วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นังสือ มัทธิว ครั้งที่ 15

เรามาทบทวนของคราวที่แล้วกันนิดนึง  เรื่อง “คนงานในสวนองุ่น”..จำได้นะ 
คนงานที่ทำงานตั้งแต่เช้าโวยวาย..ที่ได้เงินเท่ากับคนที่มาทำตอนบ่ายหรือทำตอนเย็น   พูดง่ายๆคือ ทำมากแต่ได้เงินเท่าคนที่ทำน้อย   เจ้าของสวนบอก “ ทำไมท่าน”อิจฉา” เมื่อเห็นเราใจดี     ” ....ทำไมต้อง “อิจฉา” ที่เห็นคนอื่นได้ดี..ได้มาก  ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เอาของตัวเองไปให้คนอื่นซะหน่อย   จริงๆเหตุการณ์อย่างนี้..น้าตุ๊กก็เห็นบ่อย  มีหลายคนมากที่ชอบมาบ่นว่าอยากเปลี่ยนงาน  สาเหตุก็ประมาณนี้  ชั้นอยู่มา 5 ปีแล้วเงินเดือน 2 หมื่น ยายคนนั้นเพิ่งเข้ามาทำไมได้มากกว่าหรือได้เท่ากัน  เลยรับไม่ได้..รู้สึกไม่แฟร์   ถ้าเรายังไม่ได้เรียนคำอุปมาข้อนี้..เราก็จะรู้สึกคล้อยตามเขาเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว..ว่าจริงๆแฟร์มั๊ยคะ..แฟร์มาก   เพราะตอนที่มาสมัครงานเขาก็จะตกลงว่าจะจ้างเราเท่าไหร่..แต่ เขาไม่ได้ตกลงและไม่จำเป็นต้องตกลงกับเรา..ว่าเขาจะจ้างคนอื่นเท่าไหร่  เพราะงั้น ถ้าเขาจ่ายถูกต้องตามที่ตกลงไว้ในส่วนของเรา..มันก็ยุติธรรมแล้ว  ถูกมั๊ยคะ  เพราะฉะนั้นน้าตุ๊ก ขอหนุนใจนะ  ต่อไปเด็กๆทำงานก็ขอให้มีท่าทีต่อเรื่องนี้ให้ถูกต้อง..อย่าใจแคบ  แล้วพระเจ้าจะประทานบำเน็จให้เรามากมาย..ยิ่งกว่าที่เจ้านายจะให้ได้  เอเมนมั๊ย 
                มาถึงบทที่ 21  บทนี้เป็นช่วงที่พระเยซูเสด็จมาที่เยรูซาเล็ม  และพระองค์ก็เข้ามาอย่างผู้พิชิต  และฝูงชนจำนวนมากก็มารอต้อนรับพระองค์
ดู มัทธิว 21:12-13  พอมาถึงเยรูซาเล็ม  พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในวิหารพระเจ้า  พอไปถึงสิ่งที่พระองค์เห็นก็คือ “ธุรกิจการค้า”  ที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันในบริเวณลานพระวิหาร..ทั้งโต๊ะแลกเงิน..ที่มีพ่อค้ามารับแลกเพื่อเอากำไร  เพราะเงินต่างชาติบางสกุลใช้จ่ายค่าบำรุงวิหารไม่ได้  นอกจากนี้ ก็ยังมีการขายนกพิราบ..อันนี้ทำให้เรานึกถึงภาพตามวัดในปัจจุบันนี้นะ..ที่มีการขายนกขายปลาให้คนเอาไปปล่อย  ส่วนที่วิหารของพระเจ้านี้มีการขายนกพิราบ  เพราะแม้แต่คนที่จนที่สุดก็ยังต้องถวายนกพิราบหนึ่งคู่เป็นเครื่องบูชา    แต่ประเด็น ก็คือ การค้าที่เขาทำกันในบริเวณพระวิหารนี้..มันเป็นธุรกิจที่ปุโรหิตมีส่วนได้ส่วนเสียด้วย ....จะแบบวัดครึ่งกรรมการครึ่ง  หรือกินเปอร์เซ็นต์กันยังไง..ไม่แน่ใจ  แต่ที่แน่ๆคือ เขาค้าขายกันด้วยอัตราที่ไม่ยุติธรรม  อัตราการแลกเงินก็แพง  นกพิราบก็ขายแบบโก่งราคา  เพราะอ้างว่าเป็นสัตว์ไม่มีตำหนิ.. ผ่านการรับรองจากปุโรหิตแล้ว   ถ้าซื้อที่อื่นอาจจะเอามาถวายไม่ได้นะ..เพราะมีตำหนิปุโรหิตไม่ให้ผ่าน..ไม่รับรอง  อะไรประมาณนี้   (เพราะ ตามพระบัญญัติระบุว่าของถวายพระเจ้าต้อง..ไม่มีตำหนิ  แต่จริงๆความหมายในข้อนี้ พระคัมภีร์เล็งถึง”พระเยซูคริสต์” ต่างหาก..ที่จะมาเป็นลูกแกะหรือเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิสำหรับพระเจ้า)    ข้อที่ 13 พระเยซูตรัสว่า “นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน' แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น `ถ้ำของพวกโจร” ...การค้าขายแบบไม่ไม่เป็นธรรม..ก็แย่มากแล้ว  แต่นี่ยิ่งหนักกว่า..เพราะกล้ามาทำกันในวิหารของพระเจ้าเลย  พระเยซูถึงโกรธมาก..พระองค์เห็นปุ๊บ ! พระองค์คว่ำโต๊ะ..พังทุกอย่างทิ้งเลย 
ดู มัทธิว 23-27  การที่พระเยซูเข้ามาในเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต  มีประชาชนจำนวนมากโห่ร้องสรรเสริญ  กับการที่พระองค์ขับไล่พวกพ่อค้าในวิหาร  คงทำให้พวกผู้นำศาสนาไม่พอใจ  พวกปุโรหิตจึงถามพระเยซูว่า “ท่านมีสิทธิอันใดจึงได้ทำเช่นนี้ ใครให้สิทธินี้แก่ท่าน" พระเยซูตอบเขาว่า “เราจะถามท่านข้อหนึ่งเหมือนกัน  ถ้าท่านตอบได้..เราถึงจะบอก..ว่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด”  แล้วพระเยซูก็ถามพวกเขาว่า  “บัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน  จากสวรรค์หรือจากมนุษย์”  เจอคำถามนี้เข้าไปพวกปุโรหิตเลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เพราะอะไร..ถ้าจะปฏิเสธว่าสิทธิอำนาจของยอห์นไม่ได้มาจากสวรรค์..ก็จะทำให้เขาเป็นที่เสื่อมศรัทธาของ ประชาชน  เพราะคนส่วนมากนับถือยอห์น  แต่ถ้าจะยอมรับ..ว่ายอห์นทำการโดยสิทธิที่มาจากสวรรค์  พวกเขาก็จะมีความผิดฐาน..”ไม่ยอมรับพระเยซู”  เพราะยอห์นเป็นพยาน..ยืนยัน..ตอกย้ำ..ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์จริงๆ   ในที่สุด พอไม่รู้จะตอบยังไง..เลยเลือกตอบแบบคนขี้ขลาดว่า “เขาไม่รู้”  พระเยซูเลยบอก “งั้นเราก็ไม่บอกเหมือนกัน..ว่าเราทำการนี้โดยสิทธิอันใด”  แต่ พระองค์ไม่จบแค่นั้น  พระองค์ยกคำอุปมาขึ้นมากล่าวโทษพวกเขาอีก
ดู มัทธิว 21:28-31  พระเยซูเล่าเรื่องบุตรสองคนที่พ่อใช้ให้ไปทำงานในสวนองุ่น  “คนแรก  พอพ่อใช้..ตอบว่า “ไม่ไป”..ไม่ต้องคิดเลยนะ บอกเลย..ว่าไม่ไป  แต่ต่อมาก็กลับใจ  แล้วไปทำงานในสวนองุ่น..ตามที่พ่อบอก” ส่วนอีกคน..พอพ่อใช้ตอบทันที..ว่า”จะไป  แต่ไม่ไป”  พระเยซูถามว่า “ลูกคนไหน ทำตามใจบิดา”  พวกปุโรหิตตอบว่า บุตรคนแรก  พระเยซูบอก ถ้างั้น “พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าในแผ่นดินพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย”  เพราะอะไร...
บุตรคนแรก คือ ตัวแทนของพวกเก็บภาษี  โสเภณี  หรือแม้แต่พวกต่างชาติ..ที่รวมทั้งพวกเราด้วย  ที่แรกเลยไม่เชื่อพระเจ้า..ได้ชื่อว่ากบฎต่อมาตรฐานของพระองค์ แต่พอได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว..ก็กลับใจใหม่  มาเชื่อและ”ไปทำงานในสวนองุ่น” ก็คือ ยอมดำเนินตามที่พระเจ้าสอนหรือสั่งไว้ ซึ่งจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมที่ได้ชื่อว่าทำตามใจบิดา หรือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า
ส่วน บุตรคนที่สอง ก็คือ พวกเขาแหละ..บรรดาผู้นำศาสนาของยิว..ที่ดูเหมือนเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา..เกิดมาเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้แต่แรก..ที่รับแต่ปากว่าจะเชื่อฟังและดำเนินตามพระเจ้า  แต่จริงๆแล้ว..”ไม่ทำ” ..เพราะเขาไม่เชื่อพระเยซู  นั่นก็เท่ากับไม่ทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้า  แต่กำลังทำงานในสวนของตัวเอง  ไม่ได้สร้างอาณาจักรพระเจ้า..แต่กำลังสร้างอาณาจักรของตัวเอง  พระเยซูถึงบอก..” พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าในแผ่นดินพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย”
ดู มัทธิว 21:33-35  คำอุปมาข้อนี้ บอกว่า “เจ้าของสวนองุ่นคนนึงได้ทำสวนล้อมรั้ว..สร้างบ่อย่ำองุ่น  พร้อมทั้งหอเฝ้าไว้อย่างดี..เพื่อให้ชาวสวนเช่า  แล้วตัวเองก็ไปต่างแดน  เมื่อถึงเวลาเก็บผลองุ่น  เขาก็ให้บ่าวไปรับส่วนที่เป็นค่าเช่า  แต่ปรากฎว่าพวกคนเช่าสวนกลับจับคนของเขาเฆี่ยนตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียให้ตายคนหนึ่ง  เจ้าของสวนก็ส่งคนไปอีกหลายคน  แต่ก็ถูกกระทำอย่างเดียวกัน    ครั้งหลังสุดเจ้าของสวนส่งลูกของตัวเองไปและพูดว่า   `พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา'  แต่ปรากฎว่า..เขาก็จับบุตรนั้น ผลักออกไปนอกสวนองุ่นแล้วฆ่าเสีย   ข้อที่ 40  พระเยซูถามพวกเขาว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอะไรแก่คนเช่าสวนเหล่านั้น"   พวกเขาตอบพระองค์ว่า “เจ้าของสวนจะทำลายล้างคนชั่วเหล่านั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้นแก่คนเช่าอื่นๆที่จะแบ่งผลโดยถูกต้องตามฤดูกาลแก่เขาต่อไป"...
ข้อนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงพฤติกรรมของพวกผู้นำอิสราเอลนั่นแหละ..และน้าตุ๊กก็เข้าใจว่าพระองค์ตรัสกับเราด้วย  รวมทั้งพระองค์ยังพยากรณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์เองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  “เจ้าของสวน” คือ “พระเจ้า” ......”ชาวสวน” คือ “ผู้นำของอิสราเอลทั้งในอดีตและในสมัยพระเยซูคริสต์”.......  “บ่าวหรือคนใช้” ก็ได้แก่ “บรรดาผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า” (เช่น  เอลียาห์  อิสยาห์  เปโตร  เปาโล  สเตเฟน  อะไรต่างๆเหล่านี้) “ส่วนบุตร” ก็คือ “พระเยซูคริสต์”  สำหรับบริบทนี้ พระเยซูเน้นผู้ฟังที่เป็นชาวยิว  และคานาอันหรือปาเลสไตน์ ก็คือ สวนองุ่นของพระเจ้า ความหมาย ก็คือ  เมื่อพระเจ้าทรงเลือกยิวหรืออิสราเอล  พระองค์ก็ประทานดินแดนที่พระองค์ ”เตรียมไว้” อย่างดีให้เป็นที่พำนักของพวกเขา   เพื่อที่ พวกเขาซึ่งเป็นผู้นำ..จะได้ดูแลเถาองุ่นของพระเจ้า  คือ คนอิสราเอล (อิสราเอล คือ เถาองุ่นของพระเจ้า)  และ”เมื่อถึงฤดูเก็บผลองุ่น  พระเจ้าก็ส่งผู้เผยพระวจนะของพระองค์มาเพื่อจะรับผล..ของพระองค์”... คือ พระเจ้ามาทวงให้พวกเขาทำตามสัญญา  สัญญาว่าอะไร..  เปิดไปดู...
ฉธบ. 6:4-9 (อ่านพร้อมกัน)  “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน” ...นี่คือ สาระที่สำคัญสุดของพระบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลและรวมถึงพวกเราด้วย  ถ้าข้อนี้..ไม่ทำ  ข้ออื่น..ไม่มีความหมาย  เราจะกลายเป็นคนที่ต้องอยู่นอกสวนของพระเจ้าทันที    แต่ทั้งที่ พระเจ้า..ก็ส่งผู้เผยพระวจนะมาเตือนคนอิสราเอลหลายต่อหลายครั้ง  ไปดูได้เลยตลอดประวัติศาสตร์พระเจ้าส่งมาเป็นระยะๆไม่เคยขาด  เพื่อเตือนให้พวกเขาดูแล..ชี้นำ..จิตวิญญาณของผู้คนให้รักและเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ   แต่ผู้นำเหล่านั้นก็ไม่เชื่อฟัง  พวกเขากบฎต่อพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง  แถมยังทำร้ายผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าด้วย  ตราบจนเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา..( ในหนังสือมัทธิวที่เราเรียนกันอยู่เนี่ย ! )..เขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์..ไม่กลับใจใหม่..ไม่เปลี่ยนท่าทีในใจ   ที่พระเยซูสอน..เขาไม่เอาอะไรเลยซักอย่าง  แถม เอาพระองค์ไปฆ่า    ถามว่า เมื่อถึงวันพิพากษา..เมื่อเจ้าของสวน คือ พระเจ้า เสด็จกลับมา  พระองค์จะทำยังไงกับคนพวกนี้  คำตอบ ก็ตามนี้แหละ คือ “พระเจ้าจะทำลายล้างคนชั่ว..ที่ไม่เชื่อในพระบุตรนั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้น...หรือยกอาณาจักรสวรรค์  ให้แก่ชนชาติอื่น..ไม่จำเป็นต้องเป็นยิว..ก็มีสิทธิ์จะได้เข้าสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น.. ถ้าเขาเชื่อพระเยซู   
ดู มัทธิว  22:1-7  คำอุปมาเรื่องนี้”งานอภิเษก”..เนื้อหาก็จะคล้ายกันกับเรื่องก่อนหน้านี้   พระเยซูตรัสว่า “แผ่นดินสวรรค์เหมือน กษัตริย์องค์หนึ่งจัดงานเลี้ยงอภิเษกราชให้โอรส  เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว..ก็ใช้ข้าราชการไปตามผู้ที่ได้รับเชิญมางานนี้  แต่ ! พวกเขาไม่อยากมา  กษัตริย์ก็เลยใช้คนไปตามอีกรอบ..บอกว่า ทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว  ทั้งวัวและสัตว์ขุนก็ฆ่าเรียบร้อย  จงมาร่วมงานนี้เถิด” 
กษัตริย์ คือ “พระเจ้า”  ราชโอรส คือ “พระเยซูคริสต์”  ข้าราชการที่กษัตริย์ส่งไป ก็คือ “ผู้เผยพระวจนะ”ของพระเจ้า   ส่วนแขกผู้ที่ได้รับเชิญเป็นพวกแรกเลย คือ “คนอิสราเอล”  ความหมายข้อนี้ ก็คล้ายๆข้อที่แล้ว  คือ พระเจ้าเตรียมอาณาจักรสวรรค์ไว้ให้แก่ผู้ที่พระองค์เลือกไว้  ผู้ที่จะได้เข้าสู่สวรรค์เปรียบเหมือน..คนที่จะได้ร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดก คือพระเยซูคริสต์  และพระเจ้าก็ทรงเลือกยิวหรืออิสราเอล..เป็นพวกแรก   แต่ ! พวกเขาบอกไม่ไป..ไม่ว่าง อิสราเอลปฎิเสธพระเยซูซึ่งก็เท่ากับปฏิเสธพระเจ้า   พระเจ้าก็ทรงอดกลั้นส่งผู้เผยพระวจนะไปตามอีก  แต่ ! “พวกเขาก็เพิกเฉยและไปเสีย”   ที่หนักกว่านั้น ข้อที่ 6 บอกว่า “ฝ่ายพวกนอกนั้นก็จับพวกผู้รับใช้ของท่าน ทำการอัปยศต่างๆแล้วฆ่าเสีย” ... คนของพระเจ้าหลายต่อหลายคน..ที่เป็นพยานในข่าวประสริฐถูกผู้นำศาสนาของอิสราเอลฆ่าตายแบบ..น่าสลดหดหู่มาก  อุตส่าห์เชิญมาร่วมงานเลี้ยง..มากินฟรีมีความสุขสำราญอย่างพรั่งพร้อม  แต่ ! ไม่ยอมมา  แถมยังทำการที่ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของงาน..อย่างแรง  เพราะการที่พวกเขาฆ่า..ผู้นำสารหรือผู้เผยพระวจนะ  มันเป็นสิ่งที่สะท้อนชัดเจนว่า “พวกเขาไม่รักพระเจ้า”  ทำไม ! เพราะการล้มไปในความบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า  มันทำให้มนุษย์”โกรธ” พระเจ้า   หลายครั้ง ในพระคำภีร์จึงใช้คำว่า “กลับคืนดี” กับการกลับใจใหม่ของมนุษย์    ข้อที่ 7 บอกว่า “กษัตริย์ก็ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งให้ยกกองทหารไป ปราบปรามฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองเขาเสีย”...สุดท้าย ด้วยความดื้อแพ่งของอิสราเอล  พระเจ้าก็ทรงพิพากษาผู้นำเหล่านั้นและเยรูซาเล็ม..นครอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็ถูกเผาทำลาย
ดูต่อ มัทธิว 22:8-14  ในเมื่องานสมรสก็พร้อมอยู่..พระเยซูทรงกระทำให้ทุกอย่างสำเร็จแล้ว ถึงแขกที่เชิญชุดแรก คือ พวกอิสราเอลจะไม่มาร่วมงานเลี้ยง คือ ไม่ยอมรับพระเยซู   แต่ ! พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว   ข้อที่ 9 บอกว่า “เหตุฉะนั้น จงออกไปตามทางหลวง พบคนมากเท่าใดก็ให้เชิญมา   ผู้รับใช้เหล่านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ทั้งดีและชั่ว  ยากจนหรือร่ำรวย  หูหนวก  ตาบอด  เป็นใบ้  โง่หรือฉลาด ไปเชิญมาให้หมด..จนงานสมรสนั้นเต็มไปด้วยแขก” ......ในที่สุดข่าวประเสริฐก็ถูกประกาศออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก  ไม่ว่าเราจะเป็นคนชาติไหนพระเจ้าก็เชิญทุกคน   และในที่สุด น้ำพระทัยพระเจ้าก็สำเร็จ..เสมอ  งานเลี้ยงหรือแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกเชิญ
ข้อที่ 11 บอกว่า “แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ก็เห็นผู้หนึ่งมิได้สวมเสื้อสำหรับงานสมรส  จึงรับสั่งถามเขาว่า `สหายเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส' ผู้นั้นก็นิ่งอยู่พูดไม่ออก” 
เรานึกว่า เรื่องราวของงานเลี้ยงเหมือนจะจบลงแล้ว  แต่ ! พระเจ้ายังอยากจะยืนยันบางอย่างกับเรา   "“ในบรรดาผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยง  กษัตริย์ได้มองเห็นคนที่ไม่ได้สวมชุดสำหรับงานแต่งงาน “....นั่นหมายความว่า ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงต้องใส่ชุดงานแต่งงาน  ในสมัยนั้น..เขาจะมีชุดสำหรับงานเลี้ยงแต่งงาน..ซึ่งเป็นชุดที่เจ้าภาพเตรียมให้   ในที่นี้เจ้าภาพของเรา คือ พระเจ้า  และพระเจ้าก็ทรงเตรียมข่าวประเสริฐหรือความชอบธรรมที่ผ่านทางพระคริสต์..เป็นอาภรณ์ให้เราสวมในงานเลี้ยง   เพราะฉะนั้น เราต้องสวมชุดนี้เท่านั้นไปร่วมงานเลี้ยง  ถ้าไม่สวมแล้วจะทำไปนั่งเนียนๆอยู่ในงานเลี้ยง..จะรอดมั๊ย..ไม่รอดหรอก   ดูข้อที่ 13 บอก “กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า `จงมัดมือมัดเท้าคนนี้. (คือ คนที่ไม่ได้สวมชุดงานเลี้ยง)เอาไปทิ้งเสีย ที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'   เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันสักนิดในหนังสือโรม
ดู โรม 3:19-20   มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สวมชุดงานแต่งงานแต่คิดว่าตัวเองสามารถไปร่วมงานเลี้ยงได้  คือ ไม่เชื่อพระเยซูแต่คิดว่าตัวเองสมควรที่จะได้ไปสวรรค์..มีเยอะนะ   คนพวกนี้จะอ้างคุณงามความดีของตัวเอง  ประมาณว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดศรัทธา..ไม่เคยทำร้ายใครหรือทำอะไรชั่ว “เป็นพิเศษ”  แต่คำอ้างนี้ไม่ใช่ชุดสำหรับงานเลี้ยงของพระเมสโปดก  และมาตรฐานของพระเจ้าคือ “แค่คิดก็ผิดแล้ว”   เพราะงั้น ถ้าเขาอ้างสิ่งนี้  ก็เท่ากับเขากำลังรายงานบาปของตัวเองอยู่  เหมือนที่อ.เปาโลบอกไว้ในข้อนี้ว่า “ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ..เพื่อปิดปากทุกคน...”....เราอยู่ใต้อะไร...ใต้พระบัญญัติรึเปล่า...ไม่นะ  เราอยู่ใต้”พระคุณ”ของพระเยซูคริสต์  เราไม่ไหว..ใต้พระบัญญัติเราไม่ไหว  ใครอยากอยู่..ก็อยู่ไป..แต่คริสเตียนไม่อยู่   ข้อที่ 20  บอกว่า “ ในสายพระเนตรพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม  โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้..”  เพราะงั้น  ถ้าถึงวันงาน..วันแห่งการพิพากษา..ใครก็ตามที่ไม่พึ่งอาศัยอยู่ใต้พระคุณการไถ่ของพระคริสต์..ไม่ได้สวมความชอบธรรมของพระองค์เป็นชุดสำหรับงานแต่ง   แต่เลือกที่จะอาศัยคุณความดีของตัวเอง...ก็จะต้องปิดปากเงียบ..พูดไม่ออก.. เหมือนคนๆนี้..ที่ไม่ได้สวมชุดแต่งงาน..และเมื่อพระเจ้าถาม  เขาก็ถูกโยนออกมา  ตามที่พระคำภีร์บอกว่า “ด้วยผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย” (แจกให้ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใส่ชุดที่พระเจ้าเตรียมให้  เขาอยากจะใส่ชุดของตัวเองก็มีเยอะ อาจจะคิดว่าชุดของตัวเองสวยกว่า..เริ่ดกว่าหรืออะไรก็ตาม)

แต่สำหรับพวกเรา  ในวันที่เราได้พบพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าถามว่า เราใช้สิทธิอะไรที่จะเข้ามาในงานเลี้ยงหรือในสวรรค์  ตอบไปเลย “สิทธิ์ที่พระเยซูทรงวายพระชนม์เพื่อไถ่เรา   ข้าพระองค์มาตามคำเชิญของพระองค์และสวมความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นอาภรณ์   รับรอง พระเจ้าบอก โอเค ! เข้าไปได้  เอเมนมั๊ย
      ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น