คราวก่อนเราจบลงบทที่ 24 ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของยุคสุดท้ายซึ่งพระเยซูทรงบอกเราเกี่ยวกับหมายสำคัญของยุคสุดท้ายไว้หลายเรื่อง
เช่น จะมีพระคริสต์เทียมเท็จ จะมีสงคราม การกันดารอาหาร โรคระบาด
อะไรต่างๆเหล่านี้
น้าตุ๊กก็อยากให้เด็กๆจำไว้พอสังเขปก่อน
เพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าใจค่อนข้างยาก
และถามว่าเราจำเป็นต้องโฟกัสกับมันจริงๆมั๊ย..ก็น่าจะระดับหนึ่งเท่านั้นนะคะ เพราะส่วนสำคัญจริงที่เราควรใส่ใจ คือ
พระบัญญัติข้อใหญ่กับการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องงดงามจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกลมหายใจเข้าออก ส่วนหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์อะไรต่างๆที่พระเยซูบอกไว้..ขอให้เราคอยระวังอยู่ด้วยการอธิฐาน ไมอย่าไปจดจ่อกับมันจนลืมข้อสำคัญกว่าที่เราควรทำ
เรามาดูบทที่ 25 คำอุปมาเรื่องหญิงพรมจารีสิบคน
ดู มัทธิว 25:1-6 “อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว ในจำนวนนั้นมีคนฉลาดห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป
แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันสำรองใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย ”.....ทำไมคนที่ไม่เตรียมน้ำมันไป
ถึงถูกตัดสินว่าเป็นคนโง่..ให้เราสังเกตรายละเอียดที่พระคำภีร์บันทึกไว้ดีๆนะคะ เพราะเรื่องนี้
อ่านเผินๆก็เหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ถ้าจะให้ชัดเจนจริงๆ มันยากอยู่..ทำใจยากด้วยสำหรับบางคน
หญิงพรมจารีสิบคนนี้คล้ายกันในหลายๆด้าน คือ 1.
ทุกคนได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงสมรส
2. ทุกคนมาด้วยความเต็มใจ และชื่นชมยินดี ทุกคน..ไม่มีใครถูกบังคับให้มา 3. ทุกคนต้องรู้สึกชอบ หรือบางคนอาจถึงขั้นหลงรักเจ้าบ่าว
เพราะทั้งสิบคนนี้แสดงออกด้วยการถือตะเกียงมารอเจ้าบ่าว และ 4.
เมื่อเจ้าบ่าวมาช้าทุกคน”ง่วง” และเผลอหลับไปเหมือนกันทั้งสิบคน
ความหมายของข้อนี้ ก็คือ ในคริสตจักรของเราทุกวันนี้ ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์
และทุกคนในคริสตจักรก็ต้องมีการตอบสนองด้วยความเชื่อ..หลายคนอาจถึงกับรู้สึกหลงรัก
พระเยซู..ด้วยความดีงามทั้งปวงของพระองค์ และทุกคนในคริสตจักรก็อาจจะดูเป็นผู้ชอบธรรม..ไม่เคยคิดจะต่อต้านพระเยซูคริสต์..ถูกมั๊ยคะ
เพราะถ้าต่อต้านก็คงไม่มาโบสถ์..ไม่รับเชื่อ
แต่พระคัมภีร์บอกว่า
สุดท้ายแล้วทั้งสิบคนนี้หรือสมาชิกของคริสตจักรที่รักพระเยซู..กลับมีสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
....
ดู มัทธิว 25:7-12 พอถึงเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า `ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” ...หญิงพรมจารีทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน แต่
! เพียง 5 คนเท่านั้นที่มีน้ำมันสำรอง อยู่มากพอที่จุดตะเกียงได้ตอนเจ้าบ่าวมา ส่วนอีก 5 คน..ที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นคนโง่นั้น..ไม่มีน้ำมัน น้ำมัน คือ อะไร ??? น้ำมันคือ “ความพร้อมในจิตใจหรือความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง “อย่างเสมอ” ไม่ใช่ความเชื่อที่ขึ้นๆลงๆหรือความเชื่อที่ถูกทำให้หันเหออกไปได้ง่ายๆ เพราะงั้น เราจะเห็นว่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนหรือหญิงพรมจารีสิบคนนี้
ถ้ามองภายนอกไม่มีอะไรต่างกัน..ดูแล้วทุกคนเหมือนกัน แต่พระเจ้าบอก..ไม่ใช่ เพราะมันมีความต่างที่ซ่อนอยู่ภายในของผู้เชื่อทั้งสิบคนนี้
แม้ทุกคนจะได้รับเชิญเหมือนกัน เชื่อพระเยซูเหมือนกัน แต่ ! ไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อด้วย
“ความพร้อมอย่างหนักแน่นจนถึงวันสุดท้าย”..และเมื่อพระเจ้ามองลงมา พระองค์จึงมองเห็นคริสเตียนบางคนที่กำลังจะปล่อยให้น้ำมันหมด..ซึ่งอันตรายมาก เพราะถ้าเวลาของพระเจ้ามาถึง..เจ้าบ่าวจะไม่รอและประตูสวรรค์ก็จะปิดตายสำหรับคนที่ไม่พร้อม
ข้อที่ 6 บอกว่าเจ้าบ่าวมาตอนไหน..มาตอนเที่ยงคืน เวลาเที่ยงคืนในความหมายที่พระเจ้าอยากบอกเรา..คือ
มันเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังหลับสนิท (ส่วนน้อย เราไม่พูดถึง) แล้วเด็กๆลองนึกภาพ
คนเราเวลาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในตอนที่หลับสนิทอยู่เนี่ย..มันเป็นไง..งัวเงียมั๊ย
..ตื่นขึ้นมาแล้วสติสัมปชัญญะ
ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างมันครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมเต็มร้อยรึเปล่า..ไม่ใช่ “แต่มันคือเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว”
และเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว ก็คือ จุดที่ตัดสินว่า
”จิตใต้สำนึกของเราจดจ่ออยู่กับอะไร” เพราะพระเจ้าทรงยืนยันว่า
ในเวลาที่พระเยซูจะเสด็จมาหรือแม้วลาที่เราจะถูกรับไป จะเป็นเวลาที่มนุษย์ไม่ทันตั้งตัว..
จึงมีแต่คนที่ติดสนิทกับพระเจ้าจริงๆเท่านั้น..ที่จะมีความเชื่อเต็มล้นและพร้อมอยู่เสมอ..เหมือนน้ำมันที่ไม่ขาดจากตะเกียง..
ดู โรม 1:17-18 “ในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก
โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ..”...นี่คือ
พระธรรมอีกข้อที่ยืนยันให้เราถือรักษาความเชื่อไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่ใช่เชื่อแค่ตอนเริ่มต้น แล้วจากนั้นก็เอาใจออกห่างพระเจ้า..ไปยึดติดกับอย่างอื่น..จนน้ำมันตะเกียง
หรือหัวใจที่จดจ่อ..เตรียมพร้อมสำหรับพระเจ้า..มันเหือดหายไปแล้ว..เราก็ยังไม่รู้ตัว อย่าไปคิดว่าเดี๋ยวอีกสัก 2ปี 3 ปี
เราค่อยมาเอาจริงเอาจังกับทางของพระเจ้า..เดี๋ยวรวยแล้ว เราค่อยมาเรียนรู้พระคัมภีร์..ไม่ได้ เพราะความจริงจังเหล่านั้น คือ
น้ำมันที่จะทำให้ตะเกียงสว่าง
ถ้าเรามัวแต่สนใจอย่างอื่น..เราจะกลายเป็นคนโง่ที่มีตะเกียง..แต่ ! ไม่มีน้ำมันพอถึงเวลาที่เจ้าบ่าวมา..ก็ไม่พร้อมที่จะไป กว่าจะตั้งตัวได้..กลับมาอีกทีประตูสวรรค์ปิดแล้ว
(ก็จบกัน) ดังนั้น เรื่องนี้สำคัญนะคะ เลือกซะแต่วันนี้..ว่าเราจะเป็นคนกลุ่มไหน เราจะเป็นคนโง่..ที่ตอบรับคำเชิญ มีการตอบสนองต่อข่าวดี รักพระเยซูคริสต์ แต่ ! ไม่พร้อม..ไม่กลับใจใหม่ เพราะไม่เคยให้ความสำคัญหรือมีเวลาให้พระเจ้ามากพอ หรือ
..เราจะเป็นคนฉลาดที่ถึงจะง่วงและเผลอหลับไปเหมือนกัน..แต่ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่..หัวใจก็พร้อมเสมอเพราะจิตใต้สำนึกเราติดสนิทกับพระเจ้า
วิธีเช็คง่ายๆ คือ สังเกตดูว่า ตอนตื่นนอนเราคิดถึงอะไรเป็นสิ่งแรก
(..คิดทั้งที่ยังงัวเงียนั่นแหละค่ะ)
ดู มัทธิว 25:13 “เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่
เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” พระเจ้าจึงเตือน ให้เราต้องพร้อมอยู่เสมอ..โดย อย่าลืมว่า
1.เราต้องสวมความชอบธรรมของพระคริสต์ เป็นชุดสำหรับงานเลี้ยง เพราะทางเดียวที่เราจะรอดได้ คือ
ต้องพึ่งพระคุณความชอบธรรมหมดจดงดงามของพระเยซูคริสต์..ไม่ใช่ความดีหรือเรี่ยวแรงกำลังของตัวเอง
และ
2. น้ำมันสำหรับตะเกียง คือ ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงต้องเต็มล้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเสมอ เพื่อที่เราจะพร้อม..เมื่อพระองค์เสด็จมาหรือเราจะถูกรับไป..แล้วแต่อันไหนจะถึงก่อน อย่าคิดแค่..ได้ชื่อว่าเป็น ”คริสตเตียน” ฉันพอแล้ว
เพราะหลายคนอาจจะเป็นแต่ชื่อ..ดูภายนอกเหมือนกัน
แต่ความต่างที่มันซ่อนอยู่ภายในต่างหาก..ที่จะเป็นตัวกำหนดจุดหมายปลายทางจิตวิญญาณของเรา ประตูสวรรค์จะเปิดพร้อมให้เราเข้าไป..ก็ต่อเมื่อน้ำมันต้องไม่ขาดและตะเกียงต้องไม่ดับ...ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง..ความหวังใจในพระเยซูคริสต์ต้องอยู่กับเราจนลมหายใจสุดท้าย..ไม่ใช่แค่วันแรกหรือปีแรกที่เรารับเชื่อ..ไม่ใช่ และอีกอย่างที่ต้องจำไว้ คือ น้ำมันหรือความเชื่อมันเป็นของส่วนตัว..ของใครของมัน จะมายืมกัน..ไม่ได้
ดู มัทธิว 25:14-18 “อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล
จึงเรียกพวกผู้รับใช้มาเพื่อที่จะฝากทรัพย์สมบัติของเขาไว้ คนหนึ่งให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์
และอีกคนให้ไว้แค่ตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคน”
....ผู้รับใช้ก็คือ “พวกเราทุกคนที่เป็นคริสเตียน” นาย คือ พระเจ้า ส่วนตะลันต์ที่นายให้ไว้ หมายถึง
หน้าที่ ความรับผิดชอบ หรือพันธกิจต่างๆที่พระเจ้ามอบหมายให้เรา พระเจ้าให้เท่ากันมั๊ย..ไม่เท่า ข้อที่ 15
บอกว่า “พระองค์ให้ตามความสามารถของแต่ละคน” ข้อที่ 16 บอก “คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินไปค้าขาย ลงทุนอะไรต่างๆ
แล้วก็ได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่ได้สองตะลันต์ก็เหมือนกัน ที่มีการเอาเงินที่นายให้ไว้ไปลงทุนจนได้กำไรมาอีกสองตะลันต์”....ความหมายในข้อนี้
ก็คือ เราทุกคนสมควรอย่างยิ่ง..ที่จะใช้เวลา..เรี่ยวแรงกำลัง..สติปัญญา รวมถึงทรัพย์สินเงินทองด้วย..ในการที่จะ”ทำการดี”
ทั้งปวง...ตามความสามารถที่พระเจ้าให้ไว้กับเรา
ลองทบทวนดูว่า.. ถ้าเราเป็นคนฉลาด..เราจะใช้ความฉลาดของเราทำอะไร
ถ้าเราเป็นคนขยัน..เราเลือกที่จะขยันในเรื่องไหน หรือถ้าเราร่ำรวย..เงินส่วนใหญ่ของเราถูกใช้ไปเพื่ออะไร นี่คือ สิ่งที่พระคำข้อนี้ต้องการให้เราตระหนักคิด
เพราะทุกตะลันต์ที่เรามี..พระเจ้าเป็นคนประทานให้ทั้งสิ้น
เรารับมาแล้ว..เอาไปลงทุนกับงานของพระเจ้ารึเปล่า..ใช้มันให้เกิดประโยชน์ในราชกิจแค่ไหน หรือเราเป็นแบบบ่าวคนที่สามที่ได้ตะลันต์เดียว..แล้วยังเอาไปฝังดิน
คือ ไม่คิดจะใช้สติปัญญา..ความสามารถ..เรี่ยวแรงกำลัง..เงินหรือแม้แต่เวลาเพื่อจะทำการดีใดๆให้เกิดผลในทางพระเจ้าเลย ขอให้เราอย่าเป็นอย่างนั้นนะคะ เพราะในวันที่นายกลับมาทุกคนต้องพิพากษาตามการกระทำของตัวเอง..ดูต่อ...
ดู มัทธิว 25:26-30 พอคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงกับนายว่า “ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน
ดูเถิด เงินของท่านอยู่นี่” นายบอกว่าไง “เจ้าผู้รับใช้ชั่วช้าและเกียจคร้าน
อย่างน้อย.. เจ้าก็ควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร
เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย” ...ขี้เกียจยังไง..เอาไปฝากแบ๊งค์ไว้ก็ยังดี แต่นี่ดันเอาเงินไปฝังดิน..การเอาเงินไปฝังดินมันชี้ให้เห็นว่า..บ่าวชั่วคนนี้มันไม่เห็นค่า..ไม่สนใจพระพรที่พระเจ้าให้..แม้แต่นิดเดียว เด็กๆจำไว้ว่า “สิ่งที่เราเชื่อมันต้องสำพันธ์กับสิ่งที่เราทำ” ดังนั้น เมื่อเราเชื่อพระเยซู..เราจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเมื่อเรามีพระวิญญาณ..ตามธรรมชาติเราก็ต้องเกิด”ผลของพระวิญญาณ” ไม่มีผู้เชื่อคนไหนที่ไม่บังเกิดใหม่..หรือถูกสร้างใหม่ ถ้าเราเชื่อจริงๆยังไงเราก็ต้องถูกสร้างใหม่ให้เหมือนพระเยซูมากขึ้น
ถึงจะไม่เห็นผลในวันเดียวแบบทันที..ทันควัน แต่ยังไงผลของพระวิญญาณจะต้องสำแดงออกในตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ
จริงอยู่ที่ความรอด ”ไม่ใช่ด้วยการกระทำ” แต่ถ้าตลอดชีวิตเราไม่มีผลของพระวิญญาณเลย
ไม่ความรัก..ไม่รู้จักให้อภัย..ไม่เคยยินดีที่จะรับใช้หรือแบ่งปันให้พี่น้อง ไม่เคยถ่อมสุภาพ.. หยาบคายตลอดชีวิต ถ้าเป็นอย่างนั้น ด้วยความเคารพ เราคง”ไม่ใช่คริสเตียน” แล้วค่ะ
ข้อที่ 30 พระเจ้าบอก
“จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก
ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”.....และสาเหตุที่บ่าวคนนี้ถูกตัดสินโทษ..ไม่ใช่เพราะเรื่องได้กำไรหรือไม่กำไร แต่เขาถูกพิพากษาเพราะ..”การเอาเงินไปฝังดิน”..มันเป็นการสำแดงว่าเขา
ไม่เห็นค่า..ไม่แยแสต่อพระพรที่พระเจ้าให้
ดู มัทธิว 25:31-33 คำอุปมาหลายเรื่องในบทที่ 25 จะเกี่ยวกับวันพิพากษา พระเยซูคริสต์อยากจะย้ำกับสาวก เพราะตอนนั้น
มันใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะถูกเอาไปตรึงที่กางเขนแล้ว พระองค์พยายามบอกเราบ่อยๆซ้ำๆหลายครั้ง..ว่าวันหนึ่งพระองค์จะกลับมาพิพากษาโลกนะ ดังนั้น
พวกเราอยู่ในโลกนี้ต้องคอยระวัง..จดจ่อ..และเตรียมพร้อมรับการกลับมาของพระองค์ อย่ามัวแต่ลั้นลาสนใจอย่างอื่นจนความเชื่อถดถอย...หมดไปเหมือนน้ำมันในตะเกียงของหญิงพรมจารีโง่
5 คนนั้น หรือเป็นเหมือนบ่าวที่เอาเงินไปฝังดิน..เพราะไม่แยแสต่อตะลันต์หรือพระคุณที่พระเยซูให้ไว้กับเรา ข้อนี้
พระคัมภีร์บอก “ในวันที่พระเยซูกลับมาพระองค์จะประทับที่บัลลังก์เพื่อพิพากษามนุษย์ และพระองค์จะแยกมนุษย์ออกเป็นสองพวก.. เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ พระองค์จะจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์
แต่ฝูงแพะนั้นจะให้อยู่ทางซ้าย”
“แกะ”
คือ ผู้ชอบธรรม (พวกเรานี่แหละ)
ส่วน”แพะ” คือ คนอธรรม “เบื้องขวา”
เล็งถึง ที่แห่งพระคุณหรือที่อยู่ของคนชอบธรรม
ส่วน “เบื้องซ้าย” คือ ที่แห่งความพินาศ..ซึ่งจะเป็นที่อยู่ของคนอธรรม การแยกแกะออกจากแพะเป็นภาพชีวิตประจำวัน..ที่ทุกเย็นคนเลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ โอเค เวลาเลี้ยง..เลี้ยงรวมกันแต่พอหมดวันเขาจะแยก เหมือนที่พระเยซูจะแยกคนของพระองค์ออกจากคนที่ไม่ใช่..เมื่อพระองค์เสด็จมา
มัทธิว 25: 34-39 เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง
ข้อที่ 34บอกว่า “พระเยซูจะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ว่า
ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา
จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก”....และในข้อนี้
พระเยซูบอกเหตุผลของคำพิพากษาไว้ด้วย
ข้อที่ 35 บอกว่า “เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็หาให้เรากิน เรากระหายน้ำ
ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย
ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา” และ..เหตุผลที่พระเยซูบอกนี้ ทำให้ทั้งผู้ชอบธรรมและคนอธรรม..งง ข้อที่ 37 บอก “เวลานั้น เหล่าผู้ชอบธรรมจะถามพระองค์ว่า
ข้าพระองค์ไปถวายอาหาร..น้ำ..หรือเสื้อผ้าให้พระองค์ตอนไหน เคยไปเยี่ยมพระองค์ในคุกตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเท่าที่จำได้หลายคนไม่เคยพบพระเยซู แล้วจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง”
ดูต่อ มัทธิว 25:40 -41
เมื่อผู้ชอบธรรมถาม ข้อที่ 40 บอก..พระเยซูตอบว่า
“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร
ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย”......มันจะมีวันนึงแน่นอนที่เราทุกคนต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และข้อนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า..ผู้ชอบธรรมที่จะได้อยู่เบื้องขวาของพระเยซูคริสต์นั้น..นอกจาก
ต้องสวมความชอบธรรมของพระเยซูเป็นอาภรณ์..
พร้อมทั้งมีน้ำมันหรือความเชื่ออยู่เต็มขนาดจนถึงวันพิพากษาแล้ว เรายังต้อง”ทำการดี”ต่อพี่น้องด้วย พระเยซูบอก..ทุกอย่างที่เราปฏิบัติต่อคนรอบข้าง..มันมีความหมายเท่ากับเราปฏิบัติต่อพระองค์
ยากอบ 2:14
บอกว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว
พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร
ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ ”....อย่าคิดว่าฉันรับเชื่อแล้วจบ เพราะความรอดเป็นมาโดยพระคุณ..อันนั้นถูกต้องค่ะ
แต่เราทุกคนมีหน้าที่ต้องใช้เงินตะลันต์ของพระเจ้าให้เกิดผล..
เรายังมีหน้าที่ต้องรัก..ดูแล..และแบ่งปันต่อพี่น้องด้วย เพราะแท้จริงแล้วหลักสำคัญของความเชื่อ มันคือเรื่องของ”ความสำพันธ์”..ทั้งความสำพันธ์ของเราต่อพระเจ้าและความสำพันธ์ระหว่างเรากับพี่น้อง เพราะฉะนั้น
คริสเตียนไม่สามารถเติบโตหรือถูกสร้างใหม่ได้ด้วยการอยู่คนเดียว แต่พระเจ้าจะใช้ผู้คนและสถานการณ์ในการหล่อหลอมเราเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น