วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 14

ดู มัทธิว 18:23-27  “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งจะคิดบัญชีกับทาส..”  พระเยซูยกคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา  เพื่อที่จะให้เราเห็นภาพ”พระคุณของพระเจ้า”ที่มีต่อเรา  และเพื่อให้เราส่งต่อพระคุณนั้นไปยังพี่น้อง   เรื่องมีอยู่ว่า “ชายคนหนึ่งเป็นหนี้เจ้าองค์หนึ่ง 1 หมื่น ตะลันต์   หมื่นตะลันต์เป็นจำนวนเงินที่ทั้งชีวิตก็หาไม่ได้..สำหรับยิวในสมัยนั้น   เพราะ 1 ตะลันต์มีค่าเท่ากับแร่เงิน 40 กก.   ดังนั้นหมื่นตะลันต์ก็คือแร่เงิน 4 แสน กก.  โอโห ! จะไปหาที่ไหนมาคืน  หรือ ถ้าคิดเป็นค่าแรง 1 ตะลันต์ เท่ากับค่าแรงกรรมกร 15 ปี  แล้วลองคิดดู  ถ้าจะทำงานใช้หนี้  ชายคนนี้ต้องเป็นทาสรับใช้นานถึง 1 แสน 5 หมื่นปี...แล้วจะอยู่ถึงมั๊ย  ดังนั้น เจ้าองค์นี้เลยสั่งชายคนนี้ ให้ขายตัวกับทั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่ทั้งหมดเอามาใช้หนี้”  เพราะถึงยังไง..ชายคนนี้ไม่มีปัญญาใช้หนี้ได้แน่นอน  ต่อให้ขายจนหมดก็ยังได้ไม่คุ้มกับหนี้หมื่นตะลันต์    พอได้ยินคำสั่งของเจ้าองค์นั้น ข้อที่ 26 บอกว่า “ ชายคนนี้ก็ก้มลงกราบแทบเท้า บอกว่า “ขอโปรดผลัดไว้ก่อน..ขอให้ท่านอดทนต่อข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น' ...พูดไปข้างๆคูๆแหละ  เพราะความจริง  มันเป็นไปไม่ได้เลย  แต่ ! เจ้าองค์นี้ก็มีพระทัยเมตตา “ยกหนี้ให้  และปล่อยให้เขาเป็นอิสระ 
ความหมายฝ่ายวิญญาณในเรื่องนี้ ก็คือ มนุษย์ทุกคนเป็นหนี้พระเจ้า  เพราะพระองค์คือผู้สร้างเรามา  พระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต แต่มนุษย์กลับกบฎ..ไม่เชื่อฟัง..จนต้องล้มลงในความบาป  และโทษของความบาป ก็คือ “ความตาย”   เพราะงั้น หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้า..ไม่ใช่แค่  หมื่นตะลันต์  แต่มันมีค่าถึงชีวิต   แต่เมื่อเรากลับมาหาพระองค์..เหมือนชายคนนี้ แล้วก็ขอพระองค์อดทนต่อเรา  อย่าถือสาความผิดที่เราทำ  พระองค์ก็ยกโทษให้..ละเว้นโทษประหาร เราจึงไม่ต้องตายฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าทรงเมตตาปล่อยเราให้เป็นอิสระเหมือนชายคนนี้   ดูต่อ..
ดู มัทธิว 18:28-30  เด็กๆนึกภาพชายคนนี้  เพิ่งได้รับอิสระจากการเป็นหนี้ถึงหมื่นตะลันต์..อย่างไม่นึกฝัน  แต่ขณะที่ถูกปล่อยตัวไปด้วยหัวใจที่เบ่งบานสุดขีด..เขาก็ไปเจอเพื่อนทาสด้วยกัน   และพื่อนคนนี้เป็นหนี้เขาอยู่ 100 เดนาริอัน  พอเจอปั๊บ ! จับบีบคอเลย  แล้วบอกว่า “จงใช้หนี้มาเดี๋ยวนี้   (100 เดนาริอัน มีค่าเท่ากับ ค่าแรง 1 วัน)  ถ้าสมัยนี้ก็อาจจะสัก 300 บาท..ประมาณนั้น ..ฟังแล้วรู้สึกยังไง     จะรู้สึกยังไงก็ตาม แต่ ! นั่นเป็นสิ่งเดียวกันที่พวกเรากับคริสเตียนหลายๆคน  ยังคงปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่...
จิตวิญญาณที่สมควรตายของเราพระเจ้าทรงยกโทษให้  หนี้ที่เราติดค้างพระเจ้าอยู่มันมหาศาลมาก  เงินเท่าไหร่ก็ใช้แทนไม่ได้  มีแค่โทษตายสถานเดียวที่สมควรกับเรา  และ ! พระเจ้าบอกโอเค ! พ่อไม่เอาเรื่อง..ที่กบฎ ไม่เชื่อฟัง หนีออกจากบ้าน ไปทำชั่วสารพัด  หรือแม้แต่ไปรักคนอื่นมากกว่าพ่อ..ก็ยกโทษให้ (ข้อนี้ สะเทือนใจมาก)..  เจ้าไม่ต้องตายแต่จะมีชีวิตนิรันดร์  เราก็ดีใจจนแทบจะสำลักความสุขตาย     แต่ ! เหมือนชายคนนี้ พอเป็นอิสระแล้ว  เราทำยังไง..กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เขาติดเงิน..ทวงมั๊ย  เขาโกงเรา..ด่ามั๊ย  ไม่แค่ด่า..แช่งชักหักกระดูกเลย  เขาหักอกเรา..โกรธมั๊ย  โกรธจนสิ้นสติ อย่างที่เห็นกันในข่าว.. เอาน้ำมันราด..จุดไฟเผา   หลายคนไม่เคยให้อภัย..อย่าว่าแต่ให้อภัยเลย..บางคนไม่คิดจะทนซึ่งกันและกัน..แม้แต่นิดเดียว  เรื่องเล็กๆอย่างโดนเขาขับรถปาดหน้า..ก็ด่าแล้ว  นี่คือภาพเดียวกันกับชายคนนี้..ที่เจ้ายกหนี้หมื่นตะลันต์ให้..แต่ตัวเองกลับบีบคอทวงเงินแค่ร้อยเดนาริอันจากเพื่อน  (เห็นภาพมั๊ยคะ)
ดู มัทธิว 18:31-34  เมื่อผู้รับใช้ของเจ้าได้เห็นเหตุการณ์  ก็เอาไปฟ้องเจ้านายของตน  “เจ้านายของเขาจึงเรียกผู้รับใช้นั้นมาสั่งว่า `โอ เจ้าผู้รับใช้ชั่ว เราได้โปรดยกหนี้ให้เจ้าหมด เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา เจ้าก็ควรจะเมตตาเพื่อนของเจ้า  เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ”....เมื่อพระเจ้าทรงโปรดยกบาปผิดให้เรา  เราก็ควรจะอดทน..ยกโทษให้กับผู้ที่ทำผิดต่อเราด้วย  ไม่ว่าเขา..ทำร้ายเรา..แบบดูแล้วสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน..ก็จงยอมที่จะให้อภัย 
ข้อที่ 34 บอกว่า “ แล้วเจ้านายของเขาก็กริ้วและมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด”...ดีมั๊ยล่ะ  รอดตัวไปก็ดีอยู่แล้ว  ดันมาใจแคบกับเพื่อนบ้านที่ติดเงินแค่ร้อยเดนาริอัน  เพราะฉะนั้น ดูไว้เป็นตัวอย่าง  อย่าทำแบบชายคนนี้  พระเจ้ายกโทษให้เราแล้ว  เราหลุดพ้นจากพันธนาการบาปและวงจรอุบาทว์ทั้งปวงแล้ว  พระองค์ก็อยากให้เราใจกว้างกับพี่น้องด้วย   เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า..ว่าเออ เป็นคริสเตียนแล้ว..เขาเปลี่ยนไปนะ  เป็นคริสเตียนแล้วเขาใจเย็นนะ  เขาใจกว้าง  ถ่อมสุภาพ  พูดจาดี  มีความรัก อะไรต่างๆ  ล้วนเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า    อย่านึกว่าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว..ชั้นจะทำไงก็ได้..ยังไงชั้นก็รอดอยู่ดี  ไม่ใช่..ระวังให้ดี  พระคำข้อนี้เป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักคิด..ถึงการดำเนินชีวิตของเราให้มากขึ้นกว่าเดิมนะคะ   เพราะ ข้อที่ 35  บอกว่า “พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้พี่น้องของตนด้วยใจกว้างขวาง"....ถ้ารับมา..แล้วไม่รู้จักที่จะให้ออกไป  วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะเรียกคืน แล้วเราก็จะเหมือนชายคนนี้..แทนที่จะได้อยู่สวรรค์  กลายเป็นต้องมานั่งใช้หนี้ในบึงไฟนรก
ดู มัมธิว 19:3-6  มาอีกแล้วนะคะ..พวกฟาริสี  มาวางกับดักจับผิดพระเยซู  ข้อนี้ เขาถามพระเยซูว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็ตาม เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่”  พูดง่ายๆว่าแต่งงานแล้วจะหย่ากันได้มั๊ย  พระเยซูตอบว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง`เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา และจะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกันไม่เป็นสองต่อไป  เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”...ถ้าสรุปสั้นๆ ก็คือ หย่าไม่ได้..นะคะ  เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การแต่งงานนั้นยั่งยืนถาวร   เพราะงั้น  ตอนจะเลือก..ก็เลือกให้ดี  ให้ถี่ถ้วน  ปรึกษาพ่อแม่เยอะๆ  อย่าใจเร็วด่วนได้หรือชิงสุกก่อนห่ามเพราะเราจะต้องกินผลที่เราเลือกนั้นไปจนตลอดชีวิต    
ดู มัทธิว 19:7-9  พวกฟาริสีย้อนถามพระเยซูอีก..ว่าแล้วทำไมโมเสสถึงได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้"  พระเยซูบอกว่า “"โมเสสได้ยอมให้ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง...” ...ใจแข็งกระด้าง หมายความว่า ถึงไม่ออกกฎหมายให้หย่า..ก็จะมีคนที่แอบเลิกกันอยู่ดี   เพราะใจมนุษย์มันกบฎไม่เชื่อฟัง..ชอบเล่นชู้   ถ้าไม่ออกหนังสือหย่าให้ผู้หญิงก็จะลำบากมาก  เพราะต้องรอการเลี้ยงดูจากผู้ชาย 
เรื่องเหตุผลในการหย่ามันเป็นข้อขัดแย้งมานานแล้วระหว่างธรรมาจารย์ 2 สถาบัน คือ สถาบัน “ฮิลเลล” กับ สถาบัน “ชัมมัย”    เพราะฮิลเลลสอนว่า  ผู้ชายสามารถหย่าภรรยาด้วยสาเหตุอะไรก็ได้..ที่เขาไม่พอใจ เช่น ทำกับข้าวไม่อร่อย  ซักผ้าไม่สะอาด  ไม่ฉลาด  อะไรต่างๆเหล่านี้..หย่าได้หมด    ส่วน”ชัมมัย” ยืนยันว่า ผู้ชายหย่าภรรยาได้ด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นชู้กับชายอื่น    เด็กลองคิดดู ถ้าคิดแบบชิลเลลนี่ ! ผู้หญิงแย่เลยนะ  พอเขาเบื่อ..ก็หาเหตุขอหย่าเราได้ตลอดเวลา  พระเยซูคริสต์บอก “แต่เดิมมิได้เป็นอย่างนั้น”.. เพราะพระเจ้าประสงค์ให้การสมรสยั่งยืนถาวร   เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญสุดในทุกสังคม        
ข้อที่ 9 พระเยซูตรัสว่า “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่างๆ เว้นแต่เป็นชู้กับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยาก็ผิดประเวณีด้วย” ....ในเมื่อจิตใจมนุษย์มันแข็งกระด้างอย่างมากต่อเรื่องนี้   พระเยซูจึงทรงสถาปนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า..”ให้ผู้ชายหย่าภรรยาของตัวเองได้  กรณีเดียวเท่านั้น คือ ถูกฝ่ายหญิงนอกใจไปมีชู้”  ถ้านอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว..”ห้ามหย่า” เด็ดขาด
ดู มัทธิว 19:16-20 / 21-24 มีเศรษฐีหนุ่มคนนึงถามพระเยซูว่า“ต้องทำยังไงถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์”  พระเยซูก็บอก “จงถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า”   เศรษฐีหนุ่มก็ถาม..ว่า ข้อไหนบ้าง  พระเยซูบอก “อย่าฆ่าคน   อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"  พอพระเยซูพูดจบ  เขาบอก..ถ้าแค่นี้ เขาถือรักษาไว้ครบแล้ว..ยังขาดอะไรอีกมั๊ย..ที่เขายังไม่ได้ทำ  พระเยซูบอก “ถ้างั้น จงไปขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา”...เจอเข้าไปข้อนี้ “เครียดเลย” !!!    ข้อที่ 22 บอก “เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นเขาก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก”...ยิ่งมีมาก ยิ่งทุกข์มาก  ต่อให้เป็นคนของพระเจ้านะ เพราะลองคิดดู.. เราจะได้อยู่กับพระเจ้าที่ไหน..”สวรรค์สถาน”..ไม่ใช่โลกนี้   เพราะงั้น ถ้ารวยมากๆ อยากตายมั๊ย ส่วนใหญ่ไม่อยากตายหรอก..อยากจะอยู่เสพสสุขสนองเนื้อหนังไปให้นานสักหน่อย.. ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..ก็รักนะ  แต่เดี๋ยวก่อนพระองค์เจ้าข้า  ยังไม่ค่อยพร้อม..ไม่อยากตาย    แต่ถ้ามีเงินน้อยลงมาหน่อย..แบบพอกินพอใช้  ถามว่ารักพระเจ้ามั๊ย..รัก  พระเจ้ามารับไปตอนนี้เลย..ไปมั๊ย  คำตอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นประมาณ ไปก็ได้..ไม่ไปก็ได้  อ่ะ!..เริ่มลงมาเป็นแบบกลางๆละ  แต่ถ้าเราจนเลย ..หาเช้ากินค่ำ ต้องทำงานแลกข้าวทุกวัน  ลองไปถามสิ..อยากไปอยู่กับพระเจ้ามั๊ย..อยากมากกก รออยู่ทุกวัน..เมื่อไหร่จะมารับซะที ทุกวันนี้ เหนื่อยจะตายอยู่แล้วววว (ใช่มั๊ย..เห็นภาพมั๊ยคะ)  เพราะงั้น ถ้าชายคนนี้มีสมบัติไม่มากนัก  เขาจะไม่เครียดกับสิ่งที่พระเยซูพูดขนาดนี้หรอก    พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ยาก”...เพราะ”เงิน” เป็นจุดอ่อนของมนุษย์    ข้อที่ 26 พระเยซูตรัสว่า "ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”.....หลายๆอย่างที่พระเยซูสอน..มนุษย์ทำไม่ได้หรอกค่ะ..เราไม่มีกำลังพอ   แต่ พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง.. เราจึงต้องพึ่ง”พระคุณ”ของพระองค์..ขอพระองค์เสริมกำลังเรา..ให้เราสามารถที่จะเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้
คำอุปมา เรื่อง “คนงานในสวนองุ่น”
ดู มัทธิว 20:1-7   ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่น  พระคำข้อนี้เล่าว่า “เจ้าของสวนออกไปจ้างคนทำงานตอนเช้าตรู่  รอบแรกเลยนะ..บอกทำทั้งวันให้ 1 เดนาริอัน”  คนงานก็ตกลง..เสร็จก็..ไปทำงาน  พอตอนสายเจ้าของสวนก็ออกไปอีก  ไปเจอคนงานยืนอยู่ไม่มีใครจ้าง..สงสารก็เลยให้ไปทำงานในสวนองุ่นด้วย  แล้วก็บอกแค่ว่า..จะให้ค่าจ้างตามสมควร..ไม่ได้บอกนะ..ว่าจะให้เท่าไหร่  และเจ้าของสวนก็ยังทำอย่างนี้อีก 3 รอบในตอน”เที่ยง”..”บ่ายสามโมง”..และ”ห้าโมงเย็น”  คือ ออกไปแล้วพอเจอคนยืนว่างๆอยู่ก็เรียกให้มาทำงานในสวนของเขา ..โดยบอกว่าจะให้ค่าจ้างตามสมควรเหมือนกัน  เพราะงั้น สรุป คือ เจ้าของสวนมีการตกลงค่าจ้างชัดเจนกับคนงานชุดแรกเท่านั้น คือ 1 เดนาริอัน  แล้วคนงานชุดนั้นก็ต้องพอใจค่าจ้าง..ถึงตกลงไปทำงานให้  แต่คนงานอีก 4 ชุดที่มาทีหลัง..ไม่ได้บอกว่าจะให้เท่าไหร่  แต่คนงานพวกนั้นก็คงพอใจ..เพราะมันสายมากแล้วแต่ยังไม่มีงานทำเลย  ยิ่งชุดที่ไปเจอตอน 5 โมงเย็นยิ่งแล้วใหญ่..ได้เท่าไหร่ก็เอาเพราะจะหมดวันอยู่แล้ว  เรื่องเป็นไงต่อ....
ดู มัทธิว 20:8-13  พอจบวัน..ตอนพลบค่ำเจ้าของสวนก็สั่งพนักงาน..ให้จ่ายค่าแรงให้กับคนงานทุกคนตั้งแต่คนแรกภึงคนสุดท้าย   ข้อที่ 9 บอกว่า..”คนที่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน”..เป็นอัตราเดียวกับที่เจ้าของสวนตกลงไว้กับคนที่มาตอนเช้าตรู่ พอคนที่มาทำงานตั้งแต่เช้าเห็น..เขาก็นึกในใจว่าเขาคงได้มากกว่านั้น  เพราะเขาทำมากกว่า  แต่ปรากฎว่าเจ้าของสวนก็จ่ายให้ 1 เดนาริอันเท่ากัน  แค่นั้นแหละ ! ..โวยเลย..ทำไมให้เท่ากัน  ในเมื่อคนที่มาตอน 5 โมงเย็นทำงานแค่..ชั่วโมงเดียว   แต่กลับจ่ายค่าแรงให้เท่ากับคนที่ทำงานตากแดดมาทั้งวัน..มันไม่แฟร์  ประมาณนั้น  ฟังดูแล้ว  เราก็แอบคิดใช่มั๊ย..ว่าเออ ! ที่เขาพูดมันก็มีเหตุผลนะ  แล้วในโลกนี้ก็คงไม่มีใครตีค่าแรงคนงานแบบเจ้าของสวนองุ่นนี้  แต่ ! เจ้าของสวนองุ่นในที่นี้ คือ “พระเจ้า”  เพราะงั้น สิ่งแรกเลยที่เราต้องคิดออก คือ พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด..และพระองค์ยุติธรรมเสมอ   ข้อที่ 13  บอกว่า “สหายเอ๋ย เรามิได้โกงท่านเลย   ตกลงกันเแล้วว่าเราจะให้ท่านวันละหนึ่งเดนาริอันมิใช่หรือ   เพราะงั้น รับค่าจ้างของท่านไป..มาเกี่ยวอะไรด้วย  เราพอใจจะให้ใครเท่าไหร่..มันก็เรื่องของเรา   แล้วเงินที่จ่ายให้คนงานที่มาทีหลัง..ก็เงินของเรา  ไม่ใช่เงินเจ้า  ไม่ได้เอาเงินเจ้า..ไปจ่ายให้คนอื่นซักหน่อย  โกงก็ไม่ได้โกง..จ่ายให้ตามที่ตกลงกันไว้   แล้วเดือดร้อนทำไม...
ดู มัทธิว 20:14-16   คนงานที่ทำมากสุดเดือดร้อนทำไม  คำตอบอยู่ข้อนี้แหละ “เราจะใช้เงินของเราตามความพอใจของเราเอง..มิได้หรือ  ทำไมท่าน”อิจฉา” เมื่อเห็นเราใจดี”....ทำไมต้องอิจฉาถ้าพระเจ้าจะใจดีกับใครต่อใคร  ทำไมต้องอิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นได้ในสิ่งที่ดี   แค่นี้แหละ ! ปัญหาของมนุษย์  คนงานที่มาทำแต่เช้า “อิจฉา” ที่เห็นคนอื่นได้ดี  แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างงี้  คือ ชอบมองอะไรด้านเดียว..มองแต่ในมุมของตัวเอง..เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง  เพราะความจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาควรคิด ก็คือ ..ที่เจ้าของสวนองุ่นจ้างพวกเขาเนี่ย..ไม่ใช่เพราะเจ้าของสวนจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานแค่ไม่กี่ชม.ของพวกเขา   ยิ่งคนที่ไปทำตอนห้าโมงเย็น..ยิ่งแล้วใหญ่เลย..  ทำแค่ชั่วโมงเดียวมันจะได้งานซักเท่าไหร่..จ้างให้เสียเงินทำไมก็ไม่รู้  แต่เจ้าของสวนก็อุตส่าห์จ้าง..เพราะสงสารที่พวกเขาไม่มีงานทำ   เราดูได้จากคำพูดของเจ้าของสวน “ พวกท่านยืนอยู่ที่นี่เปล่าๆวันยันค่ำทำไม” คนงานบอก “ไม่มีใครจ้าง”  เจ้าของสวนก็สงสารไง..เลยบอกให้ไปทำงานในสวนไป เด๋วหมดวันจะได้มีเงินซื้อข้าวกิน..
ในทางเดียวกัน เรานี่ล่ะ ก็คือ คนงานที่ไม่มีหวังอะไรแล้ว  และพระเจ้าคือเจ้าของสวนองุ่น..ที่ทรงเมตตาให้เราได้รับบำเน็จตามที่ทรงสัญญาไว้ 1 เดนาริอัน  สำหรับเราคือความรอด..ใช่มั๊ย  แล้วเราก็พอใจ  เพราะฉะนั้น อย่าอิจฉาคนอื่น..ไม่ว่าใครจะได้รับสิ่งดีอะไรก็ตาม  มันหมายถึงพระเจ้าทรงพอใจที่จะประทานให้   แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เอาของเราไปให้เขา  เรามีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีหรอก  ร่างกายนี้ยังของพระเจ้าเลย  เพราะฉะนั้น จงพอใจและขอบพระคุณในสิ่งที่เรามีและเราเป็น..แค่นั้น  เอเมนมั๊ย   และอีกนิดนึง คือ อย่าให้คำอธิฐานของเราออกมาในรูปแบบประมาณว่า “พระองค์เจ้าข้า  ลูกสัตย์ซื่อต่อพระองค์  ลูกรับใช้พระองค์มาชั่วชีวิต มาโบสถ์ทุกอาทิตย์  ถวายสิบลดไม่เคยขาด  แต่ทำไมลูกยังลำบากกว่าคนอื่น  ขอพระองค์โปรดตอบคำอธิฐานของลูก..ช่วยลูก..ให้ลูกมีฐานะที่ดีขึ้น (เพราะลูกสมควรได้รับ)”  การอธิฐานแบบนี้  มันเหมือนเรากำลังทวงอะไรบางอย่าง..ที่เราคิดว่า“เราสมควรได้รับ”  ซึ่งต้องบอกว่า “มันโง่มาก”  เด็กๆคิดดูให้ดีว่าการอธิฐานแบบนี้เราอธิฐานในนามใคร  เรากำลังขอในนามของ”ตัวเอง” นะ ไม่ใช่ในนามของ”พระเยซู”  เพราะถ้าเราขอในนามของพระเยซูคริสต์เราจะไม่พร่ำพรรณาถึงความดีหรือเครดิตร์ของตัวเอง...แต่เราจะพึ่งในพระคุณของพระเยซู ( Not me but you

  หมดเวลาแล้วค่ะ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น