วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ท่าทีในการประกาศข่าวประเสริฐ อาทิตย์ที่ 16:12:2012

เวลาที่เราจะพูดเรื่องพระเจ้าเราควรมีท่าทีอย่างไร  อันดับแรกเลย  แน่นอน เราต้องอธิฐานก่อนเสมอ  ไม่ว่าจะต้องพูดแบบได้เตรียมตัว หรือ ไม่ได้เตรียมตัวมาก็ตาม  ถ้าได้เตรียมตัว..แน่นอนเราต้องอธิฐานมา   แต่ถ้าอยู่ดีๆก็ต้องพูดเรื่องพระเจ้าเดี๋ยวนั้นเลย..ก็ไม่เป็นไร  เราก็อธิฐานในใจ..ขอพระเจ้าทรงนำ..เปิดตาใจฝ่ายวิญญาณให้เขา..แล้วลงท้ายว่า ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์

ดู 2ทิโมธี 2:24-26  “ผู้รับใช้พระเจ้าต้องไม่เป็นคนชวนทะเลาะ แต่ต้องมีใจถ่อมสุภาพ..และอดทนต่อคนทั้งปวง”  เวลาที่เราจะพูดเรื่องพระเจ้า..ท่าทีและวิธีพูดของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  ฝรั่งเขามีสุภาษิตอันนึงบอกว่า “วิธีพูดสำคัญพอๆกับเรื่องที่เราจะพูด”  เรื่องวิธีพูดเนี่ยนะคะ  มันสามารถทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่  แล้วก็สามารถทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้มั๊ย..ได้เหมือนกัน  ถูกมั๊ยคะ
เรารู้อยู่แล้ว..ว่าเมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐ  ท่าทีของคนที่ได้ยินจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ   1. ได้ยิน แล้วรับเอาความเชื่อไว้  เพราะเห็นเรื่องบนไม้กางเขนเป็นฤทธานุภาพ  กับ 2. ได้ยินแล้วไม่เชื่อ  และมองเห็นไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่  เพราะอะไร..มนุษย์คุ้นเคยกับสิ่งที่โลกหยิบยื่นให้  คุ้นเคยกับคำว่า..ไม่มีของฟรีในโลก  เพราะฉะนั้น ความรอดที่พระเจ้าประทานให้ฟรี  จึงไม่สมเหตุผลในสายตามนุษย์  เพราะฉันยังไม่ได้ออกอาวุธ  ยังไม่ได้ทำหรือให้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน  แล้วอยู่ดีๆจะอนุมัติให้ขึ้นสวรรค์กันฟรีๆ  มันเป็นไปไม่ได้   
เพราะงั้น ถ้าบอกแล้วเขาเชื่อก็ขอบคุณพระเจ้า   เขาเชื่อเพราะเรารึเปล่า..ไม่ใช่ “ข้าพเจ้าปลูก อพอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้ทำให้จำเริญขึ้น”  เราเป็นแค่ทูตของพระคริสต์  ถ้าบอกแล้วเขาเชื่อ  เราก็ได้ชื่อว่าได้มีส่วนในข่าวประเสริฐของพระคริสต์    แต่ถ้าบอกแล้วเขาไม่เชื่อ..ก็ไม่เป็นไร  เราได้ชื่อว่าทำหน้าที่แล้ว..แต่เขาไม่รับ..ก็ผ่านเขาไป..ขอบคุณพระเจ้า  ไม่ต้องไปโกรธ..ไม่ต้องเถียงหรือชวนทะเลาะ  แต่บางคนไม่ใช่อย่างงั้น..พอประกาศข่าวประเสริฐแล้วเขาไม่เชื่อก็ชวนทะเลาะ  หรือไม่ก็พูดจากดดันจะงัดให้เขาเชื่อให้ได้..ซึ่งมันไม่ถูกต้อง  สิ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจ ก็คือ ความเชื่อมาจากพระเจ้า  เราแค่มีหน้าที่บอกเขา..บอกยังไง  บอกด้วยความรักและสุภาพอ่อนโยน ไม่ต้องกังวลว่าเราจะพูดไม่เก่ง หรือ เป็นคนไม่มีวาทะศิลป์..ไม่เกี่ยว  ถ้าพระเจ้าเปิดปากเรา..เปิดตาเขา  พูดยังไงเขาก็เชื่อ..โอเคมั๊ย
2 โครินธ์ 5:20  ข้อนี้ย้ำอีกครั้งถึงท่าทีของการประกาศข่าวประเสริฐ  บอกว่า “..เราเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราผู้แทนของพระคริสต์จึง”ขอร้อง”ท่านให้คืนดีกันกับพระเจ้า”  พระเจ้าบอกให้เราขอร้องเขา..ไม่ได้บอกให้เราไปบังคับขู่เข็ญ  ชวนทะเลาะหรือไปบีบคอเขา..ให้เชื่อ ภาระใจที่แท้จริงในการประกาศข่าวประเสริฐต้องมาจากความรักและความห่วงใย  เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นทางรอดเดียว  ใครก็ตามที่ไม่เชื่อในพระองค์ต้องพบกับความพินาศและไม่ใช่พินาศแค่ชั่วคราว  แต่เป็นความพินาศชั่วกัปชั่วกัลป์   เพราะฉะนั้น ถ้าเรารักใครจริงๆเราจะไม่อยากให้เขาต้องพบจุดจบแบบนั้น  แต่เราจะอยากให้เขาได้รับความรอดเหมือนกับเรา..ใช่มะ  เนี่ย..คือ จุดเริ่มต้นที่ถูกต้องและงดงามที่สุดของการประกาศข่าวประเสริฐ  เพราะต้องมันบ่มเพาะมาจากความรักและความห่วงใยที่แท้จริง  ไม่ใช่มาจากกิเลสหรือเหตุผลความต้องการส่วนตัวของเรา
 แต่ ! เหนือสิ่งอื่นใด  คำพยานที่ดีที่สุดของเรา ก็คือ การดำเนินชีวิตที่ดีงามตามถ้อยคำพระเจ้า
ดู โคโลสี 3:17-20  “..และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยการประพฤติก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า”  ไม่ว่าเราจะทำหรือจะพูดอะไร  จงทำทุกอย่างตามที่พระเยซูสอนหรือทำเป็นแบบอย่าง  เพราะต่อให้เราประกาศเก่ง หรือ พูดเก่ง..ดูมีเหตุผล เอาชนะใจคนได้มากมาย   มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย..ถ้าการดำเนินชีวิตของเราไม่เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า  แล้วเรื่องของการดำเนินชีวิตมันมีรายละเอียดเยอะมาก  แต่ตอนนี้ เรามาดูตามที่หนังสือโคโลสีบันทึกไว้เป็นหลัก  ข้อที่ 18 บอกว่า “..ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน”  คนที่เป็นภรรยาต้องเชื่อฟังสามี  จะมีอะไรถูกใจ..ไม่ถูกใจก็  ”อธิฐาน”  ไม่ใช่ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าสามี..ประชดประชันหรือชวนทะเลาะ  ข้อที่ 19 บอก “..ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง”  สามีต้องรักและดูแลภรรยาไปตลอดชีวิต  อย่ามีใจขมขื่น ก็คือ อย่าหมดรักในตัวภรรยา  อย่าเอาภรรยาของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  อยู่ไปอยู่มาภรรยาจะอ้วนไปหน่อย  ขี้บ่นไปนิด ก็ต้องรัก..เพราะเลือกมาแล้ว  เลือกแล้ว..เลือกเลย  จะมาเคลมคืนทีหลังไม่ได้  เพราะงั้น น้าตุ๊กถึงย้ำนักย้ำหนา..ว่าเวลาจะเลือกดูให้ดี..คิดให้รอบคอบ  ปรึกษาผู้ใหญ่เยอะๆแต่ปรึกษาแล้วต้องเชื่อฟังด้วยนะ  โอกาสเรื่องชีวิตคู่ในทางพระเจ้าเนี่ย..มันมีครั้งเดียวนะคะเด็กๆ  อย่าใจเร็วด่วนได้ มันจะได้..ไม่คุ้มเสีย  อย่าล่วงประเวณี..อย่าชิงสุกก่อนห่าม เพราะเราจะต้องกินผลของความทุกข์ยากไปชั่วชีวิต   ข้อที่ 20 บอก “ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง  เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  แน่นอนลูกต้องเชื่อฟัง..ให้เกียรติพ่อแม่  ไม่ใช่..ไม่พอใจอะไรก็เถียง เดินกระแทกเท้าปึงปัง  หนักหน่อย บางคนก็ชักสีหน้า   ไม่เอานะคะ..อย่าทำ  มันบาป..แล้วใครที่ทำกับพ่อแม่อย่างงี้..คุณก็ต้องกินผลเช่นเดียวกัน    สุดท้าย ส่วนคนที่เป็นลูกจ้างก็ต้องเคารพให้เกียรตินายจ้าง 
ถ้าทำได้ตามนี้  ก็ถือว่าชีวิตเราเป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าแล้วในระดับหนึ่ง  เราประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูทางอ้อมแล้ว..ผ่านการดำเนินชีวิตของเราซึ่งเสียงดังกว่าคำพูด  เพราะผู้คนรอบข้างเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจน  อย่างน้อยเขาอาจจะฉุกใจคิด..ว่า เออนะ..ถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วเป็นคนดีแบบนี้   บางทีเขาก็น่าจะมาเชื่อบ้าง  อะไรประมาณนี้ 
    “เงินตรา” กับระบบของโลกและวิถีทางของความเชื่อ
พูดถึงคำว่าเงินแล้ว..มีใครไม่ชอบบ้าง  ชอบทุกคนแหละ ชอบมาก..ชอบน้อย  ออกอาการต่างกัน  เรื่องของเงิน..มีอะไรมากมายหลายอย่างที่น้าตุ๊กอยากจะสอนจนไม่แน่ใจว่าจะสอนได้หมดเท่าที่ตั้งใจรึเปล่า  และแท้จริงแล้ว”เงิน”โดยตัวของมันเอง..ก็ไม่ได้บาปหรือเป็นมลทินอะไร  ของทุกอย่างบนโลกนี้ก็ใช่..ไม่มีอะไรเลยที่เป็นบาปโดยตัวของมันเอง  มีแต่มนุษย์เอาไปใช้ในทางที่ผิด  แล้วก็ถูกล่อลวงให้ทำบาปโดยใช้สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเครื่องมือ    ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีการใช้เงินตราเป็นระบบแลกเปลี่ยน  ความหมายที่อยู่แทนคำว่าเงินทอง..สำหรับมนุษย์ก็คือ “เรื่องปากท้อง” ซึ่งเราจะเห็นว่ามันจุดอ่อนไหวที่สุดของมนุษย์มาตั้งแต่ปฐมกาล..ที่อาดามกับเอวาถูกล่อลวงให้ทำบาป ก็เพราะ “เรื่องกิน” อยากกิน..สิ่งที่ไม่ให้กิน  หรือในประวัติศาสตร์พระคำภีร์ที่ผ่านมา..เวลาที่อิสราเอลทำบาป  หลายครั้งพระเจ้าก็ส่งภัยแล้งหรือการกันดารอาหารมาพิพากษาพวกเขา  เพราะพระองค์รู้ดีว่า “เรื่องปากท้อง เป็นจุดอ่อนของมนุษย์”  
ดู ลูกา 16:10-13 “คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย..” นี่เรื่องจริงเลยนะ  หลายคนมองข้ามความสำคัญของการสัตย์ซื่อในเรื่องเล็กๆน้อยๆ  ชอบคิดว่า..ความซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กๆมันไม่สำคัญ  เช่น เวลาเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต  เราหยิบน้ำมา 6 ขวด แต่แคชเชียร์คิดเงินเราแค่ 5 ขวด..คือ เขานับผิด  เด็กๆจะทำยังไง หรือ จะมีท่าทียังไงต่อเหตุการณ์นี้  ความคิด”แว่บแรก” นั่นแหละ..ที่มันบอกความเป็นตัวเรา..ว่าเราเป็นคนยังไง  ใจเราซื่อสัตย์มั๊ย   เวลาที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น  หลายคนจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากจะเอาเงินไปคืนให้กับแคชเชียร์ที่คิดเงินผิด เช่น เออ..มันก็ไม่กี่บาทเอง  หรือ เราไม่ได้โกงนะแต่เขาคิดผิดเอง..ช่วยไม่ได้  หรือ มารู้อีกทีก็ตอนถึงบ้านแล้ว..ขี้เกียจเอาเงินไปคืน  ช่างมัน..เลยตามเลยละกัน  แค่นี้..เขาคงไม่เดือดร้อนหรอก อะไรต่างๆเหล่านี้..ที่มักจะเป็นเหตุให้คนเราไม่ค่อยใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กๆ
           น้าตุ๊กมีเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง..เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องของ”ความซื่อสัตย์” 
เรื่องนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ  ที่ทะเลสาป”นิวแฮมป์เชียร์” ทะเลสาปนี้เป็นที่ที่คนในท้องถิ่นนิยมมาตกปลากัน  ส่วนปลาในทะเลสาปก็มีหลายชนิด เช่น ปลาเพิร์ช  ปลาหมอซันฟิช  แล้วก็ปลาแบส bass (ซึ่งก็คือ ปลากระพงน้ำจืด)  แต่เรื่องของเรื่อง เจ้าปลา ”แบส” เนี่ย  เป็นปลาที่ท้องถิ่น..ที่เขาค่อนข้างเข้มงวดในการที่จะสงวนพันธ์ไว้  ก็เลยจัดให้มี”ฤดูกาลตกปลาแบส”  หมายความว่า  ทุกคนสามารถมาตกได้เฉพาะในเวลาที่เขากำหนด  ถ้านอกเวลาที่เขาจัดไว้..คุณก็ตกได้เหมือนกัน  แต่มีข้อแม้ ถ้าตกได้ปลาแบส..ต้องปล่อยมันไป  จะเอากลับบ้าน..ไม่ได้
ทีนี้ มีพ่อลูกคู่นึง มาตกปลาเล่นตอนเย็นของวัน”ก่อน” ถึงเทศกาลตกปลาแบส   คือ พรุ่งนี้ถึงจะเข้าเทศกาล..ที่เอาปลากลับบ้านได้    และเมื่อพ่อลูกคู่นี้มาถึงทะเลสาป..มันก็เย็นมากแล้ว   พ่อก็สอนลูกแขวนเหยื่อ  เสร็จปั๊บ! ลูกก็เหวี่ยงเบ็ดออกไป   ซักครู่ใหญ่ๆ สายเบ็ดก็กระตุกแรงมาก  เด็กคนนั้นรู้ทันทีว่า..มีปลาติด  แล้วก็ต้องตัวใหญ่มากด้วย  พ่อก็มองลูกด้วยสายตาชื่นชม  แล้วพอดึงเบ็ดขึ้นมา  ปรากฎว่า ปลาที่ตกได้..เป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น  แต่มันคือ “ปลาแบส” ซึ่ง..ตอนนี้เขาเอากลับบ้านได้มั๊ย..ไม่ได้  มันยังไม่ใช่วันเทศกาล  ลูกก็มองหน้าพ่อด้วยสายตาที่แบบ..ขอร้องอ่ะ อยากเอากลับบ้าน   พ่อก็มองไปรอบๆทะเลสาป  ปรากฎว่า..ไม่มีใครอยู่เลยซักคน  (เป็นเด็กๆ..ทำไง  ไม่เหลือ กระพงนึ่งมะนาว))  แต่ถึงอย่างงั้น คนเป็นพ่อก็ยังบอกลูกชายว่า “ลูกต้องปล่อยมัน ลงน้ำไป”  ยังไงก็ต้องปล่อยมันไป..แล้วเด็กชายคนนั้นก็ทำตาม   
สามสิบปีผ่านไป  เด็กชายคนนั้นก็เติบโตขึ้นเป็นวิศวกรที่ประสบความสำเร็จมากอยู่ในนิวยอร์ค  และเขาก็ยังพาลูกๆไปตกปลาที่ทะเลสาปแฮมเชียร์..อย่างเดิม  และเคร่งครัดในกฎของท้องถิ่นเหมือนเดิมด้วย 
เด็กๆคิดว่า  ถ้าวันนั้นพ่อเขาเกิดเสียดายปลาที่ตกได้..ไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง  แล้วยอมให้ลูกเอาปลากลับบ้าน  น้าตุ๊กถามว่า วันนี้ เด็กคนนั้นจะสอนลูกๆของเขาให้เป็นคนซื่อสัตย์  เคร่งครัดกับกฎของสังคมได้มั๊ย..ไม่ได้หรอก   เพราะคนที่จะทำอย่างงั้นได้  ต้องถูกสอนมาให้รู้จักปล่อยปลาลงน้ำไป..ทั้งที่ไม่มีใครรู้เห็น
แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรา เด็กๆคิดว่าตัวเองจะยอมปล่อยปลาตัวนั้นลงน้ำไปมั๊ย..ตอบตัวเองในใจ  เรื่องที่น้าตุ๊กเล่าให้ฟังนี้  ประเด็นอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆโดยตรง    แต่มันครอบคลุมเรื่องราวของความซื่อสัตย์ไว้ในทุกกรณี  และที่สำคัญ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของความซื่อสัตย์ที่ทรงพลังที่สุด  เพราะ!!!  “มันเกิดขึ้นในเวลาที่..ไม่มีใครเห็น”    
เพราะฉะนั้น น้าตุ๊กอยากหนุนใจให้เด็กๆฝึกที่จะซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง  ความรับผิดชอบ  ความมีวินัยในตัวเอง  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า  เพราะสิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เด็กๆเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง..มั่นคงจากภายในและมีคุณภาพ 
มัทธิว 6:33-34  แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน..”  คริสเตียนหลายคนเข้าใจความหมายของข้อนี้ได้..ไม่ครบถ้วน  คำว่าแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระองค์  ไม่ใช่แค่หมายถึง ชั้นมาโบสถ์ทุกอาทิตย์  ถวายสิบลด  แค่นั้นแปลว่า ชั้นแสวงหาและทำตามที่พระเจ้าสอนแล้ว..ไม่ใช่นะคะ  ถามว่าการมาโบสถ์ทุกอาทิตย์  แล้วก็ถวายอย่างสัตย์ซื่อนี้..ดีมั๊ย  ดีและเป็นสิ่งที่เราต้องทำแน่นอน  เพราะพระเจ้าสั่งไว้  แต่พระองค์ไม่ได้สั่งไว้แค่นี้  พระองค์ไม่เคยบอก..มาโสถ์นะ  มาแล้วถวายเงินเพื่อราชกิจแค่นั้นก็พอแล้ว  แค่นั้นเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของเรา  แล้วเราก็จะอวยพรเจ้า..ไม่ใช่  พระเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น  แต่การแสงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระองค์  มันหมายถึง การดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอนไว้   แล้วพระเจ้าสอนไว้ว่าไง..อยู่ใน”พระคำภีร์ทั้งเล่ม” แล้วเรารู้หมดแล้วยัง  ทำไงจะรู้พระคำภีร์..ก็ต้องอธิฐาน  อ่านพระคำภีร์ทุกวัน  มาโบสถ์ทุกอาทิตย์หรือเป็นประจำ  มาแล้วก็นมัสการ..เสร็จก็ฟังเทศน์  เข้าชั้นเรียนพระคำภีร์  มีใจจดจ่ออยู่กับพระเจ้าและถ้อยคำของพระองค์สม่ำเสมอทุกวัน  ทุกเวลา
หลายคนบอก  ก็มาโบสถ์แล้ว  และก็อธิฐานแล้ว  พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย  น้าตุ๊กก็บอก  จริงๆแล้ว ถ้าทำแค่นี้..ยังไม่ใช่ทั้งหมดของการแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าหรอกค่ะ เพราะท่าทีการมาโบสถ์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนสักแต่ว่ามา..เวลาฟังเทศน์ไม่หลับ..ก็คุย บางคนไม่ได้มาหาพระเจ้า แต่อยู่บ้านแล้วเหงา..ก็เลยมาหาเพื่อน หรือบางคนคุณพ่อคุณแม่บังคับให้มา..ก็มี นี่ก็เป็นท่าทีที่ต่างกัน..แต่มาโบสถ์เหมือนกัน แล้วเวลาอธิฐาน..เราอธิฐานยังไง สมมติว่าตอนนี้ตกงาน ไม่มีรายได้แต่ค่าใช้จ่ายมากมายรออยู่ คนส่วนใหญ่ก็จะอธิฐานอย่างเข้มข้นเลยนะ..ว่า พระเจ้าช่วยลูกด้วย พระองค์ทำไงก็ได้ให้ลูกมีกิน มีใช้ มีจ่ายค่า 1 2 3 4 อะไรก็ว่าไป..เสร็จแล้วก็บอกว่า ชั้นแสวงหาพระเจ้าแล้ว เพราะไปโบสถ์แล้ว อธิฐานก็แล้วแต่พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย น้าตุ๊กจะบอกให้..แบบนี้ไม่เรียกว่าแสวงหาแผ่นดินพระเจ้าหรอกค่ะ เค้าเรียกว่าแสวงหาขนมปังคือ หาแต่วิธีที่จะให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ   ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าจริงๆเราต้องรู้จักพระลักษณะของพระเจ้า เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และตระหนักคิดได้ว่าสารพัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่..ไม่ได้มีความสำคัญเลยเมื่อเทียบกับน้ำพระทัยอันสูงส่งของพระเจ้า    เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อพระองค์..ไม่ใช่ตัวเองหรือเพื่อขนมปัง ถ้าเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ณ.จุดนั้น พระเจ้าจะทรงเหยียดพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงให้เด็กๆแน่นอน ไม่เว้นแม้สิ่งที่เงินซื้อ..ไม่ได้   
    พบกันใหม่สัปดาห์หน้า  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น