วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 18

คราวก่อนเราจบลงบทที่ 24  ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของยุคสุดท้ายซึ่งพระเยซูทรงบอกเราเกี่ยวกับหมายสำคัญของยุคสุดท้ายไว้หลายเรื่อง เช่น จะมีพระคริสต์เทียมเท็จ  จะมีสงคราม  การกันดารอาหาร  โรคระบาด  อะไรต่างๆเหล่านี้  น้าตุ๊กก็อยากให้เด็กๆจำไว้พอสังเขปก่อน  เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าใจค่อนข้างยาก  และถามว่าเราจำเป็นต้องโฟกัสกับมันจริงๆมั๊ย..ก็น่าจะระดับหนึ่งเท่านั้นนะคะ  เพราะส่วนสำคัญจริงที่เราควรใส่ใจ คือ พระบัญญัติข้อใหญ่กับการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องงดงามจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกลมหายใจเข้าออก  ส่วนหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์อะไรต่างๆที่พระเยซูบอกไว้..ขอให้เราคอยระวังอยู่ด้วยการอธิฐาน  ไมอย่าไปจดจ่อกับมันจนลืมข้อสำคัญกว่าที่เราควรทำ
        เรามาดูบทที่ 25  คำอุปมาเรื่องหญิงพรมจารีสิบคน
ดู มัทธิว 25:1-6   อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว  ในจำนวนนั้นมีคนฉลาดห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน  พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันสำรองใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย ”.....ทำไมคนที่ไม่เตรียมน้ำมันไป  ถึงถูกตัดสินว่าเป็นคนโง่..ให้เราสังเกตรายละเอียดที่พระคำภีร์บันทึกไว้ดีๆนะคะ  เพราะเรื่องนี้ อ่านเผินๆก็เหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก  แต่ถ้าจะให้ชัดเจนจริงๆ มันยากอยู่..ทำใจยากด้วยสำหรับบางคน  
หญิงพรมจารีสิบคนนี้คล้ายกันในหลายๆด้าน  คือ  1.  ทุกคนได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงสมรส      2. ทุกคนมาด้วยความเต็มใจ  และชื่นชมยินดี ทุกคน..ไม่มีใครถูกบังคับให้มา    3. ทุกคนต้องรู้สึกชอบ  หรือบางคนอาจถึงขั้นหลงรักเจ้าบ่าว  เพราะทั้งสิบคนนี้แสดงออกด้วยการถือตะเกียงมารอเจ้าบ่าว    และ 4. เมื่อเจ้าบ่าวมาช้าทุกคน”ง่วง” และเผลอหลับไปเหมือนกันทั้งสิบคน
ความหมายของข้อนี้ ก็คือ ในคริสตจักรของเราทุกวันนี้  ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์    และทุกคนในคริสตจักรก็ต้องมีการตอบสนองด้วยความเชื่อ..หลายคนอาจถึงกับรู้สึกหลงรัก พระเยซู..ด้วยความดีงามทั้งปวงของพระองค์  และทุกคนในคริสตจักรก็อาจจะดูเป็นผู้ชอบธรรม..ไม่เคยคิดจะต่อต้านพระเยซูคริสต์..ถูกมั๊ยคะ  เพราะถ้าต่อต้านก็คงไม่มาโบสถ์..ไม่รับเชื่อ  แต่พระคัมภีร์บอกว่า สุดท้ายแล้วทั้งสิบคนนี้หรือสมาชิกของคริสตจักรที่รักพระเยซู..กลับมีสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ....
ดู มัทธิว 25:7-12  พอถึงเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า `ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”  ...หญิงพรมจารีทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน  แต่ ! เพียง 5 คนเท่านั้นที่มีน้ำมันสำรอง อยู่มากพอที่จุดตะเกียงได้ตอนเจ้าบ่าวมา  ส่วนอีก 5 คน..ที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นคนโง่นั้น..ไม่มีน้ำมัน  น้ำมัน คือ อะไร ???   น้ำมันคือ “ความพร้อมในจิตใจหรือความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง     “อย่างเสมอ”  ไม่ใช่ความเชื่อที่ขึ้นๆลงๆหรือความเชื่อที่ถูกทำให้หันเหออกไปได้ง่ายๆ   เพราะงั้น เราจะเห็นว่า  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนหรือหญิงพรมจารีสิบคนนี้ ถ้ามองภายนอกไม่มีอะไรต่างกัน..ดูแล้วทุกคนเหมือนกัน   แต่พระเจ้าบอก..ไม่ใช่  เพราะมันมีความต่างที่ซ่อนอยู่ภายในของผู้เชื่อทั้งสิบคนนี้   แม้ทุกคนจะได้รับเชิญเหมือนกัน  เชื่อพระเยซูเหมือนกัน  แต่ ! ไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อด้วย “ความพร้อมอย่างหนักแน่นจนถึงวันสุดท้าย”..และเมื่อพระเจ้ามองลงมา  พระองค์จึงมองเห็นคริสเตียนบางคนที่กำลังจะปล่อยให้น้ำมันหมด..ซึ่งอันตรายมาก  เพราะถ้าเวลาของพระเจ้ามาถึง..เจ้าบ่าวจะไม่รอและประตูสวรรค์ก็จะปิดตายสำหรับคนที่ไม่พร้อม  ข้อที่ 6 บอกว่าเจ้าบ่าวมาตอนไหน..มาตอนเที่ยงคืน  เวลาเที่ยงคืนในความหมายที่พระเจ้าอยากบอกเรา..คือ มันเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังหลับสนิท (ส่วนน้อย เราไม่พูดถึง)    แล้วเด็กๆลองนึกภาพ คนเราเวลาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในตอนที่หลับสนิทอยู่เนี่ย..มันเป็นไง..งัวเงียมั๊ย ..ตื่นขึ้นมาแล้วสติสัมปชัญญะ  ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างมันครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมเต็มร้อยรึเปล่า..ไม่ใช่  “แต่มันคือเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว”
และเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว ก็คือ จุดที่ตัดสินว่า ”จิตใต้สำนึกของเราจดจ่ออยู่กับอะไร”  เพราะพระเจ้าทรงยืนยันว่า ในเวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาหรือแม้วลาที่เราจะถูกรับไป   จะเป็นเวลาที่มนุษย์ไม่ทันตั้งตัว.. จึงมีแต่คนที่ติดสนิทกับพระเจ้าจริงๆเท่านั้น..ที่จะมีความเชื่อเต็มล้นและพร้อมอยู่เสมอ..เหมือนน้ำมันที่ไม่ขาดจากตะเกียง..
ดู โรม 1:17-18  “ในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ..”...นี่คือ พระธรรมอีกข้อที่ยืนยันให้เราถือรักษาความเชื่อไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง    ไม่ใช่เชื่อแค่ตอนเริ่มต้น  แล้วจากนั้นก็เอาใจออกห่างพระเจ้า..ไปยึดติดกับอย่างอื่น..จนน้ำมันตะเกียง หรือหัวใจที่จดจ่อ..เตรียมพร้อมสำหรับพระเจ้า..มันเหือดหายไปแล้ว..เราก็ยังไม่รู้ตัว  อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวอีกสัก 2ปี 3 ปี เราค่อยมาเอาจริงเอาจังกับทางของพระเจ้า..เดี๋ยวรวยแล้ว  เราค่อยมาเรียนรู้พระคัมภีร์..ไม่ได้  เพราะความจริงจังเหล่านั้น คือ น้ำมันที่จะทำให้ตะเกียงสว่าง  ถ้าเรามัวแต่สนใจอย่างอื่น..เราจะกลายเป็นคนโง่ที่มีตะเกียง..แต่ ! ไม่มีน้ำมันพอถึงเวลาที่เจ้าบ่าวมา..ก็ไม่พร้อมที่จะไป  กว่าจะตั้งตัวได้..กลับมาอีกทีประตูสวรรค์ปิดแล้ว (ก็จบกัน)   ดังนั้น เรื่องนี้สำคัญนะคะ  เลือกซะแต่วันนี้..ว่าเราจะเป็นคนกลุ่มไหน  เราจะเป็นคนโง่..ที่ตอบรับคำเชิญ  มีการตอบสนองต่อข่าวดี  รักพระเยซูคริสต์  แต่ ! ไม่พร้อม..ไม่กลับใจใหม่  เพราะไม่เคยให้ความสำคัญหรือมีเวลาให้พระเจ้ามากพอ   หรือ ..เราจะเป็นคนฉลาดที่ถึงจะง่วงและเผลอหลับไปเหมือนกัน..แต่ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่..หัวใจก็พร้อมเสมอเพราะจิตใต้สำนึกเราติดสนิทกับพระเจ้า   วิธีเช็คง่ายๆ คือ สังเกตดูว่า ตอนตื่นนอนเราคิดถึงอะไรเป็นสิ่งแรก (..คิดทั้งที่ยังงัวเงียนั่นแหละค่ะ) 
ดู มัทธิว 25:13   เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา  พระเจ้าจึงเตือน  ให้เราต้องพร้อมอยู่เสมอ..โดย อย่าลืมว่า
1.เราต้องสวมความชอบธรรมของพระคริสต์ เป็นชุดสำหรับงานเลี้ยง  เพราะทางเดียวที่เราจะรอดได้ คือ ต้องพึ่งพระคุณความชอบธรรมหมดจดงดงามของพระเยซูคริสต์..ไม่ใช่ความดีหรือเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง 
 และ 2. น้ำมันสำหรับตะเกียง คือ ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงต้องเต็มล้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ   เพื่อที่เราจะพร้อม..เมื่อพระองค์เสด็จมาหรือเราจะถูกรับไป..แล้วแต่อันไหนจะถึงก่อน   อย่าคิดแค่..ได้ชื่อว่าเป็น ”คริสตเตียน” ฉันพอแล้ว  เพราะหลายคนอาจจะเป็นแต่ชื่อ..ดูภายนอกเหมือนกัน  แต่ความต่างที่มันซ่อนอยู่ภายในต่างหาก..ที่จะเป็นตัวกำหนดจุดหมายปลายทางจิตวิญญาณของเรา    ประตูสวรรค์จะเปิดพร้อมให้เราเข้าไป..ก็ต่อเมื่อน้ำมันต้องไม่ขาดและตะเกียงต้องไม่ดับ...ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง..ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ต้องอยู่กับเราจนลมหายใจสุดท้าย..ไม่ใช่แค่วันแรกหรือปีแรกที่เรารับเชื่อ..ไม่ใช่  และอีกอย่างที่ต้องจำไว้ คือ น้ำมันหรือความเชื่อมันเป็นของส่วนตัว..ของใครของมัน  จะมายืมกัน..ไม่ได้    
ดู มัทธิว  25:14-18  “อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกพวกผู้รับใช้มาเพื่อที่จะฝากทรัพย์สมบัติของเขาไว้   คนหนึ่งให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนให้ไว้แค่ตะลันต์เดียว  ตามความสามารถของแต่ละคน” 
....ผู้รับใช้ก็คือ “พวกเราทุกคนที่เป็นคริสเตียน”    นาย คือ พระเจ้า   ส่วนตะลันต์ที่นายให้ไว้  หมายถึง  หน้าที่  ความรับผิดชอบ  หรือพันธกิจต่างๆที่พระเจ้ามอบหมายให้เรา    พระเจ้าให้เท่ากันมั๊ย..ไม่เท่า     ข้อที่ 15 บอกว่า  “พระองค์ให้ตามความสามารถของแต่ละคน”    ข้อที่ 16 บอก “คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินไปค้าขาย  ลงทุนอะไรต่างๆ  แล้วก็ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์  คนที่ได้สองตะลันต์ก็เหมือนกัน ที่มีการเอาเงินที่นายให้ไว้ไปลงทุนจนได้กำไรมาอีกสองตะลันต์”....ความหมายในข้อนี้ ก็คือ เราทุกคนสมควรอย่างยิ่ง..ที่จะใช้เวลา..เรี่ยวแรงกำลัง..สติปัญญา  รวมถึงทรัพย์สินเงินทองด้วย..ในการที่จะ”ทำการดี” ทั้งปวง...ตามความสามารถที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา   ลองทบทวนดูว่า.. ถ้าเราเป็นคนฉลาด..เราจะใช้ความฉลาดของเราทำอะไร  ถ้าเราเป็นคนขยัน..เราเลือกที่จะขยันในเรื่องไหน  หรือถ้าเราร่ำรวย..เงินส่วนใหญ่ของเราถูกใช้ไปเพื่ออะไร  นี่คือ สิ่งที่พระคำข้อนี้ต้องการให้เราตระหนักคิด  เพราะทุกตะลันต์ที่เรามี..พระเจ้าเป็นคนประทานให้ทั้งสิ้น  เรารับมาแล้ว..เอาไปลงทุนกับงานของพระเจ้ารึเปล่า..ใช้มันให้เกิดประโยชน์ในราชกิจแค่ไหน  หรือเราเป็นแบบบ่าวคนที่สามที่ได้ตะลันต์เดียว..แล้วยังเอาไปฝังดิน คือ ไม่คิดจะใช้สติปัญญา..ความสามารถ..เรี่ยวแรงกำลัง..เงินหรือแม้แต่เวลาเพื่อจะทำการดีใดๆให้เกิดผลในทางพระเจ้าเลย     ขอให้เราอย่าเป็นอย่างนั้นนะคะ  เพราะในวันที่นายกลับมาทุกคนต้องพิพากษาตามการกระทำของตัวเอง..ดูต่อ...
ดู มัทธิว 25:26-30  พอคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงกับนายว่า “ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด เงินของท่านอยู่นี่”    นายบอกว่าไง “เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน  อย่างน้อย.. เจ้าก็ควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย” ...ขี้เกียจยังไง..เอาไปฝากแบ๊งค์ไว้ก็ยังดี  แต่นี่ดันเอาเงินไปฝังดิน..การเอาเงินไปฝังดินมันชี้ให้เห็นว่า..บ่าวชั่วคนนี้มันไม่เห็นค่า..ไม่สนใจพระพรที่พระเจ้าให้..แม้แต่นิดเดียว    เด็กๆจำไว้ว่า “สิ่งที่เราเชื่อมันต้องสำพันธ์กับสิ่งที่เราทำ”   ดังนั้น เมื่อเราเชื่อพระเยซู..เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเมื่อเรามีพระวิญญาณ..ตามธรรมชาติเราก็ต้องเกิด”ผลของพระวิญญาณ”   ไม่มีผู้เชื่อคนไหนที่ไม่บังเกิดใหม่..หรือถูกสร้างใหม่  ถ้าเราเชื่อจริงๆยังไงเราก็ต้องถูกสร้างใหม่ให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น   ถึงจะไม่เห็นผลในวันเดียวแบบทันที..ทันควัน  แต่ยังไงผลของพระวิญญาณจะต้องสำแดงออกในตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ    
จริงอยู่ที่ความรอด  ”ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”  แต่ถ้าตลอดชีวิตเราไม่มีผลของพระวิญญาณเลย    ไม่ความรัก..ไม่รู้จักให้อภัย..ไม่เคยยินดีที่จะรับใช้หรือแบ่งปันให้พี่น้อง  ไม่เคยถ่อมสุภาพ.. หยาบคายตลอดชีวิต   ถ้าเป็นอย่างนั้น  ด้วยความเคารพ เราคง”ไม่ใช่คริสเตียน” แล้วค่ะ
ข้อที่ 30 พระเจ้าบอก “จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”.....และสาเหตุที่บ่าวคนนี้ถูกตัดสินโทษ..ไม่ใช่เพราะเรื่องได้กำไรหรือไม่กำไร   แต่เขาถูกพิพากษาเพราะ..”การเอาเงินไปฝังดิน”..มันเป็นการสำแดงว่าเขา ไม่เห็นค่า..ไม่แยแสต่อพระพรที่พระเจ้าให้
ดู มัทธิว  25:31-33   คำอุปมาหลายเรื่องในบทที่ 25  จะเกี่ยวกับวันพิพากษา  พระเยซูคริสต์อยากจะย้ำกับสาวก  เพราะตอนนั้น มันใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะถูกเอาไปตรึงที่กางเขนแล้ว   พระองค์พยายามบอกเราบ่อยๆซ้ำๆหลายครั้ง..ว่าวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาพิพากษาโลกนะ   ดังนั้น  พวกเราอยู่ในโลกนี้ต้องคอยระวัง..จดจ่อ..และเตรียมพร้อมรับการกลับมาของพระองค์  อย่ามัวแต่ลั้นลาสนใจอย่างอื่นจนความเชื่อถดถอย...หมดไปเหมือนน้ำมันในตะเกียงของหญิงพรมจารีโง่ 5 คนนั้น  หรือเป็นเหมือนบ่าวที่เอาเงินไปฝังดิน..เพราะไม่แยแสต่อตะลันต์หรือพระคุณที่พระเยซูให้ไว้กับเรา    ข้อนี้ พระคัมภีร์บอก “ในวันที่พระเยซูกลับมาพระองค์จะประทับที่บัลลังก์เพื่อพิพากษามนุษย์    และพระองค์จะแยกมนุษย์ออกเป็นสองพวก.. เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ  พระองค์จะจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์  แต่ฝูงแพะนั้นจะให้อยู่ทางซ้าย”
“แกะ”  คือ ผู้ชอบธรรม (พวกเรานี่แหละ)   ส่วน”แพะ” คือ  คนอธรรม   “เบื้องขวา” เล็งถึง ที่แห่งพระคุณหรือที่อยู่ของคนชอบธรรม   ส่วน “เบื้องซ้าย” คือ ที่แห่งความพินาศ..ซึ่งจะเป็นที่อยู่ของคนอธรรม   การแยกแกะออกจากแพะเป็นภาพชีวิตประจำวัน..ที่ทุกเย็นคนเลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ  โอเค เวลาเลี้ยง..เลี้ยงรวมกันแต่พอหมดวันเขาจะแยก   เหมือนที่พระเยซูจะแยกคนของพระองค์ออกจากคนที่ไม่ใช่..เมื่อพระองค์เสด็จมา
มัทธิว 25: 34-39  เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง ข้อที่  34บอกว่า “พระเยซูจะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ว่า  ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก”....และในข้อนี้ พระเยซูบอกเหตุผลของคำพิพากษาไว้ด้วย    ข้อที่ 35 บอกว่า “เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็หาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา”     และ..เหตุผลที่พระเยซูบอกนี้ ทำให้ทั้งผู้ชอบธรรมและคนอธรรม..งง  ข้อที่ 37 บอก “เวลานั้น เหล่าผู้ชอบธรรมจะถามพระองค์ว่า ข้าพระองค์ไปถวายอาหาร..น้ำ..หรือเสื้อผ้าให้พระองค์ตอนไหน  เคยไปเยี่ยมพระองค์ในคุกตั้งแต่เมื่อไหร่  เพราะเท่าที่จำได้หลายคนไม่เคยพบพระเยซู  แล้วจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”  

ดูต่อ มัทธิว 25:40 -41   เมื่อผู้ชอบธรรมถาม  ข้อที่ 40 บอก..พระเยซูตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย”......มันจะมีวันนึงแน่นอนที่เราทุกคนต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า   และข้อนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า..ผู้ชอบธรรมที่จะได้อยู่เบื้องขวาของพระเยซูคริสต์นั้น..นอกจาก ต้องสวมความชอบธรรมของพระเยซูเป็นอาภรณ์..  พร้อมทั้งมีน้ำมันหรือความเชื่ออยู่เต็มขนาดจนถึงวันพิพากษาแล้ว    เรายังต้อง”ทำการดี”ต่อพี่น้องด้วย  พระเยซูบอก..ทุกอย่างที่เราปฏิบัติต่อคนรอบข้าง..มันมีความหมายเท่ากับเราปฏิบัติต่อพระองค์   ยากอบ 2:14  บอกว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว  พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ     ”....อย่าคิดว่าฉันรับเชื่อแล้วจบ  เพราะความรอดเป็นมาโดยพระคุณ..อันนั้นถูกต้องค่ะ  แต่เราทุกคนมีหน้าที่ต้องใช้เงินตะลันต์ของพระเจ้าให้เกิดผล.. เรายังมีหน้าที่ต้องรัก..ดูแล..และแบ่งปันต่อพี่น้องด้วย  เพราะแท้จริงแล้วหลักสำคัญของความเชื่อ มันคือเรื่องของ”ความสำพันธ์”..ทั้งความสำพันธ์ของเราต่อพระเจ้าและความสำพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้อง    เพราะฉะนั้น คริสเตียนไม่สามารถเติบโตหรือถูกสร้างใหม่ได้ด้วยการอยู่คนเดียว   แต่พระเจ้าจะใช้ผู้คนและสถานการณ์ในการหล่อหลอมเราเสมอ
         ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น