ดู
มัทธิว 18:23-27 “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งจะคิดบัญชีกับทาส..” พระเยซูยกคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เพื่อที่จะให้เราเห็นภาพ”พระคุณของพระเจ้า”ที่มีต่อเรา และเพื่อให้เราส่งต่อพระคุณนั้นไปยังพี่น้อง เรื่องมีอยู่ว่า “ชายคนหนึ่งเป็นหนี้เจ้าองค์หนึ่ง
1 หมื่น ตะลันต์ หมื่นตะลันต์เป็นจำนวนเงินที่ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้..สำหรับยิวในสมัยนั้น เพราะ 1 ตะลันต์มีค่าเท่ากับแร่เงิน
40 กก. ดังนั้นหมื่นตะลันต์ก็คือแร่เงิน 4 แสน กก. โอโห ! จะไปหาที่ไหนมาคืน หรือ ถ้าคิดเป็นค่าแรง
1 ตะลันต์ เท่ากับค่าแรงกรรมกร 15 ปี แล้วลองคิดดู
ถ้าจะทำงานใช้หนี้
ชายคนนี้ต้องเป็นทาสรับใช้นานถึง 1 แสน 5 หมื่นปี...แล้วจะอยู่ถึงมั๊ย
ดังนั้น เจ้าองค์นี้เลยสั่งชายคนนี้ “ให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก
และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่ทั้งหมดเอามาใช้หนี้”
เพราะถึงยังไง..ชายคนนี้ไม่มีปัญญาใช้หนี้ได้แน่นอน
ต่อให้ขายจนหมดก็ยังได้ไม่คุ้มกับหนี้หมื่นตะลันต์ พอได้ยินคำสั่งของเจ้าองค์นั้น ข้อที่ 26 บอกว่า “
ชายคนนี้ก็ก้มลงกราบแทบเท้า บอกว่า “ขอโปรดผลัดไว้ก่อน..ขอให้ท่านอดทนต่อข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' ...พูดไปข้างๆคูๆแหละ
เพราะความจริง มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ ! เจ้าองค์นี้ก็มีพระทัยเมตตา “ยกหนี้ให้ และปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
ความหมายฝ่ายวิญญาณในเรื่องนี้
ก็คือ มนุษย์ทุกคนเป็นหนี้พระเจ้า
เพราะพระองค์คือผู้สร้างเรามา
พระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต แต่มนุษย์กลับกบฎ..ไม่เชื่อฟัง..จนต้องล้มลงในความบาป และโทษของความบาป ก็คือ “ความตาย” เพราะงั้น หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้า..ไม่ใช่แค่ หมื่นตะลันต์
แต่มันมีค่าถึงชีวิต แต่เมื่อเรากลับมาหาพระองค์..เหมือนชายคนนี้ แล้วก็ขอพระองค์อดทนต่อเรา อย่าถือสาความผิดที่เราทำ พระองค์ก็ยกโทษให้..ละเว้นโทษประหาร
เราจึงไม่ต้องตายฝ่ายวิญญาณ
พระเจ้าทรงเมตตาปล่อยเราให้เป็นอิสระเหมือนชายคนนี้ ดูต่อ..
ดู มัทธิว
18:28-30 เด็กๆนึกภาพชายคนนี้ เพิ่งได้รับอิสระจากการเป็นหนี้ถึงหมื่นตะลันต์..อย่างไม่นึกฝัน แต่ขณะที่ถูกปล่อยตัวไปด้วยหัวใจที่เบ่งบานสุดขีด..เขาก็ไปเจอเพื่อนทาสด้วยกัน และพื่อนคนนี้เป็นหนี้เขาอยู่ 100 เดนาริอัน พอเจอปั๊บ ! จับบีบคอเลย แล้วบอกว่า
“จงใช้หนี้มาเดี๋ยวนี้ (100 เดนาริอัน
มีค่าเท่ากับ ค่าแรง 1 วัน)
ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะสัก 300 บาท..ประมาณนั้น ..ฟังแล้วรู้สึกยังไง จะรู้สึกยังไงก็ตาม แต่ ! นั่นเป็นสิ่งเดียวกันที่พวกเรากับคริสเตียนหลายๆคน ยังคงปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่...
จิตวิญญาณที่สมควรตายของเราพระเจ้าทรงยกโทษให้ หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้าอยู่มันมหาศาลมาก เงินเท่าไหร่ก็ใช้แทนไม่ได้ มีแค่โทษตายสถานเดียวที่สมควรกับเรา และ ! พระเจ้าบอกโอเค ! พ่อไม่เอาเรื่อง..ที่กบฎ
ไม่เชื่อฟัง หนีออกจากบ้าน ไปทำชั่วสารพัด
หรือแม้แต่ไปรักคนอื่นมากกว่าพ่อ..ก็ยกโทษให้ (ข้อนี้ สะเทือนใจมาก).. เจ้าไม่ต้องตายแต่จะมีชีวิตนิรันดร์ เราก็ดีใจจนแทบจะสำลักความสุขตาย แต่ !
เหมือนชายคนนี้ พอเป็นอิสระแล้ว
เราทำยังไง..กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขาติดเงิน..ทวงมั๊ย เขาโกงเรา..ด่ามั๊ย ไม่แค่ด่า..แช่งชักหักกระดูกเลย เขาหักอกเรา..โกรธมั๊ย โกรธจนสิ้นสติ อย่างที่เห็นกันในข่าว..
เอาน้ำมันราด..จุดไฟเผา หลายคนไม่เคยให้อภัย..อย่าว่าแต่ให้อภัยเลย..บางคนไม่คิดจะทนซึ่งกันและกัน..แม้แต่นิดเดียว
เรื่องเล็กๆอย่างโดนเขาขับรถปาดหน้า..ก็ด่าแล้ว นี่คือภาพเดียวกันกับชายคนนี้..ที่เจ้ายกหนี้หมื่นตะลันต์ให้..แต่ตัวเองกลับบีบคอทวงเงินแค่ร้อยเดนาริอันจากเพื่อน (เห็นภาพมั๊ยคะ)
ดู
มัทธิว 18:31-34 เมื่อผู้รับใช้ของเจ้าได้เห็นเหตุการณ์ ก็เอาไปฟ้องเจ้านายของตน “เจ้านายของเขาจึงเรียกผู้รับใช้นั้นมาสั่งว่า `โอ เจ้าผู้รับใช้ชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เจ้าหมด
เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา เจ้าก็ควรจะเมตตาเพื่อนของเจ้า
เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ”....เมื่อพระเจ้าทรงโปรดยกบาปผิดให้เรา เราก็ควรจะอดทน..ยกโทษให้กับผู้ที่ทำผิดต่อเราด้วย ไม่ว่าเขา..ทำร้ายเรา..แบบดูแล้วสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน..ก็จงยอมที่จะให้อภัย
ข้อที่ 34 บอกว่า “ แล้วเจ้านายของเขาก็กริ้วและมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน
จนกว่าจะใช้หนี้หมด”...ดีมั๊ยล่ะ
รอดตัวไปก็ดีอยู่แล้ว ดันมาใจแคบกับเพื่อนบ้านที่ติดเงินแค่ร้อยเดนาริอัน เพราะฉะนั้น ดูไว้เป็นตัวอย่าง อย่าทำแบบชายคนนี้ พระเจ้ายกโทษให้เราแล้ว เราหลุดพ้นจากพันธนาการบาปและวงจรอุบาทว์ทั้งปวงแล้ว พระองค์ก็อยากให้เราใจกว้างกับพี่น้องด้วย เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า..ว่าเออ
เป็นคริสเตียนแล้ว..เขาเปลี่ยนไปนะ
เป็นคริสเตียนแล้วเขาใจเย็นนะ
เขาใจกว้าง ถ่อมสุภาพ พูดจาดี
มีความรัก อะไรต่างๆ
ล้วนเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า อย่านึกว่าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว..ชั้นจะทำไงก็ได้..ยังไงชั้นก็รอดอยู่ดี ไม่ใช่..ระวังให้ดี พระคำข้อนี้เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักคิด..ถึงการดำเนินชีวิตของเราให้มากขึ้นกว่าเดิมนะคะ
เพราะ ข้อที่ 35 บอกว่า “พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น
ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้พี่น้องของตนด้วยใจกว้างขวาง"....ถ้ารับมา..แล้วไม่รู้จักที่จะให้ออกไป วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะเรียกคืน แล้วเราก็จะเหมือนชายคนนี้..แทนที่จะได้อยู่สวรรค์ กลายเป็นต้องมานั่งใช้หนี้ในบึงไฟนรก
ดู มัมธิว 19:3-6 มาอีกแล้วนะคะ..พวกฟาริสี
มาวางกับดักจับผิดพระเยซู ข้อนี้
เขาถามพระเยซูว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม
เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่” พูดง่ายๆว่าแต่งงานแล้วจะหย่ากันได้มั๊ย พระเยซูตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง`เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา
และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา
และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกันไม่เป็นสองต่อไป เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว
อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”...ถ้าสรุปสั้นๆ ก็คือ หย่าไม่ได้..นะคะ
เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การแต่งงานนั้นยั่งยืนถาวร เพราะงั้น
ตอนจะเลือก..ก็เลือกให้ดี ให้ถี่ถ้วน
ปรึกษาพ่อแม่เยอะๆ
อย่าใจเร็วด่วนได้หรือชิงสุกก่อนห่ามเพราะเราจะต้องกินผลที่เราเลือกนั้นไปจนตลอดชีวิต
ดู มัทธิว 19:7-9 พวกฟาริสีย้อนถามพระเยซูอีก..ว่าแล้วทำไมโมเสสถึงได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา
แล้วก็หย่าได้" พระเยซูบอกว่า “"โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน
เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง...” ...ใจแข็งกระด้าง หมายความว่า ถึงไม่ออกกฎหมายให้หย่า..ก็จะมีคนที่แอบเลิกกันอยู่ดี เพราะใจมนุษย์มันกบฎไม่เชื่อฟัง..ชอบเล่นชู้
ถ้าไม่ออกหนังสือหย่าให้ผู้หญิงก็จะลำบากมาก เพราะต้องรอการเลี้ยงดูจากผู้ชาย
เรื่องเหตุผลในการหย่ามันเป็นข้อขัดแย้งมานานแล้วระหว่างธรรมาจารย์
2 สถาบัน คือ สถาบัน “ฮิลเลล” กับ
สถาบัน “ชัมมัย” เพราะฮิลเลลสอนว่า
ผู้ชายสามารถหย่าภรรยาด้วยสาเหตุอะไรก็ได้..ที่เขาไม่พอใจ เช่น
ทำกับข้าวไม่อร่อย ซักผ้าไม่สะอาด ไม่ฉลาด
อะไรต่างๆเหล่านี้..หย่าได้หมด ส่วน”ชัมมัย” ยืนยันว่า
ผู้ชายหย่าภรรยาได้ด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นชู้กับชายอื่น เด็กลองคิดดู ถ้าคิดแบบชิลเลลนี่ ! ผู้หญิงแย่เลยนะ พอเขาเบื่อ..ก็หาเหตุขอหย่าเราได้ตลอดเวลา พระเยซูคริสต์บอก “แต่เดิมมิได้เป็นอย่างนั้น”..
เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การสมรสยั่งยืนถาวร เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญสุดในทุกสังคม
ข้อที่ 9 พระเยซูตรัสว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า
ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่างๆ
เว้นแต่เป็นชู้กับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี
และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยาก็ผิดประเวณีด้วย” ....ในเมื่อจิตใจมนุษย์มันแข็งกระด้างอย่างมากต่อเรื่องนี้ พระเยซูจึงทรงสถาปนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า..”ให้ผู้ชายหย่าภรรยาของตัวเองได้ กรณีเดียวเท่านั้น คือ ถูกฝ่ายหญิงนอกใจไปมีชู้” ถ้านอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว..”ห้ามหย่า”
เด็ดขาด
ดู มัทธิว 19:16-20 / 21-24 มีเศรษฐีหนุ่มคนนึงถามพระเยซูว่า“ต้องทำยังไงถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” พระเยซูก็บอก “จงถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า” เศรษฐีหนุ่มก็ถาม..ว่า ข้อไหนบ้าง พระเยซูบอก “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ
จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พอพระเยซูพูดจบ
เขาบอก..ถ้าแค่นี้
เขาถือรักษาไว้ครบแล้ว..ยังขาดอะไรอีกมั๊ย..ที่เขายังไม่ได้ทำ พระเยซูบอก “ถ้างั้น จงไปขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา
แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”...เจอเข้าไปข้อนี้ “เครียดเลย” !!! ข้อที่
22 บอก “เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นเขาก็ออกไปเป็นทุกข์
เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก”...ยิ่งมีมาก
ยิ่งทุกข์มาก ต่อให้เป็นคนของพระเจ้านะ เพราะลองคิดดู..
เราจะได้อยู่กับพระเจ้าที่ไหน..”สวรรค์สถาน”..ไม่ใช่โลกนี้ เพราะงั้น ถ้ารวยมากๆ อยากตายมั๊ย
ส่วนใหญ่ไม่อยากตายหรอก..อยากจะอยู่เสพสสุขสนองเนื้อหนังไปให้นานสักหน่อย.. ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..ก็รักนะ แต่เดี๋ยวก่อนพระองค์เจ้าข้า ยังไม่ค่อยพร้อม..ไม่อยากตาย แต่ถ้ามีเงินน้อยลงมาหน่อย..แบบพอกินพอใช้ ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..รัก พระเจ้ามารับไปตอนนี้เลย..ไปมั๊ย คำตอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นประมาณ
ไปก็ได้..ไม่ไปก็ได้ อ่ะ!..เริ่มลงมาเป็นแบบกลางๆละ แต่ถ้าเราจนเลย ..หาเช้ากินค่ำ
ต้องทำงานแลกข้าวทุกวัน ลองไปถามสิ..อยากไปอยู่กับพระเจ้ามั๊ย..อยากมากกก
รออยู่ทุกวัน..เมื่อไหร่จะมารับซะที ทุกวันนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้วววว (ใช่มั๊ย..เห็นภาพมั๊ยคะ) เพราะงั้น ถ้าชายคนนี้มีสมบัติไม่มากนัก เขาจะไม่เครียดกับสิ่งที่พระเยซูพูดขนาดนี้หรอก พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ยาก”...เพราะ”เงิน” เป็นจุดอ่อนของมนุษย์ ข้อที่ 26 พระเยซูตรัสว่า
"ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”.....หลายๆอย่างที่พระเยซูสอน..มนุษย์ทำไม่ได้หรอกค่ะ..เราไม่มีกำลังพอ
แต่ พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง.. เราจึงต้องพึ่ง”พระคุณ”ของพระองค์..ขอพระองค์เสริมกำลังเรา..ให้เราสามารถที่จะเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้
คำอุปมา เรื่อง “คนงานในสวนองุ่น”
ดู มัทธิว 20:1-7 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่น พระคำข้อนี้เล่าว่า
“เจ้าของสวนออกไปจ้างคนทำงานตอนเช้าตรู่
รอบแรกเลยนะ..บอกทำทั้งวันให้ 1 เดนาริอัน”
คนงานก็ตกลง..เสร็จก็..ไปทำงาน
พอตอนสายเจ้าของสวนก็ออกไปอีก
ไปเจอคนงานยืนอยู่ไม่มีใครจ้าง..สงสารก็เลยให้ไปทำงานในสวนองุ่นด้วย แล้วก็บอกแค่ว่า..จะให้ค่าจ้างตามสมควร..ไม่ได้บอกนะ..ว่าจะให้เท่าไหร่ และเจ้าของสวนก็ยังทำอย่างนี้อีก 3 รอบในตอน”เที่ยง”..”บ่ายสามโมง”..และ”ห้าโมงเย็น” คือ
ออกไปแล้วพอเจอคนยืนว่างๆอยู่ก็เรียกให้มาทำงานในสวนของเขา
..โดยบอกว่าจะให้ค่าจ้างตามสมควรเหมือนกัน
เพราะงั้น สรุป คือ เจ้าของสวนมีการตกลงค่าจ้างชัดเจนกับคนงานชุดแรกเท่านั้น
คือ 1 เดนาริอัน
แล้วคนงานชุดนั้นก็ต้องพอใจค่าจ้าง..ถึงตกลงไปทำงานให้ แต่คนงานอีก 4 ชุดที่มาทีหลัง..ไม่ได้บอกว่าจะให้เท่าไหร่ แต่คนงานพวกนั้นก็คงพอใจ..เพราะมันสายมากแล้วแต่ยังไม่มีงานทำเลย
ยิ่งชุดที่ไปเจอตอน 5 โมงเย็นยิ่งแล้วใหญ่..ได้เท่าไหร่ก็เอาเพราะจะหมดวันอยู่แล้ว เรื่องเป็นไงต่อ....
ดู มัทธิว 20:8-13 พอจบวัน..ตอนพลบค่ำเจ้าของสวนก็สั่งพนักงาน..ให้จ่ายค่าแรงให้กับคนงานทุกคนตั้งแต่คนแรกภึงคนสุดท้าย ข้อที่ 9 บอกว่า..”คนที่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น
ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน”..เป็นอัตราเดียวกับที่เจ้าของสวนตกลงไว้กับคนที่มาตอนเช้าตรู่
พอคนที่มาทำงานตั้งแต่เช้าเห็น..เขาก็นึกในใจว่าเขาคงได้มากกว่านั้น เพราะเขาทำมากกว่า แต่ปรากฎว่าเจ้าของสวนก็จ่ายให้ 1 เดนาริอันเท่ากัน แค่นั้นแหละ !
..โวยเลย..ทำไมให้เท่ากัน
ในเมื่อคนที่มาตอน 5 โมงเย็นทำงานแค่..ชั่วโมงเดียว แต่กลับจ่ายค่าแรงให้เท่ากับคนที่ทำงานตากแดดมาทั้งวัน..มันไม่แฟร์ ประมาณนั้น
ฟังดูแล้ว
เราก็แอบคิดใช่มั๊ย..ว่าเออ ! ที่เขาพูดมันก็มีเหตุผลนะ
แล้วในโลกนี้ก็คงไม่มีใครตีค่าแรงคนงานแบบเจ้าของสวนองุ่นนี้ แต่ ! เจ้าของสวนองุ่นในที่นี้
คือ “พระเจ้า” เพราะงั้น
สิ่งแรกเลยที่เราต้องคิดออก คือ
พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด..และพระองค์ยุติธรรมเสมอ
ข้อที่ 13 บอกว่า “สหายเอ๋ย
เรามิได้โกงท่านเลย ตกลงกันเแล้วว่าเราจะให้ท่านวันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ เพราะงั้น
รับค่าจ้างของท่านไป..มาเกี่ยวอะไรด้วย
เราพอใจจะให้ใครเท่าไหร่..มันก็เรื่องของเรา แล้วเงินที่จ่ายให้คนงานที่มาทีหลัง..ก็เงินของเรา
ไม่ใช่เงินเจ้า ไม่ได้เอาเงินเจ้า..ไปจ่ายให้คนอื่นซักหน่อย โกงก็ไม่ได้โกง..จ่ายให้ตามที่ตกลงกันไว้ แล้วเดือดร้อนทำไม...
ดู มัทธิว 20:14-16 คนงานที่ทำมากสุดเดือดร้อนทำไม คำตอบอยู่ข้อนี้แหละ “เราจะใช้เงินของเราตามความพอใจของเราเอง..มิได้หรือ ทำไมท่าน”อิจฉา” เมื่อเห็นเราใจดี”....ทำไมต้องอิจฉาถ้าพระเจ้าจะใจดีกับใครต่อใคร ทำไมต้องอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นได้ในสิ่งที่ดี แค่นี้แหละ ! ปัญหาของมนุษย์ คนงานที่มาทำแต่เช้า
“อิจฉา” ที่เห็นคนอื่นได้ดี
แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างงี้ คือ
ชอบมองอะไรด้านเดียว..มองแต่ในมุมของตัวเอง..เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะความจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาควรคิด ก็คือ
..ที่เจ้าของสวนองุ่นจ้างพวกเขาเนี่ย..ไม่ใช่เพราะเจ้าของสวนจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานแค่ไม่กี่ชม.ของพวกเขา ยิ่งคนที่ไปทำตอนห้าโมงเย็น..ยิ่งแล้วใหญ่เลย.. ทำแค่ชั่วโมงเดียวมันจะได้งานซักเท่าไหร่..จ้างให้เสียเงินทำไมก็ไม่รู้ แต่เจ้าของสวนก็อุตส่าห์จ้าง..เพราะสงสารที่พวกเขาไม่มีงานทำ เราดูได้จากคำพูดของเจ้าของสวน
“ พวกท่านยืนอยู่ที่นี่เปล่าๆวันยันค่ำทำไม” คนงานบอก “ไม่มีใครจ้าง” เจ้าของสวนก็สงสารไง..เลยบอกให้ไปทำงานในสวนไป
เด๋วหมดวันจะได้มีเงินซื้อข้าวกิน..
ในทางเดียวกัน เรานี่ล่ะ ก็คือ
คนงานที่ไม่มีหวังอะไรแล้ว
และพระเจ้าคือเจ้าของสวนองุ่น..ที่ทรงเมตตาให้เราได้รับบำเน็จตามที่ทรงสัญญาไว้
1 เดนาริอัน สำหรับเราคือความรอด..ใช่มั๊ย แล้วเราก็พอใจ
เพราะฉะนั้น อย่าอิจฉาคนอื่น..ไม่ว่าใครจะได้รับสิ่งดีอะไรก็ตาม มันหมายถึงพระเจ้าทรงพอใจที่จะประทานให้ แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เอาของเราไปให้เขา เรามีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีหรอก ร่างกายนี้ยังของพระเจ้าเลย เพราะฉะนั้น จงพอใจและขอบพระคุณในสิ่งที่เรามีและเราเป็น..แค่นั้น เอเมนมั๊ย
และอีกนิดนึง คือ อย่าให้คำอธิฐานของเราออกมาในรูปแบบประมาณว่า
“พระองค์เจ้าข้า ลูกสัตย์ซื่อต่อพระองค์ ลูกรับใช้พระองค์มาชั่วชีวิต มาโบสถ์ทุกอาทิตย์ ถวายสิบลดไม่เคยขาด แต่ทำไมลูกยังลำบากกว่าคนอื่น ขอพระองค์โปรดตอบคำอธิฐานของลูก..ช่วยลูก..ให้ลูกมีฐานะที่ดีขึ้น
(เพราะลูกสมควรได้รับ)” การอธิฐานแบบนี้ มันเหมือนเรากำลังทวงอะไรบางอย่าง..ที่เราคิดว่า“เราสมควรได้รับ” ซึ่งต้องบอกว่า “มันโง่มาก” เด็กๆคิดดูให้ดีว่าการอธิฐานแบบนี้เราอธิฐานในนามใคร เรากำลังขอในนามของ”ตัวเอง” นะ
ไม่ใช่ในนามของ”พระเยซู” เพราะถ้าเราขอในนามของพระเยซูคริสต์เราจะไม่พร่ำพรรณาถึงความดีหรือเครดิตร์ของตัวเอง...แต่เราจะพึ่งในพระคุณของพระเยซู
( Not me but you)
หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น