วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนังสือ มัทธิว ครั้งที่ 20 (จบ)

คราวที่แล้ว เรามาถึงตอนที่พวกปุโรหิตอายัดและยัดเยียดความผิดให้พระเยซู  เสร็จพวกเขาก็นำพระองค์มาหาปีลาต..ที่ต้องพามาหาปีลาตเพราะตามกฎหมายของโรมไม่อนุญาตให้สภาของพวกปุโรหิตมีสิทธิ์ฆ่าคน..โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโรม    พวกเขาเลยต้องมาหา“ปีลาต”  เพราะปีลาตเป็นตัวแทนของรัฐบาลโรม  และเมื่ออยู่ ต่อหน้าปีลาต  ก็มีการสอบสวน..แต่พอสอบสวนไปปีลาตรู้ทันทีว่า..พระเยซูไม่มีความผิด   และเขาก็พยายามทุกทางที่จะปล่อยพระเยซูไป  บอกให้เฆี่ยนพอแล้ว..ก็ปล่อยตัวไป   แต่พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม ปีลาตก็บอก วันเทศกาลมีสิทธิ์ปล่อยนักโทษคนนึง..จะปล่อยใคร   เขาบอก..ปล่อยบารับบัส   ลุกา 23:20 บอกว่า ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจใคร่จะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"  ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดอะไร  เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเสีย”.. แต่พูดยังไง พวกปุโรหิตก็ไม่ยอม...ปีลาตรู้ละ..ว่าพวกนี้จะยืมมือเขาฆ่าพระเยซู  สุดท้าย  ปีลาตล้างมือ..แล้วพูดว่า "เราไม่มีผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ เจ้ารับธุระเอาเองเถิด"  บรรดาหมู่ชนก็ตอบว่า "ให้โลหิตของเขาตกอยู่แก่เราทั้งบุตรของเราเถิด"   ดูต่อ..
ดู มัทธิว 27:26-31   เมื่อผู้นำของพวกยิวยืนยันที่จะปล่อยบารับบัส และกดดันให้ปิลาตสั่งประหารพระเยซู    สุดท้าย ปีลาตก็ต้องยอมจำนน   โดยสั่งให้เอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่กางเขน   แต่ก่อนจะถูกตรึง พระองค์ก็ถูกกระทำทารุณมากมายโดยพวกทหารโรม   ข้อนี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก..ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว   เราว่าไปทีละข้อเลยละกัน..เด็กๆก็นึกภาพตาม     พวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์   แล้วก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎ..สวมพระเศียรของพระเยซู   แล้วเอาไม้อ้อให้พระองค์ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา  จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้า  พร้อมทั้ง เยาะเย้ยพระองค์ว่า "กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ" แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระเยซู..”...  การกระทำทั้งหมดนี้  ปิลาตไม่ได้สั่ง..พวกทหารทำเองด้วยความคึกคะนอง  ทำเพื่อเยาะเย้ย..  “ เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อนั้นออก แล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน”...
ขอให้เด็กๆท่องและก็จำสภาพในเวลานี้ของพระเยซูคริสต์ไว้ให้ดี  พระองค์ถูกกระทำการทารุณอย่างทุกข์ทรมาน   อย่างที่บอก พระองค์เป็นพระเจ้าแต่กลับ “ยอม” ที่จะโดนดูถูกเหยียดหยามโดย “มนุษย์”  มนุษย์ที่แท้จริงแล้ว “ไม่ฉลาดเท่าไหร่..”.หลายคนอาจจะคิดว่าตัวฉลาด  แต่ถ้าเทียบกับพระเจ้าแล้ว..”มนุษย์ไม่สามารถเลย..ช่วยตัวเองก็ไม่ได้.แล้วหลายครั้งก็ยังจะเย่อหยิ่งอีกด้วย !”  แต่พระเยซูยังยอมตายเพื่อช่วยมนุษย์ที่แสนจะเย่อหยิ่ง..ให้ได้รับความรอด   ด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ..ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน  รักทั้งที่มนุษย์สุดแสนจะน่าเกลียด   เพราะงั้น ถ้าเราเข้าใจชัดเจนในจุดนี้  เราจะซาบซึ้งในรักแท้ของพระเจ้า..ที่เรียกว่า “รักแบบอากาเป้” หรือที่บันทึกไว้ใน 1 โครินธ์ 13..... แล้วในขณะที่พระเยซูยอมโดนดูถูกเพื่อเรา  ถามตัวเองซิ..เราเคยยอมให้คนอื่นดูถูก (อย่างไม่ตอบโต้)..บ้างมั๊ย   ขณะที่พระเยซูยอมสละชีวิตเพื่อเรา..เราเคยยอมเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างรึเปล่า  ไม่ต้องอะไรมาก บางครอบครัว..พี่น้องกันยังไม่ยอมกันเลย  แม้แต่พ่อแม่ โอเค พ่อแม่ทุกคนรักลูก..ยอมตายแทนลูกได้  แต่ถ้ารู้สึกว่าลูกไม่รัก..หรือรักไม่เท่าที่หวัง..ทนได้มั๊ย..ส่วนใหญ่ก็จะเสียใจ..น้อยใจ..ตีอกชกตัว..ตัดพ้อไปต่างๆนาๆ   เพราะอะไร..เพราะรักแบบคาดหวัง ”มากเกินไป”
ในขณะที่พวกทหารกระทำต่อพระองค์อย่างไม่น่าให้อภัย..พระเยซูก็ยังอธิฐานขอพระเจ้ายกโทษให้เขา..เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป  แต่ถ้าเป็นเรา.. ทำไง..ขอพระเจ้าลงโทษเขา (รึเปล่า)..  หนักๆยิ่งดีมันจะได้สำนึก !! (ใช่มั๊ย)    ถ้าคิดให้ดี..อะไรต่างๆเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นภาพที่ทำให้เราเห็นรักแท้ของพระเจ้า..ชัดเจนขึ้น  ภาพนี้ทำให้เรารู้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่จะรักมนุษย์อย่างบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู 
ดู มัทธิว 27:33-34  พระเยซูถูกนำมาที่ “กลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ” ..ก็คงจะเป็นที่ที่ใช้ประหารชีวิตคน   เราลองลำดับเหตุการณ์ตามไป..พระเยซูถูกจับตั้งแต่ประมาณ ตี 1 จากนั้นก็ถูกอายัดพระองค์ไว้ให้พวกปุโรหิตไต่สวนคดีทั้งคืน..จนมาถึงปิลาตตอนเช้ามืด  และมาตอนนี้ที่กำลังจะถูกตรึงคือเวลาประมาณ 9 โมงเช้า..ไม่ได้นอน..โดนทรมานทั้งคืน   ข้อที่ 34 บอกว่า “เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็ไม่เสวย”....พระเยซูไม่เสวยเพราะ“ของขม” ที่เขาใส่ปนมาในน้ำองุ่น มันคือ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยลดความเจ็บปวด  เพราะงั้น เมื่อพระเยซูชิมแล้ว..พระองค์เลยไม่รับ  หมายความว่า พระองค์ไม่เอาตัวช่วย  แต่เลือกที่จะแบกรับความทุกข์ทรมานแบบเต็มๆ..เพื่อสยบทุกคำโต้แย้งของมาร   เพราะฉะนั้น ในวันพิพากษา “มาร” จะปิดปากเงียบ..ยอมจำนนกับคนที่พึ่งในพระคุณของพระคริสต์   การไถ่ของผู้ที่เชื่อในการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู..รับรอง “เคลียร์” ไม่มีข้อกังขา  (เอเมนมั๊ยคะ)    
ดู มัทธิว 27:39-42   “ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้นก็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา  กล่าวว่า "เจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด"..   ข้อนี้บอก คนที่เดินผ่านไปมา..เห็นพระเยซูแล้ว..ก็ส่ายหัว  พูดทำนองว่า “ถ้าตัวเองเป็นพระบุตรพระเจ้าจริง..ช่วยตัวเองให้รอดก่อน ดีมั๊ย !”..ประมาณนั้น   เนี่ยคือ ความโง่ของมนุษย์..โง่ เพราะตัดสินทุกอย่างตามสิ่งที่ตามองเห็น    ข้อที่  42 พวกปุโรหิตพูดอีกว่า เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าเขาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด และเราจะเชื่อเขา”... ลักษณะนิสัยอันนึงที่เป็นผลพวงจากการล้มลงในความบาปของมนุษย์ ก็คือ “ชอบที่จะเป็นผู้ควบคุม”..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควบคุมพระเจ้าหรือแม้แต่พระอื่นๆของเขา (จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม)      ดูอย่าง คำพูดของพวกปุโรหิตในข้อนี้.. คือ “..ถ้าเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง  ก็ลงมาจากกางเขนให้ได้เดี๋ยวนี้  และเราจะเชื่อ” ....ความหมายของพวกเขา ก็คือ...“ถ้าจะให้เชื่อ ก็ต้องทำตามที่เขาต้องการ...1234 อะไรก็ว่าไป  ถ้าจะให้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็ต้องแสดงอิทธิปาฏิหารย์เรียกทูตสวรรค์มา..ให้ดูเป็นพระเอกหน่อย..แล้วก็ลงมาจากกางเขนซะ..อย่างสง่างาม (เหมือนภาพยนตร์น้ำเน่าทั่วไป)...  แล้วถ้าพระเยซูต้องทำอย่างที่เขาพูด  ถามจริงๆว่า ตกลงใครใหญ่..ใครคือผู้ควบคุม  มนุษย์ คือ ผู้ควบคุม..ใช่มั๊ย  แล้วจะไปรอดรึเปล่า   เพราะถ้าพระเยซูลงจากกางเขน  อะไรจะเกิดขึ้น..โอเค คนพวกนั้นก็คงจะตื่นเต้น..โฮซันนายอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า  แต่ความพอใจอันนั้นของมนุษย์ต้องแลกมาด้วยความพินาศใหญ่หลวงชั่วนิรันดร์..เพราะการไถ่บาปก็จะไม่สำเร็จ...ถูกมั๊ยคะ
และ ทุกวันนี้ คนจำนวนมากก็ยังเป็นเหมือนปุโรหิตพวกนี้  คือ..ประมาณว่าต้องทำให้ฉันรวยก่อน..ฉันถึงจะเชื่อพระเจ้า  ต้องให้ฉัน..ได้ดั่งใจ..ได้งานดีมีชื่อเสียง..มีบ้าน..มีรถ  ถูกรางวัล..อะไรก็ว่าไป ส่วนใหญ่คิดได้แค่นั้น..นิยามคำว่า “ดี” ของคนส่วนใหญ่ถูกจำกัดไว้กับแค่ ”สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้" ...ซึ่งสำหรับพระเจ้ามันคือความมืดบอด  แต่มนุษย์ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองฉลาดเพราะ..ไม่ค่อยจะเผื่อใจว่า..มันอาจมีอะไรอีกมากมายนะในสิ่งที่เขามองไม่เห็น
ดู ยอห์น 19:30-34  เมื่อพระเยซูรับน้ำองุ่น (ที่ไม่ใส่สมุนไพรลดความเจ็บปวด) แล้ว  พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป  รวมเวลาที่พระองค์ถูกตรึงบนกางเขนราว 6 ชม.  เพราะพระองค์ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้า   และสิ้นพระชนม์ตอนบ่าย 3    และ สะบาโตกำลังจะเริ่มแล้วตอน 6 โมงเย็น   ดังนั้น เขาจะปล่อยให้ศพแขวนอยู่อย่างงั้น..ไม่ได้  ต้องเอาลงมาและไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนสะบาโตจะเริ่ม   แต่ปัญหาคือโจรที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูอีกสองคน..ยังไม่ตาย   เขาทำไง..ข้อที่ 32  บอก “พวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์”  ... ที่เขาทุบขาก็เพื่อจะให้น้ำหนักทั้งหมดทิ้งตัวลงมา..ปกติเวลาหายใจมันต้องยกตัวขึ้น   ดังนั้น พอขาหักแล้วก็จะไม่สามารถที่ยันตัวขึ้นมาหายใจได้อีก  ในที่สุด..ก็ขาดใจตาย    พอมาถึงพระเยซูเขาไม่ได้ทุบขาเพราะพระองค์ตายแล้ว..แต่วิธีเช็คของเขา ก็คือ เอาหอกแทงสีข้าง   พอแทงปุ๊บ..เลือดกับน้ำก็พุ่งออกมา  อันนี้แสดงว่าตายแล้ว  เพราะร่างกาย ทุกระบบหยุดทำงาน  ของเหลวทุกอย่างมากองรวมกันไม่มีการสูบฉีด  พอเอาหอกแทงเข้าไป..ของเหลวทุกอย่างก็พุ่งออกมา  เป็นสัญญาณว่าตายแล้ว..แน่นอน 
จากนั้น โยเซฟชาวอาริมาเธียก็นำพระศพของพระเยซูไปฝัง  ในสุสานของเขา..ที่เขาเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  อันนี้ ก็คล้ายๆคนจีนที่ชอบซื้อที่ฝังศพหรือฮวงซุ้ยเตรียมไว้สำหรับตัวเอง  สรุปแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย..พระเยซูมีอะไรเป็นของตัวเองมั๊ย..ไม่มีเลยนะ  มีแต่คนเตรียมให้.. ถ้ามองฝ่ายโลก..พระองค์ไม่มีสมบัติของตัวเองเลยบนโลกนี้
ดู มัทธิว 27:62-66  ปรากฎว่า  พวกปุโรหิตยังจำได้..ว่า พระเยซูเคยบอกว่า “อีกสามวันพระองค์จะฟื้นขึ้นมา”  ..ก็เลยไปขอกำลังทหารจากปิลาตให้มาเฝ้าหน้าอุโมงค์หน่อย   เขาไม่คิดหรอกว่าพระเยซูจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ   แต่ เขาคิดว่าที่พระองค์พูดอย่างนั้น..ก็เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกสาวกมาขโมยศพ..จะได้ไปหลอกประชาชนว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมา   ซึ่งพวกปุโรหิตก็กลัวว่ามันจะทำให้ประชาชนสับสนวุ่นวายไม่จบสิ้น ..ก็เลยอยากจะกันไว้ก่อนด้วยการไปขอทหารยามจากปิลาตมาเฝ้าหน้าอุโมงค์      ข้อที่ 65 บอก “ ปิลาตก็อนุญาตให้พวกเขาเอายามไปเฝ้าให้แข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ..เพื่อไม่ให้สาวกมาขโมยศพ   ซึ่งจริงๆไม่มีใครมาขโมย..แต่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา   พระคำภีร์บอกว่า ทหารยามก็มาเฝ้าวันเสาร์ทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตกกลางคืนก็ยังไม่มีอะไร  แต่พอเช้าวันอาทิตย์ ..เกิดไรขึ้น  ช่วงนี้ให้เด็กๆเปิดไปดู
ดู ลูกา 24:1-8 ข้อนี้ บอกว่า “เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์”..คือ วันอาทิตย์  เมื่อมารีย์ชาวมักดาลา..มาถวายเครื่องหอมที่อุโมงค์ ..ก็พบว่าทูตสวรรค์ได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วศพของพระเยซูก็หายไป    ถ้าอ่านเผินๆ หลายคนก็จะเข้าใจว่า..ทูตสวรรค์มากลิ้งก้อนหินให้พระเยซูออกมา  แต่จริงๆ..ไม่ใช่นะ  ที่ทูตสวรรค์ต้องมากลิ้งก้อนหิน.. ก็เพื่อให้สาวกเข้าไปดู  ไม่ใช่กลิ้งให้พระเยซูออกมา   เพราะเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระองค์มีร่างที่ใหม่สามารถเดินผ่านทุกอย่างได้   ข้อที่ 5 บอกว่า “.. ชายสองคนนั้น..(ซึ่งก็คือ ทูตสวรรค์) จึงพูดกับเขาว่า "พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า   พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายเมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี..ว่า. บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป  ถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”.....ดูนะ พระเยซูบอกไว้แล้วว่าวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่  ศัตรูของพระองค์คือพวกปุโรหิตยังจำได้เลย..ถึงต้องเกณฑ์ทหารยามไปเฝ้าหน้าอุโมงค์  แต่พวกสาวกกลับจำคำของพระเยซูไม่ได้..ถ้าทูตสวรรค์ไม่มาเตือนความจำ..ก็นึกไม่ออก   
ลูกา 24:13-16  ในตอนท้าย จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสำแดงพระองค์ของพระเยซูแก่เหล่าสาวก..หลังจากที่คืนพระชนม์ขึ้นมาแล้ว  ข้อนี้ บอกว่า “ขณะที่สาวกสองคนกำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส  พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินไปกับเขา แต่ตาเขาฟางไปและจำพระองค์ไม่ได้  คุยกันไป..คุยกันมาจนถึงที่หมาย..สาวกก็เชิญให้พระองค์เสวย”  ข้อที่ 30  บอกว่า “ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยกับเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้ ตาของสาวกสองคนนั้น..ก็หายฟางแล้วก็จำได้..ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา”  จากนั้น  เมื่อสาวกสองคนไปเล่าเรื่องนี้ให้อีกสิบคนฟัง  พระเยซูก็ทรงปรากฏต่ออัครสาวกอีกสิบคน   ข้อที่ 36  “เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูเองทรงยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขและตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”...ประมาณว่า ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่...พระองค์ยังอยู่กับพวกเขา และยังอยู่กับพวกเราจนทุกวันนี้ด้วย เอเมนมั๊ย
กลับมาที่ มัทธิว 28:16-20  เมื่อเหล่าสาวกไปพบพระเยซูที่แคว้นกาลิลี   สิ่งที่พระองค์สั่งไว้แก่เหล่าสาวกที่ได้พบพระองค์  คือ  เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”  นี่คือ มหาบัญชาสุดท้ายที่พระเยซูสั่งไว้กับเหล่าสาวกและพวกเราด้วย คือ ให้เราประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดผ่านทางการตายบนไม้กางเขน..เป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์..และให้ชนทุกชาติได้รับบัพติศมาในนามของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ..ผ่านทางความเชื่อ..รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ  และถือรักษาสิ่งที่พระองค์สอนไว้ในพระคัมภีร์  สุดท้าย สำคัญมาก พระองค์บอกว่า “พระองค์จะอยู่กับเราจนถึงวันพิพากษา”... สำหรับเรื่องนี้ เท่าที่ดำเนินกับพระเจ้ามา..น้าตุ๊กเชื่อและสำผัสได้จริงๆว่าพระเยซูทรงพระชนม์อยู่ด้วย..ตลอดเวลา   และน้าตุ๊กก็เชื่อว่า เด็กๆจะสามารถสัมผัสเรื่องนี้ได้เหมือนกัน..ถ้าเราเรียนรู้ที่จะติดสนิทกับพระองค์ 

      หนังสือ มัทธิว ก็จบสมบูรณ์แล้วนะคะ จนกว่าพบกันใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น