากให้เรื่องการถอนหมั้นกับนางมารีย์ถูกแพร่งพรายออกไป  เพราะตามบัญญัติของโมเสส  หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นก่อนแต่งงานจะต้องมีโทษถึงตาย   ข้อที่ 20  บอกว่า “ขณะที่โยเซฟกำลังคิดเรื่องนี้อยู่  ทูตสวรรค์องค์นึงก็มาบอกกับเขาว่า..อย่ากลัวที่จะรับมารีย์เป็นภรรยา  เพราะมารีย์ไม่ได้ล่วงประเวณี..ไม่ได้แอบไปนอนกับใคร  แต่ผู้ที่อยู่ในครรภ์ของมารีย์คือพระเมสสิยาห์ที่เกิดโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์  และจะเป็นผู้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป 
ดู มัทธิว 2:1-5  พระเยซูทรงบังเกิดที่ “เบธเลเฮม”  เบธเลเฮม  เป็นเมืองเล็กๆอยู่ห่างจากเยรูซาเล็ม..ลงไปทางใต้ประมาณ 8 กิโล  ข้อนี้ มัทธิวต้องการที่ยืนยันว่าพระเยซูมาจากตระกูลของดาวิด  เพราะเบธเลเฮมนั้นเป็นเขตแดนของเผ่ายูดาห์ (ดาวิด เป็นคนเผ่ายูดาห์ พวกเรารู้นะ..)  ภายหลังมีพวกโหราจารย์มาถามว่า “กุมารผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน”  โหราจารย์เหล่านี้น่าจะมาจากแคว้นเปอร์เชียร์  พวกเขาเชื่อว่าผู้ที่มาประสูตินี้ต้องเป็นกษัติร์ของชาวยิวแน่นอน  เพราะโหราจารย์เหล่านี้มีความรู้เกี่ยวกับพระคำภีร์เดิม  รู้ได้ไง..รู้จากพวกยิวที่ตกไปเป็นเชลยในบาบิโลนและเปอร์เชียร์  นี่แสดงว่า ชาวยิว ต้องเป็นพวกที่เคร่งครัดในความเชื่ออย่างมาก ไปถึงไหนก็พาให้ผู้คนเขารู้จักพระธรรมโทราห์ไปด้วย  (ตามที่บันทึกในหนังสือกดว.24:17 “.ว่าจะมีดาวดวงหนึ่งออกมาจากวงศ์วานของยาโคบ”)  โหราจารย์เหล่านี้จึงอยากจะมาเพื่อนมัสการพระกุมาร   ข้อที่ 3 บอกว่า “ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว..ก็วุ่นวายพระทัยอย่างมาก ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปกับท่านด้วย”  วุ่นวายทำไม..ก็วุ่นวายกลัวจะถูกชิงบัลลังก์  เฮโรดเข้าใจผิดคิดว่าพระเยซูมาประสูติเพื่อเป็นแค่กษัตริย์ของชาวยิวที่จะได้ครองบัลลังก์ของอิสราเอล..เหมือนดาวิด อะไรประมาณนั้น  เขาก็เลยกลัวถูกชิงบัลลังก์
ดู มัทธิว 2:7-10  หลังจากที่วุ่นวายใจอยู่พักนึง..เฮโรดก็ออกอุบายเรียกโหราจารย์เข้ามาพบเป็นการส่วนตัว  แล้วสั่งให้เหล่าโหราจารย์ไปหาพระกุมารให้เจอ..ถ้าเจอแล้วก็ให้รีบส่งข่าวด้วย      เพราะเขาเองก็อยากไปนมัสการพระกุมารเหมือนกัน  แต่จริงๆใช่มั๊ย..ไม่ใช่  เฮโรดเป็นคนเหี้ยมโหดมาก  โหดขนาดฆ่าลูกเมียตัวเองไปแล้วหลายคน   นี่ก็กะว่าถ้าเจอพระกุมารก็จะฆ่าทิ้งเหมือนกัน  เพราะกลัวจะถูกชิงบัลลังก์  ข้อที่ 10 บอกว่า “ดาวดวงนั้นก็นำหน้าโหราจารย์ไปจนหยุดอยู่หน้าที่ประทับของพระกุมารเยซู  เหล่าโหราจารย์ก็ดีใจมาก  รีบเข้าไปเฝ้าพระกุมารในเรือน  เด็กๆสังเกตว่าพระคำข้อนี้บอกว่าพระกุมารประทับอยู่ในเรือน  ก็แสดงว่า ตอนนี้พระกุมารน่าจะมีอายุหลายเดือนหรือ 1ปีแล้ว  เพราะถ้าเป็นตอนแรกเกิดพระองค์ประทับที่ไหน..ในรางหญ้า  ใช่มั๊ยคะ   
จากนั้น เหล่าโหราจารย์ก็นำทองคำ กำยาน และมดยอบ มาถวายเป็นเครื่องบรรณาการ  ทองคำ ที่นำมาถวายเป็นเหรียญทองคำ..แน่นอนต้องมีค่ามาก  กำยาน เป็นผงทำจากยางไม้ชนิดนึง  จะมีกลิ่นหอมเวลาที่นำมาเผาไฟ  และราคาก็แพงมาก  ส่วนมดยอบ  เป็นยางต้นไม้ซึ่งแข็ง  เอามาใช้อบให้มีกลิ่นหอมเช่นกัน  และทั้งสามอย่างนี้เป็นของมีค่าที่เขาใช้เป็นเครื่องบรรณาการกษัตริย์ 
ดู มัทธิว 2:12-14  ข้อนี้บอกว่า “เหล่าโหราจารย์ได้ยินคำเตือนจากพระเจ้าในฝัน  ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด  เพราะเฮโรดจะหลอกถามที่ประทับและตามมาฆ่าพระกุมารเยซู   พวกโหราจารย์เลยหลบเฮโรดกลับไปอีกทางนึง  ข้อที่ 13 บอก..ทูตสวรรค์ได้มาปรากฎแก่โยเซฟในความฝัน  บอกให้พาพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์  แล้วคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าพระเจ้าจะสั่งให้กลับมา   โยเซฟก็พานางมารีย์กับพระกุมารหนีไปอยู่ที่อียิปต์  จนกระทั่งเฮโรดสิ้นพระชนม์  ในปีที่ 4 ก่อน คศ.  ข้อที่ 15 บอก “ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้ว่า `เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์” 
แล้วปัจจุบันนี้ที่อียิปต์ก็ยังมีโบสถ์ที่เขาสร้างขึ้นในตำแหน่งที่เชื่อว่าเป็นที่ที่โยเซฟพานางมารีย์และพระกุมารลี้ภัยอยู่  ตอนที่น้าตุ๊กไปอียิปต์ไกด์เขาก็พาไปเที่ยวโบสถ์ที่ว่านี้ด้วย   แล้วที่นั่นก็จะมีการขายของที่ระลึกเป็นแผนที่เส้นทางการลี้ภัยของโยเซฟกับนางมารีย์ที่เรียกว่า “The holy family’s journey in the land of  Egypt” ซึ่งบอกตำแหน่งไว้อย่างชัดเจนมาก
ข้อที่ 19 บอกว่า “หลังจากที่เฮโรดตายแล้ว  พระเจ้าก็ทรงเผยพระวจนะสั่งให้โยเซฟพาครอบครัวกลับมา  แต่เพราะได้ยินว่า อารเคลาอัส ลูกชายของเฮโรดซึ่งโหดเหี้ยมไม่แพ้พ่อได้ครองแคว้นยูเดียแทนพ่อ  โยเซฟเลยไม่แน่ใจ..ว่าถ้าจะกลับมาอยู่ที่เบธเลเฮม แล้วจะปลอดภัยมั๊ยเพราะมันใกล้เมืองหลวงมาก  ในที่สุด โยเซฟเลยตัดสินใจพาพระกุมารไปที่แคว้นกาลิลี  และอาศัยอยู่ในเมืองนาซาเรธ  ข้อที่ 23 บอกว่า “ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า `เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ”
 จากนั้นในบทที่ 3 พระคำภีร์ตัดภาพมากล่าวถึง”ยอห์น” ผู้ให้บัพติศมา  ซึ่งจริงแล้วเรื่องราวของยอห์นก็มีบันทึกซ้ำๆไว้ในพระกิตติคุณทั้ง 5 เล่ม คือ มัทธิว มาระโก ลูกา และในหนังสือยอห์นด้วย  และน้าตุ๊กอยากให้เราเปิดไปดู..
หนังสือ ลูกา 1:11-13  ข้อนี้ บอกว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งซึ่งจริงๆก็คือ กาเบรียล หรือกาบิเอล เนี่ยนะคะได้มาปรากฎต่อเศคาริยาห์  เศคาริยาห์เป็นปุโรหิตแล้วก็เป็นพ่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา  กาเบรียลบอกว่า  “นางอาลิซาเบธ  ภรรยาของเขาจะตั้งท้องและคลอดบุตรชายคนนึงและจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า”ยอห์น”  เด็กๆสังเกตดู ลักษณะที่กาเบรียลมาเผยพระวจนะครั้งนี้..มันดูคุ้นๆมะ  คุ้นมากๆเพราะคล้ายๆกับตอนที่นางมารีย์ได้รับการเผยพระวจนะจากพระเจ้าเลย  เราข้ามไปดูข้อที่ 28-31 นั่นหมายความว่ายอห์และพระเยซูน่าจะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน  น่าจะห่างกันไม่ถึงปี   และยอห์นก็เป็นผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว  แต่ยังไงก็ตามยอห์นก็เป็นแต่เพียงผู้ที่จะเตรียมทางไว้ให้พระเยซูเท่านั้น   กลับมาข้อที่ 14 บอกว่า “ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือเหล้าเลย และเขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ในครรภ์มารดา“ ก็คือ ยอห์นถูกกำหนดให้เป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด บทบาทของยอห์นชัดเจนมาก..ชัดตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่
ดู ลูกา 3:1-3  พระเจ้าทรงกำหนดให้ยอห์นเกิดมาเป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์และเป็นนาศีร์ตั้งแต่เกิด  และพอโตขึ้นยอห์นใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร  เพื่อรอคอยเวลาของพระเจ้าจนในที่สุดข้อนี้บอกว่า”พระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงยอห์นในถิ่นทุรกันดาร  จากนั้น ยอห์นถึงได้เริ่มต้นออกมารับใช้พระเจ้าด้วยการให้บัพติศมาผู้คนที่ลุ่มน้ำจอร์แดน   ข้อที่ 3 ยอห์นบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้แล้ว"..คำว่ากลับใจเสียใหม่ ก็คือ จงเปลี่ยนความคิดและท่าทีเสียใหม่..หันจากทางบาปแล้วถ่อมใจลงเชื่อฟังพระเจ้า   เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว..พระผู้ช่วยให้รอดกำลังจะเสด็จมาแล้ว
ข้อที่ 4 บอกว่า “..  ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า  "เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า `จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไปข้อนี้ อ้างถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่กล่าวไว้ใน อสย.40:3 จริงๆอิสยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่อยู่ในสมัยของกษัตริย์ยูดาห์ (น่าจะเป็นมนัสเสห์นะ)  ซึ่งถ้านับแล้วก็ห่างจากสมัยพระคำภีร์ใหม่ไม่น้อยกว่า 600 ปี  และนี่คือ ความอัศจรรย์ของพระคำภีร์ !  ต่างคน..ต่างเขียน..ต่างที่..ต่างเวลา  แต่เขียนเรื่องเดียวกัน 
“ท่านจงเตรียมมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”' อันนี้ หมายถึง ให้เตรียมทางต้อนรับพระเจ้าที่จะเสด็จมาอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์  ถ้าใครที่เรียนหนังสืออพยพกับน้าตุ๊กน่าจะจำได้ว่า พระเจ้าทรงสำแดงให้เราเห็นตลอดเวลาว่าพระองค์ปรารถนาอย่างมากทีเดียวในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนของพระองค์   ก่อนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ลงมา  พระองค์ก็ใช้พลับพลาในการที่จะอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น